Posts

นิทรรศการ “Turn Your Scars into Stars” “แม้จะเจ็บปวดแต่คุณก็งดงาม” เป็นนิทรรศการที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนที่เจอกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สวยงาม

 

และกลายเป็นบาดแผลที่เจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ นิทรรศการจัดในวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ The Palette Artspace

 

ทางทีมงาน Alljit ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พวกเราเลยอยากมาเเชร์ความประทับใจและเเรงบันดาลใจที่ได้จากงานนี้กัน 

 

การเดินชมงานศิลปะ ทำไมถึงรู้สึกดีขึ้นได้ขนาดนี้นะ?

“ศิลปะบำบัด” อาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ การไปเดินชมงานศิลปะ เราไม่ได้ใช้เหตุผลและตรรกะ ในการอ่านทำความเข้าใจนัยยะของภาพ แต่เราใช้ “ความรู้สึก” ต่างหาก

 

ภาพนี้เราตีความออกมาเป็นแบบนี้เพราะเราทัชกับสิ่งนี้ ภาพนั้นเราตีความไปอีกแบบเพราะเคยผ่านประสบการณ์ประมาณนี้มาก่อน ความสนุกของการไปเดินชมงานศิลปะคงเป็นตรงนี้แหละ

 

และสิ่งที่ได้จากการไปชมงานในวันนั้นไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่เป็นแง่มุมและกำลังใจที่ได้กลับมา การที่รับรู้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว มีเพื่อน ๆ มากมายที่เคยประสบกับความเจ็บปวด

 

พวกเขาได้ก้าวผ่านมาได้ เหมือนเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ได้เหมือนกัน 

 

 

 “ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด”

ในวันนั้นได้พบกับ น้องธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือ น้องธันย์ สาวน้อยคิดบวก 

 

เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนน่าจะรู้จัก หรือได้ยินชื่อน้องธันย์กันมาบ้าง เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว คงเคยได้ยินข่าวเด็กวัย 14 ปีเกิดอุบัติเหตุตกรถไฟฟ้าสิงคโปร์ จนทำให้สูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง

 

เธอผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน ?

ในช่วงหนึ่งของนิทรรศการน้องธันย์ได้เล่าให้ฟังว่า เธอเริ่มจาก “การมองศัตรูให้เป็นเพื่อน” ความพิการที่เกิดขึ้นก็คือศัตรูที่เธอต้องพบเจอและต่อสู้ แต่พอสุดท้ายแล้วเธอทำให้ศัตรูกลายเป็นเพื่อนที่สนิทมาก ๆ

 

มันได้ทำให้เรารู้จักเพื่อนคนนี้ในทางที่ดีและได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายจากความเจ็บปวดในครั้งนั้น  “ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด” คนส่วนใหญ่ชอบมองว่าคนพิการจะต้องอยู่บ้านเฉย ๆ

 

นั่งวีลแชร์เฉย ๆ แต่การนั่งวีลแชร์ของเธอก็มีความสุขได้ มีความสุขกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และเราจะมองทุกอย่างในทางที่ดีขึ้น

 

หนึ่งสิ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ คุณพ่อของน้องธันย์น่ารักมาก พ่ออยู่ข้าง ๆ น้องตลอดเวลา ในขณะที่ก่อนจะสัมภาษณ์พ่อเองก็คอยประคองน้องธันย์ขึ้น-ลงเวที ถ่ายรูปเวลาน้องกำลังพูดคุยกับสื่อ 

 

สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้เวลาที่คุณพ่อกำลังมองน้องก็คือ ภายในแมสนั้นกำลังมีรอยยิ้มของพ่อที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในทุกครั้งที่มองน้องธันย์ สิ่งนี้เป็นอีกสึ่งหนึ่งที่สวยงามและน่าประทับใจ

 

 

ถ่ายทอดความเจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ

 

ในวันนั้นมีการเปิดตัวผลงานศิลปินชื่อดัง 11 ท่าน คือ คิ้วต่ำ, Tum Ulit , Art of Hongtae,Banana Blah Blah,Manasawii ,puck ,โรแมนติกร้าย,meetmrtwo,Yugo และ Pearytopia

 

และมีช่วงเวลาที่สัมภาษณ์ถึงคอนเซ็ปและเเรงบันดาลใจจากผลงาน ศิลปินแต่ละต่างมีมุมมองในแง่ของความเจ็บปวดที่น่าสนใจมากๆ เช่น

 

1. Farewell “ลาก่อน รักเก่า Parting is such sweet sorrow”

 เป็นผลงานของคุณ Art of Hongtae ที่เล่าเรื่องราวของการจบความสัมพันธ์ ผ่านภาพของการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ การเลิกราเป็นประสบการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดสำหรับทุกคน

 

แต่คุณฮ่องเต้กลับนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่งว่า ความเจ็บปวดนี้อาจเป็นอีกหนึ่งความเศร้าที่งดงาม ภาพที่ออกมาจะดูละมุนและดูเศร้าในเวลาเดียวกัน 

 

ด้วยความที่องค์ประกอบภาพหลักของภาพมีเพียง 2 อย่างคือ ‘คนหัวก้อนเมฆ สัญลักษณ์แทนความเครียดและความเศร้า’ และ ‘ท้องฟ้าสีอ่อนหวาน’ ทำให้อารมณ์ของภาพดูเศร้า เหงา

 

โดดเดี่ยวแต่งดงามไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเข้ากับ concept เรื่องการจากลาในมุมของคุณฮ่องเต้ ใจความของประโยคน่าประทับใจประโยคหนึ่งที่คุณฮ่องเต้พูดถึงผลงานของตัวเอง คือ

 

“ถ้าเรามองเรื่องการจากลาเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง เหมือนการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ เราคงมีความสุขง่ายขึ้น”

 

 

2.Someday This PAIN will be USEFUL

 

 

Someday This PAIN will be USEFUL ของคุณ ไตรภัค สุภวัฒนา นามปากกา PUCK ตอนที่เดินเข้าไปในงานรู้สึกว่าภาพนี้ดึงดูดใจมาก ๆ

 

ทั้งสีสันที่ฉูดฉาด รายละเอียดในภาพที่มีดีเทลเยอะแต่ลงตัวอย่างกลมกล่อม ในรูปภาพจะมีรูปประภาคารที่โดดเด่น 

 

และมีหลายอย่าง ๆ ที่ห้อมล้อมประภาคารนั้นเอาไว้ ตรงกลางของภาพจะมีรูปผู้หญิงที่กำลังเดินเข้าประภาคาร ซึ่งที่รู้สึกถึงความหมายภาพนี้คือทุกแม้ว่าความสุขของเราจะอยู่บนยอดประภาคาร

 

