Posts

นิทรรศการ “Turn Your Scars into Stars” “แม้จะเจ็บปวดแต่คุณก็งดงาม” เป็นนิทรรศการที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนที่เจอกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สวยงาม

 

และกลายเป็นบาดแผลที่เจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ นิทรรศการจัดในวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ The Palette Artspace

 

ทางทีมงาน Alljit ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พวกเราเลยอยากมาเเชร์ความประทับใจและเเรงบันดาลใจที่ได้จากงานนี้กัน 

 

การเดินชมงานศิลปะ ทำไมถึงรู้สึกดีขึ้นได้ขนาดนี้นะ?

“ศิลปะบำบัด” อาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ การไปเดินชมงานศิลปะ เราไม่ได้ใช้เหตุผลและตรรกะ ในการอ่านทำความเข้าใจนัยยะของภาพ แต่เราใช้ “ความรู้สึก” ต่างหาก

 

ภาพนี้เราตีความออกมาเป็นแบบนี้เพราะเราทัชกับสิ่งนี้ ภาพนั้นเราตีความไปอีกแบบเพราะเคยผ่านประสบการณ์ประมาณนี้มาก่อน ความสนุกของการไปเดินชมงานศิลปะคงเป็นตรงนี้แหละ

 

และสิ่งที่ได้จากการไปชมงานในวันนั้นไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่เป็นแง่มุมและกำลังใจที่ได้กลับมา การที่รับรู้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว มีเพื่อน ๆ มากมายที่เคยประสบกับความเจ็บปวด

 

พวกเขาได้ก้าวผ่านมาได้ เหมือนเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ได้เหมือนกัน 

 

 

 “ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด”

ในวันนั้นได้พบกับ น้องธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือ น้องธันย์ สาวน้อยคิดบวก 

 

เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนน่าจะรู้จัก หรือได้ยินชื่อน้องธันย์กันมาบ้าง เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว คงเคยได้ยินข่าวเด็กวัย 14 ปีเกิดอุบัติเหตุตกรถไฟฟ้าสิงคโปร์ จนทำให้สูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง

 

เธอผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน ?

ในช่วงหนึ่งของนิทรรศการน้องธันย์ได้เล่าให้ฟังว่า เธอเริ่มจาก “การมองศัตรูให้เป็นเพื่อน” ความพิการที่เกิดขึ้นก็คือศัตรูที่เธอต้องพบเจอและต่อสู้ แต่พอสุดท้ายแล้วเธอทำให้ศัตรูกลายเป็นเพื่อนที่สนิทมาก ๆ

 

มันได้ทำให้เรารู้จักเพื่อนคนนี้ในทางที่ดีและได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายจากความเจ็บปวดในครั้งนั้น  “ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด” คนส่วนใหญ่ชอบมองว่าคนพิการจะต้องอยู่บ้านเฉย ๆ

 

นั่งวีลแชร์เฉย ๆ แต่การนั่งวีลแชร์ของเธอก็มีความสุขได้ มีความสุขกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และเราจะมองทุกอย่างในทางที่ดีขึ้น

 

หนึ่งสิ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ คุณพ่อของน้องธันย์น่ารักมาก พ่ออยู่ข้าง ๆ น้องตลอดเวลา ในขณะที่ก่อนจะสัมภาษณ์พ่อเองก็คอยประคองน้องธันย์ขึ้น-ลงเวที ถ่ายรูปเวลาน้องกำลังพูดคุยกับสื่อ 

 

สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้เวลาที่คุณพ่อกำลังมองน้องก็คือ ภายในแมสนั้นกำลังมีรอยยิ้มของพ่อที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในทุกครั้งที่มองน้องธันย์ สิ่งนี้เป็นอีกสึ่งหนึ่งที่สวยงามและน่าประทับใจ

 

 

ถ่ายทอดความเจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ

 

ในวันนั้นมีการเปิดตัวผลงานศิลปินชื่อดัง 11 ท่าน คือ คิ้วต่ำ, Tum Ulit , Art of Hongtae,Banana Blah Blah,Manasawii ,puck ,โรแมนติกร้าย,meetmrtwo,Yugo และ Pearytopia

 

และมีช่วงเวลาที่สัมภาษณ์ถึงคอนเซ็ปและเเรงบันดาลใจจากผลงาน ศิลปินแต่ละต่างมีมุมมองในแง่ของความเจ็บปวดที่น่าสนใจมากๆ เช่น

 

1. Farewell “ลาก่อน รักเก่า Parting is such sweet sorrow”

 เป็นผลงานของคุณ Art of Hongtae ที่เล่าเรื่องราวของการจบความสัมพันธ์ ผ่านภาพของการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ การเลิกราเป็นประสบการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดสำหรับทุกคน

 

แต่คุณฮ่องเต้กลับนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่งว่า ความเจ็บปวดนี้อาจเป็นอีกหนึ่งความเศร้าที่งดงาม ภาพที่ออกมาจะดูละมุนและดูเศร้าในเวลาเดียวกัน 

 

ด้วยความที่องค์ประกอบภาพหลักของภาพมีเพียง 2 อย่างคือ ‘คนหัวก้อนเมฆ สัญลักษณ์แทนความเครียดและความเศร้า’ และ ‘ท้องฟ้าสีอ่อนหวาน’ ทำให้อารมณ์ของภาพดูเศร้า เหงา

 

โดดเดี่ยวแต่งดงามไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเข้ากับ concept เรื่องการจากลาในมุมของคุณฮ่องเต้ ใจความของประโยคน่าประทับใจประโยคหนึ่งที่คุณฮ่องเต้พูดถึงผลงานของตัวเอง คือ

 

“ถ้าเรามองเรื่องการจากลาเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง เหมือนการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ เราคงมีความสุขง่ายขึ้น”

 

 

2.Someday This PAIN will be USEFUL

 

 

Someday This PAIN will be USEFUL ของคุณ ไตรภัค สุภวัฒนา นามปากกา PUCK ตอนที่เดินเข้าไปในงานรู้สึกว่าภาพนี้ดึงดูดใจมาก ๆ

 

ทั้งสีสันที่ฉูดฉาด รายละเอียดในภาพที่มีดีเทลเยอะแต่ลงตัวอย่างกลมกล่อม ในรูปภาพจะมีรูปประภาคารที่โดดเด่น 

 

และมีหลายอย่าง ๆ ที่ห้อมล้อมประภาคารนั้นเอาไว้ ตรงกลางของภาพจะมีรูปผู้หญิงที่กำลังเดินเข้าประภาคาร ซึ่งที่รู้สึกถึงความหมายภาพนี้คือทุกแม้ว่าความสุขของเราจะอยู่บนยอดประภาคาร

 

หรืออยู่ที่ไหนสักแห่ง ในตอนนี้เราอาจกำลังจมอยู่ในความทุกข์แต่สิ่งที่เป็นทุกข์คงไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป ทุกก้าวแห่งความเจ็บปวดพาไปยังความสุขที่ผ่านการเรียนรู้

 

ซึ่งคุณภัคได้บอกว่า “ หลายครั้งที่จมอยู่กับความทุกข์ ฉันลองค้นหาความสุขรอบๆ ตัวแต่ภาพแห่งความสุขนั้นพร่ามัวเหลือเกิน ใครสักคนเคยบอกไว้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตเรานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์

 

ความสุขนั้นเป็นเพียงสายลมเย็นที่นานๆ จะพัดผ่านมาที หากเป็นเช่นนั้นแล้วความทุกข์ก็ไม่ต่างจากกองไฟร้อนที่ตั้งอยู่ข้างกายเรา ไอร้อนที่อยู่กับเราเสมอมาหรืออาจเพราะมีไอร้อนนี้

 

ทุกครั้งที่ลมเย็นพัดผ่าน ฉันจึงรู้สึกถึงคุณค่าของลมเย็นนั้นจริงๆ ”

 

3. Thank You “ขอบใจที่เจ็บ” 

 

ชื่อศิลปิน : คิ้วต่ำ

 

“ความเจ็บปวด คงเป็นเหมือนช่วงเวลาเเรกตอนเลี้ยงแมวสักตัว เราอาจได้บาดแผลมากมาย แต่หากเราใช้เวลาเข้าใจ เรียนรู้ ยอมรับ และปรับตัวให้ได้ ความเจ็บปวดนั้น ก็จะเป็นความสัมพันธ์อันงดงาม”

 

การที่คุณคิ้วต่ำเปรียบเทียบความเจ็บปวดกับแมว ทำให้ค่อนข้างเห็นภาพชัดขึ้นว่า ทุกความเสียใจ ทุกความเจ็บปวดมันมีขั้นมีตอนของมัน วันแรกที่เราเจ็บ เราจะรับมือไม่ไหว ไม่รู้ต้องทำยังไง 

 

แต่เราจะเรียนรู้ที่จะยอมรับเข้าใจ และอยู่ร่วมกับมันได้ เมื่อได้เรียนรู้ เราจะพบเจอกับความสวยงามบางอย่าง  บาดแผลจะจางไป รอยยิ้มจะกลับมา

 

 

4. Equality Cake Planet

ในงานยังมีศิลปินนักเขียนนามปากกา โรแมนติกร้าย หรือ คุณ Win nimman เข้าร่วมในนิทรรศการนี้อีกด้วย ซึ่งคุณวินได้ห่างหายจากการวาดภาพไปค่อนข้างนานพอสมควร

 

และยังบอกอีกว่านิทรรศการนี้ทำให้คุณวินอยากกลับมาวาดภาพอีกครั้ง โดยผลงานในนิทรรศการมีชื่อภาพว่า Equality Cake Planet ซึ่งมีสีสันสดใส ความเป็นกวี ความรักในขนมหวานตามสไตล์โรแมนติกร้าย 

 

“เค้กก้อนสีชมพู ถึงแม้ว่ามันจะสวยงาม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยพบกับความเจ็บปวด แค่มันเลือกจะเป็นชมพูแบบนั้นต่อไป อย่าให้โลกที่โหดร้ายมาเปลี่ยนความชมพูของเรา”

 

และมีบทกวีในเค้กเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘be who you are as you wish we are all equal on this sweet-lonely planet’ ซึ่งตีความหมายถึงความเท่าเทียม ความเป็น feminist

 

ซึ่งเชื่อในความเท่าเทียมของทุกคนและทุกเพศ ภาพเค้กที่โรยด้วยเกล็ดน้ำตาลแท่งหลากหลายสีได้แทนถึงความเท่าเทียมทางเพศ ลดความอคติ เค้กในภาพจะช่วยลดความเจ็บปวดให้กับทุก ๆ คน

 

และยังเป็นเค้กที่ทุกเพศทุกวัยสามารถเอนจอยได้อีกด้วย 

 

อีกสิ่งที่อยากจะเล่าให้กับทุก ๆ คนได้ฟังคือ ตั้งแต่คุณวินเดินเข้างานมา มีน้อง ๆ แฟนคลับ หรือที่คุณวินเรียกว่า ‘แก๊งสายหวาน’ รอคุณวินตั้งแต่เดินเข้ามา มีการขอถ่ายรูปและชื่นชมผลงานโรแมนติกร้าย

 

บรรยากาศการที่แฟนคลับพูดคุยกับคุณวินอบอุ่นและเป็นกันเองมาก ในขณะที่คุณวินพูดอยู่บนเวลาทีนั้น ยังได้พูดถึงความเท่าเทียมซึ่งทำให้เราได้รู้สึกว่า

 

ความเท่าเทียมคือสิ่งสำคัญมากที่เราทุก ๆ คนควรตระหนักถึง

 

5.Another purpose of pain

ชื่อศิลปิน: Meetmrtwo

 

“Sometime,pain can become your cure.”

 

โดยคุณสองได้อธิบายถึงผลงานชิ้นนี้เอาไว้ว่า การที่ชีวิตเราผ่านอะไรมามาก ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่เราพบเจอได้สอนให้เราเรียนรู้เเทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด

 

โดยเปรียบความเจ็บปวดที่เราได้พบเป็นเหมือนสีที่ไหลออกมา แล้วเอาสีนั้นมาวาดเป็นจุดหมายของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เป็นการเปลี่ยนความเจ็บปวดของเราให้กลายเป็นจุดหมาย

 

เเรงบันดาลใจก็มาจาก ชื่อนิทรรศการ Turn Your Scars into Stars ที่บาดแผลทำให้เรามีเลือดไหลออกมา แต่เปลี่ยนจากเลือดตรงนั้นเป็นสีแทน

 

ครั้งแรกที่ได้ฟังคุณสองอธิบายถึงผลงานชิ้นนี้ เป็นสิ่งที่ประทับใจมาก ๆ เพราะบางครั้งความเจ็บปวดก็ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานนับครั้งไม่ถ้วน ร้องไห้กับมันนับครั้งไม่ถ้วน

 

แต่สุดท้ายความเจ็บปวดที่เราเจอ ในบางครั้งก็ทำให้เราเติบโตขึ้นและกลายเป็นเป้าหมายที่ทำให้ชีวิตเราก้าวต่อไปข้างหน้า

 

 

6.Colorful Daggers

 

ชื่อศิลปิน : Tum Ulit

 

“Fill in the right gap to release yourself from pain”

 

ความรู้สึกแรกที่เห็นผลงานชิ้นนี้ คือ ถ้าอยากจะมีผลงานศิลปะสักชิ้นไว้ในห้องนอน ก็คงเป็นชิ้นนี้ ให้ความรู้สึกน่ารัก อบอุ่นและคงเพิ่ม mood ให้ห้องนอนเป็น Safe Zone ให้เราได้ดี

 

คุณตั้มเล่าว่าได้รับเเรงบันดาลใจจากการถูกทำร้ายด้วยคำพูดหรืออารมณ์ของคนอื่นซ้ำ ๆ เมื่อผ่านความเสียใจจนวันนึงเกิดเป็นการตกตะกอนได้ว่า

 

“เราควรตั้งตนให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น” โดยใช้ “เกมเสียบถังโจรสลัด” มาเเทนหัวใจที่ถูกทิ่มเเทง แต่ถ้าเสียบได้ถูกช่อง เราก็จะกระเด็นออกจากความทุกข์นั้น:)

 

ทำให้นึกถึงตอนที่ทาง Alljit ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตั้มในเรื่องของ  การก้าวผ่านความเจ็บปวด และช่วงเวลาที่ยากที่สุด? คุณตั้มได้บอกว่า

 

“เมื่อเกิดความเจ็บปวดเราจะตั้งคำถามว่าทำไมเราไม่ทำอย่างนั้น? อย่างนี้? ซึ่งเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเราที่สุด แต่อีกส่วนหนึ่งคือ คำถามว่าเมื่อไหร่เราจะกลับมาเป็นปกติ

 

การรอเวลาเพื่อกลับไปถึงจุดนั้นมันทรมาน เพราะเรารู้สึกว่าการจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งต้องต่อสู้กับตัวเองเยอะมาก”

 

เพราะฉะนั้นภาพนี้เป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเหมือนกันว่าในวันนึงเราก็จะออกมาได้แหละ ถังโจรสลัดที่ทำให้เราถูกทิ่มแทงนับครั้งไม่ถ้วนใบนี้

