Posts
นิทรรศการ “Turn Your Scars into Stars” “แม้จะเจ็บปวดแต่คุณก็งดงาม” เป็นนิทรรศการที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนที่เจอกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สวยงาม
และกลายเป็นบาดแผลที่เจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ นิทรรศการจัดในวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ The Palette Artspace
ทางทีมงาน Alljit ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พวกเราเลยอยากมาเเชร์ความประทับใจและเเรงบันดาลใจที่ได้จากงานนี้กัน
การเดินชมงานศิลปะ ทำไมถึงรู้สึกดีขึ้นได้ขนาดนี้นะ?
“ศิลปะบำบัด” อาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ การไปเดินชมงานศิลปะ เราไม่ได้ใช้เหตุผลและตรรกะ ในการอ่านทำความเข้าใจนัยยะของภาพ แต่เราใช้ “ความรู้สึก” ต่างหาก
ภาพนี้เราตีความออกมาเป็นแบบนี้เพราะเราทัชกับสิ่งนี้ ภาพนั้นเราตีความไปอีกแบบเพราะเคยผ่านประสบการณ์ประมาณนี้มาก่อน ความสนุกของการไปเดินชมงานศิลปะคงเป็นตรงนี้แหละ
และสิ่งที่ได้จากการไปชมงานในวันนั้นไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่เป็นแง่มุมและกำลังใจที่ได้กลับมา การที่รับรู้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว มีเพื่อน ๆ มากมายที่เคยประสบกับความเจ็บปวด
พวกเขาได้ก้าวผ่านมาได้ เหมือนเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ได้เหมือนกัน
“ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด”
ในวันนั้นได้พบกับ น้องธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือ น้องธันย์ สาวน้อยคิดบวก
เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนน่าจะรู้จัก หรือได้ยินชื่อน้องธันย์กันมาบ้าง เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว คงเคยได้ยินข่าวเด็กวัย 14 ปีเกิดอุบัติเหตุตกรถไฟฟ้าสิงคโปร์ จนทำให้สูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง
เธอผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน ?
ในช่วงหนึ่งของนิทรรศการน้องธันย์ได้เล่าให้ฟังว่า เธอเริ่มจาก “การมองศัตรูให้เป็นเพื่อน” ความพิการที่เกิดขึ้นก็คือศัตรูที่เธอต้องพบเจอและต่อสู้ แต่พอสุดท้ายแล้วเธอทำให้ศัตรูกลายเป็นเพื่อนที่สนิทมาก ๆ
มันได้ทำให้เรารู้จักเพื่อนคนนี้ในทางที่ดีและได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายจากความเจ็บปวดในครั้งนั้น “ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด” คนส่วนใหญ่ชอบมองว่าคนพิการจะต้องอยู่บ้านเฉย ๆ
นั่งวีลแชร์เฉย ๆ แต่การนั่งวีลแชร์ของเธอก็มีความสุขได้ มีความสุขกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และเราจะมองทุกอย่างในทางที่ดีขึ้น
หนึ่งสิ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ คุณพ่อของน้องธันย์น่ารักมาก พ่ออยู่ข้าง ๆ น้องตลอดเวลา ในขณะที่ก่อนจะสัมภาษณ์พ่อเองก็คอยประคองน้องธันย์ขึ้น-ลงเวที ถ่ายรูปเวลาน้องกำลังพูดคุยกับสื่อ
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้เวลาที่คุณพ่อกำลังมองน้องก็คือ ภายในแมสนั้นกำลังมีรอยยิ้มของพ่อที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในทุกครั้งที่มองน้องธันย์ สิ่งนี้เป็นอีกสึ่งหนึ่งที่สวยงามและน่าประทับใจ
ถ่ายทอดความเจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ
ในวันนั้นมีการเปิดตัวผลงานศิลปินชื่อดัง 11 ท่าน คือ คิ้วต่ำ, Tum Ulit , Art of Hongtae,Banana Blah Blah,Manasawii ,puck ,โรแมนติกร้าย,meetmrtwo,Yugo และ Pearytopia
และมีช่วงเวลาที่สัมภาษณ์ถึงคอนเซ็ปและเเรงบันดาลใจจากผลงาน ศิลปินแต่ละต่างมีมุมมองในแง่ของความเจ็บปวดที่น่าสนใจมากๆ เช่น
1. Farewell “ลาก่อน รักเก่า Parting is such sweet sorrow”
เป็นผลงานของคุณ Art of Hongtae ที่เล่าเรื่องราวของการจบความสัมพันธ์ ผ่านภาพของการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ การเลิกราเป็นประสบการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดสำหรับทุกคน
แต่คุณฮ่องเต้กลับนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่งว่า ความเจ็บปวดนี้อาจเป็นอีกหนึ่งความเศร้าที่งดงาม ภาพที่ออกมาจะดูละมุนและดูเศร้าในเวลาเดียวกัน
ด้วยความที่องค์ประกอบภาพหลักของภาพมีเพียง 2 อย่างคือ ‘คนหัวก้อนเมฆ สัญลักษณ์แทนความเครียดและความเศร้า’ และ ‘ท้องฟ้าสีอ่อนหวาน’ ทำให้อารมณ์ของภาพดูเศร้า เหงา
โดดเดี่ยวแต่งดงามไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเข้ากับ concept เรื่องการจากลาในมุมของคุณฮ่องเต้ ใจความของประโยคน่าประทับใจประโยคหนึ่งที่คุณฮ่องเต้พูดถึงผลงานของตัวเอง คือ
“ถ้าเรามองเรื่องการจากลาเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง เหมือนการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ เราคงมีความสุขง่ายขึ้น”
2.Someday This PAIN will be USEFUL
Someday This PAIN will be USEFUL ของคุณ ไตรภัค สุภวัฒนา นามปากกา PUCK ตอนที่เดินเข้าไปในงานรู้สึกว่าภาพนี้ดึงดูดใจมาก ๆ
ทั้งสีสันที่ฉูดฉาด รายละเอียดในภาพที่มีดีเทลเยอะแต่ลงตัวอย่างกลมกล่อม ในรูปภาพจะมีรูปประภาคารที่โดดเด่น
และมีหลายอย่าง ๆ ที่ห้อมล้อมประภาคารนั้นเอาไว้ ตรงกลางของภาพจะมีรูปผู้หญิงที่กำลังเดินเข้าประภาคาร ซึ่งที่รู้สึกถึงความหมายภาพนี้คือทุกแม้ว่าความสุขของเราจะอยู่บนยอดประภาคาร
หรืออยู่ที่ไหนสักแห่ง ในตอนนี้เราอาจกำลังจมอยู่ในความทุกข์แต่สิ่งที่เป็นทุกข์คงไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป ทุกก้าวแห่งความเจ็บปวดพาไปยังความสุขที่ผ่านการเรียนรู้
ซึ่งคุณภัคได้บอกว่า “ หลายครั้งที่จมอยู่กับความทุกข์ ฉันลองค้นหาความสุขรอบๆ ตัวแต่ภาพแห่งความสุขนั้นพร่ามัวเหลือเกิน ใครสักคนเคยบอกไว้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตเรานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์
ความสุขนั้นเป็นเพียงสายลมเย็นที่นานๆ จะพัดผ่านมาที หากเป็นเช่นนั้นแล้วความทุกข์ก็ไม่ต่างจากกองไฟร้อนที่ตั้งอยู่ข้างกายเรา ไอร้อนที่อยู่กับเราเสมอมาหรืออาจเพราะมีไอร้อนนี้
ทุกครั้งที่ลมเย็นพัดผ่าน ฉันจึงรู้สึกถึงคุณค่าของลมเย็นนั้นจริงๆ ”
3. Thank You “ขอบใจที่เจ็บ”
ชื่อศิลปิน : คิ้วต่ำ
“ความเจ็บปวด คงเป็นเหมือนช่วงเวลาเเรกตอนเลี้ยงแมวสักตัว เราอาจได้บาดแผลมากมาย แต่หากเราใช้เวลาเข้าใจ เรียนรู้ ยอมรับ และปรับตัวให้ได้ ความเจ็บปวดนั้น ก็จะเป็นความสัมพันธ์อันงดงาม”
การที่คุณคิ้วต่ำเปรียบเทียบความเจ็บปวดกับแมว ทำให้ค่อนข้างเห็นภาพชัดขึ้นว่า ทุกความเสียใจ ทุกความเจ็บปวดมันมีขั้นมีตอนของมัน วันแรกที่เราเจ็บ เราจะรับมือไม่ไหว ไม่รู้ต้องทำยังไง
แต่เราจะเรียนรู้ที่จะยอมรับเข้าใจ และอยู่ร่วมกับมันได้ เมื่อได้เรียนรู้ เราจะพบเจอกับความสวยงามบางอย่าง บาดแผลจะจางไป รอยยิ้มจะกลับมา
4. Equality Cake Planet
ในงานยังมีศิลปินนักเขียนนามปากกา โรแมนติกร้าย หรือ คุณ Win nimman เข้าร่วมในนิทรรศการนี้อีกด้วย ซึ่งคุณวินได้ห่างหายจากการวาดภาพไปค่อนข้างนานพอสมควร
และยังบอกอีกว่านิทรรศการนี้ทำให้คุณวินอยากกลับมาวาดภาพอีกครั้ง โดยผลงานในนิทรรศการมีชื่อภาพว่า Equality Cake Planet ซึ่งมีสีสันสดใส ความเป็นกวี ความรักในขนมหวานตามสไตล์โรแมนติกร้าย
“เค้กก้อนสีชมพู ถึงแม้ว่ามันจะสวยงาม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยพบกับความเจ็บปวด แค่มันเลือกจะเป็นชมพูแบบนั้นต่อไป อย่าให้โลกที่โหดร้ายมาเปลี่ยนความชมพูของเรา”
และมีบทกวีในเค้กเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘be who you are as you wish we are all equal on this sweet-lonely planet’ ซึ่งตีความหมายถึงความเท่าเทียม ความเป็น feminist
ซึ่งเชื่อในความเท่าเทียมของทุกคนและทุกเพศ ภาพเค้กที่โรยด้วยเกล็ดน้ำตาลแท่งหลากหลายสีได้แทนถึงความเท่าเทียมทางเพศ ลดความอคติ เค้กในภาพจะช่วยลดความเจ็บปวดให้กับทุก ๆ คน
และยังเป็นเค้กที่ทุกเพศทุกวัยสามารถเอนจอยได้อีกด้วย
อีกสิ่งที่อยากจะเล่าให้กับทุก ๆ คนได้ฟังคือ ตั้งแต่คุณวินเดินเข้างานมา มีน้อง ๆ แฟนคลับ หรือที่คุณวินเรียกว่า ‘แก๊งสายหวาน’ รอคุณวินตั้งแต่เดินเข้ามา มีการขอถ่ายรูปและชื่นชมผลงานโรแมนติกร้าย
บรรยากาศการที่แฟนคลับพูดคุยกับคุณวินอบอุ่นและเป็นกันเองมาก ในขณะที่คุณวินพูดอยู่บนเวลาทีนั้น ยังได้พูดถึงความเท่าเทียมซึ่งทำให้เราได้รู้สึกว่า
ความเท่าเทียมคือสิ่งสำคัญมากที่เราทุก ๆ คนควรตระหนักถึง
5.Another purpose of pain
ชื่อศิลปิน: Meetmrtwo
“Sometime,pain can become your cure.”
