“ 500 Days of Summer ” ซัมเมอร์ของฉัน 500 วัน ไม่ลืมเธอ หนังโรแมนติกที่ออกฉายในปี 2009 กำกับโดยมาร์ก เว็บบ์
เป็นผลงานจากค่ายอิสระ ที่มีรายได้รวมจากทั่วโลกถึง 60 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลมากมายและได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดในปีนั้นจากนักวิจารณ์
Alljit ร่วมกับ มิ้น พนิดา มิตรวงษา จะมาแนะนำ รีวิว วิเคราะห์ ชวนทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับ ภาพยนตร์ดีต่อใจเรื่องหนึ่ง ที่อาจจะทำให้วันของทุกคนเป็นวันที่ดีขึ้นได้
500 Days of Summer
หนังเรื่องนี้ถูกเรียกว่าเป็นหนังอกหักที่สร้างจากเรื่องจริงของผู้เขียนบท สกอตต์ นอยสตัดเตอร์ ที่ถูกแฟนสาวทอดทิ้งไป
500 days of summer เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์ที่ไม่มีสถานะ” ของชายหญิงคู่หนึ่งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับความรักแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
ทอมและซัมเมอร์พบกันในบริษัทเขียนการ์ดอวยพรที่ทั้งคู่ทำงานอยู่ วันหนึ่งความสัมพันธ์แบบเพื่อนบานปลายไปสู่ความสัมพันธ์แบบก้ำกึ่ง ทอมและซัมเมอร์จะจัดการและตัดสินใจกับรักครั้งนี้อย่างไร?
ตัวละคร
1. ทอม
ชายหนุ่มนักเขียนการ์ดอวยพรที่เป็นที่ชื่นชมในหมู่เพื่อนร่วมงาน เชื่อในรักแท้ คิดว่าชีวิตจะสมบูรณ์เมื่อได้พบกับเนื้อคู่
2. ซัมเมอร์
หญิงสาวผู้ช่วยหัวหน้า ที่ครอบครัวแตกแยก พ่อแม่หย่าร้าง ทำให้ไม่คิดจะสร้างความสัมพันธ์แบบผูกมัด คิดว่าสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร
อ้างอิงจากหนังสือ 500 ล้านปีของความรักของนายแพทย์ชัชพล เกียรติขจรธาดา มีหลายประเด็นที่สามารถอธิบายความรักครั้งนี้ในทางวิทยาศาสตร์ได้
จูบ : จุดเปลี่ยนความสัมพันธ์
ทำไมการจูบถึงเป็นการกระทำที่มีผลมากพอทำให้ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนา?
ในทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลที่มนุษย์จูบเป็นเพราะ
1. ริมฝีปากของมนุษย์ถูกวิวัฒนาการมาเพื่อเป็นอวัยวะดึงความสนใจจากเพศตรงข้าม
2. ริมฝีปากมีสีแดง สามารถกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น ตื่นเต้นและคึกคักขึ้นได้
การจูบเป็นพฤติกรรมที่ทำให้คนสองคนได้ใกล้ชิดกัน รวมถึงทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสัมผัสต่าง ๆ กลไกทั้งหมดเป็นไปเพื่อเตรียมให้ร่างกายพร้อมสำหรับการสัมผัสทางกายในขั้นต่อไป
ความเปลี่ยนเเปลงเมื่อมีความรัก
1. วงจรโดปามีนและสมองส่วน VTA มีอัตราการทำงานที่สูงขึ้น แทบไม่ต่างจากเวลาที่เสพโคเคนหรือเฮโรอีน ทำให้มีความสุขเหมือนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ
นอกจากนี้ยังทำให้ สนุกกับชีวิต กล้าเสี่ยง มีแรงจูงใจในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเอง
2. สารสื่อประสาท นอร์เอพิเนฟรีนจะหลั่ง ทำให้หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อเกร็ง ตื่นตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่อธิบายว่า ทำไมเมื่อมีความรัก มนุษย์ถึงมีพลัง มีเรี่ยวแรง ไม่หลับไม่นอนคุยโทรศัพท์กันได้ทั้งคืน
3. ฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเทอโรน ในผู้ชายและผู้หญิงจะหลั่งในระดับที่แตกต่างกัน ในผู้ชายจะหลั่งน้อยลง ทำให้มีความนุ่มนวลอ่อนหวานและในผู้หญิงจะหลั่งมากขึ้น ทำให้มีความมั่นใจ มีความมั่นคง รู้สึกดี กล้าพูด กล้าแสดงออกมากขึ้น
Situationship
ความสัมพันธ์แบบโรแมนติกที่ก้ำกึ่ง “มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน” ไม่มีการแบ่งขอบเขตระหว่างกันที่ชัดเจน ในยุคนี้ความคาดหวังเกี่ยวกับความรักเปลี่ยนแปลงไป คู่รักแต่งงานกันช้า
เพราะต่างฝ่ายต่างอยากค้นหาตัวเอง พัฒนาตัวเอง รวมถึงสร้างความสำเร็จในชีวิต
บางครั้งการผูกมัดอาจเป็นปัจจัยที่ขัดขวางความต้องการ ทำให้หนุ่มสาวเลือกที่จะมีความสัมพันธ์แบบค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ศึกษากัน ใช้เวลาร่วมกัน ก่อนที่จะตกลงปลงใจที่จะเลื่อนขั้นความสัมพันธ์
