Posts

ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ “โลกซึมเศร้า” ในบางครั้งที่เราจะมีความรักเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เราจะมีความกังวลแล้วถ้าเราเป็น โรคซึมเศร้า มึความรักด้วยหล่ะ การมีความรักของเราจะยิ่งกังวลหนักกว่าเดิมไหม ?

 

หรือรับฟังได้ที่  Alljit Podcast

 

สัญญาณบ่งบอกว่าแฟนกำลังเป็น โรคซึมเศ้รา 

 

–  การเปลี่ยนแปลงทางด้านที่เราพอพบเจอได้ การกิน,กิจกรรมที่เคยชอบเปลี่ยนไป,ไม่อยากออกไปเจอเพื่อน เป็นต้น

 

–  ระยะเวลาที่เขาเป็น เช่น มุมมองความคิดเปลี่ยนไป แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

 

–  มีคำพูดที่แปลกไปจากเดิม เช่น คำพูดที่หดหู่ ไม่สบายใจ 

 

–  สัมผัสได้ถึงพลังงานที่น้อยลง 

 

–  จากคนที่เคยดูแลตัวเองมาก ๆ กลับไม่ดูแลตัวเองเลย 

 

 

เป็น โรคซึมเศร้า แต่คนรักไม่เข้าใจ

 

แฟนมีส่วนช่วยสำคัญในการทำให้เราดีขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนจะทำแบบนั้นได้ แน่นอนแฟนคือคนใกล้ชิด คือสังคม คือคนรอบตัว เป็นปัจจัยและกำลังอันสำคัญที่จะพาเราให้ดีขึ้นได้

 

แต่ว่าความซึมเศร้าใม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจ ฉะนั้นเราก็ต้องเข้าใจด้วยว่า บางวันเราก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าเรารู้สึกยังไง บางวันแฟนก็อาจจะไม่เข้าใจเราด้วยเช่นกัน แต่หากมีความรู้สึกไหนก็สื่อสารกัน 

 

 

เป็น โรคซึมเศร้า ควรบอกแฟนไหม?

 

การไม่บอกอาจจะทำให้เราทั้งคู่ไม่เข้าใจกันมากกว่าเดิมในภายหลัง อย่างน้อยการบอกก็ทำให้เขาได้รับรู้แล้วเบื้องต้นเป็นเรื่องที่ดีกว่า แต่เราและเขาตกลงแก้ไขปัญหากันได้แค่ไหน ก็ต้องมาค่อย ๆ พูดคุยปรึกษากัน 

 

 

มีแฟนเป็น โรคซึมเศร้า ทำยังไงดี

 

1.   เตือนให้เขาทานยาให้ตรงเวลา ซึ่งการทานยาในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก แน่นอนว่าคนที่ทานยาจะต้องคาดหวังอยากให้หายไว ๆ แต่การปรับยาต้องใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไป เราต้องบอกให้เขาใจเย็น ๆ และเราพร้อมจะอยู่ข้างเสมอ

 

2.  สนับสนุนให้เขาบอกคนรอบข้าง ถึงสิ่งที่กำลังเผชิญ  เพราะ social support คือสิ่งสำคัญ หากคนรอบข้างรับรู้จะได้ช่วยกันดูแล และให้กำลังใจกันและกัน

 

3.  เป็นผู้รับฟังที่ดี ฟังไอย่างไม่ตัดสิน ถึงแม้เขาจะเล่าเรื่องซ้ำ ๆ แต่เราก็ต้องยินดีที่จะฟัง โดยไม่ตัดบทสนทนาและทำให้เขารู้สึกแย่

 

4.  พาเขาทำกิจกรรม อาจจะเป็นกิจกรรมที่เขาเคยชอบ หรือชวนกันไปเที่ยว 

 

 

ปลอบใจคนรักอย่างไรได้บ้าง

 

การปลอบใจสำคัญมาก ลองนึกถึงว่าเราเป็นดอกไม้ที่กำลังเฉาแล้วมีน้ำเย็น ๆ มารด คำปลอบใจก็เช่นกัน แต่สำหรับคนที่เป็นซึมเศร้าคำบางคำอาจจะสร้างบาดแผลสำหรับเขาก็ได้

 

บางคำอาจจะเป็นการเปิดแผลภายในใจ ฉะนั้น คำปลอบใจอาจจะไม่ได้ช่วยได้ทั้งหมดแต่ก็สามารถทำให้อุ่นใจได้ เช่น 

 

–  เราอยู่ตรงนี้เสมอนะ 

–  ถ้าอยากดีขึ้นเราพร้อมจะไปกับเธอในทุกตอนที่เธอต้องการ

–  หากเขาระบายสิ่งที่อยู่ภายในใจ ความคิดของเขาแล้วอยากให้เราชื่นชมที่เขาเล่าให้เราฟังเพราะคนที่เป็นซึมเศร้า เขาไม่ค่อยจะเปิดใจหรือกล้าเล่าอะไรให้เราฟังมากหรอก

 

ในตอนที่เรารู้สึกรับมือกับคนใกล้ชิดที่เป็น โรคซึมเศร้า ไม่ไหว..จัดการอารมณ์ตัวเองยังไงดี

 

ฝ่าย Supporter ก็ต้องการที่พึ่งพิงทางใจเหมือนกัน เราไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้ อย่าคิดว่าเรามีหน้าที่ต้อง protect เขาเพียงอย่างเดียว เพราะสภาพจิตใจ และความรู้สึก เราก็สำคัญเหมือนกัน 

 

อย่ากดดันตัวเองหรือแบกรับความรู้สึกเศร้าของเขาเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะมีโอกาสเป็นคนเศร้าคนต่อไป คนเศร้าอาจจะทำนิสัยไม่ดีไปบ้าง ขอให้เข้าใจว่าเขากำลังป่วย

 

แต่หากว่าเขาเป็นคนนิสัยไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว เขาจะกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีที่กำลังป่วย ซึ่งก็อาจจะรับมือยากกว่าเดิมไปสองเท่า แต่ถ้าที่ผ่านมาเคยรับนิสัยไม่ดีของเขาได้ ก็ขอให้อดทนเพิ่มขึ้นอีกหน่อย รับมือไปตามแต่

 

สถานการณ์ด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ เมื่อหายแล้วคนเศร้าจะกลับมาเป็นคนรักคนเดิมของเรา

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

 

หลายคนเวลามีปัญหาที่ทำให้เครียด ไม่สบายใจ จะพึ่งพา หมอดู เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น หมอดูไม่ใช่แค่ดูดวง

 

แต่ดูลึกถึงจิตใจและให้ความช่วยเหลือ “หมอดูที่เป็นมากกว่าหมอดู” จริงหรือไม่ ?

พฤติกรรมการดูดวงของคนไทย 

ภาวะเครียดจากการทํางาน เพื่อนร่วมงาน ไม่มีคนคอยช่วยปลอบใจ หรือปรับทุกข์ระบายสิ่งที่เกิดขึ้น ขาดผู้ที่คอยรับฟังปัญหา ขาดที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ต่างคนต่างที่จะแสวงหาสิ่งที่ตนต้องการ

 

เพื่อสนองความต้องการของตนจึง ทําให้บางครั้งไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้จึงต้องหาสิ่งที่เป็นตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาหรือระบายความทุกข์

 

ด้วยเหตุนี้เองคนในเมืองโดยส่วนมากมักจะหาทางออกที่ดีที่สุดโดยคนใช้บริการดูดวงเพื่อหวังว่าจะช่วยแก้ไขปัญหา และหาทางออก 

หมอดูที่มากกว่า หมอดู แต่ช่วยเหลือทางจิตใจจริงไหม? 

คุณพลอยไพลิน เล่าว่า เขาได้ศึกษาทั้งด้านดูดวงและด้านจิตวิทยามา 6-7 ปี แล้ว ก่อนหน้านี้ศึกษาจิตบำบัดเพื่อนำมาใช้ในการเรียนและประกอบอาชีพนักให้คำปรึกษา

 

แต่หลังจากลองนำมาผสมผสานกับการทำนายไพ่ทาโรต์ โดยเริ่มใช้เทคนิคดังกล่าวดูดวงให้เพื่อนสนิท หรือคนใกล้ตัว กลับมีฟีดแบ็กที่ดี คนที่มาดูดวงด้วยจะรู้สึกเหมือนได้แรงเสริมด้านบวกกลับไปด้วย

 

คำถามที่ว่า หมอดูที่มากกว่าหมอดูมีไหม? จากบทความเว็บไซต์ Philpapersกล่าวว่า การดูดวงเป็นการพยากรณ์เกี่ยวกับชีวิต คนไปหาหมอดูเพราะอยากได้คำแนะนำ  และคำถามที่ถามหมอดูมักจะเชื่อมโยงกับสุขภาพจิต

 

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Bangkok Post ด้วยว่า ในไทยมีโปรเจกต์พัฒนาหมอดูให้เป็นผู้รับการปรึกษาด้านสุขภาพจิตด้วย ริเริ่มโดยวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นโปรเจกต์ที่แสดงให้เห็นว่า

 

การดูดวงและการปรึกษาด้านสุขภาพจิตมีความเกี่ยวข้องกัน ในโปรเจกต์นั้นคือให้ผู้เข้าร่วมเรียนรู้เกี่ยวกับ ปัญหาสุขภาพจิตและการตรวจสอบสภาพจิตใจเบื้องต้น เช่น ความเครียด เพื่อพัฒนาทัศนคติ ทักษะการสื่อสาร

 

การรับฟัง การสังเกต การตั้งคำถามที่เหมาะสม  จากงานวิจัยเสริมว่าไว้ว่า  ผู้ใช้บริการดูดวงร้อยละ 14.6แสดงความคิดเห็นว่า หมอดูเปรียบเป็นผู้ให้คําปรึกษาของสังคมโดยสามารถพูดความในใจออกมาได้ ทําให้รู้สึกโล่ง ไปได้ชั่วขณะ 

 

 

เพราะอะไรคนถึงเลือกหา หมอดู มากกว่านักจิตวิทยา?

จากงานวิจัย พฤติกรรมการดูดวงของคนเมืองในเขตกรุงเทพมหานคร  มีสถิติบอกไว้เป็นตัวเลข ว่าเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในชีวิตจะหาทางออกโดยการ ปรึกษา หมอดูเพื่อแนะนำทางออกของปัญหา ร้อยละ 9.6  ไม่ปรึกษาใคร

 

ร้อยละ 4.9 และ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและนักจิตแพทย์ ร้อยละ 2.9  

 

บางสังคมยังมีค่านิยมว่าการไปหาผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เป็นเรื่องผิดปกติ  ค่านิยมนี้ทำให้บางคนแก้ไขปัญหาด้วยการไปพึ่งอย่างอื่น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการดูดวง

 

เพราะคุณหมอมักพูดตามความเป็นจริง แต่หมอดูพูดค่อนข้างกว้าง ทำให้เราสามารถตีความ ใส่ความคิดเห็นของตัวเองลงไปได้ และ เชื่อมโยงเข้ากับความรู้สึกของตัวเองได้ 

 

จากงานวิจัยเดียวกัน กล่าวว่า ผู้คนที่เข้าไปดูดวงนั้น เพราะเกิดความคาดหวัง ต้องการที่พึ่งพาทางที่พึ่งทางใจ ต้องการรับรู้อนาคต เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ 

 

จึงเลือกที่จะเข้ารับการดูดวง ซึ่งการทำนายอนาคต นักจิตวิทยาไม่สามารถให้คำตอบได้ และไม่สามารถตอบสนองความหวังของผู้ที่เข้ารับการดูดวงได้ อีกทั้งยังเป็นเรื่องของราคาที่แตกต่างกันมาก

 

หมอดูที่มากกว่า หมอดู กับ การพูดคุยปรึกษาในทางจิตวิทยา ต่างกันอย่างไร?

1. หมอดูจะเป็นการพูดคุยตัวต่อตัว แต่การนักจิตวิทยา จะมี session หลากหลายรูปแบบ เช่น แบบเดี่ยว แบบกลุ่ม แบบครอบครัว แบบคู่รัก

 

2. ในศาสตร์การดูดวง จะมีหลายส่วนที่เอนเอียงไปทางความเชื่อ แต่ ศาสตร์ทางจิตวิทยา จะพัฒนาทฤษฎีการให้คำปรึกษาจากการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ จากปรัชญา จากวิทยาศาสตร์  

 

3. ทฤษฎีที่ใช้แตกต่างกัน ศาสตร์การดูดวง มีหลายแบบ เช่น โหราศาสตร์ ทำนายอนาคตจากตำแหน่งดวงดาว การทำนายอนาคตจากการเสี่ยงทาย , การดูฤกษ์ , การดูชื่อสกุล ซึ่งจะเน้นไปที่การทำนายอนาคต

 

แต่การปรึกษาทางจิตวิทยา จะเน้นไปที่การทำให้ผู้รับการปรึกษาเข้าใจตัวเอง เข้าใจปัญหา ซึ่งมีทฤษฎีโดยเฉพาะเหมือนกัน เช่น Humanistic เน้นการพัฒนาศักยภาพ , Cognitive เน้นการปรับความคิด เป็นต้น 

 

ที่มา :

Good mental health is in the stars

หมอดู พลอยไพลิน จากนักเทคนิคการแพทย์ ไม่ด้อยค่าโหราศาสตร์ 

พฤติกรรมการดูดวงของคนเมืองในกรุงเทพมหานคร

เราทุกคนต่างใช้ชีวิตตามคำที่คนอื่นบอกให้ทำทั้งนั้น  เด็ก ๆ ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ โตมาหน่อยต้องเชื่อฟังคุณครู แต่จะผิดไหม เมื่อเราไม่พยายาม ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ  เพื่อที่จะได้เป็นตัวของตัวเอง และมีความสุขในรูปแบบของตัวเอง 

เป็นตัวของตัวเองโดยไม่พยายาม ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ คือ?  

สารบัญ

ข้อมูลจาก Tesxas A&M Today เกี่ยวกับแนวคิดแบบ Essentialism ของคำว่า True Self ว่า เป็นสิ่งหนึ่งในตัวบุคคลที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นตัวตนของบุคคลอย่างหนึ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ

 

และแตกต่างจากคนอื่น ถ้าเราสามารถแสดงออกถึงสิ่งนั้นออกมาได้ คงเรียกได้ว่า ณ ตอนนั้น เราได้เป็นตัวของตัวเอง

 

การรู้จักตัวเองแล้ว แสดงออกสิ่งนั้นออกมาอย่างเหมาะสมในสังคม และในอีกแง่หนึ่งการเป็นตัวของตัวเองเป็นตัวแทนหนึ่งที่สะท้อนคำว่า Freedom ที่หมายถึง ทุกคนมีอิสระในการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ แต่มาพร้อมความรับผิดชอบ

 

เป็นตัวของตัวเองโดยไม่พยายามม ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ  ดีอย่างไร? 

–  มีความสุข

–  ดีต่อสุขภาพจิต

–  เพิ่ม self-esteem 

–  เพิ่ม self-confidence 

 

 

เป็นตัวของตัวเองโดยไม่พยายาม ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ เริ่มอย่างไร?