โดยคุณสองได้อธิบายถึงผลงานชิ้นนี้เอาไว้ว่า การที่ชีวิตเราผ่านอะไรมามาก ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่เราพบเจอได้สอนให้เราเรียนรู้เเทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด
โดยเปรียบความเจ็บปวดที่เราได้พบเป็นเหมือนสีที่ไหลออกมา แล้วเอาสีนั้นมาวาดเป็นจุดหมายของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เป็นการเปลี่ยนความเจ็บปวดของเราให้กลายเป็นจุดหมาย
เเรงบันดาลใจก็มาจาก ชื่อนิทรรศการ Turn Your Scars into Stars ที่บาดแผลทำให้เรามีเลือดไหลออกมา แต่เปลี่ยนจากเลือดตรงนั้นเป็นสีแทน
ครั้งแรกที่ได้ฟังคุณสองอธิบายถึงผลงานชิ้นนี้ เป็นสิ่งที่ประทับใจมาก ๆ เพราะบางครั้งความเจ็บปวดก็ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานนับครั้งไม่ถ้วน ร้องไห้กับมันนับครั้งไม่ถ้วน
แต่สุดท้ายความเจ็บปวดที่เราเจอ ในบางครั้งก็ทำให้เราเติบโตขึ้นและกลายเป็นเป้าหมายที่ทำให้ชีวิตเราก้าวต่อไปข้างหน้า
6.Colorful Daggers
ชื่อศิลปิน : Tum Ulit
“Fill in the right gap to release yourself from pain”
ความรู้สึกแรกที่เห็นผลงานชิ้นนี้ คือ ถ้าอยากจะมีผลงานศิลปะสักชิ้นไว้ในห้องนอน ก็คงเป็นชิ้นนี้ ให้ความรู้สึกน่ารัก อบอุ่นและคงเพิ่ม mood ให้ห้องนอนเป็น Safe Zone ให้เราได้ดี
คุณตั้มเล่าว่าได้รับเเรงบันดาลใจจากการถูกทำร้ายด้วยคำพูดหรืออารมณ์ของคนอื่นซ้ำ ๆ เมื่อผ่านความเสียใจจนวันนึงเกิดเป็นการตกตะกอนได้ว่า
“เราควรตั้งตนให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น” โดยใช้ “เกมเสียบถังโจรสลัด” มาเเทนหัวใจที่ถูกทิ่มเเทง แต่ถ้าเสียบได้ถูกช่อง เราก็จะกระเด็นออกจากความทุกข์นั้น:)
ทำให้นึกถึงตอนที่ทาง Alljit ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตั้มในเรื่องของ การก้าวผ่านความเจ็บปวด และช่วงเวลาที่ยากที่สุด? คุณตั้มได้บอกว่า
“เมื่อเกิดความเจ็บปวดเราจะตั้งคำถามว่าทำไมเราไม่ทำอย่างนั้น? อย่างนี้? ซึ่งเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเราที่สุด แต่อีกส่วนหนึ่งคือ คำถามว่าเมื่อไหร่เราจะกลับมาเป็นปกติ
การรอเวลาเพื่อกลับไปถึงจุดนั้นมันทรมาน เพราะเรารู้สึกว่าการจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งต้องต่อสู้กับตัวเองเยอะมาก”
เพราะฉะนั้นภาพนี้เป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเหมือนกันว่าในวันนึงเราก็จะออกมาได้แหละ ถังโจรสลัดที่ทำให้เราถูกทิ่มแทงนับครั้งไม่ถ้วนใบนี้
เเละวันที่เราทะยานออกมาได้คงเป็นวันที่สดใสเหมือนผลงานของคุณตั้มชิ้นนี้:)
ยังมีผลงานของศิลปินอีกหลายท่านที่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ลึกซึ้ง สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน จนพวกเรายังแอบคุยกันว่า คงเอามาพูดใน Podcast ได้หลายอีพีเลย
Mini Gallery Turn Your Scars into Stars
ภายในงานจะมีผลงานของศิลปินทางบ้านที่ได้เข้าร่วมเป็น Mini Gallery บริเวณชั้นสาม ผลงานของศิลปินทางบ้านถูกประดับด้วยการแขวนเรียงกันให้ผู้เข้างานได้เข้ามาเยี่ยมชม ทุกรูปภาพที่ได้ศิลปินทางบ้าน
ได้ทำการวาดภาพเข้ามา มีเรื่องราวที่อยู่ในภาพเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจ การตีความได้อย่างลึกซึ้ง แต่การที่ได้ไปเดินชมก็สัมผัสได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในภาพเหล่านั้น
นอกจากจะได้เข้าร่วมใน Mini Gallery แล้ว ทางงานก็มีรางวัลรูปภาพขวัญใจศิลปินทั้ง 11 ท่านหรือ “Artist’s Pick! ” ศิลปินแต่ละท่านจะให้รางวัล การที่ได้รับเข้าร่วมเป็นเรื่องที่น่ายิน
และการได้รางวัลจากศิลปินที่ชื่นชอบเหมือนเป็นแรงใจ ประสบการณ์ที่น่ายินดีและจุดประกายความฝันให้ยิ่งขึ้นไป
ในส่วนของชั้น 3 ที่นอกจากจะจัดแสดง Mini Gallery Turn Your Scars into Stars แล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ Art Market เอาใจสายช้อปงาน Hand made อย่างเรา ๆ
ร้านมากมายถึงเกือบ 20 ร้าน อาทิเช่น สติ๊กเกอร์ลายน่ารัก ๆ, กระเป๋าถักจากไหมพรม สมุดโน้ต กำไลข้อมือ ต่างหู เทียนหอม เป็นต้น เรียกว่าถ้าไม่คุมสติดี ๆ ได้มีกระเป๋าฉีกแน่ ๆ งานนี้
เปิดไพ่ฮีลใจและค้นหาคริสตัลประจำตัว
สิ่งนึงที่ทางทีมงานเสียดายมาก ๆ คือ อดเข้า Workshop ในงานวันที่ 5 เพราะเป็น Workshop ที่น่าสนใจมาก แต่อาจจะเป็นความโชคดีบนความน่าเสียดายที่เราได้มีโอกาสไปเปิดไพ่
และเลือกหินประจำตัวที่โต๊ะเล็ก ๆ ของคุณแอ้และคุณแคท ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์แทน
เปิดไพ่ฮีลใจ
จากคุณ แอ้ Memo Smile จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับการดูดวงนั่นแหละ แต่สิ่งที่แตกต่างจากการดูดวงที่ผ่านมาของเราคือ คำพูดที่ว่า
“การดูดวงที่ดี คือ การดูแล้วเห็นเส้นทางของตัวเอง หรือช่วยให้การตันสินใจได้ง่ายขึ้น” ถ้าดูแล้วจิตตก กังวล อาจจะไม่ใช่การดูดวงที่ดีนัก เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่า การดูดวงครั้งนี้พิเศษตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย
แล้วก็พิเศษแบบนั้นจริง ๆ ช่วงเปิดไพ่ ก็พบว่า เส้นทางของเราอาจจะไม่ได้สวยงามตลอดทั้งเส้น แต่ขอให้เชื่อมั่น และลงมือทำ เพราะเธอมาถูกทางแล้ว… แต่ความมั่นใจเราก็ยังมาไม่สุดทางอยู่ดี
คุณเเอ้จับมือเรา พร้อมให้เปิดไพ่ใบสุดท้าย ที่บอกว่า “ KEEP YOUR HEART OPEN EVEN WHEN IT HURTS” และนั่นคือคำตอบของทุกอย่างที่ทำให้พลังความมั่นใจในตัวเราถูกเติม
ความประทับใจอีกอย่างในระหว่างการเปิดไพ่ คือ มีกล้องหลายตัว เข้ามาจับภาพ แต่คุณแอ้กังวลเพราะหน้าสด เราเลยอาสา ปัดแก้มให้ พร้อมยื่นกระจกให้ทาตาด้วย
มันคือความสัมพันธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่มันทำให้ใจฟูจริง ๆ ปิดท้ายด้วยการ กอดให้กำลังใจ วินาทีนั้นเราตั้งใจหลับตา และตั้งใจรับพลังนั้นเข้ามา
จากไม่กี่นาทีที่คุย จากไม่กี่เสี้ยววินาทีที่สัมผัสกัน มันเป็นพลังบวกที่ส่งถึงกันจริง ๆ และคุ้มค่าที่ได้ไปร่วมงาน “Turn Yours Scars into Stars”
My Crystal Mandala
จาก “คุณแคทผู้เชี่ยวชาญทางด้านหินแร่” ในการค้นพบคริสตัลประจำตัวของคุณและสัมผัสพลังงานของผืนดิน
เพราะชีวิตต้องเจอกับเรื่องราวที่เจ็บปวด สิ่งที่ช่วยฮีลใจในวันยาก ๆ อาจจะเป็น ‘คริสตัล’ My Crystal Mandala เป็นเวิร์คช็อปที่จะพาทุกคนค้นหาหินประจำตัว
ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง หินเหล่านี้อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงช่วยดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามา ตอนที่เข้าไปที่บูธ ได้รับการแนะนำดีมาก หินประจำตัวเลยเป็นสิ่งใหม่อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รู้จักจากนิทรรศการนี้
การที่เราได้พาตัวเองให้ถูกล้อมรอบไปด้วยผลงานศิลปะของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดเหมือนกัน เจอกับบาดแผลเหมือนกัน ทำให้เราได้ฮีลใจของตัวเอง
ได้รับกำลังใจจากคนที่เคยเจอกับประสบการณ์ที่ไม่ดีเหมือนกันและได้มองตัวเองในมุมมองใหม่ว่า แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เราก็ยังคงสวยงามเหมือนเคย…
“ขอบคุณที่ก้าวผ่านความเจ็บปวดในวันนั้น มาเป็นเธอในวันนี้” – จาก Alljit
แมวยิ้มง่าย ใช่ว่า . . . แตกสลายไม่เป็น บทสนทนาว่าด้วยรอยขีดข่วนแห่งยุคสมัย
หนังสือ หน้าปกเล่มสีขาว มีน้องเงาแมวดำ เขียนโด คุณใบพัด นบน้อม
หนังสือที่เราได้อ่านแล้วเหมือนเราอ่านสิ่งที่เราคุยกับเพื่อน เป็นหนังสือที่มีบทสนทนาระหว่างคนกับแมว และแมวกับคน ที่เต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วนของยุคสมัย
เราจะเห็นได้ว่าเนื้อหาในหนังสือมีการพูดถึงสิ่งที่คนทั่วไปเจอกันใยุคนสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Beauty standard,ความเจ็บปวดของการที่ต้องไล่หาความสำเร็จ
หรือ การที่เราอยากเป็นคนกลาง ๆ ไม่ขวนขวายอะไรกับสังคม
A Chapter ที่ชอบ
คนกลาง ๆ
การเป็นคนกลาง ๆ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่มีแพชชั่นอะไรรุนแรง เอาตัวรอดไปเรื่อย ๆ ให้พอมีความสุขไปวัน ๆ จะสามารถอยู่รอดได้ไหมนะ .. ?