หรืออยู่ที่ไหนสักแห่ง ในตอนนี้เราอาจกำลังจมอยู่ในความทุกข์แต่สิ่งที่เป็นทุกข์คงไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป ทุกก้าวแห่งความเจ็บปวดพาไปยังความสุขที่ผ่านการเรียนรู้

 

ซึ่งคุณภัคได้บอกว่า “ หลายครั้งที่จมอยู่กับความทุกข์ ฉันลองค้นหาความสุขรอบๆ ตัวแต่ภาพแห่งความสุขนั้นพร่ามัวเหลือเกิน ใครสักคนเคยบอกไว้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตเรานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์

 

ความสุขนั้นเป็นเพียงสายลมเย็นที่นานๆ จะพัดผ่านมาที หากเป็นเช่นนั้นแล้วความทุกข์ก็ไม่ต่างจากกองไฟร้อนที่ตั้งอยู่ข้างกายเรา ไอร้อนที่อยู่กับเราเสมอมาหรืออาจเพราะมีไอร้อนนี้

 

ทุกครั้งที่ลมเย็นพัดผ่าน ฉันจึงรู้สึกถึงคุณค่าของลมเย็นนั้นจริงๆ ”

 

3. Thank You “ขอบใจที่เจ็บ” 

 

ชื่อศิลปิน : คิ้วต่ำ

 

“ความเจ็บปวด คงเป็นเหมือนช่วงเวลาเเรกตอนเลี้ยงแมวสักตัว เราอาจได้บาดแผลมากมาย แต่หากเราใช้เวลาเข้าใจ เรียนรู้ ยอมรับ และปรับตัวให้ได้ ความเจ็บปวดนั้น ก็จะเป็นความสัมพันธ์อันงดงาม”

 

การที่คุณคิ้วต่ำเปรียบเทียบความเจ็บปวดกับแมว ทำให้ค่อนข้างเห็นภาพชัดขึ้นว่า ทุกความเสียใจ ทุกความเจ็บปวดมันมีขั้นมีตอนของมัน วันแรกที่เราเจ็บ เราจะรับมือไม่ไหว ไม่รู้ต้องทำยังไง 

 

แต่เราจะเรียนรู้ที่จะยอมรับเข้าใจ และอยู่ร่วมกับมันได้ เมื่อได้เรียนรู้ เราจะพบเจอกับความสวยงามบางอย่าง  บาดแผลจะจางไป รอยยิ้มจะกลับมา

 

 

4. Equality Cake Planet

ในงานยังมีศิลปินนักเขียนนามปากกา โรแมนติกร้าย หรือ คุณ Win nimman เข้าร่วมในนิทรรศการนี้อีกด้วย ซึ่งคุณวินได้ห่างหายจากการวาดภาพไปค่อนข้างนานพอสมควร

 

และยังบอกอีกว่านิทรรศการนี้ทำให้คุณวินอยากกลับมาวาดภาพอีกครั้ง โดยผลงานในนิทรรศการมีชื่อภาพว่า Equality Cake Planet ซึ่งมีสีสันสดใส ความเป็นกวี ความรักในขนมหวานตามสไตล์โรแมนติกร้าย 

 

“เค้กก้อนสีชมพู ถึงแม้ว่ามันจะสวยงาม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยพบกับความเจ็บปวด แค่มันเลือกจะเป็นชมพูแบบนั้นต่อไป อย่าให้โลกที่โหดร้ายมาเปลี่ยนความชมพูของเรา”

 

และมีบทกวีในเค้กเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘be who you are as you wish we are all equal on this sweet-lonely planet’ ซึ่งตีความหมายถึงความเท่าเทียม ความเป็น feminist

 

ซึ่งเชื่อในความเท่าเทียมของทุกคนและทุกเพศ ภาพเค้กที่โรยด้วยเกล็ดน้ำตาลแท่งหลากหลายสีได้แทนถึงความเท่าเทียมทางเพศ ลดความอคติ เค้กในภาพจะช่วยลดความเจ็บปวดให้กับทุก ๆ คน

 

และยังเป็นเค้กที่ทุกเพศทุกวัยสามารถเอนจอยได้อีกด้วย 

 

อีกสิ่งที่อยากจะเล่าให้กับทุก ๆ คนได้ฟังคือ ตั้งแต่คุณวินเดินเข้างานมา มีน้อง ๆ แฟนคลับ หรือที่คุณวินเรียกว่า ‘แก๊งสายหวาน’ รอคุณวินตั้งแต่เดินเข้ามา มีการขอถ่ายรูปและชื่นชมผลงานโรแมนติกร้าย

 

บรรยากาศการที่แฟนคลับพูดคุยกับคุณวินอบอุ่นและเป็นกันเองมาก ในขณะที่คุณวินพูดอยู่บนเวลาทีนั้น ยังได้พูดถึงความเท่าเทียมซึ่งทำให้เราได้รู้สึกว่า

 

ความเท่าเทียมคือสิ่งสำคัญมากที่เราทุก ๆ คนควรตระหนักถึง

 

5.Another purpose of pain

ชื่อศิลปิน: Meetmrtwo

 

“Sometime,pain can become your cure.”

 

โดยคุณสองได้อธิบายถึงผลงานชิ้นนี้เอาไว้ว่า การที่ชีวิตเราผ่านอะไรมามาก ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่เราพบเจอได้สอนให้เราเรียนรู้เเทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด

 

โดยเปรียบความเจ็บปวดที่เราได้พบเป็นเหมือนสีที่ไหลออกมา แล้วเอาสีนั้นมาวาดเป็นจุดหมายของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เป็นการเปลี่ยนความเจ็บปวดของเราให้กลายเป็นจุดหมาย

 

เเรงบันดาลใจก็มาจาก ชื่อนิทรรศการ Turn Your Scars into Stars ที่บาดแผลทำให้เรามีเลือดไหลออกมา แต่เปลี่ยนจากเลือดตรงนั้นเป็นสีแทน

 

ครั้งแรกที่ได้ฟังคุณสองอธิบายถึงผลงานชิ้นนี้ เป็นสิ่งที่ประทับใจมาก ๆ เพราะบางครั้งความเจ็บปวดก็ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานนับครั้งไม่ถ้วน ร้องไห้กับมันนับครั้งไม่ถ้วน

 

แต่สุดท้ายความเจ็บปวดที่เราเจอ ในบางครั้งก็ทำให้เราเติบโตขึ้นและกลายเป็นเป้าหมายที่ทำให้ชีวิตเราก้าวต่อไปข้างหน้า

 

 

6.Colorful Daggers

 

ชื่อศิลปิน : Tum Ulit

 

“Fill in the right gap to release yourself from pain”

 

ความรู้สึกแรกที่เห็นผลงานชิ้นนี้ คือ ถ้าอยากจะมีผลงานศิลปะสักชิ้นไว้ในห้องนอน ก็คงเป็นชิ้นนี้ ให้ความรู้สึกน่ารัก อบอุ่นและคงเพิ่ม mood ให้ห้องนอนเป็น Safe Zone ให้เราได้ดี