 

เเละวันที่เราทะยานออกมาได้คงเป็นวันที่สดใสเหมือนผลงานของคุณตั้มชิ้นนี้:)

 

ยังมีผลงานของศิลปินอีกหลายท่านที่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ลึกซึ้ง สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน จนพวกเรายังแอบคุยกันว่า คงเอามาพูดใน Podcast ได้หลายอีพีเลย

Mini Gallery Turn Your Scars into Stars

ภายในงานจะมีผลงานของศิลปินทางบ้านที่ได้เข้าร่วมเป็น Mini Gallery บริเวณชั้นสาม ผลงานของศิลปินทางบ้านถูกประดับด้วยการแขวนเรียงกันให้ผู้เข้างานได้เข้ามาเยี่ยมชม ทุกรูปภาพที่ได้ศิลปินทางบ้าน

 

ได้ทำการวาดภาพเข้ามา มีเรื่องราวที่อยู่ในภาพเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจ การตีความได้อย่างลึกซึ้ง แต่การที่ได้ไปเดินชมก็สัมผัสได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในภาพเหล่านั้น

 

นอกจากจะได้เข้าร่วมใน Mini Gallery แล้ว ทางงานก็มีรางวัลรูปภาพขวัญใจศิลปินทั้ง 11 ท่านหรือ “Artist’s Pick! ” ศิลปินแต่ละท่านจะให้รางวัล การที่ได้รับเข้าร่วมเป็นเรื่องที่น่ายิน

 

และการได้รางวัลจากศิลปินที่ชื่นชอบเหมือนเป็นแรงใจ ประสบการณ์ที่น่ายินดีและจุดประกายความฝันให้ยิ่งขึ้นไป 

 

ในส่วนของชั้น 3 ที่นอกจากจะจัดแสดง Mini Gallery Turn Your Scars into Stars แล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ Art Market เอาใจสายช้อปงาน Hand made อย่างเรา ๆ

 

ร้านมากมายถึงเกือบ 20 ร้าน อาทิเช่น สติ๊กเกอร์ลายน่ารัก ๆ, กระเป๋าถักจากไหมพรม สมุดโน้ต กำไลข้อมือ ต่างหู เทียนหอม เป็นต้น เรียกว่าถ้าไม่คุมสติดี ๆ ได้มีกระเป๋าฉีกแน่ ๆ งานนี้ 

 

เปิดไพ่ฮีลใจและค้นหาคริสตัลประจำตัว

สิ่งนึงที่ทางทีมงานเสียดายมาก ๆ คือ อดเข้า Workshop ในงานวันที่ 5 เพราะเป็น Workshop ที่น่าสนใจมาก แต่อาจจะเป็นความโชคดีบนความน่าเสียดายที่เราได้มีโอกาสไปเปิดไพ่

 

และเลือกหินประจำตัวที่โต๊ะเล็ก ๆ ของคุณแอ้และคุณแคท ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์แทน

 

เปิดไพ่ฮีลใจ

จากคุณ แอ้ Memo Smile จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับการดูดวงนั่นแหละ แต่สิ่งที่แตกต่างจากการดูดวงที่ผ่านมาของเราคือ คำพูดที่ว่า

“การดูดวงที่ดี คือ การดูแล้วเห็นเส้นทางของตัวเอง หรือช่วยให้การตันสินใจได้ง่ายขึ้น”  ถ้าดูแล้วจิตตก กังวล อาจจะไม่ใช่การดูดวงที่ดีนัก เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่า การดูดวงครั้งนี้พิเศษตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย 

 

แล้วก็พิเศษแบบนั้นจริง ๆ ช่วงเปิดไพ่ ก็พบว่า เส้นทางของเราอาจจะไม่ได้สวยงามตลอดทั้งเส้น แต่ขอให้เชื่อมั่น และลงมือทำ เพราะเธอมาถูกทางแล้ว… แต่ความมั่นใจเราก็ยังมาไม่สุดทางอยู่ดี 

 

คุณเเอ้จับมือเรา พร้อมให้เปิดไพ่ใบสุดท้าย ที่บอกว่า “ KEEP YOUR HEART OPEN EVEN WHEN IT HURTS” และนั่นคือคำตอบของทุกอย่างที่ทำให้พลังความมั่นใจในตัวเราถูกเติม 

 

ความประทับใจอีกอย่างในระหว่างการเปิดไพ่ คือ  มีกล้องหลายตัว เข้ามาจับภาพ แต่คุณแอ้กังวลเพราะหน้าสด เราเลยอาสา ปัดแก้มให้ พร้อมยื่นกระจกให้ทาตาด้วย

 

มันคือความสัมพันธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่มันทำให้ใจฟูจริง ๆ   ปิดท้ายด้วยการ กอดให้กำลังใจ วินาทีนั้นเราตั้งใจหลับตา และตั้งใจรับพลังนั้นเข้ามา  

 

จากไม่กี่นาทีที่คุย จากไม่กี่เสี้ยววินาทีที่สัมผัสกัน  มันเป็นพลังบวกที่ส่งถึงกันจริง ๆ  และคุ้มค่าที่ได้ไปร่วมงาน “Turn Yours Scars into Stars” 

 

 

My Crystal Mandala

จาก “คุณแคทผู้เชี่ยวชาญทางด้านหินแร่” ในการค้นพบคริสตัลประจำตัวของคุณและสัมผัสพลังงานของผืนดิน

 

เพราะชีวิตต้องเจอกับเรื่องราวที่เจ็บปวด สิ่งที่ช่วยฮีลใจในวันยาก ๆ อาจจะเป็น ‘คริสตัล’ My Crystal Mandala เป็นเวิร์คช็อปที่จะพาทุกคนค้นหาหินประจำตัว

 

ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง หินเหล่านี้อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงช่วยดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามา  ตอนที่เข้าไปที่บูธ ได้รับการแนะนำดีมาก หินประจำตัวเลยเป็นสิ่งใหม่อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รู้จักจากนิทรรศการนี้ 

 

 

การที่เราได้พาตัวเองให้ถูกล้อมรอบไปด้วยผลงานศิลปะของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดเหมือนกัน เจอกับบาดแผลเหมือนกัน  ทำให้เราได้ฮีลใจของตัวเอง

 

ได้รับกำลังใจจากคนที่เคยเจอกับประสบการณ์ที่ไม่ดีเหมือนกันและได้มองตัวเองในมุมมองใหม่ว่า แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เราก็ยังคงสวยงามเหมือนเคย…

 

“ขอบคุณที่ก้าวผ่านความเจ็บปวดในวันนั้น มาเป็นเธอในวันนี้” – จาก Alljit

ชีวิตของเรามี การเริ่มต้นใหม่ ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเข้ามาทักทายเสมอ  และการเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งจะมีความรู้สึกของความ ‘กลัว’ พ่วงมาด้วย 

 

กลัวว่าจะไม่มีความสามารถในการเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ ๆ หรือกลัวที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างที่ควรจะเป็น Alljit Podcast

 

 

การเริ่มต้นใหม่

การเริ่มต้นใหม่ต้องเกิดขึ้นตลอดเวลา เพื่อให้ชีวิตได้เติบโต ได้มูฟออนจากสิ่งเก่า ๆ ทั้งดีและไม่ดี  แต่สิ่งที่ยากกับการเริ่มต้นใหม่คือความเปลี่ยนแปลง

 

เมื่อพูดถึงความเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเจอการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง ถ้านึกให้เห็นภาพ คงเป็นการเลื่อนระดับชั้นการเรียนตามอายุ การเปลี่ยนผ่านการทำความรู้สึกกับผู้คนในช่วงวัยของชีวิต

 

หรือแม้แต่การที่เรานอนในคืนนี้แล้วตื่นมาวันใหม่ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน

 

 

ความรู้สึกกลัว การเริ่มต้นใหม่ การเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงมักจะให้อะไรใหม่ ๆ กับเราเสมอ แต่ก่อนที่เราจะรู้สึก ดีใจ ตื่นเต้น เสียใจ แน่นอนว่าต้องมีความกลัว ความกังวล เข้ามาด้วย ทำไมเราถึงรู้สึก ‘กลัว’ อาจเป็นเพราะความไม่รู้

 

ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่าเราต้องเจอกับอะไร หรือกลัวเพราะสิ่งที่เราวาดฝัน คาดหวังไว้ไม่เป็นอย่างที่ใจเรานึกคิด ไม่ผิดที่ทุกคนจะรู้สึกถึงความสับสน วิตกกังวล กับการเปลี่ยนแปลง

 

แต่ในความเป็นจริง การเปลี่ยนแปลงมันสามารถสร้างพลังใจและความสำเร็จ การเปลี่ยนแปลงมีทั้งดีและอาจจะมีบางที่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตที่ต้องเกิดขึ้น

 

ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าจะใช้เวลาในการปรับตัวหรือเตรียมใจรับมือกับการเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร 

รับมือกับ การเริ่มต้นใหม่

 

 

การเริ่มต้นใหม่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องลืมเรื่องเก่า ๆ ที่เคยผ่านมา แต่เราสามารถเลือกเก็บสิ่งที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ แรงบัลดาลใจ ในการใช้ชีวิตที่ใหม่ ให้ดีกว่าเดิม ได้ที่นี่

 

 

ความสัมพันธ์ Toxic Relationship เป็นอย่างไร? ถ้าตอนนี้ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ทำให้เราทุกข์ใจมากกว่ามีความสุข แบบนี้เรียกว่า Toxic ไหม

 

อยากออกมาทำอย่างไรดี และถ้าตัวเราเป็นฝ่ายที่เริ่ม Toxic กับคู่ก่อนเราจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไรบ้าง . .

 

มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือรับฟังได้ที่  Alljit Podcast

 

ความสัมพันธ์ Toxic คืออะไร 

คำว่า Toxic ถ้าเป็นแบบเป็นภาษาอังกฤษโดยไม่อ้างอิงถึงจิตวิทยาแปลว่า ‘เป็นพิษ’ อยากให้นึกถึงมวลสารอะไรบางอย่างที่ทำให้เราไม่อยากอยู่ตรงนั้น

 

คล้ายกับความอึดอัด ไม่สุขสบายทั้งด้านจิตใจ ความสัมพันธ์ ชั้นบรรยากาศ 

คู่รักที่ดี ควรเป็นอย่างไร

เพราะความรักเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนกว่าที่เราคิด การที่เราอยากให้ความรักที่เรามีทำให้เรามีความสุข หน้าตาออกเป็นสีชมพู ซึ่งการใช้ชีวิตร่วมกันมันไม่ง่าย

 

ความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองไปด้วย คู่ชีวิตที่ซัพพอร์ตกันก็จะทำให้สุขภาพจิตเราดีไปด้วย สิ่งหลัก ๆ สำคัญในการเป็นคู่รักที่ดี การสื่อสาร กันสำคัญมาก

 

มีหลายคู่ที่เลิกรากันไป เพราะการสื่อสารที่ไม่ปรับเข้าหากัน มีอะไรไม่พูด พูดแต่สื่อสารคำแรง ๆ ออกไป จนกระทบกับความสัมพันธ์ การสื่อสารเป็นอันดับแรก ๆ ที่ต่างฝ่ายต้องยอมลดความเป็นตัวเอง

 

เพื่อที่จะให้ความสัมพันธ์ได้ไปต่ออย่างราบรื่น

 

 

อะไรคือสัญญาณของ ความสัมพันธ์ Toxic 

 

 

รีเช็คตัวเองอย่างไรว่าเราเป็นฝ่ายที่ Toxic

 

 

เหตุผลที่ทำให้คนยอมอยู่ในความสัมพันธ์ Toxic 

ทำอย่างไรเมื่อเหตุผลคือ อยู่เพื่อลูก

ต้องถามตัวเองว่าเป็นความต้องการของเราหรือลูก ถ้าเราอยู่ในฐานะของพ่อแม่แล้วต้องอยู่เพื่ออดทน ต้องเห็น แม่ร้องไห้ พ่อเสียใจ คงเป็นบ้านที่ไม่น่าอยู่

 

เราไม่มีทางรู้ว่าเราอดทนอยู่เด็กจะเติบโตมาแบบมีคุณภาพ สุขภาพจิตดี สิ่งสำคัญคือตอบให้ได้ว่าในการอยู่ในความสัมพันธ์ที่ทำร้ายครอบครัว

 

เราต้องการอะไรจากตรงนั้น เราสามารถบอกลูกได้ถ้าตอนนี้อยู่ด้วยกันแล้วแย่กว่าแยกกันอยู่

 

 

พราะอะไรคนที่รักกันถึงเลือกที่จะทำร้ายกัน 

“รักกัน” ไม่ได้หมายความว่ารักทั้งหมดของตัวตนที่มี ความรักอาจไม่ใช่ทุกอย่าง ของการใช้ชีวิตร่วมกัน ความรักเป็นเพียงจิ๊กซอว์อย่างหนึ่งที่ถูกวางไว้ แต่ไม่ได้เข้ากันได้ทุกอย่าง

 

บางคนรักตัวเองมากพอฉันรักแต่เพียงตัวเอง แต่อยู่กับเขาแล้วมันสบายใจจังเลย แล้วเราเผลอทำร้ายเขาไปด้วยนิสัยของเรา

 

รวมไปถึงเขาไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ พอความกังวลถูกสั่นคลอนเราก็จะทำอย่างไรก็ได้ ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรัก เพื่อให้เกิดความมั่นคงในความรัก 

 

สามารถติดตามความอื่น ๆ ได้ที่ Alljit Blog

ไม่กล้ารับคำชม จะทำอย่างไรดี ? การได้รับคำชมจากคนอื่นอาจเป็นเรื่องที่ทำให้หนักใจ อึดอัดใจ..บางครั้งกลับไม่รู้จะตอบไปว่าอะไร ถึงจะดีต่อใจทั้งคนพูดคนฟัง.. เพราะสำหรับหลายคนการได้รับคำชมไม่ใช่เรื่องน่ายินดี

ปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้ ไม่กล้ารับคำชม ?