แต่ทั้งหมดที่พูดมาก็ต้องใช้เงิน อยากเป็นกลาง ๆ ที่ร่ำรวยจัง อยากเป็นกลาง ๆ ที่ทำงานเหมือนกับการไปเข้าสังคม
แต่ความเป็นจริงเราจะทำได้ไหม คงอยู่ที่เราพอใจ เราคงสามารถเปนคนกลาง ๆ ได้โดยที่ไม่เอาเสียงขของคนรอบข้างมากดดันตัวเอง
พอได้อ่านจบแล้ว มีใครอยากเปนคนกลาง ๆ เหมือนกันไหม คนกลาง ๆ ของแต่ละคนอาจนิยามไม่เหมือนกัน การใช้ชีวิตมันเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องไล่ตามสิ่งต่าง ๆในโลกใบนี้
เพราะฉะนั้นแล้วอย่าฝืนมากเกินไปถ้าไม่เป็นตัวของตัวเอง และการฝืนมันไม่ได้ทำให้เรามีความสุข ขอให้ทุกคนได้พบเจอนิยามการเป็นคนกลาง ๆ ที่เรามีความสุขไปกับมัน
วิ่ง
สไลด์จอมือถือก็เจอแต่คนมีชีวิตดี ๆ ขึ้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง ใช้ชีวิตท่ามกลางการแผดเผาความสำเร็จของคนอื่น จมอยู่กับความรู้สึกเราเก่งไม่พอ สวยไม่พอ ตัวเล็กลีบไปวันทุกวัน
วิ่งช้าบ้างก็ได้ อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย อนุญาตให้ตัวเองผิดพลาดตัวเองบ้างก็ได้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่พอเราอยากวิ่งให้ช้าลง
ก็กลัวตกขบวนเหมือนโดนหลอกให้หยุดพักชื่นชมข้างทาง แล้วโดนคนอื่นแซงไประหว่างทาง เลยได้ค้นพบว่าการที่เราจะวิ่งลองฟังเสียงในตัวเราดูไหม ?
แรงจูงของเรามีอยู่ 2 แบบ
การทำอะไรหวังผล ทำเพื่อที่จะได้รับอะไรบางอย่างตอบแทนจากภายนอก เงิน ชื่อเสียง การยอมรับ
ทำอะไรเพราะเรารู้สึกชอบ และมาจากใจจริง ๆ ลองหาสิ่งที่ตัวเราเองชอบ โดยท่่ไม่ต้องนึกถึงว่าสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับ ถึงแม้จะเป็นเรื่องไร้สาระก็ตาม 🙂
ประโยคที่อยากบอกเล่าจากคนอ่าน
“ชอบแบบไหน ก็ทำแบบนั้น มีความสุขในแบบของตัวเอง และเคารพความรู้สึกของคนอื่นแค่นั้นเอง”
บางครั้งถ้าเราลองหยุดคิด หยุดเปรียบเทียบ หยุดประเมินตัวเองบ้าง ชอบอะไร มีความสุขกับอะไรก็ทำไป ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เดือดร้อนใคร
ไม่ได้หมายความว่าการประเมินตัวเองไม่ได้ไม่ดีไปสะทุกด้านบางทีการประเมินตัวเองจะทำให้เราเจอว่าเราควรปรับจุดไหน ความ ‘พอดี’ ในการใช้ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ
พอพูดถึง ‘ความรัก’ การที่เราเป็นแฟนกัน ต้องอยู่ใกล้ชิดกันสิ การอยู่ด้วยกัน ตัวติดกัน มันเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ เลย แต่ ความใกล้ชิด ที่มากเกินอาจจะ ‘ทำร้าย’ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ก็ได้
เพราะ ความรักคือการต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่
ความรักคือการที่ “มีพื้นที่” ส่วนตัวของกันและกัน ใช่
พื้นที่ส่วนตัว กับ ความสัมพันธ์ สำคัญอย่าไร?
Terri Orbuch นักจิตวิทยา ศาสตราจารย์ด้านการวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคมแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน และผู้แต่ง Finding Love Again: 6 Simple
กล่าวว่า “การมีพื้นที่ว่างหรือความเป็นส่วนตัวเพียงพอในความสัมพันธ์ มีความสำคัญต่อความสุขของคู่รักมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์ที่ดี” และการให้พื้นที่ส่วนตัว ช่วยยืดความสัมพันธ์ได้
ในการวิจัยนี้ Orbuch ศึกษาเกี่ยวกับการแต่งงานและการหย่าร้าง ตั้งแต่ปี 1990 และมีส่วนร่วมในการศึกษาเรื่องการแต่งงานระยะยาวในสหรัฐอเมริกา
ที่เรียกว่า The Early Years of Marriage Project ซึ่งในโปรเจกต์นี้ ได้ติดตามคู่แต่งงาน 373 คู่มานานกว่า 25 ปี พบว่าคู่รักกว่า 46% ในโปรเจกต์นี้ ได้หย่าร้างกัน
ในระหว่างการวิจัยค้นคว้า พบว่าคู่สมรส 29% กล่าวว่าพวกเขามี “ความเป็นส่วนตัวหรือเวลาสำหรับตนเอง ไม่เพียงพอในความสัมพันธ์”
โดยฝ่ายที่เป็นภรรยากว่า 31% บอกว่ามีพื้นที่ส่วนตัวไม่เพียงพอ และ 11.5% บอกว่า เหตุผลที่ไม่มีความสุขในชีวิตคู่ เพราะขาดความเป็นส่วนตัวหรือไม่มีเวลาให้ตัวเอง
ดร.Orbuch ก็สรุปเอาไว้ว่า การให้พื้นที่ส่วนตัว ช่วยยืดความสัมพันธ์ได้ เนื่องจาก การให้พื้นที่ส่วนตัวนั้น ทำให้มีความสุขมากขึ้น และรู้สึกเบื่อน้อยลง
เพราะเวลาส่วนตัวได้เอาไปประมวลผลความคิด ไปทำงานอดิเรก และผ่อนคลายตัวเอง โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้อื่น ช่วยปลดปล่อยความเครียด และช่วยลดความกดดันในชีวิตคู่ลงได้
John Aiken นักจิตวิทยาด้านความสัมพันธ์และนักประพันธ์ก็รู้สึกเห็นด้วย เพราะการมีระยะห่างในความสัมพันธ์ จะกระตุ้นให้แต่ละฝ่ายไปรักษาความรู้สึกของตัวเอง
และรักษาตัวตนของตัวเองได้ในขณะที่ยังเป็นคู่รักกันอยู่ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมความเป็นอิสระ และทำให้ความสัมพันธ์เหนียวแน่นมากกว่าการเกาะติดกันตลอดเวลาอีกด้วย
ความใกล้ชิด ในความสัมพันธ์บางทีก็สะท้อนถึงมุมสุขภาพจิต
Separation Anxiety โรควิตกกังวลจากการแยกจาก
อาการที่พบบ่อยในวัยเด็ก แต่ วัยผู้ใหญ่ก็สามารถเป็นได้เหมือนกัน
หากตอนเด็กเราถูกละเลยหรือถูกทอดทิ้งบ่อย ๆ จะทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือเกิดความไม่ไว้วางใจในตัวพ่อแม่หรือผู้ปกครองคนอื่น ๆ ของเรา
ก็จะนำไปสู่ “Anxious Attachment” หรือ “ความผูกพันแบบกังวล” พอโตขึ้นและมีความรักความสัมพันธ์เป็นของตัวเอง ก็อาจจะกลายเป็นคนขี้กังวลในความสัมพันธ์ได้ เช่น
- กลัวถูกแฟนทิ้ง
- อยู่คนเดียวไม่ค่อยได้
- ต้องการความมั่นใจจากคนรักว่าเขารักเราจริงๆ
Dependent Personality Disorder (DPD)
พฤติกรรมพึ่งพาคนอื่นมากเกินไป ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองได้ กลัวการแยกจาก ถ้าอีกฝ่ายต้องจากหรือห่างไปจะรู้สึกไม่สบายใจ
ต้องการการสนับสนุนทางจิตใจ ร่างกาย อยากให้อีกฝ่ายมาซัพพอร์ตไม่มั่นใจในตัวเอง
สามารถกระทบกับความสัมพันธ์ได้อย่างไร . .
เช่น พอเรามีแฟนแฟนขอไปเที่ยวกับเพื่อน เราให้แฟนไปแต่ก็ขอไปกับแฟนด้วย ในครั้งแรกแฟนก็ให้ไปด้วย แต่ในความรู้สึกจริง ๆ เขาจะมีความพะวงว่าเราจะเบื่อไหม
เราจะสนุกไหม หรือจริง ๆ แล้ว แฟนขอไปกับเพื่อนเพราะว่าแฟนอยากไปใช้เวลาอยู่กับเพื่อนจริง ๆ ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ การที่พึ่งพาแฟนมากเกินไป
โดยที่ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวให้เขา พื้นที่สังคมให้กับเขาเลยอาจจะส่งผลให้กลายเป็น Toxic Relationship ได้ ลองนึกภาพว่าความสัมพันธ์เป็นวงกลมซ้อนทับกัน
วงกลมที่ซ้อนทับคือสิ่งที่เรามีเวลาร่วมกัน และก็ยังมีเสี้ยววงกลมของตัวเองทั้งคู่ พยายามอย่าให้วงกลมมันทับสวมรอยกัน เพราะนั้นอาจจะเป็นอะไรที่มากเกินไปของทั้งสองฝ่าย
ห่างแบบไหนถึงไม่ห่างเหิน
เราจะมีพื้นที่ส่วนตัวยังไงให้เรารักตัวเองไปด้วยและรักคนของเราไปด้วย
- รักษาความสัมพันธ์ เวลามีแฟนเรามักจะตัวติดกับแฟนจนบางทีเราก็หลงลืมความสัมพันธ์กับรอบตัวไปด้วย เราต้องรักษาระดับความสัมพันธ์กับแฟนและคนรอบตัว เพื่อนสนิท พ่อแม่ของเรา
- คุยกันอยู่เสมอ คุยกันอยู่เสมอที่ไม่ได้แปลว่าคุยกันตลอดเวลา แต่เป็นการพูดคุยกันเพื่อให้เข้าใจตรงกันในความสัมพันธ์ เปิดใจคุยกัน
- รักษาความรักให้เหมือนใหม่อยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะคบกันมายาวนานอย่าลืมที่จะคอยหยอด หรือพูดหวาน ๆ ใส่กัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ อาจจะเป็นการให้กำลังใจให้รู้สึกว่าเรามีอีกฝ่ายอยู่ข้าง ๆ เสมอนะ
สุดท้ายมันเป็นคุณค่าของแต่ละคนที่ให้กับสิ่งหนึ่ง มันไม่มีผิดหรือถูก มันอาจจะเป็นแค่ว่าคุณค่าของเรามันตรงกับคุณค่าของอีกคนหรือเปล่า
อีกคนยอมรับได้กับคุณค่าที่เราให้หรือเปล่า ถ้าเห็นไม่ตรงกันก็อาจจะทำให้อึดอัด แต่ถ้าเห็นตรงกันต่างคนมันก็ต่างยอมรับได้และอยู่ด้วยกันได้ 😀
ที่มา :
Staying Compatible by Staying Yourself
สมาธิสั้น เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตมากขึ้นจริงไหม สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียทำให้หลายคนจดจ่อกับอะไรได้ยากขึ้นหรือเปล่า
ในมุมมองทางการแพทย์ สมาธิและสติสำคัญอย่างไร ถ้าอยากพัฒนาตัวเองให้มีสมาธิและสติมากขึ้นจะทำอย่างไรได้บ้าง ร่วมพูดคุย Alljit X คุณ ณัฏฐชัย รำเพย จิตแพทย์ 🙂
Social Media ทำให้สมาธิสั้น จริงหรือไม่
ค่าเฉลี่ยนสมาธิของผู้คนลดลงจริง อาจเป็นไปได้ทั้ง ปัจจัยภายใน – ภายนอก และเนื่องด้วยปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปเยอะ เช่น โลกในยุคปัจจุบันมีสิ่งที่ Distract เรามากมาย ทุกอย่างเข้าถึงเร็วและง่ายไปหมด
สมาธิสำคัญอย่างไร
ถ้าหากเรามีสมาธิ โฟกัส ก็จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
สาเหตุที่ทำให้ สมาธิสั้น คืออะไร
ภายนอก
1. สิ่งแวดล้อมที่จะดึงความสนใจของเรา เช่น เสียงดังรบกวน สภาพอากาศ
ภายใน
1. ความเหนื่อยล้า
2. ความเครียดและ วิตกกังวล
3. ความชอบ และความสนใจส่วนตัว
ไม่มีสมาธิ กับสมาธิสั้น แตกต่างกันหรือไม่
สมาธิสั้น เป็นโรคชนิดหนึ่ง ที่ทางการเเพทย์ เรียกว่า “โรคสมาธิสั้น” ซึ่งโรคนี้ติดตัวมาแต่กำเนิดอาจเกิดจากปัจจัยทางชีวภาพต่าง ๆ
ในส่วนของการ ไม่มีสมาธิ อาจเป็นแค่ภาวะที่เกิดได้ในคนทั่วไป และในบางครั้งอาจมีคนที่อาการคล้าย ๆ โรคสมาธิสั้นเป็นช่วง ๆ เพราะปัจจัยภายนอกและภายในต่าง ๆ
สังเกตสมาธิตัวเองอย่างไร
เทียบกับตัวเองในก่อนหน้านี้ ถ้าหากเรารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนเดิม โฟกัสอะไรได้น้อยลง โฟกัสไม่ได้ ค่อย ๆ หันมาดูแลตัวเอง แต่หากวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่นั้น ต้องพบผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
อยากมี สมาธิ มากขึ้นทำอย่างไร
1. ฝึกฝนอยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง จนเกิดความสม่ำเสมอ ความเคยชินของสมอง ช่วงแรก ๆ อาจจะเหนื่อย แต่ต้องค่อย ๆ ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ
2. ลองสาเหตุที่กวนใจ และเคลียร์ความกังวลนั้นออกไปก่อน
3. การฝึกสติให้ตระหนักรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เช่น ตอนนี้กำลังกังวล ตอนนี้กำลังไม่มีสมาธิ สิ่งรอบข้างเกิดอะไรขึ้นบ้าง
การฝึกสติทำได้โดยการหายใจเข้า- ออก ลึก ๆ และรู้ลมหายใจตัวเอง เป็นการฝึกให้ตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเราเริ่มนิ่ง สมาธิจะเกิดขึ้นตามมา
4. จำกัดปัจจัยภายที่รบกวนเรา เช่น เสียงรบกวน หรือ มือถือ เป็นต้น
บทความที่น่าสนใจอื่น ๆ คลิก
ความเปลี่ยนแปลง เกิดได้ทุกวัน ทุกเวลา แต่ไม่ง่ายที่จะยอมรับ เพราะเราไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
จะรับมือกับความกลัวอย่างไร มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂
ความเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นทุกวันไหม ..