 

คุณตั้มเล่าว่าได้รับเเรงบันดาลใจจากการถูกทำร้ายด้วยคำพูดหรืออารมณ์ของคนอื่นซ้ำ ๆ เมื่อผ่านความเสียใจจนวันนึงเกิดเป็นการตกตะกอนได้ว่า

 

“เราควรตั้งตนให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น” โดยใช้ “เกมเสียบถังโจรสลัด” มาเเทนหัวใจที่ถูกทิ่มเเทง แต่ถ้าเสียบได้ถูกช่อง เราก็จะกระเด็นออกจากความทุกข์นั้น:)

 

ทำให้นึกถึงตอนที่ทาง Alljit ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตั้มในเรื่องของ  การก้าวผ่านความเจ็บปวด และช่วงเวลาที่ยากที่สุด? คุณตั้มได้บอกว่า

 

“เมื่อเกิดความเจ็บปวดเราจะตั้งคำถามว่าทำไมเราไม่ทำอย่างนั้น? อย่างนี้? ซึ่งเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเราที่สุด แต่อีกส่วนหนึ่งคือ คำถามว่าเมื่อไหร่เราจะกลับมาเป็นปกติ

 

การรอเวลาเพื่อกลับไปถึงจุดนั้นมันทรมาน เพราะเรารู้สึกว่าการจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งต้องต่อสู้กับตัวเองเยอะมาก”

 

เพราะฉะนั้นภาพนี้เป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเหมือนกันว่าในวันนึงเราก็จะออกมาได้แหละ ถังโจรสลัดที่ทำให้เราถูกทิ่มแทงนับครั้งไม่ถ้วนใบนี้

 

เเละวันที่เราทะยานออกมาได้คงเป็นวันที่สดใสเหมือนผลงานของคุณตั้มชิ้นนี้:)

 

ยังมีผลงานของศิลปินอีกหลายท่านที่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ลึกซึ้ง สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน จนพวกเรายังแอบคุยกันว่า คงเอามาพูดใน Podcast ได้หลายอีพีเลย

Mini Gallery Turn Your Scars into Stars

ภายในงานจะมีผลงานของศิลปินทางบ้านที่ได้เข้าร่วมเป็น Mini Gallery บริเวณชั้นสาม ผลงานของศิลปินทางบ้านถูกประดับด้วยการแขวนเรียงกันให้ผู้เข้างานได้เข้ามาเยี่ยมชม ทุกรูปภาพที่ได้ศิลปินทางบ้าน

 

ได้ทำการวาดภาพเข้ามา มีเรื่องราวที่อยู่ในภาพเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจ การตีความได้อย่างลึกซึ้ง แต่การที่ได้ไปเดินชมก็สัมผัสได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในภาพเหล่านั้น

 

นอกจากจะได้เข้าร่วมใน Mini Gallery แล้ว ทางงานก็มีรางวัลรูปภาพขวัญใจศิลปินทั้ง 11 ท่านหรือ “Artist’s Pick! ” ศิลปินแต่ละท่านจะให้รางวัล การที่ได้รับเข้าร่วมเป็นเรื่องที่น่ายิน

 

และการได้รางวัลจากศิลปินที่ชื่นชอบเหมือนเป็นแรงใจ ประสบการณ์ที่น่ายินดีและจุดประกายความฝันให้ยิ่งขึ้นไป 

 

ในส่วนของชั้น 3 ที่นอกจากจะจัดแสดง Mini Gallery Turn Your Scars into Stars แล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ Art Market เอาใจสายช้อปงาน Hand made อย่างเรา ๆ

 

ร้านมากมายถึงเกือบ 20 ร้าน อาทิเช่น สติ๊กเกอร์ลายน่ารัก ๆ, กระเป๋าถักจากไหมพรม สมุดโน้ต กำไลข้อมือ ต่างหู เทียนหอม เป็นต้น เรียกว่าถ้าไม่คุมสติดี ๆ ได้มีกระเป๋าฉีกแน่ ๆ งานนี้ 

 

เปิดไพ่ฮีลใจและค้นหาคริสตัลประจำตัว

สิ่งนึงที่ทางทีมงานเสียดายมาก ๆ คือ อดเข้า Workshop ในงานวันที่ 5 เพราะเป็น Workshop ที่น่าสนใจมาก แต่อาจจะเป็นความโชคดีบนความน่าเสียดายที่เราได้มีโอกาสไปเปิดไพ่

 

และเลือกหินประจำตัวที่โต๊ะเล็ก ๆ ของคุณแอ้และคุณแคท ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์แทน

 

เปิดไพ่ฮีลใจ

จากคุณ แอ้ Memo Smile จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับการดูดวงนั่นแหละ แต่สิ่งที่แตกต่างจากการดูดวงที่ผ่านมาของเราคือ คำพูดที่ว่า

“การดูดวงที่ดี คือ การดูแล้วเห็นเส้นทางของตัวเอง หรือช่วยให้การตันสินใจได้ง่ายขึ้น”  ถ้าดูแล้วจิตตก กังวล อาจจะไม่ใช่การดูดวงที่ดีนัก เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่า การดูดวงครั้งนี้พิเศษตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย 

 

แล้วก็พิเศษแบบนั้นจริง ๆ ช่วงเปิดไพ่ ก็พบว่า เส้นทางของเราอาจจะไม่ได้สวยงามตลอดทั้งเส้น แต่ขอให้เชื่อมั่น และลงมือทำ เพราะเธอมาถูกทางแล้ว… แต่ความมั่นใจเราก็ยังมาไม่สุดทางอยู่ดี 

 

คุณเเอ้จับมือเรา พร้อมให้เปิดไพ่ใบสุดท้าย ที่บอกว่า “ KEEP YOUR HEART OPEN EVEN WHEN IT HURTS” และนั่นคือคำตอบของทุกอย่างที่ทำให้พลังความมั่นใจในตัวเราถูกเติม 

 

ความประทับใจอีกอย่างในระหว่างการเปิดไพ่ คือ  มีกล้องหลายตัว เข้ามาจับภาพ แต่คุณแอ้กังวลเพราะหน้าสด เราเลยอาสา ปัดแก้มให้ พร้อมยื่นกระจกให้ทาตาด้วย

 

มันคือความสัมพันธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่มันทำให้ใจฟูจริง ๆ   ปิดท้ายด้วยการ กอดให้กำลังใจ วินาทีนั้นเราตั้งใจหลับตา และตั้งใจรับพลังนั้นเข้ามา  

 

จากไม่กี่นาทีที่คุย จากไม่กี่เสี้ยววินาทีที่สัมผัสกัน  มันเป็นพลังบวกที่ส่งถึงกันจริง ๆ  และคุ้มค่าที่ได้ไปร่วมงาน “Turn Yours Scars into Stars” 

 

 