สารบัญ

1. การตั้งคำถามกับความจริงใจ 

สำหรับคนที่มีพื้นฐานหวาดระแวง ไว้ใจคนอื่นยาก เวลาได้รับคำพูดดี ๆ จากคนอื่น บางสถานการณ์อาจทำให้รู้สึกว่า เขาชมไปงั้นงั้นรึเปล่า , เขามีจุดประสงค์อะไรแฝงหรือไม่ , เราเป็นอย่างที่เขาชมหรือเปล่า

 

2. การมีความมั่นใจในตัวเองต่ำ

หากมี self-confidence ต่ำ เราจะรู้สึกว่า ไม่จริง เราไม่ได้ทำได้ดีขนาดนั้น เราไม่ได้ดูดีขนาดนั้น ทำให้เวลาได้รับคำพูดดีๆ จากคนอื่น มีแนวโน้มที่เราจะรู้สึกอึดอัด หนักใจ และตั้งคำถามกับคำชมที่เกิดขึ้น  

 

3. การที่ไม่สามารถรับรู้คุณค่าของตัวเองได้

self-esteem ที่ต่ำ จะทำให้เราด้อยค่าตัวเอง เราจะรู้สึกว่าเราเป็นใคร เราสมควรได้รับคำพูดนั้นจริงไหม เป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่งเช่นกัน เวลาที่เรามีความคิดไปในทางที่ดูถูกตัวเอง ตัวเองไม่ดีพอ 

 

ถ้าเรามี Low Self-esteem จะอึดอัดใจเวลาตอบรับคำชม ไม่สามารถยอมรับคำเชิงบวกและไม่ยอมเปลี่ยนการรับรู้ของเราเกี่ยวกับตนเองตามคำชมนั้นได้ จะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควร (Self-worth)

 

เพราะ คำชมนั้นขัดแย้งกับสิ่งที่เรามองตัวเองในปัจจุบัน หากได้รับคำชมในวันที่เรารู้สึกว่าเรายังไม่ใช่ ก็ยากที่จะเชื่อและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมรับ ดังนั้นแม้แต่คำชมที่จริงใจและมีความหมาย ก็ยังดูเป็นคำโกหก

 

4. การเลี้ยงดู 

การถูกเลี้ยงดูมาแบบไม่เคยได้รับคำชมเลย จะทำให้เกิดความรู้สึกดีไม่พอ ด้อยกว่าคนอื่น รวมถึงการยอมรับคำชมจากคนอื่นเองก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน ประโยคที่ว่า “ชมมากเดี๋ยวเหลิง”

 

คิดว่าหลาย ๆ บ้านคงเคยได้ยินหรือได้ใช้ประโยคนี้ ลองย้อนกลับไปตอนที่ลูกเป็นเด็ก เริ่มหัดเดิน หัดพูด หัดทำนู่นทำนี่ด้วยตัวเอง พ่อแม่หยิบยื่นคำชมให้เขาอย่างง่ายดาย “พูดคำนี้ได้แล้วเก่งจังเลย”

 

“เดินเก่งจังเลย” แต่พอโตขึ้นมาช่วงวัยหนึ่ง การหยิบยื่นคำชมให้เขาในวันที่เขาทำสิ่งดี ๆ กลับเป็นเรื่องยากมาก เพราะ วัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อว่า ชมมากไม่ดี ชมมากเดี๋ยวเหลิง… 

 

จากหนังสือ Dare to dream คว้าฝันสุดปลายเท้า ที่เขียนโดยเลนา มาเรีย เขากล่าวถึงการชมไว้ได้น่าคิดตามมาก ๆ ” อย่าชมมากไป เดี๋ยวเหลิง! ” แต่ใครจะเหลิงจริงจังเพียงเพราะได้รับคำชมเล่า

 

ฉันอยากบอกว่า การไม่มีใครชมต่างหากที่ทำให้เราทะเยอทะยาน อยากเป็นคนเด่นดัง จากนั้น ก็ห่อหุ้มตัวเองไว้ด้วยอัตตาและความหยิ่งทะนง

 

5. การตีความจากประสบการณ์ส่วนตัว

–  คำชมเป็นเหมือนการถูกตัดสิน  เช่น การ “เป็นคนฉลาด” เป็นคำชมที่ดูน่าภูมิใจ แต่ในบางครั้ง ความฉลาดของเขาที่มี ทำให้ความตั้งใจและความพยายามถูกมองข้าม  “เก่งแบบนี้ ไม่ต้องพยายามอะไรเลย”

 

เรื่องราวของคุณ Ohm Cocktail จากรายการ The Chair  ภาพลักษณ์ที่หลายๆคนให้กับเขาคือ “ฉลาด”  เขาบอกว่าการถูกมองว่าฉลาดบางครั้งก็ดีเพราะคำพูดเขาจะดูมีน้ำหนัก

 

แต่บางครั้ง คำว่าฉลาดก็ตามมากับคำว่าเจ้าเล่ห์ ทั้งที่คนอื่นอาจไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นความจริงใจที่ออกจากเราหรือวางแผนไว้ก่อนมากมาย  เพราะดูซับซ้อนกว่าคนปกติ

 

–  คำชมคือความกดดัน บางคำชมทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน  ลูกเก่งมากเลย ไม่เคยทำให้ผิดหวัง = ต้องสมบูรณ์แบบ ทำให้ผิดหวังไม่ได้ งานครั้งนี้ยอดเยี่ยมมาก = ครั้งหน้าต้องดีกว่านี้

 

–  ประสบการณ์ได้รับคำชมที่ไม่ได้ชมจากใจ แต่แอบแฝงไว้ด้วยบางอย่างเช่น  “เขียนสรุปน่าอ่านจังเลย ส่งให้บ้างสิ” หรือ “เก่งนะ แต่… ”

 

 

เหตุผลทางจิตวิทยา ที่ทำให้หลาย ๆ คนรู้สึก ไม่กล้ารับคำชม ? 

1. ความไม่อยากเป็นจุดเด่น

เพราะสำหรับบางคน เขาไม่ชอบเป็นจุดเด่น การได้รับคำชมอาจจะเหมือนกับการได้รับแสงสปอร์ตไลท์ส่องมาที่ตัว ทำให้เขารู้สึกว่าไม่รู้จะรับมือหรือตอบรับยังไง 

 

2. ความไม่พอใจที่มีต่ออีกฝ่าย

ในกรณีที่ คนนั้นอาจจะเคยทำให้รู้สึกหรือ เคยมีปัญหากันในอดีตที่ยากจะลืม ทำให้รู้สึกไม่ดีจากการได้รับอะไรจากอีกฝ่าย เพราะเราคงจะมองคน ๆ นั้นในแง่ร้ายไปแล้ว 

 

3. ความรู้สึกกดดันจากความคาดหวัง

คำชมมาพร้อมกับความคาดหวังบางอย่างได้ จากข้อมูล ยกตัวอย่างว่า ถ้าเจ้านายบอกว่ามอบงานนี้ให้ดูแลเลยเพราะคุณทำงานเสร็จตรงเวลาเสมอ 

 

4. Cognitive Dissonance 

การไม่ลงรอยกันของการรับรู้ ความคิด ความเชื่อ หรือการให้คุณค่าต่อบางสิ่งบางอย่างขัดแย้งกันเอง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ มีส่วนของการมีความมั่นใจในตัวเองต่ำด้วย สมมติคนอื่นบอกว่าเราฉลาด

 

แต่เราไม่รู้สึกว่าตัวเองฉลาด เลยจะเกิดความขัดแย้งกันขึ้นในตัวเองที่เรียกว่า Cognitive Dissonance การไม่ลงรอยกันของความรับรู้ต่อตนเอง

 

5. ความไม่เคบชินที่ได้รับคำชม

เป็นเพราะคำชมทำให้รู้สึก Surprise  ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะคิดไปก่อนแล้วว่า เราทำสิ่งนี้ได้ไม่ดี มีข้อผิดพลาดเยอะไปหมด พอมีใครชื่นชม เลยอาจจะรู้สึกว่า ไม่รู้ควรตอบรับยังไง

 

 

เราจะรับมือยังไง เวลาได้รับคำชมแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ? 

1. คำชมเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่ของเรา 

จาก Harvard Business Review  ผู้เขียนบอกว่าเวลาคนอื่นชื่นชม นั่นเป็นประสบการณ์ของเขา ว่าเขาได้รับผลยังไง เขาอาจจะแค่มองว่า สิ่งที่เราทำ เป็นเรื่องที่ดีก็เลยบอกออกไปว่าดี ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น

 

2. ลดการคิดล่วงหน้า

สำรวจตัวเอง ว่าเราคิดในสิ่งที่ยึดกับความเป็นจริงหรือเปล่า เพราะเวลาเราชมคนอื่น เราก็คงไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะต้องตอบแบบไหนขนาดนั้น เขาก็คงไม่ได้คาดหวังเหมือนกันว่า เราจะต้องตอบรับให้ถูกใจเขา 

3.  ลดอคติ

ข้อนี้คิดว่าใช้กับคนที่ไว้ใจคนอื่นยากได้ดี เวลาไว้ใจคนอื่นยาก เรามักจะตั้งคำถาม เรามักจะตั้งคำถามกับการกระทำของคนอื่น การลดอคติลง เปิดใจรับสิ่งที่เขาแสดงออก อาจไม่ใช่เรื่องแย่ 

 

4. ลดการตีความ

บางทีเบื้องลึก เบื้องหลัง คำพูดของเขาอาจจะไม่มีอะไรไปมากกว่าการอยากชื่นชมเรา แต่เพราะคำพูดของเขาไม่ถูกใจหรือไม่ตรงใจเราเท่านั้นเองเราจึงตีความจากความคดของตัวเอง

 

แต่อีกมุมหนึ่งไม่มีใครที่จะรู้ว่าเราต้องการอะไร เขาชมว่าเราเก่ง เขาอาจจะรู้สึกแบบนั้น จริง ๆ ไม่ได้ต้องการจะกดดันเรา หรือไม่ได้คาดหวังให้เราสมบูรณ์ไปซะทุกอย่าง

 

 

ตอบรับคำชมอย่างไรดี 

หนังสือ Happy Together: Using the Science of Positive Psychology to Build Love That Lasts ของ Pawelski มี 3 ขั้นตอน ในการรับมือกับคำชมแบบเฉพาะหน้าคือ 

 

–  Accept น้อมรับคำชมนั้นด้วยคำว่า “ขอบคุณ”

–  Amplify รับมันเข้ามาในตัวเรา รู้สึกถึงคำชมนั้น ดีใจไปกับมัน

–  Advance ต่อยอดด้วยการถามคำถาม ที่นำบทสนทนาไปสู่สิ่งอื่น สิ่งที่จะทำให้งานหรือตัวเราดีขึ้น

 

วิธีชื่นชมอย่างไรให้รู้สึกดี

1. จริงใจ

เริ่มต้นจากความจริงใจ เราอยากชมเขาจริง ๆ หรือเปล่า เพราะถ้าเราชมเขาด้วยความไม่จริงใจแล้วอีกฝ่ายจะรับรู้ได้

 

2. ชื่นชมที่ความตั้งใจและความพยายาม

การที่ชมเขาว่าเก่งมาก ฉลาดมาก อาจทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องเพอร์เฟค พลาดไม่ได้ ลองลงรายละเอียดสักหน่อย ให้รู้ว่าไม่ได้ชม ส่ง ๆ แต่เราสนใจและสังเกตเขาจริง ๆ ถ้าชื่นชมที่ความตั้งใจ และ ความพยายาม

 

เขาจะรับรู้ได้ว่า ตัวเองทำสุดความสามารถแล้ว และคู่ควรกับคำชมนั้น

 

 

ที่มา:

Why Do Some People Hate Receiving Compliments?

Do Compliments Make You Cringe? Here’s Why.

cognitive dissonance

‘ฉันทำดี ก็ต้องชมฉันสิ!’

การชื่นชมเด็ก

 

ลายนิ้วมือ ที่อยู่ติดตัวกับเรามาตั้งแต่เกิด สามารถบอกอะไรเราได้บ้าง ?

 

ทำไมตอนที่เราไปหาญาติผู้ใหญ่เขาชอบมาขอดูลายนิ้วมือของเรา …

 

 

ลายนิ้วมือ คืออะไร ? 

ลายนิ้วมือ (Fingerprints) คือ ลายเส้นที่ปรากฏอยู่บนผิวหนังด้านหน้าของนิ้วมือ ประกอบด้วยเส้น 2 ชนิด คือ เส้นนูน หรือสันลายนิ้วมือ (Ridge) ที่เป็นรอยนูนที่ยกสูงกว่าพื้นผิวหน้านิ้วมือ

 

มีลักษณะเป็นเส้นนูนโค้งและยาวตามรูปแบบลายนิ้วมือ (เมื่อประทับลายนิ้วมือจะติดหมึกพิมพ์) และร่องลายนิ้วมือ (Furrow) ที่เป็นรอยลึกสลับระหว่างเส้นนูน (จะมองเห็นเป็นร่องสีขาว เมื่อประทับลายนิ้วมือ)

 

ซึ่งลายนิ้วมือของแต่ละบุคคลก็จะมีความเป็น เอกลักษณ์ ที่แตกต่างกันออกไป และจะมีโอกาสเพียงแค่ 1 ใน 64,000 ล้าน เท่านั้นที่ลายนิ้วมือของเราจะไปซ้ำกับบุคคลอื่นบนโลกใบนี้

 

เพราะกระบวนการพัฒนาลายนิ้วมือของมนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่างกัน โดยจะเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ในครรภ์มารดาจนเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเดือนที่ 7 ของการตั้งครรภ์

 

และถึงแม้จะเป็นฝาแฝดที่เกิดมาจากไข่ใบเดียวกัน แต่แรงดันภายในมดลูกก็มีส่วนทำให้ลายนิ้วมือของฝาแฝดทั้งคู่มีความแตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าลานิ้วมือของแต่ละคนมีความเป็นเอกลักษณ์

 

การที่จะให้ลายนิ้วมือซ้ำกันเป็นไปได้ยากมาก ๆ ลายนิ้วมือมีการเชื่อมโยงกับสมอง เริ่มตั้งแต่เป็นกระบวนการที่อยู่ในครรภ์ของแม่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป เซลล์สมอง เซลล์ลายนิ้วมือ 

 

 

ประโยชน์ของ ลายนิ้วมือ

ในปัจจุบัน มีการนำ ลายนิ้วมือ มาใช้ประโยชน์ในหลายด้านมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น การระบุตัวคนร้ายจากลายนิ้วมือ,ทำพาสปอร์ต,สแกนลายนิ้วมือเวลาเข้างาน,ความปลอดภัยทางเทคโนโลยี Touch ID

 

 

ดูดวงจาก ลายนิ้วมือ

เป็นความเชื่ออีกศาสตร์นึง ที่สามารถบอกบุคลิค อุปนิสัย และสามารถทำนายอนาคตได้ วิธีการดูเส้นลายมือสามารถดูได้ทั้ง 2 ข้าง แต่เส้นลายมือผู้ชายกับผู้หญิงจะต่างกัน

 

เส้นลายมือฝั่งซ้ายของผู้ชาย จะหมายถึงโชคชะตาตั้งแต่เกิด ฝั่งขวาหมายถึงสิ่งที่สร้างสะสมด้วยตัวเอง

 

และเส้นลายมือของผู้หญิงจะสลับกับของผู้ชาย ฝั่งซ้ายคือสิ่งที่สะสมมาด้วยตัวเอง ฝั่งขวาคือโชคชะตาตั้งแต่เกิด

 

 

มือแต่ละข้างจะมี 4 เส้นหลัก 

เส้นจิตใจ

เส้นลายมือด้านบนสุด เริ่มต้นจากโคนนิ้วก้อยไปจนสุดนิ้วชี้ ซึ่งใช้ทำนายถึงเรื่องจิตใจ, ความรัก, ความรู้สึก รวมถึงเรื่องสภาพจิตใจ