เราไม่เหมือนเดิมสักวัน ตอนเช้าเราอาจเป็นคนที่อารมณ์ดี แต่ระหว่างวันถ้าเราได้เจอเรื่องที่ติดขัด หรือเจอเรื่องที่เข้ามากระทบกับความรู้สึกของเรา
ในตอนเช้าที่เรารู้สึกอารมณ์ดีอาจเปลี่ยนเป็นตอนเย็นที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วคนเราคงไม่ใช่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงทุกวัน แต่สามารถเปลี่ยนได้เป็นทุกชั่วโมง ทุกนาที
จะรับมือกับความกลัวการเริ่มต้นใหม่อย่างไร?
ความเปลี่ยนแปลงมาพร้อมกับความกลัว ความกังวล เราไม่รู้ว่าสถานที่ใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่เราต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
เพราะฉะนั้นแล้วเราควรเข้าใจสิ่งที่ต้องเผชิญว่า นี่คือสิ่งที่เราต้องเผชิญหลังจากนี้นะ เตรียมใจรับสิ่งใหม่ ๆ ถึงแม้ว่าช่วงแรกจะมาพร้อมกับหลากหลายความรู้สึกก็ตาม
เผชิญหน้ากับ ความเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงน่ากลัวเสมอในการเริ่มต้น การเริ่มต้นใหม่มาพร้อมกับความไม่รู้ เมื่อเราไม่รู้เราก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัย
ลองก้าวออกมาจากความกลัวอะไรบางอย่างของตัวเราเอง ถ้าเราก้าวข้ามก้าวแรกออกไปเราจะได้เรียนรู้ว่าทั้งหมดที่เรากลัวคืออะไร
ความกลัวที่กับดักของเราที่ไม่อยากเริ่มอะไรใหม่ ๆ กับดักทางความคิดว่าเราทำได้แค่นี้ ข้างนอกมันน่ากลัวจังเลย
ข้อดี ความเปลี่ยนแปลง
ความเปลี่ยนแปลงทำให้เราเติบโต ทำให้เรามีโอกาสในการพัฒนาตัวเอง มองเห็นโลกได้หลากหลายมากขึ้น
ถ้าเรายังอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเราจะมองเห็นแค่โลกของเรา เปลี่ยนจากความกลัวเป็นความท้าทายเราจะได้มีความกล้ามากขึ้น
ในวันที่มีเรื่องแย่ ๆ เข้ามา สิ่งแรกที่เราจะทำหลังจากเกิดเรื่องที่ไม่ดีคืออะไรกัน . . คำตอบส่วนใหญ่แล้วคงเลือกที่จะ ระบายความในใจ กับใครสักคน
อาจเป็นคนที่สนิทใจหรือเป็นการโพสระบายผ่านโซเชียลก็ตาม แต่การระบายที่เราทำอาจจะเป็นพิษกับคนอื่นได้เหมือนกัน
Trauma Dumping
การระบายที่เป็นพิษหรือ Trauma Dumping คิอการที่ใครสักคนพยายามที่จะระบายความทุกข์ของตัวเองให้คนรอบข้างฟัง ‘มากเกินไป’
จนทำให้อีกฝ่ายเหมือนเป็นที่รองรับเกิดความลำบากใจ หรืออาจจะไปถึงเกิดความทุกข์ใจเสียเอง
Carlar Manly นักจิตวิทยาได้อธิบายไว้ว่า แม้ว่าการ Trauma Dumping นั้นจะทำให้ผู้ระบายรู้สึกโล่งใจหรือสบายใจขึ้นมา
แต่ก็อาจทำให้ผู้รับสารเกิดความรู้สึก เหน็ดเหนื่อย ดาวน์ อึดอัด โกรธ รู้สึกกำลังโดนเอาเปรียบ เมื่อต้องรับฟังมันมากเกินไป
โดยอย่างแย่ที่สุดก็คือไปกระตุ้นเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีตที่เลวร้ายของตัวเองขึ้นมาอีกรอบ
แต่อย่างไรก็ตาม การระบาย ก็เป็นทางออกที่ดีในวันที่เจอเรื่องแย่ ๆ เพราะฉะนั้นแล้วการระบายที่พอดีคืออะไร?
การระบายที่ดี Healthy Venting
การระบายความทุกข์ใจ ที่อีกฝ่ายเต็มใจที่จะรับฟังและสนับสนุนความรู้สึกของเราอย่างเต็มที่ โดยไม่รู้สึกอึดอัด หรือเราสอบถามความสะดวกของเขาก่อนที่เราจะระบาย
จะมีความแตกต่างกับการระบายที่เป็นพิษหรือ Trauma Dumping เช่น จะไม่มีการนินทาคนอื่น มีหัวข้อการคุยที่ชัดเจน มีเวลาในการคุยที่พอเหมาะ เปิดรับความคิดเห็นที่ หรือแนวทางแก้ไข
เรากำลัง Trauma dumping ใส่คนอื่นอยู่หรือเปล่า?
- ระบายมากเกินไปจนไม่เหมาะสม
- ไม่มีช่วงแบ่งให้อีกฝ่ายได้แบ่งปันความทุกข์ใจบ้าง
- ระบายเรื่องราวซ้ำ ๆ หรืออธิบายรายละเอียดของเหตุการณ์อย่างเกินจำเป็น
- มีเรื่องราวในอดีตที่กระทบเทือนจิตใจเข้ามาอยู่ในบทสนทาทั่วไปอยู่บ่อยครั้ง
- พยายามตั้งใจเลือกคนที่จะระบายด้วยโดยรู้ว่าคนนั้นจะไม่ปฏิเสธเราแน่นอน
พอได้ลองตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้แล้ว เราอาจจะคิดว่าตัวเราต้องเคยทำแบบนี้แน่ ๆ เลย แต่ว่าถ้าเรารู้ว่าเราเคยแล้วก็อย่าเลิกที่จะระบายแล้วเก็บไว้คนเดียวเลยนะ
เพราะยังไงการที่เราระบาย มีคนที่อยู่ข้าง ๆ คอยเป็น Social support ก็สำคัญและดีกับสุขภาพจิตของเราเหมือนกัน 🙂
เพราะฉะนั้นเลยต้องตั้งคำถามกับตัวเองโดยคำถามเหล่านี้ ขอบคุณข้อมูลจาก mission to the moon
- การระบายของเราจะส่งผลกระทบกับคนอื่นไหม เช่น ตอนนี้ เราอยากระบายเรื่องานกับเพื่อนคนนี้มาก แต่เพื่อนคนนี้เขาก็กำลังเครียดเรื่องงานเหมือนกัน เราอาจจะต้องหาคนอื่นที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราสบายจะได้ไม่สร้างบาดแผลให้คนอื่น
- ทำไมเราถึงอยากระบายเรื่องนี้ เพราะเราไว้ใจคนนี้ หรือเพียงแคว่ามันรู้สึกดีที่ได้พูดออกไป
- เราได้ให้โอกาสคนที่รับฟังเรา ได้ระบายความในใจกลับมาด้วยหรือไม่
- คนอื่นจะสบายใจไหม ที่จะรับฟังเรื่องของเรา
- เราเคยระบายเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังไปแล้วหรือยัง
ผลกระทบของ Trauma Dumping
อาจมีบางครั้งที่ Trauma Dumping จะกลายเป็นมากกว่าแค่ความอึดอัด แต่บางครั้งก็สามารถทำให้บางความสัมพันธ์ค่อย ๆ ห่างหายกันไป
ความรู้สึกของผู้ที่ถูกได้รับผลกระทบใส่ เวลาที่ได้รับความคิด อารมณ์ จะรู้สึกหนักใจและทำอะไรไม่ถูก
เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองหรือ หรือบางทีก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ตอบสนองเลย
ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับการระบายความรู้สึก
- Application Alljit หรือ อื่น ๆ
- การจดบันทึก การเขียนไดอารี่
- ระบายกับคนใกล้ชิด ที่เขาเลือกเรา เราเลือกเขา
- เข้าหาผู้เชี่ยวชาญ
ที่มา :
When Venting Turns Toxic: What Is Trauma Dumping?