My Crystal Mandala

จาก “คุณแคทผู้เชี่ยวชาญทางด้านหินแร่” ในการค้นพบคริสตัลประจำตัวของคุณและสัมผัสพลังงานของผืนดิน

 

เพราะชีวิตต้องเจอกับเรื่องราวที่เจ็บปวด สิ่งที่ช่วยฮีลใจในวันยาก ๆ อาจจะเป็น ‘คริสตัล’ My Crystal Mandala เป็นเวิร์คช็อปที่จะพาทุกคนค้นหาหินประจำตัว

 

ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง หินเหล่านี้อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงช่วยดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามา  ตอนที่เข้าไปที่บูธ ได้รับการแนะนำดีมาก หินประจำตัวเลยเป็นสิ่งใหม่อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รู้จักจากนิทรรศการนี้ 

 

 

การที่เราได้พาตัวเองให้ถูกล้อมรอบไปด้วยผลงานศิลปะของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดเหมือนกัน เจอกับบาดแผลเหมือนกัน  ทำให้เราได้ฮีลใจของตัวเอง

 

ได้รับกำลังใจจากคนที่เคยเจอกับประสบการณ์ที่ไม่ดีเหมือนกันและได้มองตัวเองในมุมมองใหม่ว่า แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เราก็ยังคงสวยงามเหมือนเคย…

 

“ขอบคุณที่ก้าวผ่านความเจ็บปวดในวันนั้น มาเป็นเธอในวันนี้” – จาก Alljit

ในปัจจุบันที่สังคมหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต “นักจิตวิทยา” จึงกลายเป็นอาชีพหนึ่งที่ถูกพูดถึง นักจิตวิทยา คือใคร ? ทำหน้าที่อะไ ร? แต่ละสาขาแตกต่างกันอย่างไร ?

 

มาหาคำตอบกับรายการพูดคุย Alljit x คุณวันเฉลิม คงคาหลวง นักจิตวิทยา

พารู้จักกับอาชีพ “นักจิตวิทยา”

 

นักจิตวิทยา เป็นอาชีพที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และ เหตุผลที่รองรับได้ในหลากหลายมิติ เช่น เชิงสังคม เชิงปัจเจก สรีระ

 

โดยทำการทดลอง เก็บข้อมูล การสำรวจ หรือจากประสบการณ์ความชำนาญในการทำงาน 

 

เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม  และยังมีเรื่องที่วิทยาการทางวิทยาศาสตร์ไปไม่ถึง เช่นถ้าวันนี้ฉันเป็นซึมเศร้า สรุปแล้วสารเคมีในสมองสร้างความซึมเศร้าขึ้นมา

 

หรือซึมเศร้าก่อนแล้วสารเคมีเป็นตัวอธิบายความเศร้าที่เกิดขึ้น  

 

 

นักจิตวิทยามีสาขาอะไรบ้าง ? ทำหน้าที่อะไรบ้าง ?

 

1. นักจิตวิทยาการปรึกษา

มุ่งเน้นการให้บริการกับบุคคลทั่วไป ที่ไม่มีความผิดปกติ การทำงานจะเอื้ออำนวยให้ผู้รับบริการเข้าใจปัญหา 

 

2. จิตวิทยาคลินิก 

จะให้ความสำคัญการช่วยเหลือผู้ที่มีสภาวะผิดปกติคืนสู่สภาวะปกติ สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างราบรื่น

 

3. จิตวิทยาพัฒนาการ

ศึกษาพัฒนาการตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่  เพื่อทำความเข้าใจ และอธิบายพฤติกรรม 

 

4. นักจิตวิทยาองค์กร

ศึกษาเกี่ยวกับบุคคลและสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงาน เพื่อนำความรู้ไปพัฒนา เช่น สร้างแรงจูงใจ หรือพัฒนาบุคคล เพื่อนำไปสู่เป้าหมายขององค์กร 

 

 

นักจิตวิทยาทำงานข้ามสาขาได้หรือไม่ ?

 

สามารถทำได้ แต่จะต้องทำตามความเหมาะสม ตัวอย่างเช่น นักจิตวิทยาการปรึกษาสามารถเข้าไปดูแลบุคลากรในองค์กร ที่เกิดความรู้สึกวิตกกังวล จนส่งผลกระทบต่อการทำงานได้

 

 

นักจิตวิทยาคลินิก และ นักจิตวิทยาการปรึกษา แตกต่างกันอย่างไร ?

 

จิตวิทยาคลินิก เป็นศัพท์ทางการแพทย์ รูปแบบหนึ่งจึงมีรายละเอียดเฉพาะตัว เช่น การทำงานเชิงคลินิก  การเก็บข้อมูล การทดลองเชิงคลินิค ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับโรคต่าง ๆ 

 

เพราะฉะนั้นอาจไม่จำเป็นต้องอยู่เฉพาะในคลินิก สามารถไปทำงานในโรงเรียน ในองค์กรได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับเนื้องาน และประสบการณ์ 

 

ส่วนจิตวิทยาการปรึกษา  เน้นในทักษะของการรับฟัง วิเคราะห์ปัญหา และนำไปสื่อสาร คุยกับผู้เข้ารับคำปรึกษา และสามารถพัฒนาเพิ่มเติมได้  

 

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าควรเลือกไปหานักจิตวิทยาสาขาไหน ?

 

เลือกตามจุดประสงค์ของตัวเอง เช่น  หากคุณไม่ได้ป่วย อยากได้รับคำปรึกษาที่ชัดเจน ก็เข้าไปพบนักจิตวิทยาการปรึกษา

 

อยากเช็ค อยากตรวจประเมินสุขภาพจิต เลือกเข้าพบนักจิตวิทยาคลินิก หรืออยากปรึกษาเรื่องของลูก ก็สามารถเข้าไปพบ นักจิตวายาพัฒนาการได้ 

 

 

 

 

 

 

ความรักที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบความสัมพันธ์แบบทันที เป็นความสัมพันธ์ที่มีได้ในยุคปัจจุบันนี้

 

รักไว เลิกไว

 

 

ความรู้สึกชอบ หลง รัก แตกต่างกันหรือไม่?

มีความแตกต่างกัน ตามทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก 

 

 

ความชอบก็เหมือนการคุยกันแล้วถูกใจ เป็นเพื่อนกันซึ่งต่างจากความลุ่มหลงคือคลั่งไคล้ ทำอะไรก็ดูดี เขาดีไปหมดทุกอย่าง

 

เป็นปกติเมื่อเจอกันแรก ๆ ก็จะมีความชอบและคลั่งไคล้กันมาก แต่พอผ่านไปนาน ๆ ความเสน่หาก็ลดลง   

 

แต่ความผูกพันก็จะเพิ่มขึ้นและไปสู่การตกลงว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบไหนต่อไป

 

นิยามของความรักคืออะไร?