เส้นสติปัญญา

เส้นลายมือที่อยู่ถัดลงมาจากเส้นจิตใจ ซึ่งเส้นลายมือนี้จะใช้ทำนายลักษณะชีวิต, วิธีคิดหรือการวางแผนต่างๆ นอกจากนี้ยังทำนายถึงเรื่องความรู้, ความสามารถของตัวคุณ

เส้นชีวิต

เส้นลายมือเส้นล่างสุด ลักษณะเป็นเส้นโค้ง ลากยาวตั้งแต่ช่วงหัวแม่มือลงมา ใช้ทำนายคุณภาพชีวิต, สุขภาพร่างกาย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในชีวิต

เส้นวาสนา

เส้นลายมือที่อยู่ตรงกลางฝ่ามือ ลากตัดทั้งเส้นจิตใจ, เส้นสติปัญญา และเส้นชีวิต ซึ่งเส้นวาสนาจะทำนายถึงโชคลาภ วาสนา แต่เส้นลายมือเส้นนี้เป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเส้นวาสนา

 

แต่หากว่าใครอยากดูเส้นฝ่ามือเบื้องต้น สามารถดูได้ที่ ดูลายมือเบื้องต้น ขอบคุณข้อมูลจาก thestreetratchada

 

 

เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยากจริงไหม ? ประโยคติดปากของหลาย ๆ คน “เป็นผู้ใหญ่ในแต่ละวันมันยาก” เป็นผู้ใหญ่จะอ่อนแอบ้าง ร้องไห้บ้าง ได้ไหม ? จะเป็นผู้ใหญ่อย่างไรให้มีความสุข น่ารัก และน่าเคารพ ในมุมมองจิตวิทยา

 

มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือรับฟังได้ที่  Alljit Podcast

จุดที่รู้สึกว่าตัวเองเป็น เติบโตเป็นผู้ใหญ่  

การเติบโตเป็นผู้ใหญ่คือ จุดที่เรารับผิดชอบตัวเองได้ ดูแลตัวเองได้ จัดการหลาย ๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิตได้ในหลาย ๆ มิติ  หรือใช้คำว่ามิวุฒิภาวะมากพอที่จะจัดการกับสิ่งต่าง ๆ รวมไปถึงการรับผิดชอบชีวิตตัวเอง  

 

ในด้าน ความเป็นอยู่ การเงิน การทำงานรวมไปถึงเรื่องของการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ไม่ใช้อารมณ์นำเหตุผล นี่คงเป็นจุดหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่าเราเติมโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว 

 

 

การ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยากจริงไหม

คำตอบคือ ยากอยู่แล้ว การเป็นผู้ใหญ่ในทุก ๆ วันมันยาก เพราะในทุก ๆ การเติบโตมีอะไรเป็นบทพิสูจน์ในทุก ๆ วันอยู่แล้ว  แต่การเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ยากเกินกว่าเราจะรับมือ และผ่านไปได้  

 

จุดไหนที่ยากที่สุดของ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ 

การเปลี่ยนผ่านของช่วงวัย  จากวัยเรียน เข้าสู่มหาวิทยาลัย เริ่มฝึกงาน ก้าวเข้าสู่การทำงาน เป็นช่วงที่ยากที่จะต้องค้นหาตัวเอง ว่าเราอยากยื่นที่จุดไหน ทำงานที่ไหนดี  แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นในวันนี้คือ 

 

เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนั้น หมายความว่า ในทุก ๆ วันมีอะไรที่ทำให้เราได้เรียนรู้ และค่อย ๆ เติบโต ไม่จำเป็นต้องรู้ หรือเข้าใจ ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราถึงจะหมายความว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว  

 

การเป็นผู้ใหญ่ ต้องเข้มแข็งไหม

ใช้คำว่า อดทนให้มากพอ และ เข้าใจตัวเองอย่างที่มันควรจะเป็น อาจจะไม่ตองใช้คำว่าเข้มแข็ง ถึงแม้เราเติบโตขึ้นแต่เราไม่รู้หรอกว่าเราจะเจออะไรข้างหน้า เราจะมีแรงมากพอที่จะสู้กับมันไหม

 

แต่เราก็ควรมีความอดทนในสิ่งที่เราจะเจอ และมีความสามารถในการทำความเข้าใจสิ่งที่เราจะเจอเพื่อจัดการและรับมือได้ดีมากยิ่งขึ้น 

ความอดทน 

เวลาที่มีอะไรเข้ามา เราไม่ควรจะล้มเลิกอะไรก่อน เรื่องบางเรื่องอาจจะอาศัยจังหวะ เวลา หรือโอกาส ถ้าหากบางครั้งเราไม่อดทน หรือทดลองทำดู อาจจะทำให้เราเสียโอกาสบางอย่างไป 

 

หากเรามีความอดทน และเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ  เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่เรารู้จักตัวเอง และจะทำให้เรามีตัวกรองที่ทำให้เราไม่วิ่งตามสิ่งรอบ ๆ ตัวได้ง่าย  

 

ในวัยผู้ใหญ่ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง 

1.เริ่มมองเห็นความต้องการของตัวเราเองมากขึ้น 

คงมีช่วงวันหนึ่งที่สับสนว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ทำอะไรกันแน่  แต่วันหนึ่งก็เห็นภาพตัวเองชัดมากขึ้น และได้เรียนรู้ที่จะเคารพตัวเองมากขึ้น ได้เดินตามเส้นทางที่จัวเองอยากจะเดิน 

2. การเติบโตแบบก้าวกระโดด 

ในวันหนึ่งที่จะต้องเติบโต ทำให้เราเรียนรู้ว่า การทำอะไรซักอย่างหนึ่งต้องมีการวางแผนในการใช้ชีวิต ไม่ได้มองว่าวันนี้เราจะทำอะไร พรุ่งนี้เราจะทำอะไร แต่ต้องมองว่า ใน 1 ปี 3 ปี เราจะเป็นอย่างไร

 

จะทำให้เราใช้ชีวิตแบบมีแบบแผน และควบคุมตัวเองได้มากขึ้นว่าจะทำอะไร เพราะเรารู้จักตัวเองว่าอยากอยู่ที่จุดไหน  

3. ความไม่แน่นอน 

สิ่งที่คิดว่าจัดการได้ดีมาตลอด ควบคุมได้ จนวันหนึ่งเกิดบางอย่างขึ้น ถึงได้เข้าใจว่า จริง ๆ เราไม่เคยควบคุมสิ่งนั้นได้เลย แล้วสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา 

 

เติบโตเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรให้มีความสุข  

1. การปล่อยวางเรื่องบางเรื่องไปบ้าง

เราจะไม่แบกรับกับทุกเรื่อง ปล่อยให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นบ้าง โดยที่เราไม่ต้องเอามาคิดว่ามันดีหรือยัง แย่ไหม หรือใครเป็นคนผิด ปล่อยบ้าง ละเลยบ้าง กับบางอย่างที่มันไม่ได้สำคัญกับชีวิต

 

เพราะ เวลาที่เราพยายามทำความเข้าใจกับชีวิตมากเกินไป อาจจะทำให้เราเหนื่อย  การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่จำเป็นว่าต้องรู้ทุกเรื่อง จัดการได้ทุกอย่าง 

 

2. ปรับสมดุลให้ตัวเอง โดยการมีพื้นที่าให้ตัวงเองได้กลับไปเป็นเด็กบ้าง 

กลไกการทำงานของจิตใจโดยทั่วไป คือมนุษย์ต้องมีพื้นที่ให้กลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้ง ไม่ได้อยู่ในโหมดของความเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลา 

 

จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดี น่ารัก น่าเคารพ ได้อย่างไร

การที่เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนั่นแปลว่าเราต้องมีโมเดลบางอย่างที่คนอื่นอยากจะทำตาม เขาเลยเลือกที่จะเคารพเรา ซึ่งหากเราเข้าใจตัวเองเราจะสามารถอยู่กับคนอื่นได้ง่ายขึ้น ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้น 

 

สามารถติดตามความอื่น ๆ ได้ที่ Alljit Blog

คิดลบกับตัวเอง ” ทำไมเราไม่เก่ง คนอื่นไม่ชอบเราหรือเปล่า… สังเกตกันไหม ว่าบางครั้งคิดลบก็มีต่อตัวเอง บางครั้งก็มีต่อคนรอบข้าง

 

จริง ๆ แล้วการคิดลบเป็นเรื่องปกติไหม ? เกิดขึ้นได้อย่างไร ? มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือฟังPodcast อื่น ๆ ได้ที่นี่ 

 

คิดลบกับตัวเอง และคนอื่นปกติไหม

การคิดด้านลบหากเกิดขึ้นบ้างเป็นเรื่องปกติ เนื่องจาก การคิดลบเป็นสัญญาณเตือนว่า เราอาจเกิดความกลัว ความกังวล รวมถึงความไม่แน่นอนบางอย่างขึ้น ความไม่ปลอดภัยบางอย่างขึ้น

 

ถ้าเกิดขึ้นทำให้เราระมัดระวังตัวเองมากขึ้น และมีวิธีการที่จะควบคึมสถานการ์ตรงนั้นได้เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับตัวเอง เราสามารถคิดลบได้แต่ไม่ควรเกิดขึ้นบ่อย ๆ 

 

การคิดลบเกิดขึ้นได้อย่างไร

ความคิดด้านลบ เป็นอัติโนมัติ มักจะเกิดขึ้นก่อนความคิดด้านเหตุ และผลเสมอ เพราะมาจากความคุ้นเคย ประสบการณ์ ที่เราเรียนรู้มาว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดแบบนี้ขึ้นอีก เราจึงมักจะคิดด้านลบกับตัวเอง สถานการณ์ และคนอื่น

 

บางครั้งเราจะทันความคิด แก้ไขได้ แต่บางครั้งบางครั้งเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่ทันความคิด บางครั้งก็ เศร้า ดิ่ง ไปแล้ว แต่สุดท้ายถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะทำให้ความคิดลบวิ่งช้าลง และจัดการ ก็จะก่อให้เกิดความวุ่นวายใจกับเราเ 

 

หลาย ๆ ครั้งที่เราคิดลบกับตัวเอง เพราะเรามักตั้งคำถามกับตัวเองว่าเพราะอะไรฉันถึงทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเจอเรื่องแบบนี้ ดูเหมือนเป็นการคิดด้านเดียว 

 

การคิดลบกับคนอื่น ในบางครั้งอาจเกิดจากความกลัว ความสั่นคอนบางอย่างในตัวเราเอง เราเลยเลือกที่จะ ปกป้อง หรือโยนความรู้สึกนั้นไว้ที่คนอื่น เพราะอะไรเขาต้องทำแบบนี้ เพราะอะไรเขาต้องทำแบบนั้น 

 

ซึ่งไม่รู้ว่าความจริงอยู่ตรงไหน ก็เลยวิ่งตามความคิดนั้นของตัวเอง และก็รู้สึกไปกับมัน หากไม่ตรวจสอบ หรือดูแลความคิดลบ ความคิดลบนั้นก็จะเข้ามา นำทางชีวิตเรา แทนที่เราจะเป็นคนนำทางชีวิตตัวเอง 

 

คิดลบเท่ากับมี Mindset ที่ไม่ดี จริงไหม

Mindset เป็นเพียงชุดกรอบความคิด การที่เราคิดลบอาจมาจากกรอบความคิดบางอย่างที่มองไปในทิศทางลบ ตอบไม่ได้ว่าดีหรือไม่ แต่คงดีกว่าถ้าเรามีความคิดด้านลบที่พอเหมาะพอควร และอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง 

 

ข้อสังเกตข้อเตือนใจว่ากำลัง คิดลบกับตัวเอง

1. โทษเพียงแค่ตัวเองหรือเปล่า 

สังเกตว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราไม่นำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาประมวลผลว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วนำพิจารณาว่าควรทำอย่างไรแต่เราเพียงแค่โทษตัวเองว่าไม่น่าทำแบบนั้น ไม่ควรทำแบบนี้ 

 

2. รู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรได้รับสิ่งดีดี 

การคิดลบอาจทำให้บางครั้งอาจลืมบางสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีไป เวลาทำอะไรได้ดี ก็ไม่ให้เครดิตตัวเอง ไม่ยอมรับสิ่งที่ดีดีให้กับตัวเอง หรือแม้แต่ไม่ยอมรับคำชื่นชมจากผู้อื่น 

 

3. ให้อภัยตัวเองไม่เป็น 

รู้สึกว่าเป็นความผิดของเราที่เราต้องแบกรับตลอดเวลา แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นนั้นให้บทเรียนกับเราและสามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขในครั้งถัดไป  

 

 

คิดลบและคิดบวกอย่างไรให้บาลานซ์

1. คิดให้สอดคล้องกับความเป็นจริง 

จะบาลานซ์การคิดลบ และ คิดบวกได้ ต้องคิดให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เวลาที่เกิดอะไรขึ้นให้ลองหมั่นตรวจสอบความคิดของตัวเองว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง หรือเกิดขึ้นจากทัศคติที่ของเรา แล้วเอาเข้าไปตัดสิน

 

สิ่งเหล่านั้นหรือเปล่า  เวลาที่เกิดอะไรขึ้นอย่างหนึ่งให้เราถามตัวเองก่อนว่า เรากำลังคิดอะไร มีอะไรเข้าไปสนับสนุนความคิดเราหรือเปล่า มองให้เห็นผ่านเลนส์ของความเป็นจริง แล้ววางทัศนคติของตัวเองลง 

 

2. สำรวจความคิดของตัวเอง

ลองจดบันทึกกับตัวเอง ว่าเวลาที่เราคิดแบบนี้เพราะอะไร เราต้องการอะไร มีเหตุหารใดที่เข้ามาสนับสนุนความคิดของตัวเราเอง ลองหาสิ่งสนับสนุนความคิดเพื่อให้รู้ว่า นั่นเป็นเรื่องที่คิดไปเองหรือเป็นเรื่องจริง 

 

หากปล่อยให้ตัวเองคิดลบอยู่เรื่อย ๆ ก็จะเป็นสิ่งที่เเข็งแรงมากขึ้น และจะทำให้มองเห็นตัวเองในมิติอื่นได้ยากขึ้น  หากเกิดความคิดลบ ๆ ขึ้น ให้เราคิดหลายหลายมุมมากขึ้น 

 

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

Busy Culture เมื่อสังคม บีบบังคับให้ยุ่ง เพราะถ้าถ้าอยู่เฉยๆ = ขี้เกียจ  งานเสร็จหมดแล้ว เคลียร์ของล่วงหน้าก็แล้ว

 

แต่พอว่างงานเพราะเราจัดการงานของเราเสร็จแล้ว ทำไมรู้สึกว้าวุ่นใจจัง รู้สึกผิด อยากยุ่ง ๆ เข้าไว้

 

ทำไมภาพลักษณ์ดู ยุ่ง = ดูดี 

ในปัจจุบันความยุ่งไม่ได้แค่ใช้อธิบายสภาวะ แต่ความยุ่งเป็นเสมือนใบประกาศเกียรติคุณ ใครยุ่งน้อยอาจถูกลดทอนว่าเป็นพวกไม่ยอมทำอะไร ในขณะที่คนยุ่งมากมักได้รับการยอมรับมากกว่า