The Difference Between Venting and Dumping
หลุมพรางทางความคิด เมื่อรู้สึกสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือคลั่งไคล้อะไรบางอย่างจนมองข้ามสิ่งที่ไม่ดี สิ่งนั้นเรียกว่า Halo Effect เพราะคนที่ถูกใจ ทำอะไรก็ถูกต้อง
Halo Effect
การรับรู้ทางบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยที่ตัวของเราจะสรุปนิสัยคน ๆ นั้นด้วยความรู้สึกแรก ซึ่งการรับรู้ทางความคิดนี้เกิดขึ้นได้เป็นอัตโนมัติ
อาจจะเกิดขึ้นแบบที่เรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ ดังกล่าวคือ มนุษย์มีแนวโน้มจะหาอะไรมา ‘ยืนยัน’ หรือมองหาสิ่งที่ ‘สอดคล้อง’ กับความเชื่อหรือความคิดเดิมของตัวเอง
มากกว่าสิ่งที่ขัดแย้งกับเรื่องที่ ‘ปักใจ’ เชื่อไปแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกตึงเครียด อึดอัด หรือไม่สบายใจ
ประวัติความเป็นมาของ Halo Effect
คำว่า Halo แปลตรงตัวหมายความว่า รัศมีวงกลมที่อยู่บนหัวของเทวดานางฟ้า ซึ่ง Halo Effect จะใช้เรียก ภาวะการรับรู้ที่เรามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งและประเมินสิ่งนั้นดีเกินจริง
ราวกับเราเห็นรัศมีนางฟ้าอยู่บนสิ่งนั้น ๆ ต้นกำเนิด ในปี 1920 นักจิตวิทยา นามว่า ‘เอ็ดเวิร์ด ธอร์นไดค์’ (Edward Thorndike) ได้ตั้งคำถาม จึงทำการทดลอง
พร้อมอธิบายปรากฏการณ์ที่เข้าข่าย ‘คนที่ใช่ ทำอะไรก็ไม่ผิด’ นี้ด้วยคำว่า ‘Halo Effect’ พบว่า หากมนุษย์รับรู้ถึงคุณสมบัติเพียงข้อเดียวของคนคนหนึ่ง
จะทำให้เกิดอคติในอื่น ๆ ตามไปด้วย ธอร์นไดค์ ทำการทดลองทางสถิติโดยให้นายทหาร 2 คน ประเมินทหารผู้ใต้บังคับบัญชาในด้านกายภาพ
ด้านลักษณะภายนอก เช่น เสียง พละกำลัง ความอดทน และด้านคุณสมบัติส่วนบุคคล เช่น ความภักดี ความไม่เห็นแก่ตัว ความร่วมมือ โดยห้ามพูดคุยกับทหารแต่ละคนที่ถูกประเมิน
ความน่าสนใจคือ ธอร์นไดค์ พบว่า ความดึงดูดใจและลักษณะภายนอกของบุคคลนั้น ๆ เช่น ความสูง มีอิทธิพลต่อการประเมินด้านอื่น ๆ ไปในทิศทางเดียวกัน
เรียกง่าย ๆ ว่า คนที่มีคะแนนคุณลักษณะภายนอกสูงก็จะมีคะแนนในด้านอื่น ๆ เช่น สติปัญญา ความเป็นผู้นำ สูงตามไปด้วย
แสดงว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะนำลักษณะเด่นอย่างหนึ่งมาสร้างมุมมองต่อบุคลิกภาพหรือลักษณะโดยรวมของบุคคลนั้น ซึ่ง ธอร์นไดค์ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Halo Effect’
คนที่ถูกใจ ทำอะไรก็ถูกต้อง
พอพูดถึงคำว่า Halo Effect พอได้รู้ความหมายคร่าว ๆ แล้วทำให้นึกถึงคำที่ว่า ‘คนที่ถูกใจ’ ทำอะไรก็ถูกต้อง เช่น กรณีที่เราชอบคนนึงมาก แต่เขาทำผิด ทำไม่ดี
เราก็มองข้ามความผิดนั้นไป และบางทีเราอาจจะหาข้อดีมาปกปิดข้อด้อยอีก หรือบางทีก็เกิดความลำเอียงในสังคมหรือที่เราเรียกกันว่า Beauty Standard
การที่คนนึงเกิดมาหน้าตาดี รูปลักษณ์ดี ตามมาตรฐานของสังคมที่ได้เซตเอาไว้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนกลุ่มคนนั้นจะถูกมีโอกาสเลือกมากกว่า
Halo Effect กระทบในด้านต่าง ๆ
ในด้านการศึกษา
งานวิจัยเก่า ๆ พบว่าครูมีความคาดหวังที่ดีกว่าต่อเด็กโดยที่พวกเขาให้คะแนนว่ามีเสน่ห์
หรือเด็กที่เขารู้สึกเอ็นดู หรือที่เขาชอบเป็นพิเศษมากกว่าตามเกณฑ์วัดของความเป็นจริง
ในที่ทำงาน
อคติที่พบบ่อยที่สุดที่ส่งผลต่อการประเมินและการทบทวนประสิทธิภาพ หัวหน้าอาจให้คะแนนลูกน้อง
โดยพิจารณาจากการรับรู้ถึงคุณลักษณะเฉพาะเพียงอย่างเดียว มากกว่าที่จะประเมินผลงานและการมีส่วนร่วมทั้งหมดของพวกเขา
นอกจากนี้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Economic Psychology พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว
ผู้เสิร์ฟอาหารที่น่าดึงดูดใจจะได้รับทิปมากกว่าผู้ให้บริการที่ไม่น่าดึงดูดโดยเฉลี่ยประมาณ 1,200 เหรียญต่อปี
การใช้ชีวิตประจำวัน
สินค้าในตลาด การทำโฆษณาต่าง ๆ บางทีก็มี Halo Effect มาคอยบังตาของเราให้เรายึดถือ ยึดติดกับสิ่งที่เขาว่าดี แต่จริง ๆ มันก็คงไม่ได้ดีแบบที่เราต้องการแบบนั้น
แต่เป็นเพราะเพียงเสียงส่วนมาก คำเชิญชวนของอินฟลู ที่ทำให้เราเอนเอียงไป
จัดการกับ Halo Effect และฝึกฝนตัวเองไม่ให้ตัดสินคนอื่่น
- Awareness
การตระหนักรู้เป็นก้าวแรกในการเอาชนะข้อผิดพลาดในการตัดสินหนังสือจากปก
- Slow down
การจงใจชะลอการตัดสินใจและการตัดสินใจใด ๆ ในภายหลัง อย่าตัดสินใจเลือกการรับสมัครทันทีหลังการสัมภาษณ์,การออกเดต
โดยทั่วไปการใช้เวลาทำความรู้จักกับอีกฝ่าย ไปเดตหลายๆ ครั้งก่อนที่จะพัฒนาไปอีกขั้น
เราล้วนแต่เป็นทาสของ Halo Effect กันเกือบทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้ารู้แบบนี้เเล้ว เรามาทำให้ตัวเองดูดีในแบบของเรากันเถอะ
เช่น การเตรียมตัวเตรียมความพร้อมสำหรับการไปสมัครงาน เลือกลองชุดที่เหมาะสมกับเรา เลือกทำผมที่เข้ากับเราที่สุด
เลือกสีลิปสติกที่มันสวยเมื่ออยู่กับเรา นี่อาจจะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งก็ได้ ถ้าเรารู้จักการตระหนักรู้ของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เราใช้สิ่งนี้ทำร้ายคนอื่นเหมือนกัน
เราไม่สามารถสรุป หรือ เคาะ อะไรเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เหมือนที่เราชอบพูดกันว่าทุกคนเป็นมนุษย์ไม่มีใครดีทุกอย่างและก็ทางกลับกันก็คงไม่มีใครที่แย่ทุกอย่างเหมือนกัน
ที่มา :
The Halo Effect: What It Is and How to Beat It
อารมณ์ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องรับมือ เพราะในแต่ละวันอารมณ์เกิดขึ้นได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางลบหรือทางบวก
ในทางจิตวิทยา การเก็บอารมณ์หรือการแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสมทำอย่างไร รวมพูดคุยกับ คุณ รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂
อารมณ์ หลากหลายเป็นเรื่องปกติหรือไม่ ?
มนุษย์มีหลากหลายอารมณ์เป็นเรื่องธรรมชาติ และอารมณ์ของเราสามารถเกิดทับซ้อนกันได้ ตัวอย่างเช่น เวลาเราเหนื่อย เราก็อาจจะหิว เมื่อเรากินเราก็อิ่ม ก็จะรู้สึกสบายใจขึ้น
เพียงแต่ว่าเมื่อหลาย ๆ อารมณ์ซ้อนอารมณ์ อาจจะทำให้เรารู้สึกหนักบ้าง แต่อารมณ์ของเราเปลี่ยนแปลงตามตัวกระตุ้นไม่ได้เป็นเรื่องแปลก
การเก็บอารมณ์เป็นเรื่องปกติหรือไม่ ?
การเก็บความรู้สึกเป็นสิ่งที่มนุษย์เราทำเป็นธรรมชาติ เพราะเรานั้นต้องประเมินสถานการณ์ก่อนว่า เราสามารถแสดดงออกได้ไหม อย่างเช่น เวลาที่เราโกรธ แล้วเราอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่
เราจึงประเมินแล้วว่าไม่เหมาะสม หากจะแสดงความโกรธออกมา แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราอยู่กับเพื่อน และประเมินว่า พูดได้ เหมาะสม ไม่ได้ส่งผลกระทบคนอื่น เราก็จะแสดงความโกรธออกมา
การเก็บ อารมณ์ อย่างเหมาะสม ทำอย่างไร ?
เรียนรู้ที่จะควบคุม และแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม โดยประเมินได้ด้วยตนเองว่า เราเก็บอารมณ์ไว้เท่านี้ แล้วแสดงออกไปเท่านี้
เรายังคงสุขสบายใจ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเราในระยะยาว และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนอื่นนั่นเรียกได้ว่าเหมาะสมกับเรา
การเก็บและการแสดงออกอารมณ์มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
การแสดงออกของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แบ่งออกตามหลักจิตวิทยาดังนี้
Passive แปลว่า ไม่ตอบโต้ นิ่ง คล้าย ๆ สมยอม
Aggression แปลว่า แสดงทุกอย่างออกมาชัดเจน เก็บอารมณ์ได้ค่อนข้างน้อย
Passive-Aggression นิ่งเงียบแต่ในใจต่อต้าน
ซึ่งทุกคนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนเป็นของตัวเอง ถ้าหากในสังคมไทยเชื่อมโยงกันก็มักจะพบ คนที่เป็นลักษณะ Passive หรือ Passive – Aggression
แต่ถ้าในบริบทของต่างชาติ ฏ็มักจะพบ Aggression เขาเรียนรู้ที่จะแสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา และสามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้
เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ควรเก็บหรือแสดงออก ?
เราควรมีวิธีจัดการอารมณ์ตามสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม คววใช้ได้อย่างหลากหลายตามสถานการณ์เช่น บางสถานการณ์ไม่ยุติธรรมกับเรา
การที่เราแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง ไม่ให้ใครคุกคามเรา หรือในบางสถานการณ์หากยอมได้ก็ยอมได้ เราก็ใช้การเก็บอารมณ์ของเราบ้าง
รีเช็คตัวเองอย่างไร ?
นอกจากการจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว เรายังควรสร้างพฤติกรรมทางบวกให้ตัวเองด้วย ถ้าเรามองในมุมกว้างขึ้น เราจะสามารถเข้าใจอารมณ์ว่าไม่มีผิดหรือ ถูกเพราะเราเป็น Human Being เราแค่มนุษย์คนหนึ่ง
เมื่อเราเชื่อมโยงอารมณ์ของตัวเองได้ เราก็จะเริ่มเข้าใจว่าอะไรทำให้เราเกิดอารมณ์นี้ ความคิด และจิตใจ และจัดการได้อย่างเหมาะสม
ไม่ใช่เพียงแค่จะพูดว่า ไม่เป็นไรหรอก ช่างมันเถอะ นั่นคือาการที่เราปฎิเสธ และไม่อนุญาติให้ตัวเองได้รู้สึกกับความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้น
เหมือนเรากำลังถอยออกมาจากความรู้สึกและความต้องการจริง ๆ ของตัวเอง จึงไม่นำไปสู่วิธีการจัดการอารมณ์ของตัวเอง ตราบใดที่เราคิดว่าไม่เป็นไร ปิดกั้นความรู้สึกตัวเองบ่อย ๆ ก็อาจนำไปสู่ความไม่สุขใจได้
ดูแลอารมณ์อย่างไรไม่ให้กระทบคนรอบข้าง ?