1.เป็นในสิ่งที่เราชอบ 

ลองทำในสิ่งที่ “เรารู้สึกชอบตัวเองตอนเป็นแบบนี้” หลายครั้งเราฝืนความเป็นตัวเองเพราะกลัวจะถูกเกลียด เเต่ถ้าอยากทำอะไรเราไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเกลียด เเต่เราต้องเเคร์ว่าเราจะเกลียดตัวเองไหมมากกว่า

 

2. บางครั้งเราก็ไม่ต้องฝืนพยายามทำในสิ่งที่ไม่ใช่

ชีวิตคือการลองผิดลองถูกก็จริง แต่ถ้าลองเเล้วมันไม่ใช่ ก็ไม่เป็นอะไรเลย

 

3. ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง 

ที่เราไม่กล้าแสดงความเป็นตัวเองออกไปอาจจะเป็นเพราะเรามองว่านี่มันเป็นจุดบกพร่อง ฉันต้องโชว์แต่ด้านที่สมบูรณ์แบบ และไม่ยอมรับ  สุดท้ายทำให้ขาดความมั่นใจ ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง

 

ลองเปิดใจยอมรับมัน โอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบ ความเว้า ๆ แหว่ง ๆ ในชีวิต ความอ่อนแอ สิ่งที่เราบกพร่องแต่สามารถพัฒนาได้ รวมถึงความไม่เหมือนใคร เพราะเราคือหนึ่งเดียว

 

4. ฝึกที่จะแสดงสิ่งนั้นออกมา

ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ก่อนก็ได้ แล้วค่อย ๆ ทำไป รู้ตัวอีกที อาจจะเป็นตัวเองได้อย่างสบายใจในระดับหนึ่งแล้ว

5. สอบถามคนรอบข้าง 

ถามคนอื่น คนอื่นมองเห็นเราเป็นยังไง อาจจะต้องสอบถามจากหลาย ๆ คนจะได้มีหลาย ๆ มุมประกอบกัน จะปักใจเชื่อ 100% ก็ไม่ได้ เพราะทุกคนมีทัศนคติที่แตกต่างกันไป

 

6. การสังเกตตัวเอง หรือ จดบันทึก

สังเกตตัวเองผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต หรือ อาจจะใช้ตัวช่วยเป็นสมุดสักเล่ม เอาไว้จดบันทึกเกี่ยวกับตัวเราก็ได้

 

7. ค้นหาตัวเองตามแนวคิดจิตวิทยาของ Johari Window 

แนวคิดที่สามารถนำมาช่วยในการทำความรู้จักกับตัวเองได้  โดย Self มี 4 ด้าน คือ 

 

–  open self ด้านที่เรารู้ คนอื่นรู้  

–  blind self ด้านที่เราไม่รู้ คนอื่นรู้

–  hidden self ด้านที่เรารู้ คนอื่นไม่รู้

–  unknown self ด้านที่ไม่มีใครรู้

 

การจะรู้ “ด้านที่ไม่รู้มาก่อนว่าเราเป็นแบบนี้” ได้ มี 2 อย่างวิธี ๆ คือ  พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย สังเกตวิธีที่เรารับมือต่อเหตุการณ์นั้น ๆ นั่นแหละคือตัวเรา และสอบถามคนรอบข้าง 

 

 

ไม่ ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ โดยเป็นตัวของตัวเองยังไงให้พอดี?

1. ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน 

2. ไม่ผิดกฏหมาย

3. ไม่ผิดศีลธรรม

 

เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว การทำอาชีพ หรือแม้กระทั่ง ๆ ทำอะไรก็ได้ ขอแค่สิ่งนั้นไม่เดือดร้อนคนรอบข้าง ไม่ผิดกฏหมาย และไม่ผิดศีลธรรม

 

ทำยังไงให้มั่นใจ ไม่ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ และเป็นตัวเองมากขึ้น

1. ทำให้เป็นเรื่องเคยชิน

อะไรที่แสดงออกไปบ่อย ๆ เราจะเคยชิน และนั่นคือความมั่นใจ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การแต่งตัว หากเรารู้ว่าเราชอบแนวนี้ และแต่งบ่อย ๆ  เราก็จะเคยชินว่า ตัวเราก็แต่งของเราแบบนี้อยู่แล้ว นั่นคือความมั่นใจอย่างหนึ่ง

 

2. เตือนตัวเองว่าไม่มีใครสนใจขนาดนั้น

ทุกคนต่างสนใจแต่ชีวิตตัวเองกันทั้งนั้น ลองสังเกตตัวเองดูว่า ความกลัวว่าคนอื่นจะมองยังไง คิดยังไงกับเรา กำลังดึงขาเราไว้ ไม่ให้ก้าวไปเป็นตัวเองรึเปล่า ถ้าใช่ การเตือนตัวเองด้วยคำว่า 

 

ไม่มีใครสนใจขนาดนั้น เราเป็นตัวของตัวเองได้นะ แค่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอ 

3. Proud to be myself

ลองถามตัวเองว่าทุกวันนี้เราภูมิใจกับการเป็นตัวเองเเล้วหรือยัง  สิ่งที่เราเป็นลึกๆเเล้วเรารู้สึกดีกับมันหรือเปล่า เชื่อว่าทุกคนจะตอบว่า “ใช่” ค่ะ เพราะถ้าตัดความคิดจากสังคมภายนอกไปแล้ว

 

เราไม่มีทางจะเกลียดตัวเองได้เลย 

 

 

รับมือกับคำพูดของคนรอบข้างอย่างไรดี ?

1. อย่าลดความเป็นตัวเองเพื่อให้คนอื่นยอมรับ

2. ไม่ต้องกลัวที่จะถูกเกลียด

3. หนักแน่นในความเป็นเรา

4. การที่มีคนไม่ชอบมันเป็นหลักฐานที่บอกว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ

 

สุดท้ายเเล้วเข้าใจได้ว่า เราอาจจะต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบและไม่ใช่ไปบ้าง ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่นั่นไม่สามารถลดทอนความเป็นตัวเองหรือลดทอนคุณค่าในตัวเราได้นะ

 

“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ไม่จำเป็นต้องสุกสกาว ไม่จำเป็นต้องเป็นใคร ยกเว้นตัวเอง”  จาก Anatomy of My Mind 

 

ที่มา : 

A strong realisation towards self knowledge with the Johari Window

The Psychology Behind ‘Just Be Yourself’

หลักฐานที่บอกว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ

บางคนอาจจะคิดว่า หมดไฟ ก็แค่ลาหยุด พักสักหน่อยไม่ต้องไปทำงาน แต่หมดไฟมันไม่ใช่แค่ไม่อยากไปทำงาน บางคนก็รู้สึกลามไปถึงการหมดไฟในการดำเนินชีวิต

 

รู้สึกว่าชีวิตไร้สีสัน ใช้ชีวิตไปวันๆ แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงกันดี ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง Zombie – Day 6 

 

“Zombie” – Day 6 

สารบัญ

 

DAY6 ได้เล่าถึงแรงบันดาลใจ ในการเขียนเนื้อเพลง ‘Zombie’ ว่า หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมของวัน เขามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นการเคลื่อนไหวของผู้คน  ก็คิดขึ้นมาว่า

 

‘เราใช้ชีวิตวันๆ แบบเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาไม่ใช่เหรอ?’ มันรู้สึกเหมือนเราไร้ความรู้สึกและเคลื่อนไหวเหมือนเครื่องจักร เลยได้รับแรงบันดาลใจจากความรู้สึกว่างเปล่านี้

 

“Breathing but I’ve been dying inside” การที่ยังรับรู้นะว่าฉันกำลังหายใจอยู่ แต่ข้างในมันตายไปหมดแล้ว เหมือนต้นใหม่เหี่ยว ๆ Dying inside ความรู้สึกไร้จุดมุ่งหมาย เกิดคำถามเกี่ยวกับการมีชีวิต

 

รู้สึกเฉื่อยชา สามารถเกิดขึ้นได้แบบที่บางทีเราเองก็ไม่ได้รู้ตัว ในเพลงมีท่อนขยายความ dying inside ไว้ด้วยว่า  

 

Nothin’ new and nothing’ feels right ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรดี Dejavu  so I close my eyes มันเป็นแบบนี้ในทุก ๆ วัน เหมือนเดจาวู

 

“Today’s a present that I don’t want”  วันนี้คือของขวัญที่ฉันไม่ต้องการ ในวันที่ใช้ชีวิตแบบวนเวียน ล่องลอย จับต้องไม่ได้แบบนี้ การต้องตื่นมาเเล้วพบว่ามันยังมีอีกวันให้ก้าวต่อ กลับกลายเป็นสิ่งที่ทรมาน 

 

เพลงนี้ไม่ได้ให้วิธีแก้ปัญหาหรือคำแนะนำในการผ่านความรู้สึกแต่เป็นการปลอบโยนในแง่ที่ เราเจอคนที่เข้าใจเราแล้ว อย่างน้อยเราก็ไม่ได้โดดเดี่ยว…  

 

“วัยรุ่นซาโตริ” ในญี่ปุ่น

ในญี่ปุ่น เกิดการที่วัยรุ่นใช้ชีวิตไปวัน ๆ แบบไม่มีแบบแผน ไม่หวังรุ่ง ไม่หวังรวย ใช้ชีวิตวันต่อวันเพื่อความอยู่รอด ไม่ฝักใฝ่ ไม่หวังที่จะต้องประสบความสำเร็จหรือเรียกว่า

 

“วัยรุ่นซาโตริ” ที่หมายความว่า “รู้แจ้ง”  พวกเขาเลือกที่จะอยู่ในบ้านเพื่อพักผ่อนในเวลาว่าง ใช้เวลาพักผ่อนและแสวงหาความสมดุลในการใช้ชีวิต ไม่วางเส้นทางอาชีพที่ต้องประสบความสำเร็จ

 

ตามกรอบความคาดหวังเดิม ๆ ของสังคม หรือแม้กระทั่ง “ไม่อยากรวย” ซึ่งสวนทางกับคนส่วนใหญ่ที่ตั้งความหวังไว้ว่าอยากจะ “รวย” เข้าสักวัน  

 

“ถ่างผิง” ในประเทศจีน

ปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่กดดันคนทำงานในประเทศจีน ทำให้เกิดคำว่า “ถ่างผิง” หรือการ นอนราบ ขึ้นในคนจีน เนื่องจาดวัฒนธรรมการทำงานหนักแต่กลับไม่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

 

การทำงานที่เรียกว่า 9 9 6 คือ มาทำงาน 9 โมงเช้า เลิก 3 ทุ่ม และมา 6 วันต่อสัปดาห์ ทำให้คนรุ่นใหม่ในจีนรู้สึกอ่อนล้า จนถึงขั้นต้องออกมาสร้างกระแสเพื่อตอกย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบ

 

การใช้ชีวิตใหม่ การไม่ทำงานหนักเกินไป การให้ความสำคัญกับความสำเร็จที่พอทำให้เกิดขึ้นได้ และให้เวลาตัวเองในการผ่อนคลาย จึงเกิดการลาออกเพื่อมานอนอยู่เฉย ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด

 

และยังนำไปสู่ความคิดที่ว่า ไม่จำเป็นต้องมีบ้าน มีรถ แล้วสมาชิกชาวนอนราบ มีถึงเกือบ 3 แสนคนเลยทีเดียว

 

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดการ หมดไฟ 

1. การพยายามวิ่งล่าตามหาความฝัน/ความสำเร็จ

บางครั้งเราก็ถูกกดดันจากทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก อาจจะเป็นสังคม เพื่อน ครอบครัว คำถามบางคำถาม ความหวังบางความคาดหวัง “รู้หรือยังว่าจะทำอะไร” อยากเป็นอะไร อยากไปทางไหน

 

ต้องรู้ได้แล้วนะ”  สิ่งนี้มองอีกแง่นึงอาจจะมองเป็นแรงบันดาลใจได้ แต่ ไม่เสมอไป… และภายใน ก็มาจากตัวเราเอง ที่บางครั้งตรรกะของโลกความเป็นจริงกับความรู้สึกของเราขัดแย้งกัน

 

เเต่เราก็ต้องยอมที่จะมีความฝันเพื่อให้เป็นไปในแบบที่เข้ากับตรรกะของโลกได้ อย่างท่อนนึงในเพลง Zombie ที่บอกว่า

 

“เมื่อใช้ชีวิต เรามักจะรอคอยให้ความฝันเป็นจริงอยู่เสมอ ฉันจึงใช้ชีวิตที่มีอยู่นี้ โหยหาบางอย่างที่มองไม่เห็น บางสิ่งที่ไม่มีวันเอื้อมถึง หรือสิ่งที่ไม่ไม่มีอยู่จริง”

 

ให้ความรู้สึกถึง ความท้อ เหมือนกันนะ ใช้ชีวิตแบบที่รอคอยความฝันที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงไหม และความฝันที่หยิบโหย่งไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากจะฝันแบบนี้ แต่เออ เอาก็เอาวะ ทุกคนต้องมีความฝันแหละมั้ง 

 

2. วัฒนธรรมองกรค์ 

วัฒนธรรมองกรค์เป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ ที่จะหล่อหลอมให้เรา และที่ทำงานเป็นส่วนหนึ่งกันได้ และดึงประสิทธิภาพของเราออกมา นอกจากนั้นยังรวมไปถึง บรรยากาศในการทำงานด้วยเช่น 

 

–  ปริมาณงานเยอะเกินไป จนไม่สามารถจัดการเวลาได้ดี 

–  ไม่ให้ความสมดุลระหว่างการทำงาน และใช้ชีวิต  

–  องค์กรไม่ปรับตัวต่อวิธีการทำงาน เทรนด์การทำงาน ที่ไม่ตรงต่อความต้องการของพนักงาน 

 

3. Hustle Culture 

Hustle Culture คือ วัฒนธรรมแห่งความเร่งรีบ กระตือรือร้น ต้องรีบทำให้เสร็จ ต้องทำงานต่อ พักได้แค่แป็บเดียวเท่านั้น เพราะโดยอย่างปกติ  พนักงานทุกคนมีระยะเวลาทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์เกินเวลาที่กำหนด เช่น

 

เวลาทำงานปกติ เฉลี่ยจะอยู่ที่ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่สำหรับในองค์กรHustle Culture นั้น ๆ ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ของพนักงาน อาจสูงมากถึง 50-55 ชั่วโมง

 

อีกทั้งถึงจะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน แต่ไม่มีใครอยากหยุดพัก แล้วหันกลับไปทำงานต่อ

 

4. Busy Culture 

การที่ทำตัวยุ่งตลอดเวลา ทำตัวเองให้มีอะไรทำตลอดเวลา ทั้งที่ความจริงแล้วอาจไม่ได้ยุ่งอยู่ก็ได้ เพื่อภาพลักษณ์ และเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดที่ว่างงาน

 

ซึ่งบางองค์กร ก็เป็นคนปลูกฝังวัฒนธรรมแบบ busy culture มากดดันตัวพนักงาน และให้พนักงานจับผิดคนว่างกันเองเหมือนกันนะ พออยู่กับความเป็น busy มาก ๆ อาจกลายเป็น toxic productivity ได้  

5. Productive Culture 

“Productivity Culture” หรือวัฒนธรรมที่เชื่อว่า ‘ยิ่งทำงานเยอะๆ ยิ่งเป็นเรื่องดี’ และยิ่งหากงานออกมาสมบูรณ์ด้วยยิ่งดีขึ้นไปใหญ่ และการทำงานเยอะๆ คือสิ่งที่แสดงว่าคุณคือ

 

Productive employee” วัฒนธรรมแบบนี้คอยผลักให้คนจำเป็นต้องมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เก่งมากขึ้น ทำให้ได้มากขึ้น ต้องมากขึ้นไปอีก เร็วเพิ่มขึ้นได้อีก  

 

6. Youth Disillusionment 

ความสิ้นหวังเมื่อเผชิญกับความจริงของคนรุ่นใหม่  เช่น

 

–  ความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นในสังคม เรื่องนี้อาจจะต้องพูดถึงระบบโครงสร้างที่เกิดขึ้น ทั้งความไม่เป็นประชาธิปไตย 100 % ความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้น ทั้งที่ทุก ๆ คนก็หาเงินมาและจ่ายภาษี

 

–  ความไม่มั่นคงทางการเงิน  เศรษฐกิจ  ค่าครองชีพ เงินไม่คุ้มค่ากับงาน จากสถิติกลุ่ม Gen Y มีเงินใช้แบบเดือนชนเดือน รวมไปถึงรู้สึกว่าไม่สามารถดูแลค่าครองชีพได้อย่างมั่นคง 

 

7. ความกดดันทางสังคม 

ความกดดันต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่อุปสรรคที่เล็กเลยในบางคน ที่พยายามแล้วในหลาย ๆ ทางแต่ ระบบต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้างไม่ได้เป็นใจ แล้วยิ่งในยุคนี้ที่เรามองเห็นความสำเร็จของคนอื่นได้ง่าย เช่น

  

–  ต้องลงทุนให้เก่ง ศึกษาการลงทุน 

–  ต้องมี Passive Income 

–  ต้องมีหลายงาน คน Gen Z 43 % และ Millennials 33 % กำลังรับงานที่ 2 มาทำเป็นเหตุที่ทำให้ชีวิตเสียสมดุล

–  ต้อง มีบ้าน มีรถ เพราะนั่นคือความมั่นคง ที่สังคมปลูกฝังมายาวนาน 

–  ต้องได้ไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อประสบการณ์ชีวิต  

 

 