 

เมื่อคนที่ทำงานเยอะ เป็นคนขยัน และได้รับคำชื่นชม ตรงกันข้าม คนที่มีเวลาว่างเยอะ หรือ ทำงานเสร็จเร็ว จะทำให้ดูขี้เกียจคนหลาย ๆ คนอาจไม่อยากดูแย่ในสายตาใครอยู่แล้วจึงต้องพยายามทำให้ตัวเองยุ่งเข้าไว้

 

J Christine Kim ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกงในเกาลูน กล่าวว่า “เมื่อมีคนพูดว่าตัวเองกำลังยุ่ง มันทำให้พวกเขารู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาสำคัญ

 

และการปรากฏตัวของพวกเขามีความสำคัญต่อคนรอบข้าง” เราคิดว่าการทำตัวยุ่งทำให้ตัวเองมีค่า ไม่ว่าจะเป็นกับเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ครอบครัวหรือเพื่อนก็ตาม เราจะเห็นว่าเวลาของตนเองสำคัญที่สุดเสมอ

 

 

Busy Culture

การที่ทำตัวยุ่งตลอดเวลา ทำตัวเองให้มีอะไรทำตลอดเวลา ทั้งที่ความจริงแล้วอาจไม่ได้ยุ่งอยู่ก็ได้ เพื่อภาพลักษณ์ และเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดที่ว่างงาน ซึ่งบางองค์กรก็เป็นคนปลูกฝังวัฒนธรรมแบบ busy culture

 

มาเพื่อกดดันตัวพนักงาน และให้พนักงานจับผิดคนว่างกันเองเหมือนกันนะ พออยู่กับความเป็น busy มาก ๆ อาจกลายเป็น toxic productivity ได้

 

มีคำอธิบายในจิตวิทยา ข้อมูลจาก salaryinvestor “Jaimie Bloch” นักจิตวิทยา และผู้อำนวยการคลินิก MindMovers Psychology ประเทศออสเตรเลีย อธิบายถึงอาการ “เสพติดงานยุ่ง” ไว้ว่า

 

เป็นภาวะที่ได้รับอิทธิพลมาจากฮอร์โมนโดปามีน (ฮอร์โมนแห่งความสุข)  คือ เมื่อเราทำงานเสร็จหรือบรรลุเป้าหมาย สมองจะปล่อยฮอร์โมนโดปามีนออกมา ซึ่งเราจะรู้สึกดี ทำให้บางคนอาจยึดติดกับความรู้สึกดีเหล่านี้

 

และอยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ กลายเป็นว่าเกิดการโหยหาความสุขนี้ซ้ำๆ และอีกหนึ่งปัจจัยอาจมาจากคนนั้นมีอาการของโรควิตกกังวล (Anxiety) ที่เกิดขึ้นได้บ่อยในวัยทำงาน

 

 

Idleness Aversion ภาวะเสพติคความยุ่ง 

แน่นอนการที่เราถูกกดดัน สร้างให้มีความเชื่อที่ผิด ๆ และตกอยู่ในวัฒนธรรมความยุ่ง หรือ Busy Culture ยิ่งยุ่งยิ่งดูดี ก็จะเป็นต้นต่อที่นำเราไปสู่ ภาวะหนึ่ง ที่เรียกว่า ภาวะเสพติดความยุ่ง คือ

 

ภาวะที่ผู้คนมีความสุข เมื่อพวกเขายุ่งมากขึ้น แม้ว่าเราจะถูกบังคับให้ยุ่ง จึงมีงานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยชิคาโก้ บอกว่า ผู้คนอยากจใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า แต่ไม่แน่ว่ากิจกรรมที่เราทำอาจจะไม่ได้คุ้มค่าแบบที่เราตั้งใจไว้ 

 

 

สำรวจตัวเอง ยุ่งจริง หรือเสพติดความยุ่ง 

1.รู้สึกผิดเมื่อว่างงาน 

เนื่องจากการทำงานหนักกลายเป็นคุณค่าที่สื่อถึงความสำเร็จ และความ Productive ของสังคมชาวออฟฟิศ หลายคนจึงกดดันตัวเองให้ทำงานต่างๆ ให้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง

 

กลายเป็นบรรทัดฐานที่ว่า “ยิ่งทำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น” หากปล่อยตัวเองให้ว่าง ก็มักจะเกิดความรู้สึกผิด ความละอาย ความวิตกกังวล  

 

2. “งานยุ่ง” เป็นสถานะทางสังคม :

สำรวจตัวเองว่าการที่เรายุ่ง ๆ อยู่นี้ เรายุ่งจริง หรือเพียงแค่ต้องการการยอมรับจากสังคมกันแน่  เพราะการที่สังคมยกย่องการทำงานหนัก ดังนั้นการทำตัวเองให้ยุ่งตลอดเวลา จึงทำให้รู้สึกว่ากำลังมีการยอมรับที่มากขึ้นจาก

 

สังคม และเชื่อว่ามันสามารถยกระดับสถานะทางสังคมได้ จนเข้าขั้นเสพติดงานยุ่ง อีกส่วนคือ คนที่เสพติดความยุ่งมักจะตอบปากรับคำกับงานทุกอย่างไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม  รับมาให้เยอะมากที่สุด

 

เพื่อที่จะได้ใจคนรอบข้าง แต่หากยุ่งจริง เขาจะใช้เวลาคิดไต่ตรอง ว่าจะรับงานนี้มาดีไหม จะสามารถทำได้ไหม ส่งได้ทันเวลาหรือไม่

 

3. การมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จที่เกินพอดี  

ชอบให้ตัวเองงานยุ่งตลอดเวลา เพราะรู้สึกว่าเป็นวิธีเดียวที่จะประสบความสำเร็จ เมื่อว่างขึ้นมาก็จะรู้สึกกระวนกระวายรู้สึกเหมือนเป็นความล้มเหลวรูปแบบหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลและความเศร้า

 

อีกส่วนคือ คนเสพติดความยุ่งต้องการจะทำงานทุกงาน เพื่อให้ดูยุ่ง โดยลืมโฟกัสสิ่งที่สำคัญ หรืองานที่สำคัญไป  แต่คนที่ยุ่งจริง จะรู้ว่ายุ่งเพราะอะไร อะไรคือเป้าหมายในการยุ่งครั้งนี้

 

4. พยายามหลีกเลี่ยงอารมณ์ด้านลบ 

บางคนมีปัญหาชีวิตส่วนตัวที่ยากลำบาก เช่น สูญเสียคนในครอบครัว เลิกกับแฟน ฯลฯ และไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน จึงเลี่ยงปัญหานั้นด้วยการทำงานให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่อยู่ว่างๆ ในที่ทำงานก็จะเกิดความกังวล

 

5. มักบอกใคร ๆ ว่าตัวเองยุ่ง 

คนที่เสพติดความยุ่ง มักพูดเสมอ ๆ ว่าเขานั้นยุ่ง เพราะเบื้องหลังคำพูดนั้น ต้องการรู้สึกดีกับตัวเอง และให้คนอื่นรู้สึกดี และรับรู้ว่าตัวเองงานเยอะ ในอีกมุมหนึ่ง คนที่ยุ่งจริง จะไม่ค่อยพูดว่าตัวเองยุ่งมากเท่าใดนัก 

 

 

ยุ่งตลอดเวลาดีจริงไหม? ผลกระทบจากความยุ่ง (ข้อเสีย ของ Busy Culture )

1. สุขภาพกาย โหมงานหนักเกินไป จนไม่มีเวลาดูแลร่างกาย

2. สุขภาพจิต ความเครียดจากงานต่าง ๆทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้

3. การไม่ได้นอนหลับอย่างเพียงพอ

4. กดดันที่คนอื่นยุ่งแต่เราว่างงานจนตั้งคำถามว่าตัวเรามีคุณค่าไหม

5. ยุ่งจนไม่มีเวลาให้คนรอบข้าง ครอบครัว เพื่อน

6. ลดความคิดสร้างสรรค์ งานวิจัยบอกว่า การที่เราทำตัวยุ่งตลอดเวลา จะลดความคิดสร้างสรรค์ของเรา

 

รักษาความบาลานซ์ ไม่ยุ่งจนเกินไป

1.แบ่งงานไว้ทำแบบไม่รวบตึง

แบ่งตารางการทำงานให้เป็นเวลา เพื่อที่จะได้ไม่ว่าง และมีเวลาในการทำงานจนครบตามเวลาการทำงาน 

2. จัดการทำงานของตัวเอง

 จัดลำดับความสำคัญของงาน ดูว่าช่วงนี้มีงานอะไร ต้องส่งช่วงไหน แบ่งงานไว้ทำเป็นส่วนๆ ไม่ต้องทำให้จบไวเกินไป มีงานมานั่งทำตลอด โดยไม่ต้องวุ่นวายหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองว่างจริงๆ ก็ได้  

3. หาเวลาให้ตัวเองได้ผ่อนคลายบ้าง

โดยร่วมแล้วเป็นเรื่องของการจัดสรรค์เวลา และวางแผน ในสำหรับคนที่งานเยอะจริง ๆ ควรจะหาเวลามาพักผ่อน ผ่อนคลายซักนิดด้วยเช่นกัน 

 

“ความยุ่งไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าเรามีคุณค่า หรือว่าสำเร็จ เพียงแค่เราต้องทำหน้าที่ และงานที่ได้รับอย่างเต็มความสามารถ ”

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

ที่มา:

6 signs you are addicted to being busy and the reasons why

“มนุษย์เงินเดือน” เสพติดงานยุ่ง 

What is Idleness Aversion?

วัฒนธรรมแห่งความ ‘ยุ่ง’ 

 

 

 

เวลาทะเลาะกันทำไมถึงชอบเงียบ? เงียบแล้วจะดีขึ้น หรือ ความเงียบทำลายความสัมพันธ์ Silent Treatment

 

การที่เงียบจะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ Toxic ได้ไหม . . . Alljit Podcast

 

 

 

ถ้าพูดถึงความเงียบ จะมีคำที่บอกว่า “Silence is golden.” อย่างของไทยก็มีสุภาษิตที่ว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” คือ พูดไปไม่มีประโยชน์ นิ่งเสียดีกว่า

 

แต่เมื่อเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ความเงียบไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป การใช้ความเงียบคุยกันก็เหมือนคลื่นใต้น้ำนั่นแหละ และวันนึงความเงียบอาจจะกลับมาเป็นอาวุธทิ่มเเทงกัน

ความเงียบทำลายความสัมพันธ์ ได้จริงไหม?

ความเงียบทำร้ายความสัมพันธ์ได้ เพราะ Silent treatment เป็น Emotional manipulation รูปแบบหนึ่ง จากงานวิจัยพบว่า ฝ่ายที่ถูกเมินเฉย จะมี Self-esteem ที่ต่ำลง

 

อาจถึงขั้นไม่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่าหรือความหมายอะไรอีกต่อไป ทำให้ถึงแม้ว่า จุดประสงค์เบื้องหลังอาจจะเป็นแค่ ‘การหลีกเลี่ยงการทะเลาะ’ แต่กลับทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงกว่าเดิม

 

และเวลาที่เราเงียบไม่ได้หมายความว่าปัญหามันจบ เราอาจจะไม่ได้เครียดหรือทุกข์ใจกับเรื่องนั้นเเล้วเพราะเวลาพัดผ่านไป แต่ปัญหาที่เราคับข้องใจมันจะยังอยู่

 

จนวันนึงที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน ความรู้สึกเราจะพรั่งพรูออกมา แต่มันอาจจะสายไปที่จะพูดความรู้สึกก็ได้

Toxic behavior in relationship 

ความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษที่สามารถทำร้ายและทำลายความสัมพันธ์ของคู่รัก หรือ ความสัมพันธ์ในแบบเพื่อน ครอบครัวได้

Gaslighting

เป็นการปั่นหัว พยายามทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสับสนในตัวเองและตั้งคำถามกับความเป็นจริง

Love bombing

เป็นการสาดความรักใส่อีกฝ่าย ดูแลประคมประหงมอย่างดีในช่วงแรก เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าขาดตัวเองไม่ได้ แลกกับการได้ควบคุมบงการ

Guilt tripping

เป็นการพูดเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด โทษตัวเอง

One-up someone

ทำบางอย่างหรือทำตัวเองให้ดีกว่า เพราะทนเห็นอีกฝ่ายหนึ่งดีกว่าไม่ได้

Silent treatment 

การเงียบ การเมิน เพื่อให้รู้ว่าโกรธหรือไม่พอใจ

Silent treatment’ เงียบ ที่ไม่ใช่ การขอเวลาพักให้อารมณ์เย็นลง

นี่เรากำลังใช้ Silent treatment  ในความสัมพันธ์อยู่รึเปล่า?

 

เงียบ = งอน

จะมี 2 คำที่นึกออกในวัฒนธรรมเอเชีย คือ ‘เกรงใจ’ กับคำว่า ‘งอน’  ที่ไม่มีคำแปลในภาษาอังกฤษตรงตัว ไม่มีคำไหนที่อธิบายคำว่า ‘งอน’ ได้ใกล้เคียงเท่า Silent treatment

 

เพราะ Silent treatment เป็นการเงียบ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังโกรธและไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้น บางคนเมินเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้เลยด้วย

 

เงียบ = เป็น แค่ไม่บอก

เคยไหม? เวลาแฟนถามว่า เป็นอะไร? มีเรื่องอะไรไม่โอเคหรือเปล่า? แล้วสิ่งที่เราตอบคือ ‘ไม่ได้เป็นอะไร’ ‘ไม่มีอะไรหรอก’ แล้วเงียบ แผ่มวลให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ

 

ตรงกับคำอธิบายหนึ่งของ Silent treatment คือ ปฏิเสธที่จะสื่อสารทางคำพูดกับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นการแสดงออกแบบ Passive aggressive ใน Toxic relationship

 

อ้างอิงจาก Hall-Flavin พฤติกรรมแบบ Passive aggressive เป็นการแสดงออกอารมณ์ทางลบอ้อม ๆ นั่นคือ การกระทำและสิ่งที่พูดจะไปคนละทาง การงอนนี่แหละเป็นตัวอย่างที่ดี เงียบ เมิน สร้างบรรยากาศตึง ๆ หน่วง ๆ แต่บอกว่า ‘ไม่ได้เป็นอะไร’

 

เงียบ = เพิกเฉย

ก็ฉันไม่ผิด ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ยิ่งคุยยิ่งทะเลาะ

 

เพราะอะไรเราถึงเลือกที่จะเงียบ?