ความรักก็เป็นอารมณ์รูปแบบหนึ่งของมนุษย์ มีการคิดแยกแยะ เกิดเป็นความรัก ความรู้สึกที่ซับซ้อน

 

ความรักก็เป็นเรื่องที่คนสองคนชอบพอกัน มีความรู้สึกตรงกัน อยากอยู่ด้วยกัน ดูแลกันและกัน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความต้องการต่อกัน

 

เวลาเป็นปัจจัยสำคัญหรือไม่?

เมื่อเจอคนที่ใช่บางครั้งเวลาก็ไม่สำคัญ แต่ความเข้าใจกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องศึกษากันและกัน

 

บางครั้งตอนนี้ใช่ แต่ผ่านไปสักพักอาจไม่ใช่ ก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน 

 

 

สาเหตุของรักไว เลิกไว?

ยุคสมัยปัจจุบันที่มีความการติดต่อสื่อสารง่ายมากขึ้น ทำให้เจอกันง่าย รักกันง่าย ทำให้เราเจอคนหลายคนมากขึ้น

 

มีทางเลือกเยอะขึ้น หากความรักของแต่ละคนไม่แนวแน่ก็มีสิทธิ์ที่จะเลิกกันง่าย การพบเจอกันเป็นเรื่องง่าย แต่การประคองความสัมพันธ์ให้ยาวนานยากกว่าการเลิกกัน

 

รักษาความสัมพันธ์อย่างไรให้ยืนยาว?

เลือกคนรักให้ถูก รสนิยมคล้ายกัน รับเราได้ในแบบที่เราเป็น ต้องประคองความรักด้วยการปรับตัวเข้าหากัน พูดคุยกัน

 

การสื่อสารสำคัญต่อความสัมพันธ์มาก ๆ หากไม่พูดคุยกันก็อาจมีปัญหาต่อความสัมพันธ์ได้ มีการให้อภัยต่อกัน เข้าใจกันและกัน

 

 

รับมือกับความสัมพันธ์ที่จบลงอย่างไร?

อาจต้องใช้เวลาในการทำใจ เวลาจะเยียวยาใจเราได้เสมอ จากปกติเราต้องแบ่งเวลา แบ่งหัวใจความรักให้กับคนอีกคน แต่เมื่อไม่มีเขาเราดึงตัวเองกลับมารักตัวเอง

 

ให้เวลากับตัวเองอย่างเต็มที่ ยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น ค่อยทำใจได้พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ ระยะทำใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

 

มุมมองพลังบวกก็มีผลต่อการทำใจ การมองสิ่งดีๆในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นได้

โดยส่วนใหญ่การนอกใจมักมาจากคนที่มีนิสัยเจ้าชู้ แต่การนอกใจไม่เท่ากับคนเจ้าชู้ บางคนก็อาจนอกใจได้แม้จะไม่ได้เป็นคนที่เจ้าชู้

 

คนเจ้าชู้นอกใจ

 

 

เจ้าชู้ เป็นอาการทางจิตเวชหรือไม่?

คนที่เจ้าชู้มีได้หลายแบบ เป็นรสนิยมส่วนตัวที่ชอบมีคนรักหลายคนหรือมีคู่นอนหลายคน แยกได้หลายแบบ

 

บางคนก็เจ้าชู้ ชอบหยอกล้อ แตะเนื้อต้องตัว แต่เมื่อมีแฟนก็จะหยุดเจ้าชู้หรือบางคนก็มีการนอกกายและนอกใจ

 

 

คู่รักแบ่งได้หลายแบบ

 

สำคัญที่สุดคือเลือกคนที่มีรสนิยมตรงกัน เพื่อความสัมพันธ์ที่เข้าใจกันและกัน

 

 

วิธีสังเกต คนเจ้าชู้

อาจต้องลองให้เวลาศึกษากันและกัน คนเจ้าชู้มักเผื่อเลือก จะคุยกับใครหลายคน ต้องใช้เวลาในการคุยกัน สังเกตพฤติกรรมของเขาแบบไม่ตัดสินแบบเข้าข้างเขา 

 

 

จะรับมืออย่างไร เมื่อถูกนอกใจ?

ควรมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าถูกนอกใจจริง ๆ ไม่คิดระแวงเอง เมื่อถูกนอกใจเป็นปกติที่จะเกิดอาการ ‘ตกใจและปฏิเสธความจริง (shock and denial)’

 

และเริ่มโกรธ ต้องใช้ความรุนแรงระบายออกมา จึงเริ่มต่อรองให้อภัย อยากไปต่อกับความสัมพันธ์ สุดท้ายเกิดเป็นความเศร้า ค่อย ๆ ยอมรับความจริงว่าเขานอกใจจริง ๆ 

 

เราควรดูแลรักษาจิตใจของตัวเองในช่วงเวลาที่เจอกับความยากลำบากจากการโดนนอกใจ ควรจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง

 

ทบทวนและตอบตัวเองให้ชัดเจนว่าอยากไปต่อหรือหยุดความสัมพันธ์ไว้ หาทางออกของความสัมพันธ์ให้เจอ ว่าเราต้องการอะไร อย่างน้อยก็ควรเลือกในสิ่งที่เราสบายใจที่สุด

 

 

รับมือกับความรู้สึกที่มีต่อมือที่สามอย่างไร?

ความจริง ความคิด ความแค้น ต่อมือที่สามก็เหมือนยิ่งสานต่อปัญหาของความสัมพันธ์ ให้ยุ่งยากทำร้ายจิตใจตัวเอง

 

หากมือที่หนึ่งจับมือที่สองแน่นพอ มือที่สามจะไม่สามารถแทรกได้ เพราะปัญหาอาจเกิดจากคนสองคน ทำให้ดึงอีกคนเข้ามา

 

ควรคุยกับเขาให้ชัดเจนว่าเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร ต้องการอะไรในความสัมพันธ์เพื่อความชัดเจนของความสัมพันธ์

 

 

รับมือกับความหวาดระแวงอย่างไร?

หากเลือกที่จะให้อภัยและไปต่อกับความสัมพันธ์ที่เคยโดนนอกใจมาก่อน ต้องยอมรับและอยู่กับความระแวงให้ได้

 

เพราะการนอกใจมีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่เกิดขึ้นเลยได้เสมอ ควรอยู่กับปัจจุบัน ศึกษากันไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต

 

หากคบกันแล้วไม่มีความสุข ก็ควรถอยออกมา อย่าเสียเวลา ทนฝืนต่อไป เสียดายเวลาอดีต

 

แต่อย่าลืมเวลาอนาคตที่เราจะเสียไปกับการไม่มีความสุข กับคนที่ไม่ใช่ กลับมาดูแลจิตใจตัวเอง

 

 

จะออกจากความสัมพันธ์อย่างไร?