ภาวะ หมดไฟ Burnout syndrome

สภาวะหมดไฟหรือ burnout ที่เป็นสภาวะเชิงลบของความอ่อนล้าทางอารมณ์ ร่างกายและจิตใจ  เกิดจาก ความเครียดที่มากเกินไปและ เราไม่สามารถรับมือกับความเครียดนั้นได้ การใช้เวลาส่วนใหญ่บนเตียง

 

และนอนเฉย ๆ เหนื่อยง่าย จนไม่อยากที่จะทำอะไร พฤติกรรมนี้มองเผิน ๆ อาจ “ขี้เกียจ” แต่จริง ๆ แล้ว Burn out กับ ขี้เกียจ สองสิ่งนี้มีความทับซ้อนกันอยู่มาก ทำให้ยากในการแยกความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ 

 

 

6 สัญญาญของอาการ หมดไฟ ไม่ใช่แค่ขี้เกียจ 

1. รู้สึกตัดขาดจากทุกสิ่ง 

 ทำทุกอย่างและเคลื่อนไหวไปเหมือนระบบอัตโนมัติ เป็นความรู้สึกเหมือนตัวเราเองเเยกออกจากตัวเอง สิ่งนึงที่เราอาจกำลังประสบอยู่แต่ไม่ค่อยได้รับการตระหนักและทำความเข้าใจคือ

 

“Depersonalization”   การตัดขาดจากตัวเองเหมือนกับว่ากำลังมองดูชีวิตจากภายนอก ไม่รู้สึกเหมือนเป็นตัวเอง ไม่ใช่เจ้าของ ไม่สามารถควบคุมได้  โดยปกติเเล้วมักจะเกิดขึ้นกับคนที่กำลังต่อสู้กับบาดแผลทางจิตใจ 

 

2 . เคยมีเเรงบันดาลใจ 

ขี้เกียจ เป็นนิสัย และ แน่นอนว่านิสัยจะคงที่ มั่งคง คนที่ขี้เกียจจะไม่เคยรู้สึกอยากออกแรงเพื่อทุ่มเทให้กับสิ่งไหนเลย แต่ถ้าเราเป็นคนที่เคยมีเเรงจูงใจและเคยประสบความสำเร็จ

 

เก่งในด้าน ๆ นึง แต่เพิ่งจะมาหมดแรง ไม่มีเเรงบันดาลใจ ก็มีแนวโน้มว่าเรากำลัง Burnout

 

3. เคยมี Passion 

ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง Burnout และ Lazy คือ เขาคนนั้นเคยมีสิ่งที่หลงใหล แต่ตอนนี้กลับดิ้นรนหาสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข เพราะจะทำสิ่งที่เคยรักไม่ได้เเล้ว เกลียดและไม่พอใจ เพราะการที่ทำงานหนักเกินไป

4. กลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวน 

 หงุดหงิดง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม แต่กับคนขี้เกียจ ตรงข้ามเลย เพราะเขามักจะผ่อนคลาน เอนหลังลง ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งต่างๆ ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร

5. ละเลยการดูเเลตัวเอง 

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดอย่างนึงว่าใครบางคนกำลังหมดไฟทั้งทางอารมณ์และร่างกาย คือ ถ้าเริ่มละเลยการดูแลตัวเองและถอนตัวออกจากสังคม การกินและการนอนเปลี่ยนไป  ปล่อยเนื้อปล่อยตัว

 

โดยที่ไม่ทำอะไรเลยเพราะเหนื่อยง่าย ความแตกต่างระหว่าง  Burnout และ ความขี้เกียจนั่นชัดเจน เพราะไม่มีใครที่เป็นแบบนี้ตลอดเวลา

6. การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นทีละนิด 

–  ขาดแรงจูงใจและ passion โดยเฉพาะสิ่งที่เคยรัก

–  ความรู้สึกแยกออกจากตัวเองและตัดขาดจากทุกสิ่งรอบตัว

–  ปลีกตัวออกจากสังคม

–  ละเลยการดูแลตัวเอง

 

 

 5 ระยะสำคัญของอาการ หมดไฟ 

1. Honeymoon Phase  เมื่อเริ่มงานใหม่ จะเริ่มต้นด้วยความพึงพอใจในงานสูง ความมุ่งมั่นสูง พลังงานเยอะ 

2. Onset of Stress  เริ่มตระหนักว่าวันนี้มันยากกว่าวันอื่น ๆ สังเกตเห็นอาการเครียดทั่วไปที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต

3. Chronic Stress  ความเครียดเรื้อรัง อาการรุนแรงกว่าระยะที่สอง

4. Burnout   เกิดความเหนื่อยหน่ายในตัวเอง รับมือได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ  

5. Habitual Burnout  ความเหนื่อยที่กลายเป็นนิสัย ฝังแน่นอยู่ในชีวิต เกิดปัญหาทางจิตใจ ร่างกาย อารมณ์

 

หลายคนเริ่มมีอาการตั้งแต่ระยะที่ 2  คือ มีความเครียดในระดับปานกลาง แต่การมองโลกในแง่ดี ความสนใจ แรงจูงใจและความ productive เริ่มลดลงแล้ว

 

และเมื่อไปถึงระดับที่ 5 ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์จะฝังแน่นกับกับตัวเราเเล้ว จนรุนแรงและยากต่อการรักษา  การที่เรารู้ตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆจะทำให้เราฟื้นตัวจากอาการต่างๆได้ง่ายกว่า

 

 

ป้องกันอาการ หมดไฟ ด้วย 4 steps Self-Care 

การป้องกัน Burn Out  อาจจะต้องเริ่มจาก Self-Care  ที่หลายคนละเลยการดูเเลตัวเองเพราะบางทีคิดว่ามันเกิดขึ้นได้เองแบบอัตโนมัติ แต่จริงๆแล้ว Self-Care ถือเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนและลงมือทำ

 

1. Connect⁠ 

–  ส่งข้อความหาคนที่รัก (1 นาที) 

–  แชร์โพสต์สร้างแรงบันดาลใจ(2 นาที)

–  โทรหาเพื่อน(10 นาที)

 

2. Move⁠     

–  ยืดกล้ามเนื้อ (5 นาที)

–  เต้นเพลงที่ชอบ (10 นาที)

–  ลองออกกำลังแบบใหม่(15 นาที)

 

3. Rest⁠    

–  ไม่ทำอะไรเลย (1 ชั่วโมง)

–  งีบ (20 นาที)

–  นั่งสมาธิ(7 นาที)

 

4. Unplug⁠

–  เขียนความคิด ความรู้สึกลงกระดาษ (10 นาที)

–  ออกไปเดินเล่นแบบไม่มีโทรศัพท์ (30 นาที)

–  ออกห่างจากโทรศัพท์หรืออุปกรณ์อื่นๆ (1 ชั่วโมง)

 

Self-Care ไม่ใช่สิ่งที่ทำแค่ 1 เดือน/ครั้ง อาทิตย์ละครั้งหรือ ลาพักร้อนไปเที่ยวแค่นั้น เพราะบางทีเราอาจจะเจอความเครียดสะสมทุกวัน ถ้ารอนาน ๆ อาจจะทำให้ส่งผลต่อสุขภาพจิตได้ 

 

 

เมื่ออาการ หมดไฟ เกิดขึ้นแล้วจัดการอย่างไรดี 

1. หาต้นเหตุของการ Burn Out ครั้งนี้ 

 

คิดว่าทุก ๆ ครั้งไม่ว่าเราจะแก้ไขอะไร เราควรรู้สาเหตุก่อน ถึงจะนำไปสู่การแก้ไขที่ง่ายขึ้น และรวดเร็วขึ้น อย่างน้อยได้รู้ไว้ ก็เป็นทางให้ได้ตัดสินใจต่อว่าจะแก้ด้วยวิธีที่ 1 2 หรือ 3 

 

2. พยายามสร้างประสิทธภาพให้กับตัวเองในเวลาทำงาน 

 

แน่นอนว่าในช่วงเวลานั้นไม่ง่ายอย่างแน่นอน แต่เหมือนชีวิตยังคงต้องดำเนินไป เรายังต้องกิน เรายังคนต้องทำงาน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสนใจองค์กรทั้งหมด  แต่ใส่ใจสนใจในตัวเอง  ว่าเราทำอะไรได้บ้าง

 

จัดการอะไรได้บ้าง  และงานไหนที่เป็นหน้าที่ของเราที่จะสามารถพัฒนาต่อยอดทักษะ ให้เราเติบโตในสายนั้น ๆ ได้ จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ทำให้ตัวเองมีประสิทธิภาพ แบบพอดี ไม่กระทบกับเรามากเกินไป 

 

3. จัดลำดับความสำคัญกับงาน และการใชีชีวิต 

 

การหมดไฟเกิดขึ้นได้เร็ว เมื่อไม่ได้จัดลำดับความสำคัญ การจัดลำดับของการทำงานดีเป็นสิ่งที่สำคัญอีกเช่นกัน  เช่น งานนี้สำคัญมากหรือเปล่า เลทได้ไหม งานไหนเป็นงานด่วนสำคัญ ด่วนไม่สำคัญ ง

 

4. พักผ่อน กาย ใจ 

 

ทำในสิ่งที่อยากจะทำ เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีแพลนหรือกิจกรรมอะไรสักอย่างที่อยากจะทำ แต่ด้วยชีวิตที่มันยุ่งอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลาไปทำสิ่งเหล่านั้นสักที จริง ๆ แล้วถ้าหากเราสามารถจัดระเบียบชีวิตใหม่ได้

 

ก็จะทำให้เรานั้นมีเวลามากขึ้น พร้อมทั้งเพียงพอที่จะออกไปทำในสิ่งที่อยากทำ ท้ายที่สุดแล้วมันก็จะส่งผลให้สภาพร่างกาย และจิตใจของเราได้พักผ่อน พร้อมทั้งเราจะเดินก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมีความสุขได้

 

5. เปิดใจคุยกับหัวหน้า หรือ HR

 

องค์กรที่มีวัฒนธรรมที่ดีจะช่วยเราในเรื่องนี้ได้  และองค์กรเขาควรจะซัพพอร์ตเราเรื่องนี้ และเราควรจะรีบบอกเลย เพื่อทำให้องค์กรได้รับรู้ และหาทางช่วยเหลือ เช่น ลดงาน เพิ่มคน กระจายงาน

 

จัดลำดับความสำคัญใหม่ หรือช่วงนี้ที่งานเยอะเป้นช่วงเวลาเริ่มต้นใหม่ หากพูดคุยเราจะได้ทางออกเพิ่มมากยิ่งขึ้น 

 

6. ออกจากที่ ที่ไม่ใช่ของเรา 


วิธีนี้อยากให้เอาไว้หลังสุด ท้ายสุด ในวันที่เราลองมาทุกอย่างและพร้อมแล้ว และหากเราต้องการเลือกที่จะเดินออกมา มันไม่ใช่ว่าเรานั้นจะกลายเป็นผู้แพ้ หรือยอมรับความพ่ายแพ้เสมอไป

 

แต่คือการก้าวเดิน และการมองหาเส้นทางใหม่ที่เราจะต้องเดินไปข้างหน้า ซึ่งมันอาจจะยากหรือง่ายกว่า แต่เชื่อเถอะว่ามันจะรู้สึกดีกว่าเส้นทางเก่าที่มันไม่ใช่เส้นทางของเราอย่างแน่นอน

 

แต่ถ้าหากเราวางแผนกับเส้นทางใหม่ให้ดี ไม่ว่าทางข้างหน้าเราจะเจออะไร เราจะรับมือได้เสมอ

 

 

ที่มา: 

What are the 5 stages of burnout?

“ถ่าง ผิง” กระแสใหม่ในจีน

 

ในยุคนี้ การมูเตลู ดูดวง ทำนายดวงชะตาราศี เข้าถึงง่าย พบได้ทุกแพลตฟอร์ม ถูกใจสายมูเป็นอย่างมาก เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่จะว่าไปก็มีคนอีกจำนวนหนึงที่เรียกได้ว่า คนไม่ดูดวง

 

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เหตุผลของพวกเขาคืออะไร?

 

เหตุผลของ คนไม่ดูดวง

การดูดวงเป็นจิตวิทยาที่ไม่ใช่จิตวิทยา ?

จิตวิทยา คือศาสตร์ที่ใช้วิทยาศาสตร์และสถิติศึกษามนุษย์ ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึก อารมณ์ พฤติกรรม ซึ่งวิทยาศาสตร์ คือ ต้องมีการทดลองให้ได้องค์ความรู้อะไรบางอย่าง

 

เพื่อสรุปว่ามนุษย์เป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่กลับกัน การดูดวงจะมีหลายศาสตร์เช่น astrology ที่ดูตำแหน่งดวงดาวเพื่อทำนายชะตาชีวิต บอกว่าชีวิตเลยจะมีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้น คนนี้จะเจอแบบนี้  ซึ่งวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้  

 

จิตวิทยาในการดูดวง = การพูด การสื่อสารของหมอดูอาจมีจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้อง หากสามารถพูดอะไรบางอย่างที่สร้างความเชื่อใจให้ลูกค้าได้ หรือทำนายลักษณะนิสัยบางอย่างได้ค่อนข้างตรงใจผู้ดูดวง 

 

ทำให้สบายใจขึ้น ให้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น นั่นหมายความว่าเขาอาจจะกลับมาใช้บริการคุณอีก

 

ความกลัว ความระแวง หรือ จิตตก

เหตุผลหลักในการไม่ดูดวงคือ หากหมอดูทักในเรื่องที่เรากังวล จะรู้สึกกลัวมากขึ้น กังวลว่าจะเกิดขึ้นไหม ทำให้ใช้ชีวิตด้วยความระแวง ไม่มีความสุข เกิดขึ้น เพราะ confirmation bias

 

มนุษย์จะเลือกรับรู้แต่ข้อมูลที่จะช่วยยืนยันความเชื่อของตัวเอง บางคนที่มีเรื่องไม่ดี บังเอิญเกิดขึ้นบ่อยในช่วงนั้น อาจจะเผลอไปโฟกัสและเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าช่วงนี้ดวงไม่ดี ทำให้โฟกัสและรับรู้แต่เรื่องที่ไม่ดี

 

ไม่เชื่อเรื่องของการดูดวง 

ความไม่เชื่อส่วนบุคคล คนไม่เชื่อก็คือไม่เชื่อ จึงเลือกที่จะไม่ดูดวงเพราะความเชื่อส่วนบุคคลของตนเอง 

 

รู้ทัน bias ของตัวเอง

The Barnum effect ปรากฏการณ์นี้เป็นความลำเอียงทางความคิด ทำให้คนมีแนวโน้มที่จะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับคำพูดหรือโยคทั่ว ๆ ไป  อย่างเช่น อ่านทำนายดวงชะตาประโยคกล่าวไว้กลาง ๆ แต่เรากลับมองว่า

 

ใช่เลย ตรงมากเหมือนเขียนมาเพื่อเรา

 

การทดลองที่สนับสนุน Barnum Effect เขาบอกกับนักศึกษาว่า เขาจะใช้ความรู้ความสามารถของเขาในการวิเคราะห์ลักษณะอุปนิสัยของแต่ละคนออกมา

 

โดยจะเขียนใส่กระดาษแล้วยื่นให้แต่ละคนอ่านและเมื่อนักศึกษาอ่านคำวิเคราะห์นิสัยของตัวเองแล้ว จะต้องให้คะแนนความแม่นยำของการทำนาย

 

ซึ่งผลการทดลองออกมาพบว่า Forer ได้คะแนนรวมเฉลี่ยสูงมาก นักศึกษามากกว่า  40% ให้คะแนนเต็ม แต่เมื่อทุกคนแลกใบวิเคราะห์กันอ่านก็ต้องตกใจ เพราะทุกใบถูกทายนิสัยเหมือนกันหมด

 

 

เหตุผลว่าทำไมบางคนเลือกดูดวง 

ความเชื่อที่ถูกส่งต่อกันมาและ ประสบการณ์การดูดวง

เราส่งต่อความเชื่อกันได้เพราะเราเป็นสัตว์สังคม ยิ่งถ้าเราชอบดูดวงอยู่แล้ว และมีคนใกล้ตัวมารีวิวว่าหมอดูคนนี้ทำนายแม่น เราก็จะมีแนวโน้มเลือกที่จะดูดวงมากขึ้นไปอีก

 