ความคาดหวังที่ไม่ยึดติดกับความเป็นจริง

การคาดหวังว่า ‘เขาจะต้องรู้ว่าเราเป็นอะไร’  เป็นความคาดหวังที่ไม่ยึดติดกับความเป็นจริงอย่างหนึ่ง ขอแชร์จากรายการ Open  relationship

 

อาจารย์ชลิดาภรณ์บอกว่า ‘มนุษย์ประดิษฐ์ภาษาเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ก็ใช้สิ’ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คู่หลงลืมไป

 

หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

เพราะรู้ว่าเปิดปากจะต้องทะเลาะกันแน่ ๆ ยิ่งถ้าเหนื่อยจากงาน เหนื่อยจากภาระในชีวิต แล้วเจอปัญหาความสัมพันธ์อีก คงจะไม่มีพลังงานเหลือไปพูดคุยปรับความเข้าใจ  หลายคนจึงเลือกที่จะเงียบ

 

การไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองดีพอ

ในการใช้ชีวิต หลายคนไม่มีเวลามานั่งสำรวจตัวเองหรอก ทำให้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีความคิด ความรู้สึก และอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ณ ตอนนั้นบ้าง การจะแสดงออกไปให้อีกฝ่ายรู้เลยเป็นไปไม่ได้

 

การลงโทษอีกฝ่าย

ข้อนี้ค่อนข้างร้ายแรง อ้างอิงจาก Medical news today บางคนใช้ความเงียบเพื่อลงโทษอีกฝ่าย หรือ ใช้ความเงียบเพื่อควบคุมบงการอีกฝ่าย

 

ซึ่งถือว่าเป็น Emotional abuse หรือ การล่วงละเมิดทางอารมณ์รูปแบบหนึ่ง

 

เมินเฉย

การเลือกที่จะเงียบในลักษณะนี้ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึก “ไร้ตัวตน” เหมือนไม่ได้อยู่ในสายตา และเหมือนถูกทิ้งให้อยู่กับความคิดมากของตัวเองไม่จบสิ้น

 

เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าเราคิดอะไร รู้สึกยังไง อีกฝ่ายจะกระวนกระวายใจและกังวลในความสัมพันธ์ เหมือน “ปล่อยเบลอ” เขาไปดื้อ ๆ

 

ต้องการเอาชนะ

บางคนใช้ความเงียบ “กดดัน” เพื่อให้ยอมขอโทษ ตามใจ ง้อหรือยอมพูดก่อน  เหมือนเป็นการปั่นหัวอีกฝ่ายและบางครั้งเป็นการโยนความผิดให้อีกฝ่าย

 

เงียบเพื่อทบทวน

เงียบเพื่อทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีถ้าในความสัมพันธ์ที่ใกล้กันแล้วมีแต่ทะเลาะ ที่ว่างก็เป็นคำตอบในความสัมพันธ์เช่นกัน

 

เงียบเพราะพื้นฐานการเลี้ยงดู

การเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นสภาพแวดล้อมแรกที่เด็กต้องเจอ ถ้าเราเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ล่อลอมให้เราไม่กล้าพูด

 

พูดไปแล้วถูกดุอาจทำให้ลูกกลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าพูดเวลามีอะไรเกิดขึ้น

 

ไม่อยากเงียบแล้ว สื่อสารแบบไหนให้ดีต่อใจ?

ฝึกสำรวจและรู้ทันความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ตัวเอง : เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนจากการเงียบเป็นการแสดงออกสิ่งที่ติดค้างอยู่ข้างในได้ ถ้ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า สิ่งนั้นคืออะไร มีหน้าตาเป็นแบบไหน

 

ตัดคำพูดเชิงลบออก : หากพร้อมแล้วที่จะพูดออกไป การตัดคำพูดประชดประชันเหน็บแนมออกไปให้เหลือแต่ความคิดและความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง

 

จะช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้มากกว่า เพราะหลายครั้งการพูดตามอารมณ์ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นำมาซึ่งการตอบโต้ที่ไม่เกิดประโยชน์

 

อย่าคิดว่า การต้องพูดในสิ่งที่เราไม่สบายใจ เป็นการหาเรื่องทะเลาะ : เข้าใจได้ว่าบางคนอาจจะเลือกที่จะเงียบเพราะคิดว่าถ้าพูดออกไปต้องทะเลาะกันใหญ่โตเเน่เลย

 

และคิดว่าเรื่องที่ตัวเองคิดและรู้สึกเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วๆม่ควรมองแบบนั้นเพราะการที่เราเป็นแฟนกัน เราก็ควรที่จะเเชร์กันได้ ถ้ามีใครคนใดคนนึงต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ จะเรียกว่าเป็นความรักที่ดีได้อย่างไร

 

ขอเวลานอก ถ้าไม่พร้อม : ถ้าต้องการถอยออกมาเพื่อคิด ทบทวน สงบสติอารมณ์ ก็มาตกลงกันว่าเราต่างคนต่างต้องการเวลาเพื่อกลับไปทบทวนและคิดกับตัวเองนะ ตกลงด้วยว่าต้องการเวลานานแค่ไหน

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

ที่มา

Why the ‘Guilt Trip’ Comes Naturally (but Can Be Problematic)

Why people use the silent treatment

What is passive-aggressive behavior? What are some of the signs?

บทบาทของ ‘ความเงียบ’ ในความสัมพันธ์

 

ถ้าพูดถึง การเปลี่ยนผ่านของช่วงวัย หรือ Coming of Age ทุกคนนึกถึงอะไรกันบ้าง . . .

 

บ้างก็นึกถึงการที่เราเติบโตการตกตะกอนของชีวิต บ้างก็นึกถึงหนังสือสักเล่มที่ทำให้เราได้อ่านทีละบท

 

มาร่วมกันนึกถึง Coming of Age ของแต่ละคนกัน 🙂 Alljit Podcast

 

 

Coming of Age คือ . .

เราได้ยินบ่อย ๆ กับคำว่า Coming of Age ภาพยนต์ส่วนใหญ่ก็มักจะเนื้อหาเกี่ยวกับ Coming of Age ของตัวละคร เลยขอยกอ้างอิงความหมายจาก Cambridge dictionary ได้กล่าวถึง Coming of Age ไว้ว่า 

 

someone’s coming of age is the time when that person legally becomes an adult and is old enough to vote.

การบรรลุนิติภาวะที่บุคคลนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่ตามกฎหมายและมีอายุมากพอที่มีสิทธเลือกตั้ง

 

the time when someone matures emotionally, or in some other way.

เวลาที่บุคคลมีวุฒิภาวะ,เติบโตทางอารมณ์หรือในทางอื่น

 

the time when something starts to become successful.

เวลาที่บางสิ่งประสบความสำเร็จ

 

แล้วจริง ๆ แล้วการ Coming of Age คืออะไร? ถ้าให้พูดถึงความหมายคงจะแตกต่างกันแล้วแต่ปักเจคบุคคลแต่ที่ชัดเจนคงเป็นเรื่องของคน ๆ นึงเติบโตผ่านวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ วัยชรา

 

 

 

การก้าวกระโดดจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ Jumping From Adolescence Into Adulthood

การค้นหาตัวเอง

เป็นช่วงวัยที่เราเริ่มมีการตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริง ๆ แล้วเราคือใคร,คนที่อยู่ข้าง ๆ เรามีใครบ้าง เป็นการค้นหาตัวเองในเกือบทุกๆอย่างไม่ว่าจะเป็น การงาน ความสุข ความสัมพันธ์ 

 

ความไม่แน่นอน

เป็นช่วงเวลาแห่งความไม่มั่นคง อาจเปลี่ยนงานหลายครั้ง ย้ายที่อยู่อาศัย เปลี่ยนแฟน การเป็นเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้การตัดสินใจบางทีก็เหนือเหตุผล

 

โฟกัสที่ตัวเองมากขึ้น

การเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เป็นครั้งแรกที่แต่ละคนสามารถทำสิ่งที่ต้องการโดยพื้นฐาน การมุ่งความสนใจไปที่ตัวเอง จุดประสงค์ที่จริงจังมากขึ้น มีความรู้สึกว่าต้องพึ่งพาตัวเอง

 

ความรู้สึกระหว่าง

เป็นความรู้สึกที่เรากำลังเป็นผู้ใหญ่หรือยังนะ มีการตั้งคำถามกับตัวเอง เหมือนเป็นความรู้สึกที่จะยอมรับดีไหมว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลองนึกภาพว่าเราไปร้านอาหารแล้วเราเรียกพี่ ๆ ในร้านว่าพี่คะ แต่ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนมาเรียกว่าน้องคะ 

 

ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ

เป็นวัยที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เป็นโอกาสที่จะได้เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิต แยกออกจากครอบครัวไปใช้ชีวิตเอง หรืออาจหมายถึงใครที่เคยอยู่ในครอบครัวที่ Toxic นี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้แยกตัวออกมา

 

 

 

สัญญาณที่ทำให้เรารู้สึกเราก้าวข้ามผ่านวัยหนึ่งมาแล้วนะ 

ในหลาย ๆ วัฒนธรรม ของแต่ละมุมโลกก็มีตัวกำหนดการโตเป็นผู้ใหญ่เช่นกัน การจะเติบโตนั้นต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อรับกับความเจ็บปวด และสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมา 

 

ยกตัวอย่างหนึ่ง บนเกาะบัฟฟินแถบขั้วโลกเหนือ หนุ่มสาวชาวเอสกิโม หรืออินูอิต ที่มีอายุครบ 11 ปี ต้องออกไปเผชิญชีวิตกลางป่าอันหนาวเหน็บ เพื่อเรียนรู้วิธีการล่าสัตว์และเอาตัวรอดท่ามกลางภูมิอากาศอันเลวร้าย

 

นับเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กที่ยังไม่มีภาระ สู่วัยผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้ 

 

แล้ววัฒนธรรมบ้านเรามีอะไรค่อนข้างเป็นสิ่งที่ชัดเจน ว่าเฮ้ย แกเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วนะ ถึงเวลาที่แกต้องทำแบบนี้ได้แล้วนะ 

 

ที่คิดออกมาอย่างหนึ่ง คือการบวชในทางพระพุทธศาสนา เมื่อ อายุ 20 พอดีนั่นเอง  เพื่อเรียนรู้ศึกษาพระธรรม และ หลังจากนั้นก็จะสามารถออกไปครองเรือน มีครอบครัวได้ 

 

แต่ถ้าในส่วนที่ไม่ได้เป็นรูปธรรมแต่เป็นสัญญาณหนึ่งที่รู้สึกว่ามันก็เป็นสัญญาณทำให้รู้สึกว่า นี่แหละ เรากำลังก้าวผ่านช่วงวัยหนึ่งแล้ว 

 

 

เปลี่ยนมาใช้ปากกา

ตอนประถมจำกันได้ไหมว่า เราจะต้องใช้ ยางลบ,ดินสอ แต่พอถึงช่วงวัยหนึ่งจากประถม  เราจะต้องเปลี่ยนไปใช้ปากกา จำได้ว่าตื่นเต้นที่จะต้องไปซื้อปากกา จะได้ซื้อลิควิด

 

เป็นการเปลี่ยนผ่านช่วงวัยจากเด็กที่ใช้ดินสอวาดรูป เขียนหนังสือ เป็นปากกา มันน่าตื่นเต้นมากเลย และรู้สึกเราโตอีกขั้นแล้ว

 

 

เปลี่ยนแนวเพลงที่ฟัง 

จากเพลงที่ผู้ใหญ่เปิดในวิทยุ เสียงที่ได้ยินตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่เราไม่เคยเข้าใจว่ามันเพราะตรงไหน การใช้ภาษาที่เราไม่ได้มองว่ามันมีคุณค่า ตอนนี้กลับเข้าใจอะไรหลายอย่างและสนใจบทเพลงพวกนั้นแล้ว

 

 

ผมหงอก

คนปกติวัย 30 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีผมหงอก เส้นผม เซลล์สร้างเนื้อผม เซลล์สร้างเม็ดสี ซึ่งจะคอยทำหน้าที่ป้อนเม็ดสีเข้าไปในเนื้อผม ทำให้เส้นผมไม่เกิดสีขาว เนื่องจากสาเหตุที่ผมมีสีขาวหรือที่เรียกกันว่า ผมหงอก

 

ในทางการแพทย์ให้คำอธิบายกับเรื่องนี้ว่า เกิดจากเม็ดสีเมลานินของเส้นผม ทำงานลดลง หรือหยุดทำงาน จึงทำให้ผมเป็นสีขาว ซึ่งจริง ๆ นี่ก็เริ่มเป็นสัญญาณที่ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังก้าวผ่านอีกช่วงเวลามาแล้วนะ

 

 

เริ่มทานของที่เราไม่ชอบทานในตอนเด็กแต่ตอนนี้ดันอร่อยขึ้นมา

จากอาหารที่เคยมีรสขมในวัยเด็ก กลับเป็นอาหารที่เราหยิบทานและโปรดปรานในวันนี้

 

 

 

รับมือกับ ช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต

“ช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต คือเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่เปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อตัวเองจุดประสงค์ของตัวเอง และวิธีที่ดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน การสูญเสียชีวิต ชีวิตใหม่ และทุกสิ่งในระหว่างทาง” 

 

จริง ๆ มันเป็นช่วงเวลาปกติที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน แต่มันเปราะบาง ไม่ง่าย และเป็นช่วงที่สำคัญที่เราควรจะจัดการกับมันให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้เราไม่มั่นคงได้ 

 

เราจะพยายามหาวิธีรับมือกับความเปลี่ยนผ่านยังไงดี รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ด้วย

 

บทความหนึ่งที่น่าสนใจ จากนายแพท ผศ.นพ. อวิรุทธ์ อุ่นอารมย์  ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เขียนไว้แต่ 3 วิธี จึงอยากนำมาฝากทุกคน 🙂

 

 

‘โอบรับ’ ความเปลี่ยนแปลง

หากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แล้วเราต่อต้านมัน ก็รู้สึกว่ามันจะยากขึ้นกว่าเดิมโดยธรรมชาติแล้วตราบใดที่เวลายังคงเดินต่อไป ความเปลี่ยนแปลงก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ดังนั้นการ ‘โอบรับความเปลี่ยนแปลง’ จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง

 

 

‘รับมือ’ กับความเปลี่ยนแปลง

การรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ขั้นตอนต่อจากนี้จึงเป็นเพียงข้อแนะนำในการข้ามผ่านการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น 

 

สำรวจใจ เมื่อเตรียมความพร้อมให้ใจโอบรับความเปลี่ยนแปลงว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติได้แล้วนั้น ขั้นถัดมา คือการสำรวจใจว่า รู้สึกอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงนั้นและสาเหตุที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น 

 

ส่วนมากแล้วก็จะเกี่ยวข้องกับมุมมองหรือความคาดหวังต่อสถานการณ์นั้น ๆ ซึ่งการจัดการกับอารมณ์ของแต่ละคนจะมีวิธีที่แตกต่างกันไป 

 

ลองสำรวจกิจกรรมที่ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย หรือหาคนที่สามารถรับฟังความรู้สึกเหล่านั้น ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ความรู้สึกดังกล่าวลดลงได้

 

