เคยคิดเล่น ๆ กันไหม ว่าถ้าตัดเรื่องความเป็นไปได้หรือความเป็นจริงออกไป เราจะขอพรอะไรกัน
โดยไม่มีเงื่อนไขที่ว่าขอได้เพียงข้อเดียวด้วย คิดว่าตัวเราเองจะขอกันมากกว่าสิบอย่างไหม
ทำไมคนเราถึงชอบขอพร
อาจจะพูดได้ว่า พรเปรียบเสมือนสิ่งวิเศษที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเรา แม้ในวันที่เราจะมีความมั่นใจพร้อมทุกอย่าง
สาเหตุที่คนเราชอบขอพร อาจจะเกิดจากความเชื่อหรือความคาดหวังว่าอยากให้ชีวิตดีขึ้น
รู้สึกว่าพรที่ขอเป็นอีกทางที่ช่วยเพิ่มพลังใจให้เราเชื่อในสิ่งที่ทำมากขึ้นว่ามันจะประสบความสำเร็จ
เพราะบางคนก็มีความเชื่อว่าเบื้องหลังการขอพร จะมีสิ่งที่ช่วยเหลือหรือปกป้องอยู่ หรือมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
ทำให้คนที่ขอพร เกิดความสบายใจว่าสิ่งที่ขอไปอาจเป็นจริง ซึ่งสามารถช่วยลดความรู้สึกไม่มั่นคงได้
อีกทั้งอาจเป็นเพราะการขอพรภาวนาช่วยให้รู้สึกมีความหวังและมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตมากขึ้น
เนื่องด้วยเรามีความเชื่อว่าเราจะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ และด้วยเหตุผลนี้ ทำให้คนเรามองการขอพรเป็นเหมือนกับการได้รับการสนับสนุนทางจิตใจ
แม้ว่าการขอพรจะไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ทันที แต่ก็เป็นวิถีทางที่ช่วยให้ผู้ขอ เกิดความเชื่อหรือรู้สึกได้ว่ายังมีคนสนับสนุนเขาอยู่
เขาไม่ได้โดดเดี่ยวในช่วงเวลาที่ยากลำบากเพียงลำพัง นอกจากนี้ การขอพรอาจเป็นวิธีการสร้างหรือกระตุ้นพลังงานเชิงบวก
เพราะคนเราเชื่อว่าการขอพรจะเสริมพลังและความโชคดีให้กับตัวเอง อาจช่วยให้มีทัศนคติที่ดีขึ้นหรือกระตุ้นให้เราตั้งใจทำงานกันมากขึ้น
เพื่อให้ความปรารถนาเป็นจริง จึงอาจมองได้ว่า การขอพรไม่ได้เป็นเพียงแค่การขอในสิ่งที่ต้องการ
แต่การขอพรนั้นมีผลทางจิตใจหรือจิตวิทยาที่ช่วยสร้างความรู้สึกดีและพลังบวกให้กับผู้ขอในช่วงเวลาต่าง ๆ ได้
การภาวนา คือ สิ่งเพ้อฝัน ?
แต่ถึงอย่างนั้น เหรียญยังมีสองด้าน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเชื่อในเรื่องการขอพรภาวนา ผู้คนบางส่วนอาจมีมุมมองว่าการขอพร
เป็นสิ่งที่อิงความเชื่อความรู้สึกซึ่งไม่มีเหตุและผลมารองรับการกระทำได้ขนาดนั้น และเชื่อว่า การจะได้มาซึ่งอะไร เราต้องลงมือทำเอง
คิดว่าการขอพรเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่างมงาย เพ้อฝัน ไม่มีจริง ซึ่งก็ไม่ผิดที่ต่างคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกันในการรับรู้ว่าอะไรสามารถควบคุมชีวิตตนเองได้
สาเหตุที่บางกลุ่มคนเชื่อว่าการขอพรเป็นสิ่งไม่มีจริง สามารถอธิบายความเชื่อมโยงได้ทั้งความเชื่อส่วนบุคคล
รวมไปถึงการมองโลกแบบวิทยาศาสตร์อย่างจิตวิทยาและมนุษย์วิทยามากกว่าแบบจิตวิญญาณ
สมมติว่าคนคนหนึ่งเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์ หลักฐาน ความมีเหตุมีผล พอเขาเจอเรื่องการขอพรที่อิงสิ่งที่เหนือธรรมชาติเข้าไป