สอคคล้องกับวงจรของลูกค้าในการตัดสินใจบริโภคสินค้า คือ ผู้บริโภคหรือผู้รับบริการจะมีกระบวนการในการตัดสินใจซื้อ 5 ขั้นตอนคือ 

 

1. ความต้องการ

 

ผู้บริโภคจะเกิดความต้องการหรือรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงต้องการหาอะไรบางอย่างเพื่อแก้ไขปัญหานั้น 

 

2. การแสวงหาข้อมูล( information search )

 

เมื่อเขาเกิดความต้องการเแล้ว เขาก็จะไปหาข้อมูลค่ะ  เหมือนเวลาที่เราอยากได้อะไรสักอย่างแล้วเราไปดูรีวิว ซึ่งการหาข้อมูลนั้นก็มาจากหลายแหล่งด้วยกัน แต่แหล่งข้อมูลที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด

 

คือ แหล่งบุคคล (Personal Sources) เพื่อนสนิท ครอบครัว เพื่อนบ้าน และผู้ใกล้ชิด  หรือการ โฆษณาต่าง ๆ ก็สำคัญเช่นกัน

 

3. การประเมินทางเลือก

 

เขาจะดูว่าสินค้าแต่ละอันตอบโจทย์ความต้องการเขาได้มากแค่ไหน  ข้อดี ข้อเสียแลคุณสมบัติของแต่ละสินค้า ซึ่งจะมีเรื่องของความเชื่อ แบรนด์และทัศนคติต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง

 

4. การตัดสินใจซื้อ 

 

เมื่อเขาจะได้สินค้าที่ตรงกับความต้องการของตนเองมากที่สุด เขาจะเกิดความตั้งใจที่จะซื้อขึ้น 

 

5. ความรู้สึกหลังซื้อ

 

เมื่อลูกค้าเกิดความพึงพอใจในตัวสินค้าก็จะมีการซื้อซ้ำอีกในครั้งถัดไป แต่ในทางกลับกัน ถ้าลองแล้วไม่ดี ไม่พอใจก็จะเกิดทัศนคติที่ไม่ดีและเลิกใช้หรือเลิกรับบริการ

 

เพราะฉะนั้นประสบการณ์ซื้อสำคัญมากๆ หากเขาเกิดความประทับใจ ดูแล้วแม่น ดูแล้วตรง แก้ไขปัญหาให้เขาได้ ก็จะกลับมารับบริการอีก

 

การดูดวงช่วยทำให้เราสบายใจขึ้นได้ เป็นกลไกการแก้ปัญหา

เป็นเหมือนการระบายความรู้สึกและหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น

 

กลัวความไม่แน่นอนของชีวิต

เพราะความไม่แน่นอนมักจะทำให้เกิดความกังวล เช่น คนดูดวงกันมากขึ้นช่วง COVID เพราะไม่มีอะไรคาดเดาได้ ทำให้เขาต้องหาวิธีจัดการกับความรู้สึกคือ มีความเชื่อโชคลาง (Superstitious)  และพึ่งหมอดู

 

เพื่อให้หมอดูทำนายว่าอนาคตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เราจะดีขึ้นไหม เจอกับปัญหาอะไรไหม

 

ที่มา : 

Why do we believe our horoscopes?

ทำไมหมอดูทายแม่นจัง?

ขั้นตอนในการตัดสินใจซื้อ

เคยไหม ? รู้สึก ” ขอบคุณ ” บางสิ่งบางอย่างจากใจจริง… แต่บางครั้งในช่วงเวลาที่แย่มาก ๆ เราก็หาเรื่องราวดี ๆ ให้ขอบคุณไม่ได้เลย บางทีเราขอบคุณทุก ๆ อย่าง แต่กลับลืมไปว่า ‘ตัวเอง’ คือคนลืมขอบคุณมากที่สุด

 

เมื่อเริ่มต้น ขอบคุณ อาจได้ความสุขกลับมา 

David Steindl-Rast (เดวิด สไตน์เดิล-ราสต์) กล่าวว่า ” The root of joy is gratefulness ” หลาย ๆ คนคิดว่า เรามีความสุขจะทำให้เรารู้สึกขอบคุณ แต่จริง ๆ แล้ว การขอบคุณต่างหากที่ทำให้เรามีความสุข

 

ขอบคุณเป็นคำที่เบสิคมากในทุก ๆ ภาษา เวลาที่เราไปต่างประเทศ คำที่เราต้องเรียนรู้มีไม่กี่คำ เช่น สวัสดี สวย อร่อย และแน่นอนว่าคำว่า ขอบคุณคือหนึ่งในนั้น หลายครั้งคำนี้ก็เชื่อมต่อเรากับผู้คน 

 

ในอีกแง่นึงคำนี้ก็ทำให้เกิดความรู้สึกดี ๆ ต่อกันได้เหมือนกัน การที่คนนึงหยิบยื่นอะไรมาให้เรา เราตอบกลับเขาด้วยคำว่า ขอบคุณ จนมันกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า มารยาททางสังคม

 

ขอบคุณโดยทั่วไปกับขอบคุณจากใจแตกต่างกัน ขอบคุณโดยทั่วไปจะเกิดขึ้นเวลาใครสักคนทำบางอย่างให้ แต่ขอบคุณจากใจ มักจะมาพร้อมความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นในใจ

 

และสังเกตไหม? ว่า ‘ตัวเอง’ คืออีกอย่างหนึ่งที่หลายคนลืมขอบคุณมากที่สุด หลายคนมองเห็นแต่ความผิดพลาด  โดยลืมขอบคุณ ‘ความพยายาม’ ของตัวเองที่ใส่ลงไป

 

 

ขอบคุณ จากใจคืออะไร?

เป็นความรู้สึกที่ยินดี ซาบซึ้ง เป็นความรู้สึกที่งดงามที่เรามีต่อผู้อื่น หรือแม้แต่ต่อสิ่งที่ไม่ใช่บุคคล นักจิตวิทยาชาวอเมริกันชื่อ Robert Emmons ได้กล่าวว่า Gratitude มีสองสิ่งร่วมอยู่ คือ

1. acknowledgement

ความรู้สึกว่าความดีงามในโลกนี้มีอยู่จริงและเรามั่นใจได้จากสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้รับ

2. recognizing

การที่เราเห็นได้ว่าความดีงามที่เกิดขึ้นมาจากภายนอกตัวเรา เรามองเห็นการมีส่วนของผู้อื่นที่เข้ามามีต่อเรา เพราะบางครั้งเราก็มองเเต่ตัวเองจนลืมมองสิ่งรอบข้างไป

 

 

ขอบคุณ ตัวเองก็สำคัญนะ

ในหัวข้อที่แล้ว พวกเราคุยกันถึง Gratitude ที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกที่มีต่อสิ่งภายนอก ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สิ่งแวดล้อม ขอพาไปรู้จัก Self Gratitude ด้วย ว่าจะเน้นไปที่ตัวเองเป็นหลัก

 

เป็นความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อตัวเอง ว่าเราชอบ ชื่นชม ปลื้มปิติ กับลักษณะนิสัย ความสามารถ ความรู้ สไตล์ การตัดสินใจ รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอก ที่เรามี 

 

โดยรวม Gratitude การขอบคุณในรูปแบบนี้มักจะเกิดขึ้นต่อสิ่งที่มีคุณค่าต่อจิตใจเราในทางใดทางหนึ่งเสมอ แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ต้องรอให้ใครทำอะไรดี ๆ ให้

 

หรือ รอให้เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น ถึงจะนำพาให้เกิดความรู้สึกนั้นเท่านั้น เราสามารถสร้างความรู้สึกนั้นได้ด้วยตัวเอง

 

 

ขอบคุณ ให้มากขึ้น เริ่มยังไงดี?

ปุ่ม 3 ปุ่ม จาก Discover the Three Keys of Gratitude to Unlock Your Happiest Life! โดย Jane Ransom

1. Emote   

มันไม่ใช่แค่นึกถึงเรื่องที่น่า Gratitude เท่านั้น  แต่เราต้องรู้สึกกับเรื่องนั้นจริงๆ

2. Extend 

ขยายความขอบคุณออกไปให้ไกลกว่าตัวเรา เป็นการรู้สึกขอบคุณคนอื่นหรือสิ่งอื่น

3. Excersise 

ทำแบบฝึกหัดแสดงความขอบคุณทุกวัน อาจจะเป็นการนึกถึงสิ่งที่อยากขอบคุณ 3 สิ่งต่อวัน แล้วเขียนลงบันทึก หรือ เปล่งเสียงออกมา

 

 

ประโยชน์จากการ ขอบคุณ

1. เก็บสะสมความสุข

ในช่วงเวลาที่หาเรื่องราวดี ๆ ให้ขอบคุณไม่ได้เลย Gratitiude เป็นเหมือนการเขียนบันทึก เพื่อสะสมเรื่องราวดี ๆ การย้อนกลับไปอ่านบันทึกที่เราเขียน อาจทำให้เราได้มองสิ่งที่เผชิญอยู่ในมุมกว้างมากขึ้น

2. Gratitiude

ทำให้เราเป็นอิสระกับความเจ็บปวดทางอารมณ์ บางประสบการณ์ บางความสัมพันธ์ทำให้เราเจ็บปวดกับมัน การฝึกขอบคุณสิ่งต่างๆในชีวิต ช่วยให้เราโฟกัสกับความสุขในปัจจุบันได้มากขึ้น

3. ทำให้เรามองอย่างอื่นนอกจากตัวเองบ้าง 

เขียนถึงคนที่อยู่ใกล้หรือคนที่อยู่ไกลกับเราแต่น่ารักกับคุณเสมอ การนึกถึงคนรอบข้างมากขึ้น สุดท้ายเเล้วความรู้สึกหนักอึ้งในใจอาจจะหายไปเลยก็ได้ 

 

 

รีเช็คตัวเอง เรา ขอบคุณ จากใจแล้วหรือยัง?

เราจะรู้ได้ยังไงว่าที่ทำอยู่เรียกว่า Gratitude? รีเช็คได้ง่าย ๆ โดยการสังเกตว่า เรากำลังขอบคุณเพราะรู้สึกขอบคุณ หรือ เรากำลังพยายามพลิกแพลง บิดเบือน สิ่งที่เฉย ๆ หรือสิ่งที่แย่ ๆ ให้กลายเป็นดี

 

ยกตัวอย่าง ‘ขอบคุณมากเลยที่แฟนทิ้งไป เราจะได้เริ่มต้นใหม่’ ข้อนี้มองได้สองแง่ สำหรับคนที่อยู่ในความสัมพันธ์นี้ มัน toxic มันทำร้ายกันไม่จบไม่สิ้น วันที่เลิกกันพูดประโยคนี้

 

‘ขอบคุณมากเลยที่แฟนทิ้งไป เราจะได้เริ่มต้นใหม่’ อันนี้คงเรียกได้ว่าเป็น Gratitude อย่างหนึ่ง คือ เรารู้สึกจากใจ ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แต่ในอีกแง่หนึ่ง

 

สำหรับคนที่ความสัมพันธ์ไม่มีปัญหาอะไร เรารักเขา แต่เขาหมดรัก เพราะเขาไปเจอคนอื่นที่ถูกใจกว่า การพยายามบอกตัวเองว่า ขอบคุณมากเลยที่แฟนทิ้งไป ทั้งที่ยังเสียใจ

 

นี่ไม่ใช่ Gratitude แล้ว แต่เป็นการปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง หลอกตัวเองเพื่อไม่ให้เจ็บปวด เพราะ Gratitude ไม่ใช่การสร้างคำพูดหรือประโยคอะไรขึ้นมาขอบคุณเพื่อปลอบใจตัวเอง

 

 

แชร์ทริค ขอบคุณยังไงให้ทำได้ในระยะยาว

1. สังเกตสิ่งใหม่ที่น่าขอบคุณในทุกวัน 

2. เลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง

3. อย่าจำกัดตัวเอง 

4. เเบ่งปันช่วงเวลาแห่งการขอบคุณ

 

ถ้าทำได้ในระยะยาวจะส่งผลดีแน่นอน มีการวิจัยเรื่องนี้จากมหาวิทยาลัย Harvard เกี่ยวกับเทกาล Thanks giving ที่ให้ความสำคัญในเรื่อง การขอบคุณ ความรู้สึกขอบคุณ ความรู้สึกปลื้มปิติ

 

ซึ่งพบว่า Gratitude เกี่ยวข้องกับ Happiness จริง แล้วยังส่งผลดีอื่น ๆ เช่น สุขภาพกายดี เผชิญกับปัญหาได้ดี รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคนรอบข้างอีกด้วย 

 

 

Gratitude และ Toxic Positivity ต่างกันยังไง?

1. ความตั้งใจต่าง 

ดูผิวเผินแล้วคล้ายกัน แต่ความตั้งใจแตกต่างกัน  Gratitude จะทำให้เราซาบซึ้งในสิ่งที่มี ในขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าชีวิตไม่ได้สมบูรณ์แบบ Toxic Positivity จะปฏิเสธการมีอยู่ของความรู้สึกเชิงลบ

 

โดยยกความคิดแง่บวกขึ้นมา เพราะจงใจจะเพิกเฉยความรู้สึกที่แท้จริงและแน่นอนว่าจะไม่สามารถจัดการกับอารมณ์เชิงลบได้ เมื่อเราเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต 

 

2. ความรู้สึกต่าง

 Gratitude ช่วยให้รู้สึกถึงอารมณ์ที่หลากหลาย ยอมรับไม่สมบูรณ์และไม่ปิดกั้นทุกความรู้สึก ทำให้เรารับรู้ถึงสิ่งที่ผิดและจากนั้นขยายการรับรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง Toxic Positivity ทำให้ตกอยู่ในกรอบความคิดที่ผิด

 

ว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบ จน “รู้สึกติดขัด” สุดท้ายแล้ว เราต่างก็ต้องเผชิญกับผลของความเป็นจริง ด้วยมุมมองที่สมดุลและเรียล Gratitude จะช่วยให้หลุดพ้นจากความรู้สึกติดขัดนั้น

 

 

ข้อควรระวัง

Gratitude เป็นพาร์ทหนึ่งของการมองโลกในแง่ดี ถ้ามองโลกในแง่ดีไม่ถูกวิธี จะเกิดเป็น Toxic Positivity การขอบคุณไว้ก่อน ไม่ยึดกับความเป็นจริง ทำให้เกิดเป็น Toxic Gratitude ได้เหมือนกัน  

 

อ้างอิงจากพี่อีฟ นักจิตวิทยา จุดตัดของทั้งสองอย่างนี้ คือ ‘โลกแห่งความเป็นจริง’ ไม่ว่าจะเป็นการมองโลกในแง่ดี การรักตัวเอง การให้กำลังใจตัวเอง ทุกอย่างจะไม่เกิดเป็น toxic positivity หรือ การหลอกตัวเอง

 

ถ้ายึดกับ ‘โลกแห่งความเป็นจริง’ เพราะ Gratitude ที่พวกเราพูดคุยกันในวันนี้ คือ การที่มองหาจุดดีแล้วขอบคุณในสิ่งที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่จริง ไม่ใช่ สร้างคำพูดปลอบใจหรือสิ่งดี ๆ ขึ้นมาไว้ปลอบใจตัวเอง

 

 

ลองเริ่มจากขอบคุณเรื่องดี ๆ เล็กน้อยในชีวิต 🙂 อาจทำให้มีความสุขขึ้นได้มากกว่าที่คิด

 

 

ที่มา :

“คำขอบคุณ” ให้คุณกว่าที่คิด

The Science Behind Gratitude (and How It Can Change Your Life)

What Is the Difference Between Toxic Positivity and Gratitude?

Giving thanks can make you happier

What Is Self-Gratitude and How Can You Practice It?

เคยไหม ? เวลาไปวัด เสี่ยงเซียมซี ว่า ดวงไม่ดี ทำให้รู้สึกแย่ จิตตก และเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น

 

จนทำให้ไม่กล้าที่จะทำอะไรหรือไปไหน ถ้ารู้สึกจิตตกไปแล้วเราจะรับมืออย่างไร ? 

เซียมซีมีที่มายังไง ?