ในความสัมพันธ์ที่คบกันอยู่ ลองทบทวนว่าชีวิตเราโอเคหรือเปล่า ควรกลับมารักและเห็นคุณค่าของตัวเอง หากเราเห็นคุณค่าของตัวเอง

 

จะเลือกตัวเองและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เสมอ หากยังไม่มั่นใจ มีสิ่งที่ติดค้างต่อกัน ทุกอย่างอาจเป็นเพียงข้ออ้างในการอยู่กับความสัมพันธ์ต่อไป

 

เราเลือกเส้นทางของตัวเองได้เสมอ เราเลือกแบบไหน ควรรับผิดชอบในสิ่งที่เราเลือก

Toxic parent มูฟออนชีวิต ถอนพิษพ่อแม่เผด็จการ

 

Toxic parent

 

 

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย ดร.ซูซาน ฟอร์เวิร์ด และคุณเครก บัก และแปลโดยคุณ เชิญพร คงมา

 

ดร.ซูซาน ฟอร์เวิร์ด เป็นจิตแพทย์ที่ดูแลเคสของลูกที่ถูกทำร้าย ทั้งร่างกายและจิตใจ สิ่งที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้จะมัดรวมประเภทพ่อแม่ที่เป็นพิษหลากหลายประเภทต่าง ๆ

 

ที่เลือกมาใช้ควบคุมลูก เขียนมาเป็นเคสต่าง ๆ ที่คนเขียนเคยเจอ . . . พ่อแม่คือสถาบันแรกที่เราเกิดมาแล้ว

 

เป็นสถาบันแรกที่หล่อหลอมให้เราเป็นเราในทุกวันนี้มันปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บาดแผล ความรู้สึก ความคิดต่าง ๆ ที่บ่มเพราะเราก็มาจากพ่อแม่อาจจะไม่ทั้งหมดในชีวิตแต่ก็เป็นส่วนสำคัญ

 

 

ประเภทของ Toxic parent

 

 

 

 

 

 

 

 

หนังสือเล่มนี้ให้ทางออกเมื่อเราเจอพ่อแม่ที่เป็นพิษ มาหลากหลายกรณี ถ้าโดนคนที่ทำไม่ดีใส่โดยเฉพาะถ้าเป็นพ่อแม่ที่เป็นผู้มีพระคุณ

 

คำว่า ‘ทดแทดบุญคุณ’ เป็นสิ่งที่ลูกต้องแบกไว้ตลอด คงยากที่จะรู้สึกไม่ดี หรือรู้สึกโกรธ บางทีกลับมารู้สึกผิดเอง และรู้สึกว่าไม่ควรมีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ

 

 

แต่อะไรที่มันมากเกินไปเราไม่จำเป็นต้องให้อภัยก็ได้นะ จดจำไว้เสมอว่า เราไม่สามารถทำให้ใครรู้สึกอะไรได้ทั้งนั้น

ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองเลือก เรามีหน้าที่ต้องหาทางออกให้ตัวเองเมื่อรู้สึกเวลามีใครมาทำร้าย พ่อแม่ก็มีหน้าที่ที่ต้องหาทางออกนี้เหมือนกัน

 

 

สิ่งสุดท้ายไม่ใช่แค่ในฐานะลูก แต่ในฐานะถ้าเราเป็นพ่อแม่อยู่หรือจะในฐานะไหนก็ตาม ลองถามว่าตัวเราเองว่าเราอยากอยู่กับคนนี้จริง ๆ หรอ

 

คนที่ทำนิสัย พฤติกรรมเหล่านี้ อยู่แล้วสุขสบายใจไหม หรือหนักใจ ทุกข์ใจ ถ้าคำตอบเป็นแบบหลัง เมื่อเราโตขึ้นแล้ว

 

เราสามารถดูแลตัวเองการตัดวงจร แยกออกมาเพื่อตัวเราเองปล่อยวางแล้วก้าวต่อไปเพื่อความสุขของตัวเองดีกว่า

 

การ กอดตัวเอง ดีอย่างไร?

กอดตัวเอง

 

 

กอดตัวเอง

 

กอดตัวเองทางร่างกายคือการเอาแขนมาโอบตัวเอง แต่การกอดตัวเองไม่จำกัดแค่การเอามือโอบกอด แต่มีหลากหลายรูปแบบ

 

การกอดตัวเอง ในมุมหนึ่งคือการเทคแคร์ตัวเอง คล้าย ๆ กับ Self-Care การกอดตัวเอง หมายถึง การกระทำของการโอบกอดตัวเองเพื่อเป็นการปลอบโยนและดูแลตัวเอง

 

การโอบแขนรอบลำตัว วางมือบนไหล่หรือแขนส่วนบน และบีบเบา ๆ การกอดตัวเองเป็นประโยชน์ต่อการปลดปล่อยออกซิโทซิน

 

ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการผูกพันและลดความเครียด และสามารถช่วยบรรเทาความรู้สึกเหงา วิตกกังวล หรือไม่สบายใจ

 

 

Butterfly Hug

หลายครั้งที่เรากำลังรู้สึกกลัว กังวล หายใจสั้นถี่ ท่า Butterfly Hug จะเหมือนการเลียนแบบว่าเหมือนมีคนมากอดเราอยู่ ทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย

 

ทำให้อาการกลัวค่อย ๆ ทุเลาลง เพราะฉะนั้นท่า Butterfly Hug จะถูกใช้บ่อย ๆ เวลาที่เรารู้สึกวิตกกังวลมาก ๆ

 

แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกอดตัวเองเสมอไป วิธีอื่นก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน เช่น การหาจุดโฟกัสในสิ่งที่เราสบายใจ หรือการนึกถึงเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในหัวจินจนาการถึงสิ่งที่เรามองแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ 

 

เราจะเริ่มต้นดูแลตัวเองได้อย่างไร

 

การรักตัวเอง ไม่เท่ากับ การเห็นแก่ตัว

ในสังคมปัจจุบัน คำว่า “การรักตัวเอง” ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการรักตัวเองนั้นหมายถึงการเห็นแก่ตัว ซึ่งไม่เป็นความจริง

 

 

การรักตัวเองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ แต่ต้องไม่สับสนกับการเห็นแก่ตัว

 

การรักตัวเองอย่างแท้จริงนั้นคำนึงถึงทั้งความต้องการของตัวเองและความต้องการของผู้อื่น โดยไม่เบียดเบียนหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น

 

 

 

ความสัมพันธ์แบบ Friend with Benefit และ One Night Stand อาจเริ่มมีมานานแล้ว ด้วยมนุษย์เรามีความต้องการในเรื่อง Sex
เป็นเรื่องธรรมชาติ บางยุคสมัยที่เข้มงวดมากก็อาจเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ในบางยุคที่ไม่ได้เข้มงวด ความสัมพันธ์แบบ FWB และ ONS ก็อาจมีได้ตั้งแต่ยุคโบราญ

 