เท่าทันความรู็สึกและความคิดของเรา โดยการฝึกจาก 4 คำถามดังนี้
1. ฉันรู้สึกอย่างไร ?
2. รู้สึกแบบนี้แล้วต้องการอะไร ?
3. เราจะตอบสนองอย่างไร ? เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้น และทำให้ความรู้สึกลดลง
4. ตั้งคำถามว่าการตอบสนองอย่างนั้นมีประโยชน์จริง ๆ หรือไม่
เมื่อเราฝึกบ่อย ๆ เราจะชิน และเราจะเข้าใจคนที่อยู่ตรงหน้าได้จริง ๆ ไม่ใช่การไม่อนุญาติให้รู้สึก
ควรรับมือกับ อารมณ์ ทางลบและบวกอย่างไร?
อารมณ์ทางบวกเป็นเรื่องดี เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้มันสวยงาม ดีต่อร่างกายและจิตใจ แต่เราอย่าลืมว่า การที่เราให้คุณค่ากับอารมณ์ทางบวกมาก ๆ มันจะทำให้เราหลงลืมความรู้สึกทางด้านลบของตัวเอง
หรืออาจะหลงลืมความรู็สึกอีกฝั่งหนึ่ง ที่ทำใหเรารู้สึกแย่ ซึ่งเราพยายามเก็บไว้โดยไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่เศร้า รู้สึกแค่ด้านบวก ก็อาจจะทำให้ขาดชัั้นกรอง ภายใรความรู้สึกจริง อาจจะโกรธ
คงจะดีกว่าถ้าเราวสามารถสัมผัสได้ทั้งอารมณ์ทั้งทางบวก และทางลบของตัวเอง และรู้เท่าทัน สุขก็สุข ทุกข์ก็ทุกขื ไม่เห็นเป็นไร สำคัญคือต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองจึงจะมองเห็นความต้องการลึก ๆ ของตัวเอง
เริ่มต้นจดบันทึก อารมณ์ อย่างไร ?
จดบันทึกโดยการเชื่อมโยง และตั้งคำถามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะทำให้เราเข้าใจอะไรที่เกิดขึ้นกับตัวงเองมากยิ่งขึ้น เช่น เวลาที่เราเจอสถานการณ์หนึ่ง เรารู้สึกอย่างไร
โดยตั้งชื่ออารมณ์ของตัวเองที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น โกรธ เศร้า รู้สึกผิด จากนั้นคิดต่อว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น แล้วทำอย่างไรต่อได้ โดยสังเกตการตอบสนองทางทางร่างกายของตัวเอง
ถ้าเราฝึกเชื่อมโยง ความรู้สึก ความคิด พฤติกรรม และร่างกายที่ตอบสนองของตัวเอง เราจะคุ้นชินกับอารมรณ์ต่างๆ ของเราได้มากขึ้น ช่วงแรก ๆ อาจจะต้องจด แต่หากเราเก่งขึ้นเราก็เชื่อมโยงเก่งขึ้นผ่านการฝึกฝนบ่อย ๆ
ทฤษฎีของ ความอ่อนไหว (ง่ายเป็นพิเศษ)
เพราะ การเป็นคนอ่อนไหวไม่ได้ทำให้เราอ่อนแอ . .
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย เมล คอลลินส์ เป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาบำบัด คุณคอลลินส์มีความเชี่ยวชาญกับคนที่เป็น Highly Sensitive Person เก็บเกี่ยวประสบกาณ์มาเรื่อย ๆ
จนเกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ซึ่งตัวคุณคอลลินส์เองก็เป็น Highly Sensitive Person มาตั้งแต่กำเนิดเหมือนกัน
ใครอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.melcollins.co.uk
ความอ่อนไหงง่ายแก้ด้วยการ “รักตัวเอง”
Chapter ที่น่าสนใจที่อยากนำมาแบ่งปันคือ “การแก้ด้วยการรักตัวเอง” ขอหยิบยก 5 ขั้นตอนที่อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นขั้นตอนที่สามารถนำมาปรับใช้ได้โดยง่ายไหม?
ก็ไม่ง่าย แต่สามารถฝึกฝนและสามารถทำได้ การรักตัวเองคือสภาวะชื่นชมยินดีกับตัวเองจากการกระทำต่าง ๆ ทางร่างกาย อารมณ์ จิตวิทยา จิตวิญญาณ
การรักตัวเองคือการยอมเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดต่าง ๆ ความเชื่อ ความคิดในแง่ลบที่จะเปลี่ยนไปทางแง่บวก พอได้อ่านแล้วก็รู้ว่าจากลบจะเปลี่ยนไปบวกได้อย่างไรบ้าง
การรักตัวเองพูดง่ายแต่ทำยาก จะมีทั้งช่วงที่เรารักตัวเองมาก หวงแหนตัวเองกับบางช่วงที่เราไม่รักและไม่เห็นคุณค่าตัวเองขนาดนั้นเลยก็มี เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มจาก . . .
ขั้นตอนที่ 1 การหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
บางครั้งการที่เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นก็เป็นแรงผลักดันเชิงบวกที่ดี แต่การเปรียบเทียบหลาย ๆ สิ่ง ไม่ว่าจะหน้าตา ฐานะการงาน ความฉลาด ประสบความสำเร็จ
จะส่งผลให้เรารู้สึกดีไม่พอ คือไม่ว่ายังไงก็จะต้องมีคนที่เรามองว่า ‘เขาดีกว่าเรา’ อยู่เสมอ และการที่เราคิดแบบนี้จะเป็นบ่อนการทำร้ายตัวเองเรื่อย ๆ
ทางที่ดีคือการที่เรายอมรับความเป็นตัวเรา การรักตัวเองไม่ได้อยู่ดีรูปลักษณ์ภายนอก ความสำเร็จภายนอกแต่สิ่งที่รักตัวเองคือการยอมรับตัวตนของเราเองจากภายใน
ถ้าให้เปรียบคนที่เป็น Highly Sensitive Person จะเบลมว่าเพราะเราเป็นคนอ่อนไหวง่ายไงเลยรู้สึกอ่อนแอ แต่เพราะความอ่อนไหวง่ายไงเราเลยรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้
รับรู้สถานการณ์อะไรที่ควรหรือไม่ควรคำพูดที่ถนอมจิตใจคน นั้นคือข้อดี
ขั้นตอนที่ 2 เลิกวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง
การที่เราด่าทอตัวเอง วิจารณ์ตัวเองจะทำให้เราหมดกำลังใจ และทำลายความรู้สึกที่ตัวเองมีคุณค่า ไม่แปลกเลยที่เรามีนักวิจารณ์เกิดขึ้นกับตัวเรา
บางคนก็เลือกวิธีมองว่ามันคือศัตรูจึงพยายามมองข้ามมัน บางคนก็เลือกกดทับมันแล้วแล้วคิดถึงแต่สิ่งดี ๆ แต่วิธีเหล่านั้นเหมือนเป็นการปิดเสียงนักวิจารณ์เพียงชั่วคราว
คุณคอลลินส์ก็เลยมีแบบฝึกหัดที่ให้เราได้ผูกมิตรกับนักวิจารณ์ ให้เรานึกถึงนักวิจารณ์ในตัวเราเองแล้วตั้งชื่อให้มัน เช่น เอนักตัดสิน แล้วเออัดเสียงช่วงเวลาที่เราตัดสินตัวเอง
ตำหนิตัวเองลงไป ที่นี้กลับไปฟังเสียงที่อัดแล้วดูว่าสิ่งที่เราตัดสินตัวเอง ตำหนิตัวเอง มีใครเคยบอกเราอย่างนี้รึป่าว พ่อแม่ ครู แฟน เพื่อนรึป่าว
ถ้าเราฟังแล้วเรารู้ว่ามันเริ่มจากไหนเราจะเริ่มแยกแยะได้ ต่อไปก็ต้องตั้งข้อสงสัยว่า ความคิดแง่ลบที่เราตัดสินตัวเองตำหนิตัวเอง มันจริงหรือเปล่า ทำไมเราถึงได้รับคำชมว่าทำงานเก่ง
เป็นเพื่อนที่น่ารัก เป็นคนที่นิสัยดี แล้วเราจะตำหนิตัวเองด่าทอตัวเองหนักให้เจ็บปวดทำไม เมื่อเรารับรู้ถึงความรู้สึกนี้แล้วเราเปลี่ยนจากการด่าทอเป็นการสวมกอด เอนักตัดสิน
และบอกเอนักตัดสินว่า เอจะได้รับการเยียวยานะ ความเห็นอกเห็นใจ การเห็นคุณค่าในตัวของเอเองกำลังจะเริ่มขึ้น ไม่จำเป็นต้องด่าทอตัวเองให้เจ็บปวดแล้วนะ
ขั้นตอนที่ 3 พัฒนาความเห็นอกเห็นใจของตัวเอง
คนเป็น Highly Sensitive Person จำนวนมาก จะมอบความเห็นอกเห็นใจให้คนอื่นอย่างมหาศาล แต่กลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้กับตับเอง โทษตัวเอง วิจารณ์ตัวเอง ปฏิเสธตัวเอง
ดังนั้นการฝึกการรัก การเห็นใจตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมาก คำถามที่ดีที่เหมาะที่จะถามตัวเองก็คือ “เราจะทำกับพ่อแม่ ลูก ๆ เพื่อน ๆ หรือคนที่เรารักเหมือนที่เราทำกับตัวเองหรือเปล่า”
ถ้าคำตอบคือไม่ ก็ให้สัญญากับตัวเองว่าจะปฏิบัติกับตัวเองด้วยความเมตตามากกว่านี้ เหมือนกับที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ การรักตัวเองถ้าทำไม่เป็นลองดูว่าเรารักคนอื่น
ปฏิบัติกับคนอื่นยังไงเราลองเริ่มทำจากสิ่งนั้นไหม?