ภาษาไทย เซียมซี ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายไว้ว่า  “ใบทำนายโชคชะตาตาม ศาลเจ้าหรือวัด มีเลขหมายเทียบกับเลขหมายบนติ้วที่เสี่ยงได้”

 

ภาษาจีน  เซียม แปลว่า กระดาษแผ่นเล็กๆ ยาว ๆ  ซี แปลว่า บทกลอน  รวมกันเป็นคำว่า เซียมซี 

 

บางที่ก็บอกว่า เพี้ยนมาจากคำว่า เซียนซือ ที่แปลว่า ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ 

 

บางที่ก็บอกว่า เซียม หมายถึงไม้ติ้วเสี่ยงทาย ซี หมายถึง โคลงที่อยู่บนไม้ หากให้สรุปง่ายๆ เซียมซีก็เข้ามาจากประเทศจีน เป็นการทำนายอนาคตอย่างหนึ่งตามความเชื่อ 

 

เซียมซีเข้ามาในไทยได้อย่างไร? 

คาดการณ์ว่าเข้ามากับชาวจีนที่อพยพ ที่แรกน่าจะเป็นศาลเจ้าลิ้มกอเหนี่ยวในจังหวัดปัตตานี เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในไทย สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2116 โดยเริ่มแรกเขียนเป็นภาษาจีน

 

หลักฐานกล่าวถึงการเสี่ยงเซียมซีในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โดยมีผู้แปลจากภาษาจีนเป็นไทย คือ นายเปลี่ยน แซ่ส่อง และได้พิมพ์ถวายวัด

 

แต่ภายหลังมาทราบว่าวัดจำหน่ายแก่ผู้ที่เสี่ยงเซียมซี จึงได้เขียนไว้บนกระจกใส ให้ครบตามหมายเลขพยากรณ์ที่มีอยู่ 28 หมายเลข เพื่อผู้ที่มาเสี่ยงจะได้ไม่ต้องเสียทรัพย์

 

คำที่แปลออกมานั้นก็แปลเป็นคำกลอนที่สวยงาม และถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ ผ่านกาลเวลา ผ่านการดัดแปลงตามยุคสมัยจนถึงทุกวันนี้ 

 

วิธีการเสี่ยงเซียมซี

1. ไหว้พระอธิฐานในสิ่งที่เราอยากรู้คำทำนาย

2. เสี่ยงทายเลขเซียมซี

3. อ่านคำทำนาย

4. นำม้ป๋วยขึ้นมาทำนายอีกครั้งว่า คำทำนายจากใบเซียมซีแม่นยำหรือไม่ สามารถนำกลับบ้านได้หรือไม่

 

 

อ่านคำทำนายยังไงให้ไม่รู้สึกแย่ ดูดวงยังไงไม่ให้จิตตกเมื่อ ดวงไม่ดี 

1. เชื่อมั่นในตัวเอง

2. มีวิจารณญาณ

3. ตัดสิ่งกังวลใจออกไป

4. หันหน้าหาความสบายใจ

 

 

หากรู้สึกแย่เมื่อ ดวงไม่ดี ?

1. ระบุความคิดที่ต้องการเปลี่ยนแปลง

2. ยอมรับความคิดที่ไม่ต้องการนั้น

3. ลองทำสมาธิ

4. เปลี่ยนมุมมองและโฟกัสกับสิ่งที่ positive

 

ที่มา:

ดูดวงเซียมซีเสี่ยงทาย เสี่ยงอย่างไรให้ถูกต้อง ผลออกมาแม่นเป๊ะ!

เซียมซี ที่มาและความหมายที่ซ่อนอยู่

เสี่ยงเซียมซีกันทำไม ลองแล้วแม่นจริงไหม

10 Tips to Take Charge of Your Mindset and Control Your Thoughts

ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ “โลกซึมเศร้า”  ใครเคยได้ยินอะไรที่เป็น ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ โรคซึมเศร้า บ้างไหม ? เช่น ซึมเศร้าคือคนอ่อนแอ ซึมเศร้าคือคนที่ชอบอยู่คนเดียว 

 

มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือเปล่า วันนี้เรามาร่วมพูดคุยกันในรายการ “โลกซึมเศร้า” กับหัวข้อ ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า = บ้า ? 

คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า คนที่ไปหาจิตแพทย์ หรือเดินเข้าแผนกจิตเวช จะมีความผิกปกติ บ้า โรคจิต

 

นอกจากซึมเศร้า โรคอื่น ๆ ทางจิตเวชด้วยที่คนเข้าใจผิดเยอะเหมือนกันว่าถ้าเป็นเท่ากับบ้า ตามทฤษฎีแล้ว ไม่มีโรคหรือภาวะไหนทางจิตเวชที่ใช้คำเรียกว่า “บ้า”

 

จริง ๆ การใช้คำ ๆ นี้อาจจะกระทบกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าได้ เราย้ำกันอยู่เสมอว่า “คนพูดไม่คิดอะไรแต่คนฟังจำไปทั้งชีวิต” มีอยู่จริง เราไม่มีทางรู้ว่าคำพูดนี้จะมีผลหรือสร้างบาดแผลในใจอะไรให้เขา 

 

โรคซึมเศร้า = อ่อนแอ ? 

บางคนอาจจะให้นิยาม “อ่อนแอ” ไปในทางลบ การยึดติดว่า “เพราะเป็นซึมเศร้าไง ถึงอ่อนแอ” หรือ “อ่อนแอ ถึงเป็นซึมเศร้า” อาจจะไม่ถูกเสมอไป เพราะ “อ่อนแอ” เป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้

 

เกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะคนที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ได้เป็น เราอ่อนแอได้ในช่วงที่เราเจอปัญหา เราอ่อนแอได้ในช่วงที่เราเจอกับเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจ 

 

คุณวันเฉลิม นักจิตวิทยาการปรึกษา ได้บอกว่า ความรู้สึกอ่อนแอ เป็นเรื่องที่ดี  เพราะแปลว่าเรายังมีความรู้สึกอยู่ เรายังรับรู้ว่าได้ว่าตอนนี้รู้สึกยังไง และจะจัดการอย่างไร 

 

โรคซึมเศร้า = ขี้เกียจ  ? 

จากประสบการณ์ของผู้ป่วย เล่าว่า ความเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก ๆ แต่จริง ๆ แล้ว คนที่เป็นซึมเศร้า ไม่ใช่ไม่อยากทำ แต่ทำไม่ได้ เพราะหมดเรี่ยวแรง

 

ในทางจิตวิทยาเบื้องต้น โรคซึมเศร้าจะทำให้หมดแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ มีปัญหาการกินการนอนที่ผิดปกติ หมดเรี่ยวแรง สำหรับคนที่มีอาการมาก เขาอาจะหมดแรง แต่นั่นเป็นเพราะอาการและตัวโรค ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ

 

โรคซึมเศร้า = เรียกร้องความสนใจ  ? 

เป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับคนที่เป็นซึมเศร้ามากเหมือนกัน ถ้าการขอความช่วยเหลือของเขา,การแสดงออกให้คนรอบข้างรู้ว่าเขาไม่ไหว เป็นการเรียกร้องความสนใจ

 

คนเรามีความสามารถในการเผชิญปัญหาไม่เหมือนกัน ที่เขาต้องการเรา เข้ามาปรึกษาเราบ่อย ๆ นั้นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาต้องการที่ระบาย ต้องการความช่วยเหลือมากกว่าเรียกร้องความสนใจ

 

Introvert ชอบอยู่คนเดียว = โรคซึมเศร้า ? 

เป็นไปได้ที่คนเป็นโรคซึมเศร้าจะอยากอยู่คนเดียว  แต่การชอบอยู่คนเดียวหรือมีบุคลิกภาพ Introvert ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า 

 

ร้องไห้บ่อย ๆ = ซึมเศร้า?

ร้องไห้บ่อย ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า บางครั้งอาจเป็นภาวะของ  HSP (Highly Sensitive Person) กลุ่มคนที่อ่อนไหวง่าย จะร้องไห้ง่าย  และไวต่อสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแสงสีเสียง ไม่ใช่เรื่องของความรู้สึกเท่านั้น

 

โรคซึมเศร้า หายได้โดยไม่ต้องหาหมอ หรือกินยา ?

ถ้ามองให้กว้างที่สุด บนโลกนี้มีคนเป็นหมื่นล้าน อาจจะมีคนที่สามารถหายได้จริง โดยไม่ต้องกินยา แต่ด้วยความที่โรคซึมเศร้า มีปัจจัยเรื่องสารเคมีในสมองที่ควบคุมไม่ได้อยู่ด้วย

 

การกินยาจึงสำคัญมากเพราะ จะช่วยปรับสารเคมีในสมอง และฮอร์โมนของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปให้สมดุล และทำงานได้ปกติ 

 

ฟังธรรมะก็หายแล้ว / ไม่คิดมากก็หายแล้ว / มีเงินก็หายแล้ว “เป็น โรคซึมเศร้า แค่เงินเข้าก็หายแล้ว” คิดอย่างไร

พระมหาไพวัลย์ กล่าวว่า “คนไทยมีมายาคติอย่างหนึ่ง คือเวลาเราเป็นอะไร เราไม่ค่อยอยากจะไปหาหมอ อย่าคิดแบบนี้นะครับ เราเป็นอะไรเราต้องยอมรับถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่ปกติไม่โอเค

 

อันดับแรกต้องปรึกษาหมอ การไปพบจิตแพทย์การไปรับคำปรึกษาที่ต่างประเทศนี้เป็นเรื่องปกติมาก แต่คนไทยเพราะเวลาพูดถึงโรงพยาบาล ก็มักจะรู้สึกว่า เฮ้ย..ป่วยเป็นโน้นเป็นนี่เหรอ..

 

ไปพบจิตแพทย์ครับ ให้จิตแพทย์รักษา แล้วค่อยเอาธรรมะชุบชู มีหลายเคส คิดว่า ป่วยแล้วมาปฎิบัติธรรมจะหาย วัดเรามีแม่ชีกระโดดน้ำตาย มีพระที่เป็นลูกศิษย์ผมผูกคอตาย

 

คิดว่าป่วยแล้วมาปฎิบัติธรรมแล้วมันจะทำให้ดีขึ้น แต่พอมาเจอกฎระเบียบบางอย่างหรือเจอเพื่อนศาสนิกชนด้วยกันที่ร่าเริงแล้วเราไม่กล้าเข้าไปปรึกษา ปัญหาที่หนักที่สุดของความทุกข์

 

คือไม่ยอมปรึกษาคนอื่น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่ากัลยาณมิตรเป็นสิ่งสำคัญ มีปัญหาอะไรหาคนที่ไว้ใจได้แล้วปรึกษาครับ อย่าเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว”

 

คำแนะนำดังกล่าวนับเป็นประโยชน์อย่างมาก จนเพจ The Doc Life เพจทางการแพทย์และสุขภาพของคุณหมอท่านหนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ชื่นชมสองพระอาจารย์ ที่ให้ความรู้ในเรื่องอาการป่วยซึมเศร้าว่าโรคซึมเศร้า  

 

หลาย ๆ ครั้ง ไม่ใช่แค่ปัญหาจากภายนอก หรือเรื่องจิตใจอย่างเดียว มักเกิดจากปัญหาในเรื่องของสารสื่อประสาทในสมอง โดยมีปัจจัยภายนอกเป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดความเบื่อหน่อย ท้อแท้ ไร้แรงบันดาลใจ

 

แต่ไม่มีใคร เอาชนะสารสื่อประสาทในสมองได้ ถึงแม้จะซึ้งในรสพระธรรมแค่ไหน  ถ้าสารสื่อประสาทมากหรือน้อยไป อารมณ์ก็จะมาเหนือเหตุผลของคุณเองโดยอัตโนมัติ

 

ธรรมะ คือ ความธรรมดา ความธรรมดา เป็นธรรมชาติของทุกสิ่งมีชีวิตอยู่ต่อไป รู้สึกตัวเองไร้ค่า

 

ในส่วน “แค่เงินเข้าก็หายแล้ว”  เงินทำให้ความลำบากในการใช้ชีวิตน้อยลงจริง แต่เราก็ไม่มีทางรู้ว่าการมีเงินเขาอาจจะมีปัญหาที่เขาจัดการไม่ได้เช่นกัน ความเครียด

 

ความกดดันต่าง ๆ ที่สังคมของเราทุกวันนี้ จึงมีหลายสาเหตุมากที่ทำให้เกิดความเครียดได้

 

‘เรื่องแค่นี้เองหรอ?’ ถูกตัดสิน ปัญหาที่เราเจอไม่น่าถึงกับทำให้เป็นโรคซึมเศร้า 

ทุกคนเติบโตมาต่างกัน มีภูมิคุ้มกันทางจิตใจต่างกัน ทำให้เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราให้ความสำคัญกับเรื่องในชีวิตต่างกัน  จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ที่จะตัดสินใครว่า เรื่องแค่นี้ ไม่น่าถึงกับเป็นโรคซึมเศร้า

 

รู้สึกเศร้า ต้องปรึกษาหมอด้วยหรอ?

สำหรับหลาย ๆ คน การเล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้คนอื่นฟังเป็นเรื่องยาก เพราะ  กลัวถูกตัดสิน ฯลฯ หรือเขาอาจจะมองว่า ปัญหาและเรื่องราวของเขาเป็นความลับ การจะบอกความลับกับใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย

 

แต่จริง ๆ แล้ว จริยธรรมของนักจิตวิทยาและจิตแพทย์จะมีเรื่องการเก็บความลับให้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวการถูกตัดสินด้วย เพราะทุกคนในวิชาชีพต่างถูกเทรนด์มาให้รับฟังและทำความเข้าใจปัญหาของคน ๆ นั้นอยู่แล้ว

 

อยากฝากไว้จากใจคนเรียนจิตวิทยาว่า แค่ไม่สบายใจแล้วจัดการตัวเองไม่ได้ก็ปรึกษานักวิชาชีพได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติ เราเชื่อเสมอว่ากันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าปล่อยไว้จนปัญหานั้นทำร้ายเรา

 

อาจจะเกิดเป็นโรคซึมเศร้าหรือภาวะทางจิตอื่น ๆ ได้ 

เคยไหม ? รู้สึกเหนื่อยกับการ ” ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ”  จริง ๆ แล้ว การมีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีเป้าหมายใหญ่ ๆ ผิดไหม ? นี่เรากำลังใช้ชีวิตไม่คุ้มจริงหรือเปล่า ?

 

 

ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ผิดไหม? 

ไอรีณ : ไม่มีผิดไม่มีถูก การใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่เราไม่มีความสุขเต็มที่ เรามีแค่ชีวิตเดียวแต่ทำไมเราใช้ชีวิตเป็นไปตามเทรนด์ ล่องลอยไปตามน้ำ เราสามารถกำหนดชีวิตของตัวเองได้ 

 

 

มิ้น : ไม่ผิด ไม่เดือดร้อนใคร เราสามารถเลือกในสิ่งที่ต้องการได้ แต่ถ้าช่วงนั้นไม่มีความสุข การใช้ชีวิตไปวัน ๆ จะทำให้รู้สึกแย่ เพราะเราจะเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่นมากเป็นพิเศษ 

 

 

ไอรีณ : เราไม่ต้องเปรียบเทียบกับเขา เราเปรียบเทียบกับตัวเอง เราวันนี้กับเราเมื่อวาน ทำวันนี้ให้มีความสุข เวลาเราใช้ชีวิตโดยไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น ความสุขจะตามมาเอง ลองดู

 

ไม่ได้บอกว่าต้องเชื่อ เมื่อวานเราทำอะไรดีบ้าง วันนี้เราจะทำอะไรให้ดีขึ้นบ้าง การรู้จักตัวเองมากขึ้น ควรจัดลำดับความสำคัญทุกวัน ว่าสิ่งที่ต้องทำวันนี้คืออะไร

 

การที่เข้าไปดูในโซเชียลได้ แสดงว่าเรามีเวลามากพอ เราไม่ได้มีเวลาให้ตัวเอง จริง ๆ เราเอาเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาตัวเองได้ ใช้เวลาของตัวเองให้คุ้มค่า 

 

 

มิ้น : อยากแชร์โพสต์ของคุณ Greasy cafe ศิลปินคนหนึ่งที่มิ้นติดตามใน Facebook เขียนไว้ว่า “บางทีก็แอบรู้สึกว่า ชีวิตของเรา เราก็พยายามใช้มันให้ดีที่สุดในวันต่อวัน

 

มีความสุขตามอัตภาพเท่าที่เราสามารถจะมีได้ แบ่งความสุขอย่างจริงใจให้คนรอบข้างบ้างเท่าที่จะทําได้ กอดตัวเอง เคารพตัวเองและรักตัวเองให้มาก ๆ ทําในสิ่งที่เรารัก เราเชื่อ

 

ที่ไม่ได้ไปเอาเปรียบหรือรบกวนใคร ๆ ดื่มดํ่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เช่น เปิดเพลงบางเพลงที่อยากฟัง พบเจอบางคนที่อยากเจอ ก่อบทสนทนาในเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ

 

ที่ไม่ต้องมีสาระอะไรมากมาย หัวเราะกันให้ปวดท้อง เพราะในที่สุดแล้วคำว่า ‘มีชีวิตไปวันๆ’ อาจซ่อนความหมายในแต่ละวันไว้อย่างมากมาย โดยเริ่มมันจากวันแรกของปีนี้แหละ”

 

 

ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่ได้ ทุกคนต้องมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ จริงหรือเปล่า? 