เพราะอะไรคนถึงชอบความสัมพันธ์แบบ Friend with Benefit และ One Night Stand 

เป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้มีความสุข น่าตื่นเต้นและไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก โดยความสัมพันธ์เกิดขึ้นจากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ซึ่งก็คือ Sex 

 

แต่การที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ต้องมีการทำความรู้จัก จีบกัน เป็นแฟนกันจึงจะมี Sex ได้ ต้องผ่านการรับผิดชอบหลายขั้น ทำให้รู้สึกว่ายากเกินไป

 

บางคนแค่ต้องการมีความสุขแบบไม่ต้องรับผิดชอบ ก็เลือกที่จะมีความสัมพันธ์แบบ ONS แต่ FWB เป็นความสัมพันธ์อีกขั้นที่มากกว่า ONS

 

เป็นได้ทั้งเพื่อนและคนที่มีเพศสัมพันธ์กัน แต่ต้องไม่คาดหวังกับความสัมพันธ์ที่จะพัฒนากลายมาเป็นคนรัก

 

 

 

การเอาใจไปลงเล่นกับความสัมพันธ์แบบ Friend with Benefit และ One Night Stand 

จากงานวิจัยความสัมพันธ์แบบ FWB มีโอกาสที่จะตกหลุมรักกันได้ โดยปกติเมื่อมี Sex ร่างกายจะกระตุ้นฮอร์โมนหลายตัว

 

ซึ่งมีหนึ่งฮอร์โมนที่เป็นตัวทำให้มีความผูกพันเกิดขึ้นคือ Oxytocin เมื่อหลั่งฮอร์โมนออกมาก็มีความผูกพันต่อกันมากขึ้น

 

และความสัมพันธ์ FWB บ่งบอกว่าเป็นความสัมพันธ์ Sex ที่ดี มีความเข้ากันได้จึงมีโอกาสสูงที่จะตกหลุมรักกัน 

 

หากเอาใจลงมาเล่นกับความสัมพันธ์ FWB พร้อมกันทั้งสองฝ่ายก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเป็นจุดเริ่มต้นพัฒนาความสัมพันธ์

 

แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่พร้อมก็อาจเสียความสัมพันธ์ FWB ได้ เพราะความต้องการไม่เท่ากัน 

 

 

Friend with Benefit ที่มีแฟนอยู่แล้ว

เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ เพราะ FWB เป็นการตกลงกันทั้งสองฝ่าย คือการมี Sex และเป็นเพื่อนกันแต่ความสัมพันธ์จะไม่เกินกว่านั้น

 

หรือ ONS เป็นความสัมพันธ์ของคนสองคนมีข้อตกลงแค่เรื่อง Sex แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีแฟนอยู่แล้วก็สามารถทำได้ 

 

แต่เป็นความสัมพันธ์ที่แสดงออกว่าคือการนอกกายและนอกใจ ถึงจะไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกัน อาจทำให้เกิดปัญหามือที่สามได้

 

หากมีแฟนอยู่แล้วและต้องการมีความสัมพันธ์แบบ FWB หรือ ONS ควรคุยตกลงกับแฟนให้เข้าใจและยินยอม

 

ซึ่งการยอมรับหรือไม่ยอมรับ เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของแฟน ไม่ควรบังคับอีกฝ่าย

 

เมื่อแฟนยอมรับได้ ความสัมพันธ์ FWB ก็ไม่ใช่การนอกใจนอกกายแม้จะมีแฟนอยู่แล้วก็ตาม เพราะทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมเข้าใจกันแล้ว 

 

 

ควรรับมืออย่างไร เมื่อเอาใจลงไปเล่นกับความสัมพันธ์ Friend with Benefit

อาจต้องคุยกับตัวเองก่อนว่าความสัมพันธ์ที่ตกลงกันตั้งแต่แรกคือ FWB สิ่งที่เรารู้สึกอาจทำให้ขัดกฎข้อตกลงกัน เตือนใจตัวเองก่อนว่าจะเกิดความเจ็บปวดได้ 

 

คุยกับตัวเองว่าต้องการจะเดินหน้าต่อเพื่อความสัมพันธ์ที่อาจจะพัฒนาต่อไปหรือจะถอยออกมาจากความสัมพันธ์ให้เร็วที่สุด

 

เพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีผลต่อความสัมพันธ์แน่นอน เลือกว่าเราจะรับความเสี่ยงแบบไหนได้มากที่สุด

 

ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์แบบไหน ควรป้องกันให้ปลอดภัยเพื่อเซฟตัวเรา

 

สาเหตุของ ความลังเล เกิดจากความกังวลต่อผลลัพธ์ในสิ่งที่เลือก เหมือนกับการสอบ
บางครั้งการมีข้อมูลไม่มากพอก็ทำให้ลังเลที่จะตอบ แต่ถ้าเรามีข้อมูลที่ชัดเจนก็สามารถเลือกได้อย่างมั่นใจ

 

ความลังเล

ประสบการณ์ส่งผลต่อทักษะการตัดสินใจ

การเติบโต วิธีการเลี้ยงดูในวัยเด็ก มีผลต่อการตัดสินใจ หากเราเติบโตมาแบบที่ผู้ใหญ่สอนให้เราเชื่อว่าควรเลือกอะไร

 

ทำแบบไหนถึงจะดีกว่า การมีคนเลือกและตัดสินใจแทนก็ทำให้เราไม่รู้ว่าแบบไหนถึงจะดีกับเรามากกว่า ไม่รู้วิธีวิเคราะห์การตัดสินใจ

 

 

ความลังเลมีผลทำให้ไม่รู้จักความต้องการของตัวเอง

ความลังเลควบคุมได้ยาก เพราะเกิดจากความไม่ชัดเจนกับตัวเอง อาจทำให้เราไม่รู้ความต้องการของตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รู้ความต้องการของตัวเองเลย 

 

ต้องฝึกชัดเจนกับความต้องการของตัวเอง การสื่อสารกับตัวเองให้เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร ฝึกคุยกับตัวเอง ถามตัวเองว่าต้องการอะไรก็เป็นสิ่งสำคัญต่อการตัดสินใจ

 

 

ความลังเล กับ ความโลเล แตกต่างกันหรือไม่

ความลังเลเหมือนเรามีตัวเลือกให้เราได้เลือก แต่ความโลเลคือการที่เราไม่มีตัวเลือกหรือยังไม่แน่ชัดเจนกับตัวเองว่าคืออะไร

 

เป็นคำที่ใช้ร่วมกันได้ในบางครั้ง แต่ก็มีความหมายที่แตกต่างกัน

 

 

ข้อดีของความลังเล

ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นมักมีข้อดีเสมอ ไม่ว่าจะรู้สึกอะไรก็เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ ความลังเลก็อาจมีข้อดีได้เช่นกัน

 

การที่เราลังเลก็เหมือนทำให้เรามีความรอบคอบและละเอียดต่อการตัดสินใจมากขึ้น ความลังเลก็สร้างมุมมองได้หลากหลายมุม