ข้อดี คือ ทั้งคู่มีอิสระ ไม่มีความคาดหวัง ไม่มีความกดดัน ใช่ก็คบ ไม่ใช่ก็แยกย้าย ข้อเสีย คือ ด้วยความที่ไม่มีการแบ่งขอบเขตระหว่างกันที่ชัดเจน ทำให้หนุ่มสาวหลายคู่เผลอรู้สึกมากกว่านั้นจนล้ำเส้นที่ตกลงกัน
นอกจากนี้ในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการพัฒนาความสัมพันธ์
การต้องติดอยู่กับความสัมพันธ์ที่ก้ำกึ่งแบบนี้ อาจทำให้เสียเวลาและตัดโอกาสในการเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนที่เข้ากันได้มากกว่า เข้าใจกันมากกว่า
ความเจ็บปวด
มนุษย์มีความเจ็บอยู่ 2 รูปแบบ คือ ความเจ็บทางกาย และ ความเจ็บทางอารมณ์ซึ่งความเจ็บทางอารมณ์แบ่งออกเป็น 6 ประเภท
1. เจ็บจากการโดนปฏิเสธตรง ๆ
2. เจ็บจากการโดนปฏิเสธเลี่ยง ๆ
3. เจ็บจากการโดนวิจารณ์
4. เจ็บจากการโดนหักหลัง
5. เจ็บจากการโดนล้อเลียน
6. เจ็บจากการที่ไม่ถูกให้คุณค่า ทำดีแต่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครชื่นชม
อกหัก
แน่นอนว่าเป็นหนึ่งในความเจ็บทางอารมณ์ เพราะ อกหัก คือ เจ็บจากการโดนปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็น ในกรณีที่เราชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเรา ปฏิเสธตัวตนของเรา
หรือ ในกรณีที่ความสัมพันธ์ต้องจบลง เขาไม่รักเรา ปฏิเสธความรักที่เรามีให้
จากการศึกษาผ่านเครื่องสแกนสมองพบว่า ความเจ็บทางกายและความเจ็บทางอารมณ์ มีต้นตอมาจากสมองบริเวณเดียวกัน ดังนั้น ยาแก้ปวด ที่ใช้บรรเทาความเจ็บทางกายจึงสามารถบรรเทาความเจ็บทางอารมณ์ได้ด้วย
ข้อคิดที่ได้จากการดู 500 Days of Summer
1. การสื่อสารด้วยความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ
ในความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นและการตัดสินใจ ว่าจะให้ความสัมพันธ์ไปเป็นในรูปแบบไหน การที่ทอมถามซัมเมอร์ตรง ๆ ว่าระหว่างเราคืออะไร เกิดอะไรขึ้น
เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ทั้งสองเข้าใจความต้องการของกันและกันมากขึ้น
การสื่อสารด้วยความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ หากเห็นตรงกันก็ไปต่อ หากเห็นไม่ตรงกันก็แยกย้าย บางครั้งการใช้เหตุผล ไม่ตีโพยตีพาย จะทำให้เห็นความจริงว่า เรื่องยากอาจง่ายกว่าที่คิด
2. การเลิกราเป็นเรื่องปกติ
“there are plenty of fish in the sea” สำนวนภาษาอังกฤษที่สื่อว่า การเลิกราเป็นเรื่องปกติ ยังมีโอกาสและความเป็นไปได้อื่น ๆ ที่รออยู่อีกมากมาย
ฉากหนึ่งที่ทอมปรึกษาน้องสาว น้องสาวเตือนสติให้เห็นว่าที่ในความรักครั้งนี้ ทอมตัดใจไม่ได้ เพราะมองแต่เรื่องดี ๆ ทั้งที่จริง ๆ ระหว่างทางไม่ได้มีแต่เรื่องดี ๆ แต่ทอมนี่แหละ
ที่เลือกจะมองข้าม ความจืดจาง ความเฉยชา ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน และอีกหลาย ๆ อย่าง
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่เมื่อมีความรัก มักจะขยายสิ่งที่ดี ลืมสิ่งที่แย่ การยอมรับความจริงให้เร็วที่สุดแล้วลุกขึ้นเพื่อก้าวต่อไป น่าจะทำให้เข้าใกล้อนาคตที่สดใสได้เร็วขึ้น
3. ความเจ็บถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเตือนให้รู้ว่าสิ่งที่เผชิญอยู่อันตราย
หากย้อนไปสังเกตชีวิตมนุษย์ยุคหิน ความเจ็บถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเตือนให้รู้ว่าสิ่งที่เผชิญอยู่อันตราย ความเจ็บจะช่วยยับยั้งไม่ให้เราทำอะไรที่จะเพิ่มความเจ็บหรือเพิ่มความอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ
ในปัจจุบัน ความเจ็บยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่
4. ความทรงจำจะเป็นบทเรียน
ประเด็นสุดท้าย เมื่ออกหัก เคยไหมที่คนรอบข้างให้กำลังใจพร้อมกับบอกว่า “อย่าจมอยู่กับความเสียใจ” มีสุขย่อมมีทุกข์ มีสมหวังย่อมมีผิดหวัง ความสัมพันธ์เมื่อเกิดขึ้นย่อมมีจบลง
แต่ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไร ความทรงจำเหล่านั้นจะเป็นบทเรียน
อีกอย่างความเสียใจที่เกิดจากการสูญเสียและจากการรู้ว่าสิ่งดีๆ เหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นเรื่องธรรมดานอกจากความเสียใจจะทำให้คุณผู้ฟังเห็นว่าครอบครัว เพื่อน
และอีกมากมายรักและเป็นห่วงคุณแค่ไหน ยังทำให้ได้สำรวจตัวเองด้วย
Post Views: 3,918