ไอรีณ : ทุกคนต้องมีเป้าหมาย อยู่ที่ความชอบของแต่ละคน อันนี้เป็นทางเลือก เราเลือกได้ที่จะมีความสุข เราเลือกได้ว่าจะมีเป้าหมายใหญ่หรือเล็ก การที่จะรู้ได้ต้องเขียนออกมา

 

เราต้องเห็นศักยภาพในตัวเรา อย่าดูถูกตัวเอง การวางเป้าไว้ใหญ่ดีกว่าวางเป้าไว้เล็ก ถ้าเราไปไม่ถึงหรือไปได้ครึ่งทาง แค่ครึ่งทางอาจจะถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว 

 

 

มิ้น : มิ้นให้ความสำคัญกับความหลากหลายและความแตกต่าง มิ้นคิดว่าถ้าใครสักคนอยากใช้ชีวิตเรื่อย ๆ ปลูกผักเลี้ยงน้องหมาน้องแมวอยู่ต่างจังหวัด ไม่ได้มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

 

อย่างการเป็นเจ้าคนนายคนขยายกิจการไปทั่วประเทศ การได้ฝากผลงานบางอย่างที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ไม่ใช่เรื่องผิด อยู่ที่ตัวคุณเอง ว่ารู้จักตัวเองแค่ไหน รู้และมั่นใจแค่ไหนว่า

 

อะไรคือความต้องการในชีวิต สรุปได้ว่า การใช้ชีวิตคุ้มหรือไม่คุ้มอยู่ที่นิยามของตัวคุณเองนี่แหละ ไม่ใช่เสียงจากคนรอบข้างหรือสังคม   

 

 

ไอรีณ : คนส่วนมากไม่รู้จักตัวเองดีพอ เขานิยามตัวเองผ่านคำพูดของคนอื่น เช่น เด็กคนหนึ่งเป็นเด็กฉลาด แต่คนอื่นมองว่า ‘เธอไม่เก่งในเรื่องนี้’ แต่จริง ๆ ถ้ากลับมามองว่า ฉันไม่เก่งจริง ๆ หรือ

 

เป็นแค่คำพูดคนอื่นที่บอกว่าฉันไม่เก่ง ต้องรู้จักตัวเอง อย่าปล่อยให้เสียงรอบข้างมาบอกว่าคุณเป็นคนแบบนี้ จะรู้จักตัวเองได้ต้องลองทำดูสัก 1 อย่าง ทางที่ดีลองเอาสมุดมาสักเล่ม แล้วเขียนจุดแข็งตัวเอง

 

 

หากชีวิตเราเปรียบดังหนังสือ เราจะตั้งชื่อตอนปัจจุบันนี้ว่าอย่างไร? 

มิ้น : Chapter ‘ก่อนเกิดความเปลี่ยนแปลง’ ชีวิตมิ้นตอนนี้ มิ้นไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น ไม่เอนจอยกับอะไร รู้สึกเฉย ๆ เรื่อย ๆ กับทุกอย่าง ซึ่งมิ้นไม่ชอบ เพราะเวลาดาวน์ ๆ

 

การเป็นแบบนี้ทำให้รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย มีเรื่องติดค้าง  มีปัญหาที่มิ้นรู้คำตอบว่าควรทำยังไงแต่ทำไม่ได้ คิดว่าเป็นสาเหตุหนี่งที่ทำให้มิ้นเหนื่อย เครียด จนเฉยชากับชีวิตด้วย

 

ยังไม่เห็นความหวังที่แน่นอนว่าจะผ่านไปได้เมื่อไหร่ Chapter นี้ในชีวิตมิ้น เลยเป็นเหมือนช่วงเวลาของการติดอยู่ในวังวน การเรียนรู้และหาทางออก ทำให้อยากตั้งชื่อว่า ‘ก่อนเกิดความเปลี่ยนแปลง’ ค่ะ 

 

 

พี่ไอรีณ : หวานแหวว ‘จุดเริ่มต้นของครอบครัวที่อบอุ่น’ ตอนนี้มีความสุขกับชีวิต ทุกอย่างเพอร์เฟค องค์ประกอบทุกอย่างของความสุขในการใช้ชีวิตมีพร้อมหมดแล้ว

 

เป็นจุดเริ่มต้นที่แพลนไว้แล้วว่าจะเป็นอย่างไรต่อ เดี๋ยวจะมาคุยเรื่ององค์ประกอบของความสุขในหัวข้อถัด ๆ ไป

 

 

ใช้ชีวิตไปวัน ๆ แล้วเหนื่อย ลองสร้างชีวิตใหม่กัน! 

ไอรีณ : ชีวิตใหม่มีได้ทุกวัน ทุกนาที ทุกวินาที อยู่ที่เรา สมมติว่าเศร้าอยู่  เขียนไปเลยว่าอยากเป็นคนแบบไหน อยากเป็นคนใหม่ที่มีความสุข ต้องลอง เคยอ่านหนังสือที่บอกว่า

 

เราเป็นทั้งผู้เขียนบทละคร เป็นทั้งตัวละคร ในชีวิตนั้น หมายความว่าเราเป็นคนกำหนดชีวิตเรา ถึงแม้จะมีปัจจัยภายนอกเข้ามา แต่เราสามารถเลือกที่จะคิดและปฏิบัติได้

 

เขียนเรื่องราวชีวิตใหม่เป็นการที่เราได้เรียนรู้ตัวเอง เช่น เขียนชีวิตฉันใน 5 ปีข้างหน้า 10 ปีข้างหน้า แล้วย่อยมาอีกทีเป็นสเต็ป ทำยังไงบ้างให้ประสบความสำเร็จ เดือนนี้ วันนี้ จะทำอะไร

 

เริ่มแพลนตั้งแต่วันนี้เลย อย่าลืม ‘เพราะว่าอะไร’ ด้วย คำว่า ‘เพราะว่า’ จะทำให้ช่วยให้เป้าหมายแข็งแรงมากขึ้น 

 

 

มิ้น : มิ้นเคยมีช่วงเปลี่ยนผ่าน จากชีวิตเดิมเป็นชีวิตใหม่หลายครั้ง ขอเล่าถึงชีวิตใหม่ครั้งหนึ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคือช่วงปี 2018 มีช่วงหนึ่งที่ทุกข์มาก เพราะมิ้นรู้สึกว่าสิ่งที่เลือกไม่ใช่ทางของตัวเอง

 

ตอนนั้นไม่รู้จะเอายังไงต่อ ทั้งเครียด ทั้งเศร้า เพื่อนเลยพาไปคุยกับอาจารย์ที่คณะ ตอนนั้นถึงได้คำตอบว่า มิ้นไม่ได้รู้สึกแย่กับทางที่เลือกเท่ากับความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม

 

เพราะมิ้นเป็นคนปรับตัวยาก เข้าสังคมไม่เก่ง หลังจากเหตุการณ์นั้น มิ้นพยายามเรียนรู้  ลองแสดงความเป็นตัวเองให้คนอื่นรู้ เล่าให้ฟังว่าเราชอบอะไร เราสนใจอะไร ลองแสดงความคิดเห็นมากขึ้นในบริบทต่าง ๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยทั่วไป การทำงานกลุ่ม การทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจุดนี้ทำให้มิ้นมีความสุข ชีวิตใหม่นี้.. ปัญหาทุกอย่างยังอยู่ เรายังคงไม่รู้เหมือนเดิมว่าควรลาออกไปเรียนอย่างอื่นไหม

 

จะเอายังไงต่อ แต่กลับมีความสุขเหมือนตัวจะลอย คงเรียกได้ว่าเป็นชีวิตใหม่ครั้งหนึ่งได้

 

 

ไอรีณ : ชีวิตของเราจะมีวงกลม 1 วง ที่มีอยู่ 4 ส่วนประกอบกัน คือ Health Wealth Work Relationship สุขภาพ เงิน งาน ความสัมพันธ์ต้องดี นี่แหละชีวิตที่มีความสุข 

 

 

ทางเลือกและการตัดสินใจ 

พี่ไอรีณ : ชีวิตที่เผชิญอยู่ทุกวันนี้มีทางเลือกและการตัดสินใจเสมอ บางอย่างเราต้องเลือก บางอย่างเราต้องตัดสินใจ แต่เราต้องพิจารณาให้ดีก่อนว่า ถ้าเราไม่เลือก ไม่ตัดสินใจ และใช้ชีวิตแบบนี้ไปวัน ๆ

 

นี่เป็นการทำร้ายตัวเอง เราต้องเลือกตัดสินใจสักอย่าง ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรต้องรับมือว่า ฉันเลือกแล้ว ฉันตัดสินใจแล้ว เช่น จะเป็นคนที่กล้าแสดงออกมากกว่านี้ จะทำงานนี้เพราะงานนี้ให้ความรู้กับฉัน

 

จะกินอาหารที่สุขภาพดีเพราะว่าอยากแข็งแรง จำใจต้องทำกับควรต้องทำอะไรหนักกว่า เช่น ฉันควรออกกำลังกาย ยังรู้สึกว่าไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ แต่ถ้าใช้คำว่า ฉันตัดสินใจจะออกกำลังกายทุกวัน

 

วันละ 30 นาที เป็นอะไรที่หนักกว่าและช่วยเพิ่มพลังให้มากกว่า ใช้คำพูดให้ drive ตัวเราเองให้ทำสิ่งหนึ่ง แต่ Self-talk ต้องไม่หลอกตัวเองมากเกินไป ต้องดูสถานการณ์ในวงกว้าง แล้วกลับมาถามตัวเองว่า

 

‘ชีวิตประจำวันโอเคไหม’ ถ้าไม่โอเค ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนตัวเอง รักตัวเอง กลับมาวางแผนให้ตัวเองใหม่ ทุกอย่างกำหนดได้ 

 

 

มิ้น : นึกถึงปรัชญาข้อหนึ่งที่บอกไว้ว่า มนุษย์มีอิสระ แต่อิสระจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ต้องยอมรับผลนั้นให้ได้ พี่มิ้นกับพี่ทายทีมงาน Alljit นี่แหละ เคยบอกมิ้นว่า

 

มิ้นดูเป็นคนที่ตัดสินใจเก่ง ตอนนั้นรู้สึกแปลกใจมาก พอลองทบทวนตัวเองดู มิ้นว่ามิ้นหาข้อมูลเก่งมากกว่า ทุกทางเลือกจะต้องผ่านการประชุมกับตัวเองและการฟังความคิดเห็นจากคนสำคัญในชีวิตเสมอ

 

พูดได้ว่าการรู้จักตัวเองและข้อมูลต่าง ๆ นี่แหละประกอบกันทำให้ตัดสินใจเกิดขึ้นได้ เพราะได้ทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าข้อยกเว้นคงเป็นเรื่องความรัก ตัดสินใจได้แย่มาก

 

เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีประสบการณ์และเชื่อว่าไม่มีคำตอบตายตัว พี่ไอรีณมีข้อยกเว้นแบบนี้ไหม?

 

 

ไอรีณ : ไม่มีเลยค่ะ ไม่มีข้อยกเว้นค่ะ ข้อยกเว้นเราหาให้ตัวเองค่ะ จริง ๆ บนโลกใบนี้ถ้าเราตัดสินใจแล้ว เรามุ่งมั่นแล้ว ไม่มีข้อยกเว้นให้ความสุขค่ะ เราไม่ได้เกิดมาที่จะเป็นคนทุกข์

 

การมีความสุขคือการทำอะไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุข แต่ความสุขในที่นี้ต้องดูว่าเป็นสุขสำเร็จหรือสุขสำราญ มี 2 ประเภท จากหนังสือของคุณขุนเขา สุขสำเร็จคือต้องมีวินัยทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ

 

แต่สุขสำราญคือดื่มเหล้า สูบบุหรี่  เป็นสุขชั่วคราว แต่ความสุขสำเร็จอาจจะใช้เวลา บางทีเราอาจจะไม่อยากทำ เช่น ไม่อยากออกกำลังกาย แต่พอพาตัวเองไปออกกำลังกาย สารอะดรีนาลีนจะหลั่ง ร่างกายจะมีความสุข 

 

 

รู้จักจุดแข็งของตัวเอง 

ไอรีณ : จุดแข็งคือชอบเรียนรู้ ชอบคุยกับคน ชอบเรียนรู้ทัศนคติของคนไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน สิ่งนี้เป็นอะไรที่หลงใหลมาก เวลาเราชอบเรียนอะไรสักอย่าง เราจะค้นหาด้วยตัวเอง

 

บางทีเรียนไปยังไม่รู้เลยว่าจะใช้ยังไง แต่อย่างน้อยมีความสุขขณะที่ได้ทำ 

 

 

มิ้น : มิ้นว่าของมิ้นคงเป็นการพยายามรู้จักตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ทำให้ไปต่อได้ มีทางออกจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งเสมอ 

 

 

ไอรีณ : เราจะไม่ค้นหาตัวเอง แต่เราระบุได้ ลองทำก่อน เราต้องมีไอดอลของเรา เราไม่ต้องตามทุกอย่าง แค่ใช้เป็นแรง drive ให้เรา ทุกอย่างอยู่ที่ความคิด 

 

 

นับทุกความสำเร็จของตัวเองถึงแม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตาม 

ไอรีณ : ไม่ว่าจะวางเป้าไว้ว่าอะไร เช่น วันนี้จะอ่านหนังสือวันละ 2 หน้า แค่เริ่มอ่าน 1 หน้า 2 3 4 5 หน้าจะเพลินตามมาเอง ขอให้เริ่ม อันนี้คือความสำเร็จในวันนี้แล้ว แล้วทุกอย่างจะสะสม อาทิตย์หนึ่ง เดือนหนึ่ง อ่านได้เยอะ ความรู้เริ่มมา จุดเริ่มมันยาก แต่มันทำได้ ถ้าเรามุ่งมั่นและมีวินัยมากพอ 

 

 

มิ้น : ชอบข้อนี้จังเลยค่ะพี่ไอรีณ ให้ความรู้สึกเหมือน การกระทำนี้จะเป็นเชื้อเพลิงบางอย่างให้ชีวิต

 

 

กำหนดเส้นตายให้ความฝัน 

ไอรีณ : สมมติเราวางเป้าอะไรไว้ในชีวิต เช่น การลดน้ำหนัก เราต้องกำหนดจุดตายว่า ฉันจะลดน้ำหนักภายใน 3 เดือน จาก 60 ให้เหลือ 40 ถึงแม้ใน 3 เดือนจะเหลือแค่ 50 อย่างน้อยมันก็ลดแล้ว

 

มิ้น : สำหรับบางคน การกำหนดแบบนี้อาจจะให้ความรู้สึกที่กดดันและอึดอัด แต่ในอีกแง่หนึ่งสิ่งนั้นจะเป็นจริงได้มากขึ้น อยู่ที่แต่ละบุคคลว่าเราจะปรับใช้กับชีวิตอย่างไร

 

 

ชีวิตเป็นของคุณ

ไอรีณ : ชีวิตเรากำหนดเอง คนรอบข้างพูดถึงเราอย่างไร เราไม่ต้องไปฟัง เราต้องพูดกับตัวเอง รักตัวเอง คนรอบข้างอาจจะหวังดีกับเรา แต่เขาไม่รู้จักวิธีที่จะพูดกับเรา เลยทำให้เรารู้สึกแย่

 

เราสามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเรารู้สึกอย่างไรกับคำพูดที่เข้ามา สิ่งที่เราทำได้คือพาตัวเองกลับมาอยู่ในจุดของตัวเอง ชีวิตเป็นของเรา เกิดมาอยากเป็นอะไร ทำอะไร อย่าใช้ชีวิตภายใต้ความกลัว

 

จงเชื่อว่าชีวิตมีคุณค่ามากที่สุด ทุกอย่างเริ่มต้นจากความคิด 

 

 

มิ้น : สำหรับมิ้น ชีวิตเป็นของเราจริง แต่เราไม่ได้ควบคุมได้ทุกอย่าง มีปัจจัยภายนอกเต็มไปหมดที่เราทำได้แค่ยอมรับและปรับตัวให้อยู่กับสิ่ง ๆ นั้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่มิ้นคิดว่าสำคัญคือ

 

Joyfulness ครั้งหนึ่งเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘You can never beat those who enjoy’ แล้วรู้สึกเห็นด้วย ในแง่ที่ว่า ไม่ว่าเราจะเก่งแค่ไหน เราจะเพอร์เฟคแค่ไหน สุดท้ายไม่สู้คนที่ทำสิ่งนั้นด้วยความสนุก 

 

 

ทุกอย่างเริ่มต้นที่ความคิดและทัศนคติของเราเอง 🙂

ในยุค Gen Z ที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล วัยรุ่นมีความคิดเป็นของตัวเอง และเชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ แต่ทำไมคนรุ่นใหม่ถึง ชอบดูดวง ?