แน่นอนว่าสำหรับเขา สิ่งนี้นับเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ และเพื่อแก้ความไม่สบายใจเช่นนี้
เขาจึงเลือกที่จะไม่เชื่อหรือปฏิเสธการขอพรนั่นเอง เช่นเดียวกับคนที่แม้ว่าจะเชื่อในเรื่องการขอพร
แต่หากขอไปแล้ว แต่ไม่ลงมือทำอะไร สุดท้ายก็อาจเกิดมุมมองต่อการขอพรว่าพรที่ขอนั้นไม่มีจริงก็ได้
อย่างในบางวัฒนธรรม เช่น ในไทย อินเดีย หรือประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองว่าการขอพรเป็นเรื่องปกติของบริบททางวัฒนธรรม
แต่ในสังคมที่เน้นโลกวิสัย ซึ่งก็คือ สังคมที่เน้นเสรีภาพในการเชื่อหรือไม่เชื่อในศาสนาก็ได้ และสังคมที่ยึดหลักเหตุผลนิยมอย่างประเทศตะวันตกสมัยใหม่
ผู้คนก็อาจไม่เชื่อในเรื่องนี้ เพราะเขาเติบโตมาในบริบทที่ความเชื่อเหล่านี้ถูกมองว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์หรือโบราณ ไม่รู้สึกว่าการขอพรมีความหมายกับชีวิต
ดังนั้น อาจจะด้วยเหตุผลอะไรต่าง ๆ ก็ตามที่ทำให้เราเกิดมุมมองความเชื่อที่แตกต่างกัน แม้จะเป็นคนในสังคมเดียวกันหรือแม้กระทั่งคนในครอบครัว
อย่าลืมที่จะเคารพความไม่เหมือนกันนั้น และอย่าตัดสินคนอื่นจากแค่เรื่องความเชื่อที่เชื่อไม่เหมือนกัน
ความปรารถนา สะท้อนบางอย่างในตัวเรา
ในทุก ๆ วัน ทั้งหลังตื่นนอนและก่อนเข้านอน หลาย ๆ คนคงมีความคิดว่าวันนี้จะดีไหม พรุ่งนี้จะเป็นยังไง
ขอให้คืนนี้นอนหลับฝันดี ขอให้พรุ่งนี้รถไม่ติด ขอให้ ขอให้ และขอให้..
ไม่ว่าจะเรื่องความรัก สุขภาพ การงาน การเงิน ครอบครัว ความสุข และด้านอื่น ๆ ของชีวิตอีกมากมาย
เรามักภาวนาที่จะให้ทุกด้านเกิดขึ้นไปในทิศทางที่ดีเสมอ ถึงปัจจุบันจะมีพร้อมดีทุกอย่างอยู่แล้ว
แต่คนเราก็ยังมีความคาดหวังที่อยากให้มันดีแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เลยเกิดคำถามที่ว่า ‘แล้วถ้าชีวิตต่อจากนี้ ขึ้นอยู่กับพรเพียงข้อเดียวที่เราขอได้ เราจะขออะไร’
ความปรารถนา จริง ๆ แล้วเป็นหน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดเผยบางอย่างในตัวเราได้ลึกซึ้งกว่าที่เราคิด ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความคิด หรือแม้กระทั่งบาดแผลในใจที่ยังไม่ถูกรักษา
เคยสังเกตตัวเองไหมว่าทำไมเราถึงอยากได้ในสิ่งนั้น บางครั้งสิ่งที่เราอยากได้ อยากเป็น หรืออยากมี…
มักไม่ใช่แค่สิ่งนั้นตรง ๆ แต่มันคือ ความหมายที่เราผูกซ่อนไว้กับสิ่งนั้น
เช่น อยากประสบความสำเร็จ เพราะลึก ๆ อยากได้รับการยอมรับ
อยากมีแฟนที่อบอุ่น เพราะอาจโหยหาความปลอดภัยในหัวใจ
ปรารถนาความสงบ อาจเป็นเพราะเราอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายมานาน
ความปรารถนาไม่เคยไร้เหตุผล มันคือเบาะแสบางอย่างของสิ่งที่จิตใจไปจนถึงระดับจิตใต้สำนึกกำลังพยายามบอกเรา