การที่อารมณ์ลดลงแม้จะไม่หายสนิท แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ความสามารถของสมองส่วนเหตุผลได้ใช้มากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะหาแนวทางการจัดการกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดส่วนมากจะไม่สามารถควบคุมได้ แต่ผลกระทบที่ตามมานั้นอาจมีทางที่จะป้องกันหรือควบคุมได้บางส่วน เมื่อรู้สึกงานมากเกินกำลัง อาจหยุดพัก หรือพูดคุยปัญหาปริมาณงานกับคนอื่นในทีม หากเป็นไปได้

 

เมื่อปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้แล้ว หลายคนอาจมีผลกระทบด้านความรู้สึกตามมา เช่น ความรู้สึกผิด คิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลง หรือรู้สึกโกรธ

 

คิดว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดจากการที่คนอื่นทำอะไรไม่สมเหตุผล ความรู้สึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ต้องระวังว่าอาจเผลอเอาความคิดเหล่านี้มาตัดสินตนเอง หรือคนอื่นในปัจจุบันและอนาคต

 

คำถามที่ควรตั้งไว้กับตัวเองเมื่อผ่านความรู้สึกเหล่านั้นมาแล้วคือ เราได้เรียนรู้อะไรจากสถานการณ์นี้บ้าง และช่วงที่ผ่านมาเราสามารถจัดการมันได้อย่างไร หลังจากนั้นเก็บวิธีการจัดการไว้เป็น ‘บทเรียน’ ไม่ใช่ ‘บทลงโทษ’ 

 

 

 

Move on เป็นวงกลม

หลายครั้งการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่ายและสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ เราอาจจะเคยจัดการความรู้สึกบางอย่างได้ แต่มันก็กลับมาอีกได้เช่นกัน หรือที่หลายคนเรียกว่า move on เป็นวงกลม

 

ซึ่งหากเกิดขึ้นแล้วขอให้เตือนตัวเองได้เลยว่า สิ่งนี้เป็นวงจร ปกติและควรอนุญาตให้ตัวเองได้ใช้เวลากับความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงกลับไปสำรวจใจ สำรวจวิธีและสำรวจอนาคตอีกครั้ง

 

ในขณะที่เรามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัวหรือคนรอบตัวนั้น ตัวเราเองก็เปลี่ยนแปลงด้วยในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เปรียบเหมือนเป็นการเรียนรู้ชีวิตไปเรื่อย ๆ

 

 

 

Coming of Age ไม่มีอายุที่ตายตัว

Coming of Age หมายถึงแค่เฉพาะวัยของเด็กไปวัยรุ่น วันรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่หรือเฉพาะบางช่วงวัยแล้วจบสิ้น แต่มันจะวนเวียนมาหาเราครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อเราจัดการสิ่งต่า งๆ กับชีวิตของเราไม่ได้

 

เราคิดว่ามันสงบนิ่งลงแล้ว อีกสักพัก อีกสักห้าปี อีกสักสิบปี ความรู้สึกเปราะบาง อ่อนไหว ไม่แน่ใจกับชีวิต หรือความรู้สึกเหนื่อยล้าก็จะกลับมาอีกหน…และอีกหน วนไปมา เกิดขึ้นแล้วได้อีก

 

สุดท้ายอยากหยิบยก Quote นึง “ทุก ๆ เรื่องที่เรารู้จริง ๆ เราไม่รู้อะไรเลย” – มารีญา พูดเลิศลาภ รายการ Coming of Age ของรายการ The Cloud การที่เราเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดมันเป็นข้อดีและอันไหนที่เราไม่รู้เรายอมรับกับตัวเองได้นะ

 

ว่าเราไม่รู้เพราะไม่ใช่ว่าเราเกิดมาแล้วเราจำเป็นต้องเก่ง ต้องรับมือ ต้องเรียนรู้ทุกเรื่อง ถ้าเราไม่ยอมรับก็เหมือนว่าเราจะมีทิฐิ และความทิฐิกับอีโก้คือตัวร้ายในของเราเลยที่ทำให้เราไม่ยอมรับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต 😀

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

ที่มา

The Big Challenge: Jumping From Adolescence Into Adulthood

Releasing Your Emotional Pain Is a Necessity

Understanding Developmental Psychology

3 วิธีรับมือกับ ‘ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด’

Finding Ease With Transition in Ever Changing Times

 

 

 

 

“รักแท้” รักที่อะไร ตับ ไต ไส้พุง ? ทุกคนต้องเคยได้ยินเพลงนี้กันมาอยู่แล้วแน่ ๆ แต่ว่าเนื้อเพลงอันนี้ก็ชวนทำให้เกิดคำถามที่น่าสงสัยเช่นกันว่า รักแท้คืออะไรกันนะ ?

 

วันนี้เราจะมาร่วมพูดคุยกันใน Alljit Podcast ในรายการ Learn&Share หรือรับฟังได้ที่  Alljit Podcast

 

รักแท้ ในทางจิตวิทยา 

1. ทฤษฎีรัก 3 ตอน

ดร.เฮเลน ฟิชเชอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองได้กล่าวถึงความรักโรแมนติก หรือ รักแท้ ที่แบ่งออกได้เป็น 3 องค์ประกอบ ซึ่งในทุก ๆ องค์ประกอบจะมีฮอร์โมนต์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น 

 

1. ตัณหา ในช่วงตัณหาร่างกายจะถูกขับโดยฮอร์โมนเพศ 2 ตัว คือ เทสโทสเทอโรน และเอสโตรเจน 

 

2. แรงดึงดูด ในช่วงที่เราตกหลุมรัก โดพามีน เป็นสารเคมีที่ช่วยให้สมองตื่นตัว อยากคุยด้วยต่อ อยากสานสัมพันธ์ 

 

3. ความผูกพัน  ออกซีโทซิน ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับน้ำนมและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและ ทารก โดยมีการพบว่าออกซีโทซินจะถูกขับออกมาเมื่อชายหญิงมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ลึกซึ้ง 

 

2. สามเหลี่ยมความรัก (Triangular theory of love) 

ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg) เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของความรักและความรักในความสัมพันธ์รูปแบบต่าง ๆ มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ 

 

1.ความใกล้ชิด (Intimacy)  ความรู้สึกใกล้ชิด สนิทสนมและความผูกพัน ทั้งหมดนี้ทำเกิดความรู้สึกอบอุ่น ความเข้าใจกัน ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ระยะยาว

 

2.ความหลงใหล (Passion)  แรงเสน่หา นำไปสู่ความโรแมนติก ความดึงดูดทางกาย และทางเพศ

 

3.ความผูกมัด (Commitment) หรือ การตัดสินใจ ถ้าในระยะสั้น จะหมายถึง การตัดสินใจว่าจะเรารักกัน และในระยะยาวหมายถึง คำมั่นสัญญาที่จะรักษาความรักนั้นเอาไว้ 

 

ระดับและประเภทของความรักที่แต่ละคนได้รับขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งขององค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน เพราะมันมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เช่น ถ้าเรามีความใกล้ชิดมากขึ้นอาจทำให้มีความหลงใหล

 

และความผูกมัดที่มากขึ้น หรือถ้ามีความผูกมัดที่มากขึ้นอาจทำให้ความใกล้ชิดมากขึ้น หรือมีความหลงใหลต่ออีกฝ่ายมากขึ้น

 

รูปแบบของความรักตามมีอะไรบ้าง

1. การไม่มีความรัก Non-love/ ไม่มีทั้งสามองค์ประกอบ

 

เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีความรู้สึกรักต่อกัน ไม่สามารถนับว่าเป็นความรักได้เลย เกิดกับคนที่เราเพียงเเค่รู้จัก

 

2. ความชอบ Liking/ความใกล้ชิด

 

เป็นความรักที่เกิดจากความใกล้ชิดเท่านั้น เกิดขึ้นในความสัมพันธ์แบบเพื่อน 

 

3 .ความรักแบบหลงใหล Infatuated love/ความหลงใหล

 

เป็นความรักที่เกิดจากความหลงใหล พอใจกับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ใกล้ชิดสนิทสนม หรือมีข้อผูกมัดต่อกัน เช่น รักแรกพบ (Love at first sight) หรือ one night stand เป็นความรักที่ไม่มั่นคงแต่ก็สามารถสานต่อได้

 

4. ความรักแบบว่างเปล่า Empty love/ความผูกมัด

 

เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความผูกมัด ไม่มีความผูกพัน และความหลงใหล เช่น คู่รักที่ต้องแต่งงานกัน “คลุมถุงชน” หรือใช้ชีวิตร่วมกันมานาน จนหมดรักกัน แต่ยังอยู่ด้วยกัน  

 

5. รักแบบโรแมนติก Romantic love/ความใกล้ชิด+ความหลงใหล

 

เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความใกล้ชิดและความหลงใหล มักเกิดในความสัมพันธ์ที่ได้รู้จัก ได้ใกล้ชิดกันและเกิดความชอบพอกัน โดยไม่มีความผูกมัด เช่น FWB   

 

6. รักแบบเพื่อน Companionate love/ความใกล้ชิด+ความผูกมัด

 

เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความใกล้ชิดและความผูกมัด เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น ความสัมพันธ์แบบเพื่อน คนในครอบครัวหรือคู่รักที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาอย่างยาวนาน ไม่มีความชอบพอในเชิงเสน่หา แต่มั่นคง

 

7. รักลวง Fatuous love/ความหลงใหล+ความผูกมัด

 

เป็นความสัมพันธ์ที่มีเพียงความหลงใหลและความผูกมัด ความสัมพันธ์ประเภทนี้เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความพึงพอใจกันและตัดสินใจรักกันอย่างรวดเร็วอาจจะไม่รู้จักตัวตนของกันและกันจริง ๆ

 

8. รักแท้ Complete love  

ความรักที่ประกอบทั้ง 3 องค์ประกอบคือ  ความใกล้ชิด ความหลงใหลและ ความผูกมัด ซ฿่งจะเกิดเป็นรักแท้ หรือรักที่สมบูรณ์แบบตามทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก

 

 

ใครบัญญัติคำว่า “LOVE”

คำว่า “Love” ได้มาจาก “leubh” เป็นภาษาที่โปรโต-อินโด-ยูโรเปียนใช้เมื่อประมาณ5,000ปีที่แล้ว แสดงถึงความเมตตากรุณา ห่วงใยและความเสน่หา    

 

 

รักแท้ หน้าตาเป็นอย่างไรในมุมมองของเรา ? 

ไปแต่หากให้นิยามความรักในมุมมองของเรา ซึ่งเรายอมรับซึ่งกันและกันในทั้งด้านดีและไม่ดี  เมตตาต่อกัน เข้าใจกัน และเป็นทีมเดียวกัน 

 

รักตอนนี้คือรักแท้ เพราะถ้าคิดว่าไม่ใช่เราก็จะอย่าวิ่งหาความรักแท้ไปเรื่อย ๆ แล้วก็ไม่ได้เอ็นจอยกับความสัมพันธ์ปัจจุบัน แต่ที่มันเป็นรักแท้ได้ เพราะเรารู้สึกรักและไปกันได้ในหลาย ๆ ด้านของการใช้ชีวิต

 

รักแท้นั้นเกิดสองคนที่รักกัน และช่วยกันฝ่าฟันทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต ทั้งสองสามารถเป็นเกือบทุกอย่างให้กันและกัน เป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ครู ช่วยเหลือกันและกันให้เป็น  the best version.

 

 

ทำไมรักแล้วจึงทุกข์ ?

มักจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ประโยนี้จริงหรือเปล่า?  เราคิดว่าที่ทุกข์อาจจะเป็นเพราะรักเราไม่เท่ากัน ในกรณีที่รักเท่ากันที่ทุกข์เพราะว่า ไม่คุยกัน ไม่บอกความต้องการของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ 

 

ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ทุก ๆ ครั้งการที่เป็นทุกข์อาจลองเริ่มพูดคุยถึงความต้องการของกันและกันเพื่อหาจุดกึ่งกลางของกันและกัน  

 

แท้จริงแล้วเราคาดหวังอะไรจากความ รักแท้ ? 

สำหรับเราคงคาดหวังให้เขาตอบสนองเราได้ในทุกเรื่องที่เราอยากได้ แต่ความจริงแล้วนั้นอาจไม่ได้แบบที่ตั้งใจไว้  เราอาจคาดหวังความสมบูรณ์แบบในคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เรารักแต่ลืมไปว่า

 

เราเองก็มีแง่บวกแง่ลบ ความซับซ้อน แต่กับตัวเองให้อภัยได้ เข้าใจตัวเองได้ ซึ่งเวลาคบใครซักคนันอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ว่ามันจะมีทั้งที่เราชอบ และไม่ชอบ  

 

 

เคล็บลับที่จะทำให้เราเข้าใจคู่รักได้ดีมากยิ่งขึ้น 

การมองเห็นในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง เข้าใจว่าความเป็นไม่สมบูรณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนก็มีเหมือน ๆ กัน รวมถึงตระหนักรู้ถึงความคิดและความคาดหวังของตัวเอง

 

เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เกิดการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบหรือการไม่เป็นไปตามความคาดหวังของอีกฝ่าย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างคู่รักลงไปได้

 

 

คู่ชีวิต เนรมิตได้จริงหรอ?

เนรมิตได้ถ้าเราสื่อสารกัน และทั้งคู่ยินยอมที่จะปรับเข้าหากัน โดยเต็มใจ และไม่อึดอัดด้วยกันทั้งสองฝ่าย 

 

สามารถติดตามความอื่น ๆ ได้ที่ Alljit Blog

 

ที่มา :

ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก 

ความรู้สึก หึงหวงน้อยใจ กับผู้คน สัตว์หรือแม้กระทั้งของใช้.. เพราะอะไรเราถึงรู้สึกหึง หวง และน้อยใจ ?

 

หึง หวง น้อยใจในทางจิตวิทยาคืออะไร ? หากมีความรู้สึกเหล่านี้มากเกินไปจะรับมืออย่างไรดี ? Alljit Podcast

 

หึง หวง น้อยใจ เหมือนหรือแตกต่าง

สารบัญ

ความรู้สึก หึงหวง อ้างอิงจาก APA Dictionary of Psychology ใช้คำว่า Jealousy ในทางจิตวิทยาอธิบายไว้ว่า เป็นอารมณ์ทางลบที่บุคคลมีต่อ ‘บุคคลที่ 3’ ที่มีแนวโน้มว่าจะมาแย่งบางสิ่งบางอย่างไป ในความสัมพันธ์โรแมนติก สิ่งที่กลัวว่าจะถูกแย่งไปคือความรัก

 

ความรู้สึก น้อยใจ จะเกิดขึ้นเมื่อเราได้รับ Attention หรือการได้รับความสนใจ น้อยกว่าที่ต้องการและคาดหวังไว้ เช่น พูดอะไรบางอย่างออกไป แล้วแฟนไม่ตอบรับอะไร อาจจะเกิดความรู้สึกน้อยใจ

 

ทำไมไม่ฟังเลย ทำไมไม่สนใจเลย เพราะเราอยากให้แฟนตอบรับหรือมีอารมณ์ร่วมไปด้วย แต่เขาไม่ทำแบบนั้น ทำให้เห็นได้ว่าความรู้สึก หึง หวง น้อยใจ พอมาทำความเข้าใจแล้วแน่นอนว่าแตกต่างกัน

 

แต่ที่ถูกมัดรวมเพราะความรู้สึกว่าทั้งสามอย่างนี้ถูกส่งต่อกันเหมือนวังวนเริ่มจาก หึง หวง แล้วก็น้อยใจที่ไม่ได้รับความสำคัญ 

 

 

หึง หวง น้อยใจ ในทางจิตวิทยา?  