 

คำว่า “โหราศาสตร์” ในปัจจุบัน 

โหราศาสตร์อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน ไม่ว่าจะการทำพิธีกรรมใด ๆ ขึ้นบ้านใหม่ งานแต่ง งานมงคล หรืออะไรก็ตามที่คนเลือกเชื่อและศรัทธา

 

ถึงแม้ว่าคนรุ่นใหม่แบบเรา ๆ จะเลือกเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าถ้าเจออะไรที่ไม่แน่นอน เจออะไรที่คาดเดาไม่ได้ มีความกังวลใจมาก ๆ เรามักจะพึ่งการดูดวงมากกว่า

 

การหาที่ปรึกษาในบางเรื่อง  แล้วในตอนนี้การดูดวงในทุกวันนี้มันสามารถทำได้หลายรูปแบบ หลายช่องทาง เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ตอบโจทย์ และใช้เวลาไม่นาน

 

J.P. Morgan ผู้นำระดับโลกด้านบริการทางการเงินที่ให้บริการแก่องค์กร รัฐบาล และสถาบันที่สำคัญที่สุดในโลกกล่าวว่า 

 

“Anyone can be a millionaire, but to become a billionaire you need an astrologer.”  “ ใคร ๆ ก็เป็นมหาเศรษฐีได้ แต่การจะเป็นมหาเศรษฐีนั้น คุณต้องมีโหราจารย์ ”

 

ชอบดูดวง ความชอบที่ไม่เคยตาย

เพราะว่ามนุษย์ไม่ชอบความเสี่ยง ไม่อยากรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดผลไม่ดี ทำให้การดูดวงสามารถเสริมความมั่นใจ และพลังใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วย

 

หากย้อนไปที่มาของการดูดวงมีตั้งแต่สมัยนานมาก ๆ และยังคงอยู่จนทุกวันนี้เลย ขอยกตัวอย่างถึงรายการศึก 12 ราศี ซึ่งมีตั้งแต่สมัยเรายังเด็ก ๆ มาจนถึงปัจจุบัน

 

ปัจจุบันมีการเจาะลึกเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น สามารถบอกจุดเด่น จุดอ่อนของเราได้ ทำให้เราทำมาพัฒนาตัวเองได้ด้วยในบางอย่างที่เรารู้สึกว่าดูดวงสามารถเสริมเราได้

 

คนรุ่นใหม่ ชอบดูดวง มากที่สุด?

ผลสำรวจจาก asiatrend สะท้อนให้เห็นว่าการดูดวงเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจมากในกลุ่มพนักงาน นักเรียนและ นักศึกษา ร้อยละ 49.6 ของกลุ่มตัวอย่าง มีความคาดหวัง (ให้เป็นแบบที่คิดและต้องเตรียมตัวรับมือกับสิ่งต่างๆได้ )

 

อีกร้อยละ 32.0 เลือกดูดวงเพราะความเครียด ร้อยละ 18.4 ดูดวงเพราะกลัวในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง 

 

และเรี่องที่ได้รับความสนใจในการดูดวงมากที่สุดคือ

1. งาน

2. เงิน/ธุรกิจ

3. ความรัก

 

 

ทำไมคนรุ่นใหม่ ชอบดูดวง ?

1. ต้องการคนรับฟัง

อาจจะเป็นเพราะไม่ได้มีพื้นที่ให้เขาระบายความรู้สึกขนาดนั้น เขาอยู่กับความเครียด ความกดดัน แต่ไม่มีคนรับฟัง  การดูดวงก็เป็นเหมือนการระบายความหนักอึ้งในใจ

 

เพราะ เขาต้องการคนรับฟังและคำแนะนำ และเวลาหมอดูฟังเราเขาจะฟังแบบตั้งใจ  ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่หนักอึ้งนี้อย่างน้อยก็ถูกถ่ายทอดให้กับคนที่เขาพร้อมรับฟังจริง ๆ

2. ขาดความหวัง

ด้วยสถานกาณ์บ้านเมืองที่มีความแปรปรวนทำให้ความหวังของวัยนี้ลดลง เขาหลงทางกับอาชีพ หาอนาคตไม่เจอ เพราะในยุคนี้เราจะเจอกับสภาวะความเครียดต่าง ๆ รอบตัว

 

เช่น เศรษฐกิจ สังคม การทำงาน ความรัก ทำให้การใช้ชีวิตของเขานั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก ในการพึ่งศาสตร์การดูดวงก็เพื่อถามถึงสภาวะในอนาคต

 

ชีวิตจะเป็นอย่างไร เส้นทางการทำงาน ความรัก เพื่อมองหาความหวังที่ขับเคลื่อนไปสู่อนาคตได้

 

3. ความหนาแน่นของประชากร

จากเว็บไซต์ Asiatrend นำเสนอว่า “ความหนาแน่นของประชากร เป็นแรงจูงใจที่ทำให้เกิดการดูดวง” แรงกดดันทางสังคมและการเเข่งขันที่เพิ่มขึ้น

 

เช่น อาชีพ การศึกษา อำนาจหน้าที่ โอกาสและการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการที่วัฒนธรรมมีการเปลี่ยนแปลงภายใต้เทคโนโลยี ทำให้หลายคนไม่สามารถปรับตัวทัน

 

แน่นอนว่าจะเกิดความเครียด ความกดดันและ หาทางออกไม่ได้ ผลลัพธ์คือ เกิดความทุกข์ทางด้านจิตใจ  เมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้นสิ่งที่พวกเขาต้องการคือ การสร้างความมั่นคงทางจิตใจ

 

4. วิทยาศาสตร์ไม่ได้ตอบคำถามได้ทุกอย่าง

เด็กในยุคนี้เขาเริ่มโตมากับเทคโนโลยี เชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ แต่ก็แน่นอนว่ามีหลายอย่างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ธรรมชาติของวัยรุ่นยุคนี้คือ ขี้สงสัยและ ต้องการจะหาคำตอบนั้น

 

การดูดวงจึงเป็นทางเลือกที่เขาใช้เพื่อหาคำตอบในสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ เช่น อนาคตจะเป็นอย่างไร

 

5. คอนเท้นต์และเทรนสมัยใหม่ 

จากเว็บไซต์ Cariber กล่าวว่า การดูดวงนั้นเหมือนกับมีม (Meme) ที่สามารถแพร่กระจายไปบนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว

 

ตามคอลัมน์โหราศาสตร์ในนิตยสารก็เป็นคอลัมน์ที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ โพสต์เกี่ยวกับการดูดวงออนไลน์ก็เป็นที่นิยม

 

ลองสังเกตุดูว่าการดูดวง สายมูอยู่รอบตัวเราเลยและได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนรุ่นใหม่ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา โพสต์เกี่ยวกับการดูดวงเพิ่มมากขึ้นกว่า 150%

 

ในปี 2017 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในช่วงโควิดก็เป็นช่วงที่คนในวัยยี่สิบกว่าเข้าเว็บดูดวงมากที่สุด

 

6. สังคมและเศรษฐกิจ

สภาพสังคมและเศรษฐกิจในเมืองไทยตอนนี้ค่อนข้างที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่ รู้สึกหมดหวัง ไม่รู้จะเติบโตอย่างไรดี และทำให้บางคนรู้สึกสิ้นหวังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป

 

กว่า 3 ปีที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดโควิด19 กระทบต่อการใช้ชีวิตทุก ๆ ด้าน หลายคนตกงาน บริษัทปิดไปหลายแห่ง แต่ธุรกิจดูดวงกลับมีคนใช้บริการเพิ่มมากขึ้น

 

และคนที่ใช้บริการมักจะเป็นวัยหนุ่มสาว และคนวัยทำงาน

 

7. สร้างขวัญกำลังใจ

บางครั้งมนุษย์อย่างเรา ๆ ก็ไม่ต้องการสิ่งที่พิสูจน์ได้และ มีเหตุผลอะไรมาอ้างอิงเสมอไปเช่นกัน การใช้อารมณ์ฟังในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ก็สามารถสร้างขวัญกำลังใจ

 

ทำให้จิตนการถึงอนาคต มีความหวังว่ามันจะดีขึ้นได้เหมือนกัน

 

8. การเข้าพบจิตแพทย์เป็นเรื่องยากของสังคมไทย

การเข้ารับการปรึกษาจิตแพทย์ในสังคมไทยในคนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับความเข้าใจมากพอ เลยเลือกที่จะไปปรึกษาหมอดู เพราะรวดเร็วกว่า ราคาไม่เเพง

 

การเข้าไปปรึกษาหมอดูให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่า การเข้าพบจิตแพทย์สำหรับบางคน เพราะให้อารมณ์ พูดคุย ระบาย เหมือนเพื่อน และไม่ต้องรับประทานยา

 

 

ในวันที่แย่ ชอบดูดวง ช่วยอะไรบ้าง

1. สบายใจขึ้น(ได้ระบายความรู้สึก)

2. มีความหวังว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างรออยู่

3. ลดความกังวลและความเครียดลง

4.ทำให้สนิทกับคนรอบตัวมากขึ้น  ยกตัวอย่าง การอ่านดวงให้เพื่อน ๆ ฟังในระหว่างทานอาหาร

5. เพิ่มความมั่นใจมากขึ้น ถ้าดวงทำนายว่าดวงเราดี

6.ไกด์ของชีวิต เช่น เราไม่แน่ใจในบางอย่าง แต่หมอดูแนะนำว่า ลองแบบนั้นแบบนี้ดีไหม ทำให้เรากล้าที่จะลองทำดู

 

 

รีเช็คว่าตัวเองเสพติดหรือ ชอบดูดวง หรือไม่?

งานวิจัยของ อัครกิตติ์ สินธุวงศ์ศรี ชื่อว่า  PERCEPTION, ADDICTION AND IMPACT OF FORTUNE TELLING บอกว่า

1. ดูดวงจนเสียสุขภาพจิต ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

2. ไม่กล้าตัดสินใจเมื่อเกิดปัญหา ต้องดูดวงทุกครั้งเพื่อให้หมอดูแก้ไขปัญหาให้

3. เกิดการปรับเปลี่ยนทางอารมณ์ อารมณ์ไม่มั่นคง

4. มีความหมกมุ่นอยู่กับการดูดวงอยู่ตลอดเวลาจนไม่สนใจสิ่งรอบตัว

5. รอคอยและใช้ชีวิตไปตามโชคชะตา โดยไม่ลงมือกระทำสิ่งใด ๆ 

6. เชื่อคำทำนายจนกระทบกับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

 

 

หยุดนิสัยชอบดูดวงได้อย่างไร 

1. ลองกำหนดขอบเขตให้กับตัวเอง เช่น ดูดวง 3 เดือนครั้ง หรือ อ่านดวงรายสัปดาห์

2. หากติดตามช่องทาง หรือคอนเท้นต์การดูดวง ให้ลองปิดเเจ้งเตือน

3. ลองหากิจกรรมแบบออฟไลน์อื่น ๆ ทำ

4. ขอคำแนะนำจากจิตแพทย์  เวลามีเรื่องทุกข์ใจ

 

ที่มา :

โหรศาสตร์ของเอเชีย

Gen Z’s Astrology Obsession, Explained

ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเชื่อเรื่องดวงมากขึ้น?

ทำไมคนยุคใหม่ไทยเข้าหาหมอดูมากกว่าจิตแพทย์

การรับรู้ การเสพติดและผลกระทบจากการดูดวง

เคยไหม ? คิดมากจน ” นอนไม่หลับ ” กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ในวันที่ทุกข์ใจทำอย่างไรให้นอนหลับลง?

 

ในวันที่ ทุกข์ใจ ทำอย่างไรให้นอนหลับได้ลง? 

สาเหตุทำให้ นอนไม่หลับ

1. ปัญหาจากสิ่งแวดล้อม

เช่น อุณหภูมิ แสงสว่างเกินไป เสียงรบกวนจากจราจร โทรทัศน์ พื้นที่นอนแคบเกินไปหรือกว้างเกินไป หรือการนอนต่างที่ ทำให้หลับยาก

2. ปัญหาจากร่างกาย

เช่น อาการเจ็บป่วย ปวดท้อง ปวดตามเนื้อตัว เป็นโรคเกี่ยวกับการนอนหลับ มีปัญหาเรื่องระบบการหายใจ มีอาการไอ

3. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีนในกาแฟ บุหรี่ หรือการใช้ยาบางชนิดนั้นอาจส่งผลเกี่ยวกับการนอน

4. ปัญหาจากจิตใจ

เช่น ความเครียด อาการวิตกกังวล แรงกดดัน ซึ่งปัญหาทางด้านจิตใจนี่แหละ เป็นตัวการหลัก ๆ เลยที่ทำให้เรานอนไม่หลับ คิดมาก กังวลใจ 

 

 

เรื่องทุกข์ใจแบบไหนบ้างที่ทำให้ นอนไม่หลับ

1. ความสัมพันธ์

ทะเลาะหรือมีเรื่องขัดแย้งกับคนรอบข้าง อยู่ที่ระดับความคาดหวังและการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ด้วย ยิ่งเยอะยิ่งกระทบ ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตในระยะยาว 

 

ความสัมพันธ์ในที่นี้ คือได้ทุก ๆ ความสัมพันธ์เลย เพื่อน แฟน ครอบครัว พี่น้อง  พี่เคยทะเลาะกับแฟนก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ทะเลาะกับป้าก็กังวลมาก ๆ 

 

2. การงาน

มีได้หลากหลายรูปแบบ งานเยอะเกินรับไหว งานท้าทายเกินไป เพื่อนร่วมงานและหัวหน้า Toxic หรือแม้กระทั่งการปรับตัวเข้ากับสังคมในที่ทำงานไม่ได้ ต่างเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจได้ทั้งนั้น

 

3. การเงิน

ค่าใช้จ่ายเยอะ ซึ่งค่าใช้จ่ายเป็นปัญหาได้หลากหลายรูปแบบ เช่น มีคนในครอบครัวป่วยหนัก ค่ารักษาสูง , เงินเดือนน้อย ค่าครองชีพสูง หมุนเงินไม่ทัน , หรือแม้กระทั่ง อยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ไม่มีกำลังซื้อ  

 

 

นอนไม่หลับ มีแบบไหนบ้าง?

1. นอนหลับยาก 

จะมีอาการหลับได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาเป็นชั่วโมง

2. หลับ ๆ ตื่น ๆ

จะมีอาการลักษณะ รู้สึกคล้ายไม่ได้หลับเลยทั้งคืน เพียงแต่เคลิ้ม ๆ ไปเป็นพัก ๆ เท่านั้น

3. หลับไม่ทน 

มักตื่นกลางดึก เช่น หัวค่ำอาจพอหลับได้ แต่ไม่นานก็จะตื่น ในบางคนอาจตื่นแล้วกลับหลับอีกไม่ได้

 

 

คิดมากจนนอนไม่หลับส่งผลอย่างไร?