อย่างความปรารถนาที่จะควบคุมทุกอย่าง เพราะลึก ๆ อาจรู้สึกว่า ชีวิตมันเอาแน่เอานอนไม่ได้ หรืออยากเป็นที่รักของทุกคน
เพราะในอดีต เคยถูกทอดทิ้งหรือถูกเพิกเฉย มาก่อนหรือเป็นเพราะเรากำลังพยายามรักตัวเองอยู่เหมือนกัน
ความปรารถนาไม่ใช่แค่เรื่องผิวเผิน แต่มันคือร่องรอยของสิ่งที่หัวใจเราเชื่อมั่นในสิ่งนั้น เช่นเดียวกับคืนนี้ มาลองมาสะท้อนความปรารถนาในใจ
ค้นพบ Shadow ตัวเองก่อนนอน
คนเราทุกคน คงมีสิ่งที่เรียกว่า Shadow ในตัวเอง Shadow คือ ด้านที่เราปฏิเสธ ไม่ยอมรับ หรือไม่อยากมองเห็นของตัวเอง
อาจเป็นความกลัว ความโกรธ ความอิจฉา ความอ่อนแอ หรือแม้กระทั่ง “ความปรารถนา” ที่เราไม่กล้ายอมรับก็ได้
วิธีที่จะช่วยให้เราค้นพบความปรารถนาในใจตัวเอง ทำได้ง่าย ๆ ให้เราลองเริ่มจากการตั้งคำถามกับตัวเองอย่างซื่อสัตย์
“ตอนนี้ อะไรคือสิ่งที่เราอยากได้จริง ๆ ?”
“เราโกรธหรือกลัวอะไรในตัวคนอื่น? อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้น ?”
“เราอิจฉาใครอยู่ ? แล้วเขามีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกขาด?”
เพราะถ้าสังเกตดู เราจะพบว่าสิ่งที่เรารู้สึกกับคนอื่น มักเป็นความรู้สึกที่เราไม่อยากยอมรับในบางที พูดง่าย ๆ ว่า เรามักโยนความรู้สึกของเราไปใส่คนอื่น
คนที่เรา “เกลียด” มาก อาจสะท้อนถึงสิ่งที่เรา “ไม่อยากเป็น”
คนที่เรา “อิจฉา” อาจสะท้อนสิ่งที่เรา “อยากเป็นแต่ไม่กล้าบอกใคร”
คนที่เรารู้สึกว่า “เขาดูดีไปหมด” อาจสะท้อนศักยภาพที่เรา “ยังไม่ได้ดึงออกมาใช้”
ถ้าเรากล้าและเริ่มกลับมาเห็นตัวเองผ่านสิ่งเหล่านี้ ก็เท่ากับว่าเราเริ่มเข้าใกล้ shadow ในจิตใจตนเองแล้ว
แต่สำหรับบางคน การคุยกับตัวเองเพียงลมปากอาจมองไม่เห็นภาพเท่าการเขียนออกมา
การเขียนในที่นี้ คือ การเขียนทุกอย่างออกมาโดยไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์กรองเนื้อหาใด ๆ ไม่ต้องห่วงว่า
ความคิดนั้นจะถูกหรือผิด แค่เขียนออกมาแล้วลองย้อนอ่านดู บางครั้งเราอาจเห็นเงามืดที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจเราโดยที่เราก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนก็ได้
พื้นที่ที่เพื่อน ๆ เลือกที่จะพักพิงลงไป อาจจะเป็นไดอารี่ส่วนตัวของเรา หรืออาจเป็นเพียงกระดาษเอสี่ที่มีหน้าที่ถูกใช้งาน
เพื่อให้คน ๆ นึงเข้าใจคุณค่าตนเองมากขึ้น จากนั้นก็ถูกขยำหรือฉีกทิ้งทำลายด้วยความขอบคุณจากใจเรา
ความปรารถนาไม่ใช่ศัตรู และ shadow ไม่ใช่ปีศาจที่น่ากลัว
แต่ทั้งสอง คือ สิ่งที่เชื่อมโยงตัวเราในระดับที่ลึกและซื่อสัตย์ที่สุดเข้าด้วยกัน
และการได้เห็น shadow หรือความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเอง คือ ก้าวแรกสู่การยอมรับ เยียวยา และเติบโต
อย่าหยุดที่จะขอพร หากมันเป็นแรงกำลังใจให้เรามุ่งมั่นทำในสิ่งที่หวังนั้นต่อไปเลย
เพราะการที่จะสมหวังดังคำขอ อาจประกอบด้วยแรงอธิษฐานหรือกำลังใจพร้อมด้วยการลงมือทำควบคู่กันไป
Post Views: 42