ขั้นตอนที่ 4 เรียนรู้ที่จะปฏิเสธโดยที่ไม่รู้สึกผิด
การที่เราเป็น Highly Sensitive Person จะมีปัญหากับการบอกปฏิเสธคนอื่น ๆ ยิ่งถ้าเป็นสถานการณ์ที่ถูกกดดัน จนลำบากใจ หรือสถานการณ์ที่เราคิดว่าต้องแย่แน่ ๆ เลยถ้าเราปฏิเสธคนนี้
คนนี้ต้องไม่โอเค จึงมักจะรู้สึกผิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวถ้าไม่ช่วยเหลือคนอื่น จึงตอบตกลงไปถึงแม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตาม เมื่อตอบตกลงไปเรากลับรู้สึกถูกฉวยโอกาสจากความใจดี
พอมาถึงตรงนี้เราจะฝึกปฏิเสธอย่างไรดี เริ่มแรก ลองพูดก่อนว่า “ฉันจะให้คำตอบคุณเร็วๆนี้” , “ฉันจะติดต่อกลับไปนะ” เวลามีคนขอให้เราทำอะไรจนกว่าเราจะมีความมั่นใจในการปฏิเสธ
หรือการถามตัวเองว่า เรา ‘อยาก’ จะทำไหม หรือ มีความรู้สึกว่า ‘เราควร’ หรือ ‘สมควรต้อง’ ทำ ถ้ามันเป็นความรู้สึก ควร สมควรต้อง
ส่วนใหญ่มันมักจะเป็นสารหรือความคาดหวังของคนอื่น ๆ ที่เรารับมาแบกไว้ และมันก็ ok นะถ้าเราจะปฏิเสธ
ขั้นตอนที่ 5 แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเรา
ใครเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น อารมณ์ ความรู้สึก ของตัวเองบ้างราวกับว่าเรามีสิ่งคำพูดในหัวมากมายแต่ไม่กล้าที่จะพูดออกไป ไม่รู้ว่าควรพูดไหม
ถ้าพูดไปแล้วมันแย่กว่าเดิมละ จนละเลยความรู้สึกตัวเองบ่อย ๆ การที่เราเป็นตัวเราเป็นเจ้าของความรู้สึกของเรา เราควรยอมรับและแสดงมันออก ด้วยวิธีการที่เหมาะสมและปลอดภัย
การบอกความต้องการของตัวเองให้คนอื่นรู้ เช่น เราเจอคนที่พูดไม่ดีกับเรา นิสัยไม่ดีใส่เรา เรารู้สึกแบบนั้นเราจะแสดงออกบอกไปยังไงดี
คุณคอลลินส์บอกว่า เราสามารถบอกด้วย เรารู้สึกแย่เวลาที่เธอแสดงความคิดเห็นแบบนี้กับเรา มันทำให้เราเจ็บปวด เราสามารถพูดประโยคนี้ได้ ถึงแม้ว่าจริง ๆ เราจะพูดว่า
เรารู้สึกแย่ที่เธอแสดงความคิดเห็นแบบนี้ เธอนิสัยไม่ดี เธอทำให้ฉันรู้สึกแย่ แสดงความเห็นของตัวเอง ครส ความต้องการ และไม่โทษคนอื่น แค่พูดความจริงเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง
ประโยคที่อยากบอกเล่าจากคนอ่าน
จงให้สัญญาว่าจะทำสิ่งที่อ่อนโยนใจดีต่อตัวเองทุก ๆ วัน แม้ว่ามันจะเป็นแค่การใช้เวลาทำอาหารอร่อย ๆ ให้ตัวเอง
ฟังเพลงที่ชอบ และซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตัวเองหรือออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะก็ตาม 🙂
หนังสือ ‘ แล้วค่ำคืนยาวนานจะผ่านไป ‘
เขียนโดย ลูลี กับ A chapter
หนังสือเล่มนี้ เป็นหมวด วรรณกรรมแปล เน้นอ่านเพลิน ๆ อ่านสนุก ๆ แฝงไปด้วยข้อคิดต่าง ๆ เขียนโดย คุณ ลูลี เป็นนักเขียนเกาหลี และแปลโดย คุณอภิชญา บุญริน
เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของ แรดหินขาวตัวสุดท้ายของโลก ที่ชื่อว่า นอร์เทิร์น และ ซีคู ที่เป็นเพนกวิน เป็นความสัมพันธ์ที่ดูแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย
สายพันธุ์ต่างกัน การกิน สภาพแวดล้อมแตกต่างกัน แต่มาพบกันและร่วมเดินทางไปที่มหาสมุทร
เหตุผลที่พวกเขาอยากไปมหามสุทร เพราะว่าซีคูอยากพาลูกของตัวเองไปมหาสมุทร ก่อนที่ชีวิตของเขาจะจบลง เลยเกิดเป็นการเดินทางขึ้นในระยะที่เขาเดินทางกันมาเรื่อย ๆ
ตัวของซีคูก็ได้สิ้นลมหายใจไปก่อน เลยเหลือแค่ นอเทิน และ ลูกของซีคู
แล้วค่ำคืนอันยาวนานจะผ่านไป
ผลของมะม่วงสุก
“ผลของมะม่วงสุก”
บทสนทนาของลูกเพนกวินกับนอเทิร์นที่แหงนมองฟ้าสีชมพู หรือ Vanilla Sky ในภาษาเรา ๆ แต่พวกเขาสองคนนิยามกันว่า “ผลของมะม่วงสุก”
ลูกของเพนกวินได้ถามกับนอร์เทินว่า “หนูคือใคร” ถ้าวันนึงตัวของหนูได้ไปที่มหาสมุทรแล้วเพนกวินตัวอื่น ๆ จะชอบหนูไหม? หนูจะเข้ากันได้กับเพนกวินตัวอื่นไหม?
แล้วท่ามกลางนกเพนกวินมากมายหลายตัวนอร์เทินจะจำหนูได้รึป่าว จึงอยากให้นอร์เทินตั้งชื่อให้
แต่นอร์เทินกลับปฏิเสธแล้วบอกว่า ตอนที่ตัวของเขาเองไม่มีชื่อเขามีความสุขกว่าตอนที่มีชื่ออีกนะ การมีชื่อไม่ได้มีข้อดีอะไร แรดที่เลี้ยงเพนกวิน ไม่มีทางที่จะหาไม่เจอหรอก
กลิ่นของเธอ ลักษณะการพูดของเธอ ท่าทางการเดิน แค่นั้นก็ทำให้รู้ทันทีได้ว่าเป็นเธอ
ลูกเพนกวินจึงถามอีกว่า แล้วเพนกวินตัวอื่น ๆ จะรับรู้ได้เหมือนกับที่นอร์เทินรับรู้ไหม
นอร์เทินเลยบอกว่า ใครก็ตามที่ชอบเธอ จะรับรู้ได้ว่าเธอคือใคร ในตอนแรกเขาอาจจะจับตาดูเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แต่เมื่อเขาเริ่มชอบเธอเรื่อย ๆ เขาก็จะคอยเฝ้ามองเธอ เวลาที่อยู่ใกล้เธอเขาจะรู้ว่าเธอมีกลิ่นแบบไหน เวลาที่เธอเดินเขาจะเงี่ยหูฟังว่าเสียงฝีเท้าของเธอเป็นยังไง แล้วเขาจะรับรู้ได้ว่านั่นคือเธอ
ลูกเพนกวินเลยคิดกับตัวเองว่า พอมองย้อนกลับไปแล้วถึงจะเกิดมาจากไข่ที่โชคร้ายแต่ก็ได้รับความรักมากมาย และเติบโตมาเป็นเพนกวินที่มีความสุขมากจริง ๆ
เป็นพาร์ทที่อยากแชร์ให้ได้อ่านกันค่ะ 😀 พอฟังแล้วมันจะออกแนวดูความรัก และแอบนึกถึงคนที่เรารักว่ามันเป็นจริง ๆ แบบที่นอร์เทินได้บอกกับลูกของเพนกวินเลย
และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ได้จากพาร์ทนี้ เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ใครทุกคนบนโลกพอใจ ถ้ามีคนที่เขารักและหวังดีกับเรา
เราไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกมารักเราไม่ได้หรอกมันจะเหนื่อยเกินไป เราแค่เคารพรักตัวเอง และรู้สึกขอบคุณคนที่คอยอยู่ข้างๆ ดูเราเติบโตและภูมิใจในตัวเราก็พอ
ประโยคที่อยากบอกเล่าจากคนอ่าน
หนังสือเล่มนี้จะเป็นการเล่าเรื่อง ของ แรด แพนกวิน ที่ค่อนข้างจะเป็นสัตว์ที่แตกต่างกันมาก ๆ ทำให้รู้สึกถึงแม้ว่าเราจะแตกต่างเราอยู่ร่วมกัน เราคอยอิงอาศัยกันได้
เราไม่จำเป็นต้องมองว่าคนที่แตกต่างนั้นแปลก ไม่น่าคบหา มองด้วยสายตาที่ไม่ดี การที่เขาไม่เหมือนเราไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่มีคนแบบเขา
หรือการที่เราเป็นแบบนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราไม่ดูแปลกในสายตาของคนอื่น โลกก็เป็นแบบนี้มีอะไรปะปนกันไป
การที่เราจะมีความสุขในฐานะมนุษย์คนนึงได้ก็คงจะเป็น be kind กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว 🙂
Life Changing Experience ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมักจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านต่าง ๆ ของชีวิต
การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถแสดงให้เห็นในความเชื่อส่วนบุคคล ค่านิยม ลำดับความสำคัญ ความสัมพันธ์ การเลือกอาชีพ หรือไลฟ์สไตล์
Life Changing Experience
ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต อาจเป็นเหตุการณ์สำคัญ หรือต่อเนื่องกันของเหตุการณ์ที่มีผลกระทบอย่างลึกซึ้ง และยั่งยืน ต่อความเชื่อ ค่านิยม พฤติกรรม
หรือมุมมองโดยรวมของชีวิต ประสบการณ์เหล่านี้อาจเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบ แต่มักจะส่งผลให้เกิดการเติบโต เกิดความเข้าใจตนเอง และโลกรอบตัวเราอย่างลึกซึ้งขึ้น
ตัวอย่างประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ได้แก่ การเจ็บป่วยร้ายแรง การเกิดของเด็ก อุบัติเหตุร้ายแรง การเสียชีวิตของผู้เป็นที่รัก การศึกษาศาสนา หรือความสำเร็จหรือความล้มเหลวครั้งใหญ่
คำว่า Life Changing Experience เราอาจมองว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ถึงทำให้เราเปลี่ยนไปอย่างยิ่งใหญ่ แต่อาจจะเป็นเรื่องราวเล็ก ๆ
ที่เราเจอในวันหนึ่ง แล้วเปลี่ยนแปลงนิสัย ความเข้าใจเล็ก ๆ ของเราไปบางอย่างก็ได้ อาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่สำคัญ แต่แล้วอยู่ ๆ ก็สำคัญขึ้นมาเฉย ๆ ก็ได้เลยนะ
ทุกคนย่อมมีประสบการณ์ของตัวเอง
พอพูดถึงคำว่า ประสบการณ์ เคยรู้สึกไหมว่าตัวเองไม่มี หรือไม่มั่นใจในประสบการณ์ของตัวเอง เวลาที่มีคนมาถามหรือเวลาคิดว่าจะไปสมัครงานใหม่ก็จะรู้สึกไม่มั่นใจ
จนเกิดความ suffer กับตัวเองบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับเพื่อน เราทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง หน้าพี่ของเราเพื่อนก็ทำแทนไม่ได้ จึงไม่ต้องคิดว่าไม่มีประสบการณ์
เพราะสิ่งที่พูดมาก็คือประสบการณ์ของตัวเองแล้ว อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในสิ่งที่ติดตัวเรามากัน
การเปลี่ยนแปลงทางด้านต่าง ๆ
การเปลี่ยนแปลงมุมมอง : ประสบการณ์ดังกล่าวมีพลังในการเปลี่ยนมุมมองและท้าทายสมมติฐานหรือความเชื่อที่ยึดถืออาจกระตุ้นให้แต่ละคนตั้งคำถามต่อโลกทัศน์ที่มีอยู่และนำวิธีคิดใหม่ ๆ มาใช้
ผลกระทบทางอารมณ์ : ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมักจะเต็มไปด้วยอารมณ์ ต่าง ๆ ได้ เช่น ความสุข ความเศร้าโศก ความกลัว การตอบสนองทางอารมณ์เหล่านี้ส่งผลต่อผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อแต่ละคน
การค้นพบตนเองและการเติบโตขึ้น : ประสบการณ์เหล่านี้สามารถใช้เป็นตัวเร่งให้เกิดการค้นพบตนเองและการเติบโต อาจเปิดเผยจุดแข็ง หรือบางอย่างในตัวเราที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งนำไปสู่การรู้จักตนเอง
ผลกระทบออกไปสู่รอบข้าง : ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราสามารถขยายไปไกลกว่าเพียงแค่ตัวเอง และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ หรือแม้แต่สังคม สภาพแวดล้อมที่เราอยู่
จุดประกายการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน
1. เปิดกว้าง
เข้าถึงประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยใจที่เปิดกว้างและความเต็มใจที่จะเรียนรู้ การเปิดรับมุมมองและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ให้เกิดประโยชน์
2. ค้นหาความรู้
รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือประสบการณ์ที่คนอื่นหรือเราสนใจอยากทำ การรวบรวมข้อมูลก็เหมือนแต้มต่อที่จะทำให้เป้าหมายที่เราอยากทำ ประสบการณ์ที่เราอยากเผชิญได้สำเร็จมากขึ้น
3. ความยืดหยุ่นทางอารมณ์
เสริมสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์เป็นการพัฒนากลไกการรับมือที่ดี ฝึกฝนการดูแลตนเอง และขอความช่วยเหลือจากคนที่เรารัก หรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น
การสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์สามารถช่วยให้เราก้าวผ่านอารมณ์ดีและร้ายที่มักมาพร้อมกับประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตได้
4. ฝึกการไตร่ตรองตนเอง
การไตร่ตรองตนเองเป็นประจำเพื่อรวบรวมความคิด อารมณ์ และประสบการณ์ ด้วยการจดบันทึก หรือการขอคำแนะนำจากนักบำบัดสามารถช่วยให้เรามีความชัดเจนและสร้างความหมายของประสบการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน
คำจำกัดความของประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน สิ่งที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลหนึ่งอาจไม่ส่งผลกระทบแบบเดียวกันต่ออีกคนหนึ่ง
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ส่วนบุคคล ค่านิยม และการตีความของแต่ละบุคคล เราสามารถใช้ชีวิตของเราไปเรื่อย ๆ ได้เลย จนวันหนึ่งอาจะเจอเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงก็ได้
ที่มา :
ความกลัว มีหลากหลายรูปแบบ บางคนกลัวงู บางคนกลัวทะเล หรือบางคนกลัวในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กลัว เช่น กลัวผลไม้ ในมุมทางการแพทย์ ความกลัวคืออะไร
มีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง มาหาคำตอบกับรายการพูดคุย Alljit X คุณ ณัฏฐชัย รำเพย จิตแพทย์ 🙂
ความกลัว คืออะไร
ความกลัวเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ที่ปกป้องเราจากภัย ถ้ามนุษย์ไม่มีความกลัวจะทำให้เราไปเจอกับอันตราย
แต่ความกลัวในทางการแพทย์ที่เกินสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ ดูเป็นพิษใช้ชีวิตยากกับตัวเราเองจะเป็นโรคที่สัมพันธ์กับความกลัว หรือกลุ่มความวิตกกังวล
เช่น
- โรคกลัว Phobia
- กลุ่มวิตกกังวล Anxiety
- โรคตื่นตระหนก Panic
- โรค PTSD
กลัวอะไรแปลกๆ ?