อ้างอิงจาก APA มีการศึกษาที่ค้นพบว่า Jealousy หรือ ความรู้สึกหึงหวงมีความเชื่อมโยงกับ 3 ปัจจัย

 

1. Self-esteem (การรับรู้คุณค่าในตัวเอง)

คนที่ไม่เห็นคุณค่าตัวเองจะรู้สึกหึงหวงได้มากกว่า 

 

2. Loneliness (ความเหงา)

คนที่เหงาจะรู้สึกหึงหวงได้มากกว่า 

 

3. Aggression (พฤติกรรมก้าวร้าว)

ความรู้สึกหึงหวงจะทำให้มีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น เช่น ตี ผลัก หรืออาจจะแสดงออกมาในรูปแบบ Passive aggressive เช่น เมินคนที่ตัวเองโกรธ

 

4. การเลี้ยงดูก็สำคัญเหมือนกัน เราเอาตัวเองเป็นตัวตั้งในสิ่งที่เคยได้รับมาตอนเด็ก-โต แล้วคนที่เข้ามาหาเราทำความรู้จักกับเราไม่ได้ปฏิบัติแบบที่เราเคยได้รับมา 
5. ความคาดหวัง สิ่งที่ได้มาไม่เท่ากับสิ่งที่ให้ไป
6. กลัวความโดดเดี่ยว 

แต่เราสามารถฝึกฝนความรู้สึก หึง หวง น้อยใจ ได้นะ ..

การที่เราฝึก Self-Awereness การตระหนักรู้ต่อตัวเราเอง รู้จักตัวเอง พอเป็นความสามารถในการรับรู้ ความเข้าใจ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อเรา หรือพฤติกรรมของเราอย่างไรบ้าง

 

ก็จะทำให้เรามีการฉุกคิดได้ง่ายมากขึ้น ว่าตอนนี้เรากำลังรู้สึกแบบนี้อยู่นะ เพราะว่าตอนที่เรา หวง หึง น้อยใจ บางทีเราก็ไม่ได้ยอมรับตัวเองว่าเรากำลังรู้สึกแบบนี้อยู่ เหมือนว่าพอเรารู้สึกแบบนี้มันเป็นอารมณ์เชิงลบที่เราผลักออกไป ไม่ใช่ ไม่จริง กว่าจะยอมรับได้อาจระเบิดอารมณ์ไปแล้ว 

 

ความรู้สึก หึงหวง จะจัดการอย่างได้บ้าง

ความรู้สึกนี้มีที่มาได้หลายอย่าง เช่น เป็นเพราะ rival หรือบุคคลที่ 3 มีลักษณะที่เราอคติหรือไม่ชอบเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า เลยรู้สึกหึงหวง

 

เป็นเพราะเรากำลังยึดติดกับความเชื่อบางอย่างอยู่หรือเปล่า เช่น อาจจะเคยมีประสบการณ์โดนนอกใจมา เลยระแวงว่า แฟนไม่ตอบข้อความ แฟนไปคุยกับคนอื่นหรือเปล่า ซึ่งการยึดติดกับความเชื่อจะทำให้หลงลืมมุมมองอื่น ๆ ไปว่า แฟนอาจจะติดงาน แฟนอาจจะเกิดอันตราย อาจจะต้องทบทวนตัวเองเพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองให้ไม่ทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง

 

ความรู้สึก น้อยใจ

Recheck ความต้องการและความคาดหวังของตัวเอง ว่ายังอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงอยู่ไหม ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการ Attention อยู่แล้ว แต่ถ้าความต้องการนั้นมากเกินไป เช่น แฟนต้องคุยด้วยตลอดเวลา

 

ซึ่งเป็นไปไม่ได้ คงต้องจัดการตัวเองไม่ให้ความต้องการนั้นทำร้ายใคร อาจจะใช้วิธีการลดความคาดหวัง รวมถึงหันไปโฟกัสสิ่งอื่น ๆ เพิ่มเติม เพราะถ้าเรามีอะไรทำ เรามีอะไรที่ต้องใส่ใจ เรื่องอื่น ๆ จะมีความสำคัญน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ

 

การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ อ้างอิงจากบทความ Bustle กล่าวไว้ว่า ลองพูดคุยแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายดู ว่าความกลัวและความกังวลของเขามีหน้าตาแบบไหน แล้วพยายามเข้าใจเขาจากมุมมองเขา ถ้าเป็นไปได้ ลองทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นการแสดงออกว่าเราใส่ใจเขาให้มากขึ้นด้วย จะช่วยได้ 

 

 

หึง หวง น้อยใจ ยังไงให้น่ารัก ไม่ toxic?

จาก Psych central

พูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา

เกี่ยวกับความรู้สึกหึงหวง น้อยใจ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน ปรับจูนกัน เพื่อเติมเต็มความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างกัน เลือกที่จะสื่อสารเน้นบอกความรู้สึกของตัวเอง เช่น เรารู้สึกว่า เราคิดว่า แทนการไปจู่โจมหรือตำหนิอีกฝ่าย แล้วก็การพูดอ้อมไม่ได้ทำให้เห็นความรู้สึกจริง ๆ ที่เราพูดออกไป 

 

ปล่อยวางอคติ

ความหึงหวง อาจไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่เสมอไป ลองหยุดตัดสินว่า ความรู้สึกแบบนี้เป็นสิ่งที่ ‘แย่’ หรือ ‘ผิด’ เพราะจริง ๆ ความหึงหวงอาจจะเป็นสัญญาณเตือนที่ดี ว่าเรามีส่วนไหนภายในจิตใจที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม ซ่อมแซม 

 

ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น

เวลาเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นให้ฝึกสังเกตว่าเราโอเคกับอะไรไม่โอเคกับอะไร ถ้าเรายอมรับกับอารมณ์เหล่านี้ได้ เราจะเข้าใจตัวเราเอง

 

เอาใจเขามาใส่ใจเรา

ลองคิดว่าถ้าเราโดน toxic ใส่เราคงรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจเหมือนกัน ลองขอความร่วมมือ รับฟัง เคารพความเห็น เพื่อร่วมกันหาทางออกในความสัมพันธ์

 

ลองมองในสายตาคนนอก

ลองคิดในมุมคนนอกที่เรามองคนที่เรารู้สึกด้วย เช่น หึง หวง เพื่อนคนนี้มาก ๆ เพราะเขาเป็นคนน่ารัก นิสัยน่ารักมาก ๆ ก็ไม่แปลกเหมือนกันที่คนอยากจะมาทำความรู้จักเพื่อน พูดคุยสนิทกับเพื่อนเหมือนกัน แต่ถ้าเราหึงหวง toxic ใส่มาก ๆ เขาอาจไปจากเราก็ได้

 

สุดท้ายแล้วอยากฝากมุมมองดี ๆ จากบทความนี้ส่งท้าย “ลองอนุญาตให้ตัวเองเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ที่สามารถมีความรู้สึกหรือความคิดที่เราไม่ต้องการได้” เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ใคร ๆ

 

ต่างก็พบก็เจอกันทั้งนั้น สนใจที่สาเหตุและเรื่องราวเบื้องหลังนั้นดีกว่า ว่าเพราะอะไรเราถึงรู้สึกหรือคิดแบบนี้ เพื่อให้เข้าใจตัวเองและเมตตาตัวเองมากขึ้น

 

ถ้าเราโอเคกับการที่รับรู้ว่า “เราก็แค่คน ๆ หนึ่ง” คงไม่ทำให้รู้สึกแย่ซะจนส่งต่อความรู้สึกนี้ไปสู่คนรอบข้างด้วย เรียนรู้ที่จะอยู่กับอารมณ์ไม่ให้ความคิดในแง่ลบมากระทบกับจิตใจของเรา เพื่อปกป้องไม่ให้ความรู้สึกแย่เกิดในความสัมพันธ์

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

 

ที่มา

APA Dictionary of Psychology

Study links jealousy with aggression, low self-esteem

How To Deal With A Jealous Partner

 

 

ความรู้สึกและอารมณ์ทางลบเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่ปัญหาคือเราจะอยู่กับมันอย่างไร “เก็บไว้ในใจ” หรือ “ ระบายความรู้สึก ” แบบไหนดีต่อใจมากกว่าในทางจิตวิทยา ?

 

แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง? มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือรับฟังได้ที่  Alljit Podcast

เก็บไว้หรือ ระบายความรู้สึก แบบไหนดีกว่ากัน

ทั้งการเก็บไว้ และระบายออกมามีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป หากเรารู้สึกว่าการเก็บไว้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เป็นประโยชน์มากกว่าการที่พูดออกไปก็สามารถเลือกการเก็บไว้ได้

 

แต่หากเรื่องไหนที่เรารู้สึกว่าไม่สามารถเก็บไว้ในใจได้ ไม่ว่าจะด้วยความอึดอัดใจ หรือเหตุผลอื่น ๆ เราจะต้องสื่อสารให้ใครรับฟังเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์นั้น ๆ  ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะ ระบายออกมา

 

หรือเก็บไว้ในใจ ก็ควรใช้อย่างสมดุล และเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมต่อเหตุการณ์นั้น ๆ ไม่ควรใช้อะไรมากไป ไม่ควรใช้อะไรน้อยไป เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเราและไม่สร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์  

 

 

เก็บไว้ในใจ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร 

ข้อดี 

แสดงให้เห็นว่ากลไกทางจิตใจทำงานปกติ เพราะ การเก็บกด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เช่น กลัว โกรธ โมโห เราจะเก็บกดเอาไว้เป็นพื้นเดิมอยู่แล้ว ซึ่งการเกิดขึ้นอัติโนมัติแแบบนี้ หมายควมว่า จิตใจประมวลผลได้ปกติ

 

ข้อเสีย 

การเก็บความรู้สึกทุกอย่างไว้ในใจบ่อย ๆ ก็เหมือนกับภูเขาไฟที่รอวันระเบิดออกมา  

 

 

ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เป็นคนเก็บกด

1. ประสบการณ์ของตัวเองที่พยายามแล้วแต่ไม่ได้รับการตอบยสนองอย่างที่ควรจะเป็น หรือทำออกไปแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร เลยเลือกเก็บไว้ในใจ 

 

2. กลัวที่จะถูกตำหนิ หรือปฎิเสธ จึงไม่กล้าที่สื่อสาร ระบายความรู้สึกของตัวเองออกไป หรือแม้กระทั่งไม่กล้าที่จะพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป จึงเลือกเก็บและกดไว้ข้างใน 

 

 

ทำอย่างไร ให้กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจมากขึ้น 

การที่คนคนนี้ทำให้เรารู้สึกว่า พูดไม่ได้ บอกไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าคนทั้งโลกจะเป้นแบบเขา ทุก ๆ คนไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่าจะเกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแบบนั้น

 

เราจะไม่ปิดกลั้นตัวเอง และไม่คิดเชื่อมโยงว่าทุก ๆ คนจะต้องทำให้ฉันรู้สึกว่าจะต้องเก็บความรู็สึกเข้ามาอีก  อาจจะต้องเริ่มปรับมุมมองของตัวเองก่อน เราก็จะเริ่มไม่เชื่อใจคนอื่น รู้ว่าคนนี้พูดได้ไหม

 

ฉะนั้นเราจะต้องสร้างประสบการณืใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง เพื่อสามารถเข้าใจได้ใหม่ว่าคนทุกคนไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญ คือ เราต้องกล้ามากพอที่จะก้าวผ่านกำแพงของตัวเองออกไป อย่างน้อยจะมีซักหนึ่งที่เราคุยได้ 

 

หากรู้สึกว่าเราไม่อยากเก็บเอาไว้ และยังไม่พร้อมพูดคุยกับคนอื่น ก็สามารถคุยกับตัวเอง บันทึกความรู้สึก ก็เป็นอีกวิธีที่ได้ลบความรู้สึกบางอย่างออกไปได้บ้าง เพราะสุดท้ายเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

 

 

ระบายความรู้สึก มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

ข้อดี 

ไม่อึดอัดใจ และอีกฝ่ายได้รับรู้ในสิ่งที่เราคิด อย่างน้อยก็ทำให้เราเบาสบายลง ไม่จมปักกับความรู้สึกนั้น 

 

ข้อเสีย 

 เราก็จะไม่เรียนรู้ที่จะจัดการกับความรู้สึกตัวเอง ทุกอย่างผ่านไปแล้วเมื่อเราพูดระบาย หรือ จริง ๆ แค่ถูกวางไว้โดยไม่ได้จัดการ หากวันหนึ่งสิ่งเดิมกลับมากระทบจิตใจอีก สุดท้ายก็จะวนอยู่ในปัญหาเดิม ๆ

 

เพราะเราแค่ระบายออกไป แต่ยังไม่ได้จัดการกับสิ่งนั้น อีกหนึ่งข้อเสียคือ กระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เพราะไม่มีใครสามารถรับฟังเราได้ตลอดเวลา หรือทุกเรื่อง 

 

 

ระบายความรู้สึก ออกมา อย่างไรไม่ให้กระทบคนรอบข้าง 

1. ประเมินคนที่รับฟังเราว่าเขาพร้อมรับฟังเราไหม ด้วยการสอบถามว่าเขาว่างไหม สะดวกไหม ณ ตอนนั้น เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่จะต้องทำเช่นกัน 

 

2. ประเมินเรื่องที่อยากจะระบาย  สิ่งที่เราระบายสัมพันธ์กับคนที่คอยรับฟังเราไหม มีอะไรไปกระทบตัวเขาหรือไม่ 

 

3. ความพอดีในการระบายความรู้สึก และควรมีวิธีการอื่นเพื่อรับมือกับปัญหาเพื่อให้ตัวเองหายจากภาวะอารมณ์นั้น

 

 

รีเช็คตัวเองว่าเหมาะกับแบบไหน

ควรรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง เมื่อเกิดสถานการณ์ใด ๆ ขึ้นกับตัวเอง ให้ลองถามตัวเองว่ารู้สึกอะไร ถ้าเราบอกอารมณ์ของตัวเองได้  เราจะจัดการอารมณ์นี้ต่อได้อย่างไรต่อไปได้ด้วย  

 

ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกคนมีพื้นฐานการจัดการกับอารมณ์ แต่บางครั้งเราลืมกับวิธีจัดการนั้นไป ค่อย ๆ ดึงวิธีนั้นออกมาใช้ หรือ ลองใช้วิธีของคนรอบ ๆ ข้อง ค่อย ๆ ลองผิดลองถูกกับตัวเองเพื่อให้เกิดประสิทธภาพกับเราที่สุด

 

 

สามารถติดตามความอื่น ๆ ได้ที่ Alljit Blog