1. สุขภาพ

คิดมากส่งผลให้เครียด ถ้าเครียดเรื้อรังจะทำให้เหนื่อยล้า ภูมิต้านทานต่ำลง และมีอาการต่าง ๆ เฉพาะตัว เช่น ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม การสังเกตตัวเองและพาตัวเองไปพบแพทย์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก 

 

2. อ้วน 

การอดนอนจะเพิ่มความอยากอาหาร เพราะเสียสมดุลฮอร์โมน ลดกลไกการยับยั้งชั่งใจ เพิ่มความโหยหาของหวาน คาร์บ ของเค็ม และลดกล้ามเนื้อ ลดการหลังฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน

 

ทำให้แก่ลง 10–15 ปี ในผู้ชาย อสุจิจะลดลง 29% มีอัณฑะเล็กลงกว่าปกติ ในผู้หญิง จะตกไข่ลดลง 20% ความสามารถในการตั้งครรภ์ลดลง 80% แถมยังมีโอกาสแท้งใน 3 เดือนแรกสูงมาก

 

3. ความสัมพันธ์ 

การนอนน้อยเพราะเครียด อาจจะทำให้หงุดหงิด คิดอะไรไม่ออก เบลอ และจะเผลอทำตัวไม่น่ารักใส่คนรอบข้าง ซึ่งทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งได้เหมือนกัน 

 

4. หน้าที่การงาน 

เมื่อคุณนอนไม่พอ คุณจึงมีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำลง จึงต้องทำงานนานขึ้นเพื่อให้ได้ตามเป้า นั่นหมายถึง คุณต้องทำงานนานขึ้นและดึกขึ้น และต้องตื่นเช้าขึ้น ซึ่งวนลูป ไม่รู้จบ

 

 

คิดมากจนนอนไม่หลับ เกี่ยวข้องกับภาวะทางจิตไหม? 

คิดมากและภาวะทางจิตมีความเกี่ยวข้องกันทั้ง 2 ทาง เป็นเหตุเป็นผลให้กันและกันได้ หมายความว่า คิดมากจนส่งผลให้มีภาวะทางจิตก็ได้

 

หรือ เพราะมีภาวะทางจิตเลยส่งผลให้คิดมากก็ได้ อย่างหลัง พบได้บ่อยในคนที่เป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ที่จะมีความคิดเดิม ๆ เกิดขึ้นวนซ้ำไปมาจนนอนไม่หลับ

 

 

วิธีรับมือ คิดมากจนนอนไม่หลับ ในเชิงวิทยาศาสตร์

ถ้าสังเกตตัวเองและพบว่า “คิดมาก” เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นอนไม่หลับ การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดจะเป็นการปรับที่ความคิด จากนั้นจึงใช้วิธีบรรเทาอาการนอนไม่หลับช่วยเสริม

1. Positive reframing 

ผู้เขียนบอกว่า Positive Reframing มักถูกเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่าเป็นการคิดบวกเข้าไว้ในทุกสถานการณ์ แต่จริง ๆ แล้วที่ถูกต้องคือ การยอมรับจุดที่ไม่ดี แล้วลองประเมินดูว่า ‘ในสถานการณ์นี้ ฉันมองมันแบบอื่นได้ไหม?’ 

2. Write down your thoughts and distract yourself for 24 hours 

ลองเขียนความคิดของตัวเองลงในกระดาษแล้ววางไว้ จากนั้นพักไปทำอย่างอื่นก่อน ผู้เขียนบอกว่า บ่อยครั้ง เมื่อคิดมาก ความรู้สึกจะแย่ อารมณ์จะแย่ ซึ่งอาจเป็นผลให้ทำบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องเสียใจทีหลัง

3. Practice specific gratitude 

เพราะในทางจิตวิทยา ความขอบคุณสัมพันธ์กับความสุข ผู้เขียนเลยลองขอบคุณเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ขอบคุณที่ตื่นมาแล้วไม่ปวดหลัง ทำให้มีแรงออกกำลังกาย เขาบอกว่า สิ่งนี้ทำให้เขาโฟกัสอยู่กับปัจจุบันได้ดีขึ้น 

4. Bodily Function 

บางทีเราชอบคิดถึงการนอนให้เป็นเป้าหมายบางอย่าง เช่น ต้องนอนหลับก่อน 5 ทุ่ม ซึ่งไม่เป็นธรรมชาติ การหลับควรปล่อยให้ตัวเองหลับเองเหมือนเด็ก ๆ 

 

 

สิ่งสุดท้ายที่อยากจะฝากถึงเลยคือ ถ้าเรามีปัญหาด้านการนอนจริง ๆ เราควรเข้าไปพบผู้เชี่ยวชาญค่ะ 🙂 

 

 

ที่มา :

นอนไม่หลับทำไงดี ?

นอนไม่หลับใช่ไหม? ลองทำตาม 3 วิธีนี้ดู

เลิกคิดมากแบบง่ายๆ ด้วยเทคนิค Brain Dump Exercise!

White Noise

A psychotherapist shares the 3 exercises she uses every day ‘to stop overthinking’

ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ “โลกซึมเศร้า”  ตอนนี้หลาย ๆ คนคงอาจจะหมดกำลังที่จะสู้กับโรคซึมเศร้าต่อไป วันนี้เรามาร่วมพูดคุยกันในรายการ “โลกซึมเศร้า” กับหัวข้อ ” ให้กำลังใจตัวเอง “ ตอนเป็นซึมเศร้ายังไงดี ?

 

เรา ให้กำลังใจตัวเอง ตอนเป็นโรคซึมเศร้า ในรูปแบบของตัวเองอย่างไรบ้าง?

สารบัญ

1. “เราอยากหาย”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องคิดว่าเราอยากหาย เราอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม นั่นคือกำลังใจแรก ณ ตอนนั้น  

2. “เชื่อว่าเราหายได้”  

3. “ยอมรับความรู้สึกตัวเองให้ได้”

เราชอบพูดว่า โอบกอดความรู้สึกตัวเอง เหมือนตอนแรกเราไม่ยอมรับเลย เราหนีมัน ไม่อยากเศร้า เพราะเป็นความรู้สึกที่ทรมานจริง ๆ แต่พอยอมรับว่ามันเป็นเรา จะทำให้เรามีกำลังใจขั้นต่อมา 

 

ในตอนที่เป็นโรคซึมเศร้าเราต้องการ กำลังใจจากคนที่รักหรือกับตัวเองมากกว่า? 

ณ ตอนนั้นได้จากครอบครัว คนรอบข้างมากกว่า พอคนรอบข้างพยายามให้กำลังใจเรา มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากหาย เราอยากดีขึ้น

 

เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องห่วง หรือลำบากที่เราเป็นซึมเศร้า เป็นช่วงเวลาที่พอเรามองย้อนกลับไปสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเชื้อเพลิงในวันที่เราไม่มีพลัง  

 

 

การ ให้กำลังใจตัวเอง สำคัญอย่างไรสำหรับเรา 

การให้กำลังใจตัวเอง มันเหมือนกับการท้าทายความคิดลบของเรา ท้าทายความเชื่อ (ที่อาจจะผิด) ของตัวเอง ยิ่งกับในคนที่กำลังเป็นโรคซึมเศร้า

 

เขาอาจจะมีความเชื่อหลักว่าตัวเองไม่มีค่า เป็นภาระ การให้กำลังใจตัวเองเหมือนเป็นอาวุธในการไปสู้กับความคิดตรงนั้น

 

 

วิธี ให้กำลังใจตัวเอง ตอนที่เป็นโรคซึมเศร้า

ณ ตอนนั้น   ไม่ทราบว่ากำลังใจเกิดจากตัวเองหรือคนรอบข้างด้วยซ้ำ  เพราะว่า คนรอบข้างดูเข้าใจเรา อยากให้เราดีขึ้น และช่วยเราทุกอย่างที่เราร้องขอเลย

 

เช่น เพื่อน คอยคุยด้วยทุกวันก่อนนอน ป้าที่คอยทำกับข้าว เรียกกินข้าว ดูเป็นสิ่งที่ธรรมดามากเลย แต่เหมือนว่ามีพลังบวกอะไรบางอย่างออกมา

 

จึงไม่ทราบว่ากำลังใจเกิดจากตัวเราเอง หรือเรารู้สึกว่าเพื่อน ๆ  ป้า ครอบครัว คนรอบข้าง ทำให้เรามีกำลังใจ 

 

 

การจดบันทึกอารมณ์ สร้างกำลังใจ 

เสริมวิธีเล็กๆที่ทำได้ทุกวันจาก Intrepidmentalhealth เป็นบทความที่พูดถึง วิธีง่าย ๆ ในการช่วยให้พ้น จากภาวะซึมเศร้า มีหลายวิธีที่น่าสนใจมาก ๆ เลย เช่น 

 

“เก็บบันทึกความรู้สึกตัวเอง”  ช่วยให้อารมณ์เราดีขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้นและที่สำคัญคือได้ใช้เวลา กับอารมณ์ของตัวเองมากขึ้นนะ 

 

โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า เขาอาจจะทำเป็นเข้มเเข็งและ ซ่อนความรู้สึกต่อหน้าคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ควรเก็บอารมณ์ไว้ตลอดเวลาเพราะจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี

 

การจดบันทึกเป็นวิธีที่ดีในการปลดปล่อยอารมณ์และเข้าใจความรู้สึกของตัวเองโดยไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไง ซึ่งการจดบันทึกมีประโยชน์หลายอย่าง ได้แก่ 

1. ช่วยให้สามารถประมวลผลอารมณ์และความคิดของตัวเองได้

 

2. ทบทวนความทรงจำ ประสบการณ์ที่ผ่านมาและรู้สาเหตุของความรู้สึกหนักหน่วงในชีวิต

 

3. สังเกตตัวเอง ช่วยให้วิเคราะห์และเข้าใจสาเหตุที่เป็นไปได้ของโรคซึมเศร้า 

 

4. เป็นกระบวนการระบายที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยาก ‘เอาชนะ’ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากและดูเหมือนว่าจะสิ้นหวัง ให้เราหาวิธีในการดิ้นรนเอาตัวรอด

 

 

การจดบันทึกอารมณ์ ทำได้อย่างไร

1. Begin with เขียนสิ่งที่ทำให้รู้สึกเศร้า เช่น การสูญเสียหรือประสบการณ์ชีวิตที่เจ็บปวด 

 

2. ในแต่ละวัน ให้เขียนเกี่ยวกับทุกสิ่งที่อยู่ในใจ สิ่งที่ทำให้รำคาญใจ หงุดหงิด เศร้าใจ 

 

3. เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น เราจะสามารถทบทวนความคิดและความรู้สึกที่กระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าตั้งแต่แรก 

 

4. เมื่อสังเกตเห็นว่าตัวเองติดขัด ให้กลับไปอ่านบันทึกและดูสิ่งที่สามารถต่อยอดได้ ก็ช่วยให้รับมือกับมันได้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น 

 

5. สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการจดบันทึกจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นนิสัย ไม่ใช่ทำแค่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

 

 

กิจกรรมในชีวิตประจำวันก็ช่วย ให้กำลังใจตัวเอง ได้เช่นเดียวกัน

1. ออกกำลังกาย 

อาจจะเป็นการเดินเร็ว  เต้น  เล่นกีฬา ยืดเส้นยืดสาย หรือเล่นโยคะ สักประมาณ 15 – 30 นาทีในทุกวัน  คนที่เป็นโรคซึมเศร้าอาจจะรู้สึกไม่ค่อยอยากเคลื่อนไหว

 

ไม่อยากจะทำอะไร ในช่วงแรก ๆ อาจจะต้องขอให้เพื่อนหรือคนใกล้ตัวออกกำลังกายกับเรา เพื่อเพิ่มแรงผลักดัน

 

2. ทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำเยอะ ๆ

คนที่เป็นโรคซึมเศร้าอาจจะรู้สึกไม่อยากอาหารหรือกินมากเกินไป แต่สิ่งที่กินส่งผลต่ออารมณ์และพลังงาน ดังนั้นเมื่อเป็นโรคซึมเศร้า ต้องกินอย่างถูกต้อง

 

3. ปลดปล่อยตัวตน

คนที่เป็นโรคซึมเศร้า ด้วยอารมณ์ซึมเศร้า ความคิดสร้างสรรค์และความสนุกอาจหายไป ลองทำกิจกรรมที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

 

เช่น ระบายสี วาด รูป เย็บปักถักร้อย ทำอาหาร เขียนไดอารี่ เล่นดนตรี เล่นกับสัตว์เลี้ยง  ดูหนังหรือทำสิ่งที่ชอบ 

 

4. สื่อสารกับคนที่ไว้ใจ

อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับปัญหาเพียงลำพัง มันโอเคมากๆที่ที่จะระบายความคิดและความรู้สึก แต่อย่าพูดถึงแต่ปัญหาอย่างเดียว ให้พูดคุยเรื่องดีๆด้วย เพราะมันจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

 

5. ลองนึกถึงสิ่งดี ๆ

อาการซึมเศร้าส่งผลต่อการมองเห็นสิ่งต่างๆ ดูหดหู่ เป็นลบ และสิ้นหวัง ในการเปลี่ยนมุมมองให้ตั้งเป้าหมายที่จะสังเกตเห็นสิ่งดี ๆ 3 อย่างในทุกวัน 

 

 

Depression Tiredness  คือ ภาวะเหนื่อยจากโรคซึมเศร้า

ภาวะเหนื่อยจากโรคซึมเศร้า (Depression Tiredness ) จะมีลักษณะ ดังนี้

 

1. เหนื่อยจากการพยายามต่อสู้กับความคิดลบๆ ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่สำคัญ

 

2. เป็นมากกว่าความรู้สึกเหนื่อยทั่วไปเพราะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและความสัมพันธ์

 

3. ไม่ใช่การขี้เกียจหรือผัดวันประกันพรุ่ง แต่เป็นรู้สึกหมดแรงจูงใจ ในระดับที่ลึกและรุนแรง

 

4. ความรู้สึกเหนื่อยจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าการจะหนีจากโรคซึมเศร้าดูไม่มีทางเป็นไปได้เลย

 

 

อาการเหนื่อยจากโรคซึมเศร้า

1. รู้สึกว่าการทำเรื่องเล็ก ๆ เป็นเรื่องที่ยากมาก เช่น ลุกจากเตียง 

 

2. รู้สึกเหนื่อยกับการมีชีวิตอยู่แบบที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตอยู่ 

 

3. ไม่มีความสุขในการทำอะไรเลย แม้แต่สิ่งที่เคยชอบหรือสิ่งที่เคยทำให้มีความสุข

 

4. รู้สึกเหนื่อยที่จะต้องฝืนยิ้ม แสดงออกว่าตัวเองมีความสุข ทำให้สุดท้ายแล้วจะหลีกเลี่ยงการเจอผู้คน

 

ให้กำลังใจตัวเอง ง่าย ๆ สำหรับคนที่โรคซึมเศร้า 

ในมุมมองของเรา สามารถให้กำลังใจเขาในรูปแบบที่เราอยากจะให้ เช่น ตบไหล่ ทำอาหารให้กิน ทักไปถามว่าเป็นยังไงบ้าง?  อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว

 

แต่หากถามถึงความเข้าใจ ก็เข้าใจแค่นิด ๆ หน่อย ๆ เท่าที่เราอยากจะเข้าใจ เพราะว่า ยากมากหากคนที่ไม่เคยเป็นซึมเศร้า จะสามารถเข้าใจได้ทั้งหมด

 

ค่อย ๆ เรียนรู้การให้กำลังใจแบบที่ตัวคนเป็นซึมเศ้ราต้องการ ในแบบที่เราทำได้ หากกำลังเดินอยู่ในโลกซึมเศร้า สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลองใจดีกับตัวเองเมื่อเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก

 

บอกกับตัวเองว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว อดทนกับตัวเองสักหน่อยเพราะโรคซึมเศร้าต้องใช้เวลาในการรักษา ถ้าผ่าน 1 วันไปได้ วันต่อไปต้องสดใสขึ้นแน่นอน  และสำหรับคนที่กำลังมีคนใกล้ตัว

 

ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน พี่น้อง ครอบครัว เป็นโรคซึมเศร้า อยากจะบอกว่า กำลังใจสำคัญกับทุกคน โดยเฉพาะคนที่กำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้า

 

 ที่มา : 

5 Ways to Help Yourself Through Depression

7 Natural and Easy Ways to Help Yourself Through Depression