ไม่ว่าจะกลัวอะไรที่ใครว่าแปลก มนุษย์ มีเหตุผล ในการกลัวเสมอ เพราะทุกคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
เช่น การที่คนกลัวผลไม้ ตอนที่คน ๆ นั้นกินผลไม้แล้วเขากำลังโดนแม่ตีทำให้เขากลายเป็นคนกลัวผลไม้ได้ หรือการที่กลัวรถยนต์สีเขียว เพราะเคยประสบอุบัติเหตุกับรถยนต์สีเขียวก็ได้
รับมือ ความกลัว อย่างไร
- รู้ก่อนว่าตัวเรากำลังกลัวอะไร กำลังเผชิญกับสิ่งที่กลัวอะไรอยู่
- กลัวอะไรก็เดินหนี แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เราต้องตระหนักรู้ว่าเรากำลังกลัว และสร้างอาการอะไรให้เรา
- การผ่อนคลาย หายใจเข้าออกลึก ๆ
- โฟกัสกับปัจจุบันรอบตัว
- ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าเข้าข่ายกับบางโรคประเภทกลุ่มความกลัวไหม
สื่อสารให้คนอื่นเข้าใจอย่างไร
- เคารพความกลัวของตัวเอง
- บอกคนอื่นไปตรง ๆ ว่าเรากลัวสิ่งนี้ เช่น การที่คนอื่นมาแกล้งเราให้เราบอกไปว่า “สิ่งที่เขาทำใจเราเกิดอะไรขึ้น” ถ้าเขาเข้าใจเขาจะตระหนักและเคารพกับความกลัวของเรา
ควรเผชิญหน้ากับ ความกลัว หรือไม่
อยู่ที่ว่าเราอยากเผชิญไหมกับสิ่งที่เรากลัวอยู่ เช่น เรากลัวการที่จะออกไปพรีเซนต์หน้าห้องที่เป็นในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
อาจจะต้องลองขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่ให้เราได้เป็นจุดสายตา ที่เราหันไปมองคนนั้น ๆ แล้วรู้สึกผ่อนคลาย
ฝึกการท่องจำ เพื่อให้เราเพิ่มความมั่นใจมากยิ่งขึ้น หรือถ้ากลัวจนไม่อยากเผชิญจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะการที่เรารู้ว่าเรากำลังรู้สึกกลัวอะไร
เรากำลังตระหนักและเคารพตัวเองอยู่เช่นกัน
เปลี่ยนแฟนบ่อย มักถูกสังคมมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ถ้าไม่ตัดสินใจเลิกรา
แน่นอนว่าอีกทางเลือกหนึ่งคือการทนอยู่กับความสัมพันธ์เดิม รูปแบบไหนมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร
เปลี่ยนแฟนบ่อย การมีแฟนหลายคน . .
มีประโยคนึงที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นผู้หญิงอย่าเปลี่ยนแฟนบ่อยถ้าเสียแล้วมันเสียเลย ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจในตอนนั้นแต่ด้วยความที่โตมาเราเติบโตมาเรื่อย ๆ
เรามีความเข้าใจในความรัก พูดคุยกับคนใกล้ตัวมากขึ้นในเรื่องของการเปลี่ยนแฟนบ่อย ทุกครั้งที่เปลี่ยนความสัมพันธ์มีความเสียใจเกิดขึ้น และบางกรณีก็เจอความรักที่ไม่ดี
เมื่อเราโตขึ้น มีวุฒิภาวะขึ้น เรามีสิทธิ์ในร่างกาย และการใช้ชีวิตของเรา เราเลือกทำอะไรได้หลายอย่างมากขึ้นรวมถึงการมีแฟนก็เช่นเดียวกัน
ทำไมผู้หญิงมักถูกต่อว่าเมื่อเปลี่ยนความสัมพันธ์บ่อย ๆ
ความเชื่อที่มองว่าผู้หญิงจะเสียเปรียบ
ยังคงมีความเชื่อว่าผู้หญืงคือฝ่ายเสียเปรียบเมื่อเปลี่ยนแฟนบ่อย ๆ ถูกมองว่าไม่ดีบ้าง ถูดลดทอนคุณค่าจากทุกครั้งที่เปลี่ยนความสัมพันธ์
ซึ่งความจริงแล้วเราทุกคนย่อมมีสิทธิเลือกสิ่งที่ดี สิ่งเหมาะให้กับตัวเอง
ความเชื่อที่ว่าผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว
ขนบธรรมเนียม ประเพณีตั่งต่างที่เกิดขึ้นทำให้ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว แต่งกายให้เรียบร้อย เป็นผู้หญิงต้องมีมารยาท มีความอาย ถ้าใครสวนทางหรือแสดงออกความเป็นตัวเอง
ที่ไม่ตรงกับขนบธรรมเนียม เช่น การแสดงความรักในที่สาธาณะ หอมแก้ม จับมือ หรือการที่คนอื่นเห็นว่าเปลี่ยนแฟนบ่อย ยังเป็นที่ไม่ยอมรับกันอยู่ในสังคม
เราให้คุณค่ากับรักยืนยงคงกระพัน เพราะมันดูสมบูรณ์แบบ
เป็นแฟนกันต้องอดทนนะ,คู่นี้คบกันนานจังดูดีจังเลย เพราะคำพูดเหล่านี้ทำให้ถูกมองว่าการเปลี่ยนแฟนบ่อย ๆ ถูกมองว่าไม่ดี ชอบคนง่ายบ้าง โลเลบ้าง
แต่ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ที่ดีไม่จำเป็นต้องอดทนจนไม่เป็นตัวเอง และการคบกันยาวนานไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ความรักเสมอไป
วัฒนธรรมดั้งเดิม การชายเป็นใหญ่ ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง
ระบบชายเป็นใหญ่ ระบบที่เอื้อให้กับเพศชาย ไม่ว่าจะเป็นในฐานะพ่อ สามี ลูกชาย หรือผู้นำในชุมชน สถาบัน นั้น ๆ สามารถมีอำนาจและสิทธิเหนือกว่าเพศอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ศาสนา การตัดสินใจต่าง ๆในชีวิตประจำวัน รวมถึงการให้คุณค่า การยกย่องเชิดชู ความเป็นชายของบุคคลและสังคมนั้น ๆ
เพราะฉะนั้นแล้วจึงเป็นคำตอบทำไมผู้ชายเปลี่ยนแฟนบ่อยไม่ถูกโจมตี หรือตั้งคำถามเท่าผู้หญิง
ความสัมพันธ์ Toxic
ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ที่ทำให้ไม่มีความสุขทั้งจิตใจและร่างกาย เป็นความสัมพันธ์ที่จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรืออาจจะทั้งคู่ที่มุ่งจะทำร้ายกันมากกว่ามอบความรัก
ความเมตตาต่อกัน ทำให้รู้สึก ไร้ค่า หมดแรง หรืออาจจะกลับทบไปถึงความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบตัว การทำงานต่าง ๆ ได้ด้วย
เราจะรู้ได้ยังไงว่าอยู่ในความสัมพันธ์ Toxic
- รู้สึกไม่ปลอดภัยเหมือนถูกจับผิดทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร และไม่มีพื้นที่ส่วนตัวเลย
- รู้สึกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ อาจจะทั้งการโกหก การนอกใจ และรวมถึงการทำร้ายร่างกาย
- รู้สึดหมดแรงเวลาอยู่กับคนๆ นั้น และทั้งรู้สึก ทุกข์ เหนื่อยใจ โกรธ เหงา เหนื่อย
- รู้สึกโทษตัวเอง มองว่าตัวเองไม่มีคุณค่า เกิดการตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำ ๆ
ส่งผลต่อความสัมพันธ์อย่างไร
- ทำให้เราไม่มีความสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน เกิดเรื่องทะเลาะ ขัดหูขัดตากันตลอดเวลา
- ความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัย ในการใช้ชีวิตคู่
- กระทบกับการใช้ชีวิต คนรอบข้าง
- เกิดการตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรามีค่าพอหรือไม่ เราไม่ดีตรงไหน
การเคารพความรู้สึกตัวเอง ความสัมพันธ์ไม่มีผิดหรือถูก
ถ้าเลือกได้ เชื่อว่าหลาย ๆ คนอยากเจอคนที่ใช่และคบกันได้ลงตัว คงไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะเปลี่ยนแฟนบ่อย ๆ เพื่อมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งหรอก
แต่ในเมื่อความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเจอคนที่ใช่ได้ง่าย ๆ และคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เลือกเพื่อนยังเคยเลือกผิด เลือกเสื้อผ้ายังเคยเลือกผิด
เลือกแฟนผิดจะเป็นอะไร ทุกคนมีโลกในอุดมคติของตัวเอง อย่าตัดสินคนอื่นเพียงแค่เปลี่ยนแฟนบ่อยเลย และการพาตัวเองออกมาก็คือการที่เราเริ่มเคารพตัวเอง
ถ้าอันไหนไม่ดีและไม่ใช่อย่าเสียเวลาเลย ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์ที่ Toxic