 

ความลังเลทำให้เราได้หยุดคิด ซึ่งเรานำช่วงเวลาที่ลังเลมาทบทวนได้ว่าสิ่งไหนคุ้มค่ากับเราจริง ๆ

 

ไม่ว่าอารมณ์ทางบวกหรือทางลบก็เป็นประโยชน์ต่อเราเสมอ การที่เราลังเล หยุดคิดให้ช้าลงอาจทำให้เจอกับทางเลือกที่ดีและคุ้มค่ากับตัวเองได้

 

ความลังเลในความสัมพันธ์

บางครั้งที่เราเริ่มคิดว่าควรเลิกหรือไปต่อดีกว่า ก็ทำให้มีเวลาได้ทบทวนความรู้สึกของตัวเอง

 

ลองนำความลังเลตรงนี้มาทบทวนก่อนได้ ว่าทางเลือกไหนที่มีผลดีกับเราจริงๆ

 

การที่คนอื่นตัดสินใจแทนเราว่าแบบนี้ดีกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกทางเลือกจะไม่ดีกับเรา

ความลังเลส่งผลต่อความรัก

เมื่อมีความลังเลในความสัมพันธ์แสดงว่าเรารู้สึกไม่มั่นคงกับความสัมพันธ์ของตัวเอง

 

หากเกิดความลังเลในความสัมพันธ์ก็บ่งบอกได้ว่ามีปัญหาบางอย่างที่ไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของเรา 

 

จัดการกับความลังเลด้วยการเริ่มต้นค้นหาสาเหตุของความลังเล ว่าเกิดจากอะไรที่ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย ลังเลในความสัมพันธ์นี้ 

 

 

รับมือกับความผิดหวังจากการตัดสินใจผิดพลาด

เราผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ก่อนที่จะถูกเราก็เคยผิดพลาดมาก่อน อาจลองยอมรับในสิ่งที่เราตัดสินใจ

 

การตัดสินมาจากการที่เราได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดกับตัวเองแล้วจริงๆ แม้ว่าจะมีความผิดพลาด

 

ต่ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ในความผิดพลาดก็ทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น เพื่อที่จะใช้ชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า

ถูกปฏิเสธจากสังคม หรือการโดนแบน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทุกช่วงวัย
เหตุการณ์ที่มีคนรอบข้างเรามองว่าเราแตกต่างจากเขา มีมุมมองความคิดไม่เหมือนกัน ทำให้เราถูกปฏิเสธออกจากสังคม

ถูกปฎิเสธจากสังคม

 

Social rejection และ Social pain แตกต่างกันอย่างไร

Social rejection คือ การถูกปฏิเสธจากสังคมที่มีกลุ่มคนหนึ่งกลุ่มดึงเราออกจากสังคมของเขา

Social pain คือ ความเจ็บปวดทางสังคมจากการที่เราถูกปฏิเสธ

มีความแตกต่างคือโดนกระทำจากสังคมที่ถูกปฏิบัติไม่เท่าเทียม ไม่ถูกยอมรับจากสังคมและความรู้สึกหลังโดนกระทำจากสังคม 

 

 

การรับมือจากการโดนแบน

ลดการตั้งคำถามที่ตัดสินตัวเองว่าเราทำอะไรผิดลงก่อน เพราะการที่เราถูกปฏิเสธจากสังคมไม่ได้หมายความว่าคุณค่าในตัวเราลดน้อยลง 

 

ลองกลับมาทบทวนว่าเราควรอยู่กับกลุ่มอื่นหรือทำความรู้จักคนใหม่ๆ บ้างดีไหม

 

เพราะการจมอยู่กับการตั้งคำถามว่าตัวเราผิดอะไรก็เหมือนยิ่งสร้างความเจ็บปวดและตอกย้ำตัวเอง

 

 

การอยู่ร่วมกับสังคมโดนปฏิเสธ

เริ่มกลับมาทบทวนตัวเองก่อนว่าสาเหตุที่เราอยู่ในสังคมนี้คืออะไร

 

เรามีหน้าที่ทำอะไรในสังคม หากเราเป็นนักเรียน เราควรโฟกัสที่การเรียนและการพัฒนาตัวเอง กลับมาให้ความสำคัญในหน้าที่ของตัวเอง

 

และลองมองหาความสัมพันธ์กับคนอื่น ที่มีอะไรคล้ายกับเราหรือเข้ากับเราได้มากกว่ากลุ่มเดิม 

 

ทุกความสัมพันธ์มีเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกันได้ เราอาจเข้ากับสังคมนี้ไม่ได้ แต่อาจจะเข้ากันได้ดีกับสังคมใหม่ๆ

 

 

ถ้าไม่มีสังคมเพื่อนและเลือกที่จะอยู่คนเดียวได้ไหม?

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการที่พึ่งพิง ลองสำรวจความรู้สึกตัวเองก่อนว่าไหวไหม อยู่คนเดียวได้หรือเปล่า

 

เพราะการโดนแบนก็เหมือนสร้างพลังลบและดูดพลังเราไปทั้งหมด ทำให้ไม่มีที่พักพิง ถ้าเลือกที่จะอยู่คนเดียวก็เป็นความรู้สึกที่โดดเดี่ยวมากๆ

 

แม้ว่าเราสามารถอยู่คนเดียวได้แต่จะมีความสุขจริงๆหรือเปล่า เราตอบตัวเองได้ดีที่สุด 

 

 

หากโดนแบนจากสังคมควรรับมือกับความรู้สึกตัวเองอย่างไร

การดูแลใจตัวเองลองหาพื้นที่ให้ตัวเองได้ทบทวนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีสาเหตุอย่างไร แตกต่างกับคนอื่นเพราะอะไร และต้องไม่โทษตัวเอง

 

ไม่ตัดสินว่าตัวเองผิดหรือด้อยค่าตัวเองจากคำตัดสินของคนอื่น การที่เราโดนแบนไม่ได้แปลว่าเราไม่ดีหรือไม่มีค่าพอสำหรับสังคม

 

ยังมีสังคมอื่นที่ดีกว่าเดิม มีพื้นที่ให้กับเราได้เป็นตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องหนีออกมาจากสังคมที่ไม่ยอมรับเรา 

 

เลือกอยู่ในพื้นที่ที่เราสบายใจและมีความสุขแล้วเราจะไม่ถูกปฏิเสธจากสังคม เพราะทุกคนมีพื้นที่ที่สามารถเป็นตัวเองได้เสมอ

 

 

 

คำว่า แฟนเก่า คือคนที่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันและแยกกันไป สิ้นสุดความสัมพันธ์กัน ก็เหมือนผีที่ดูน่ากลัวในความสัมพันธ์ใหม่

 

แฟนเก่า

 

 

ปัญหาเกี่ยวกับ แฟนเก่า 

การส่งข้อความหาแฟนเก่า การเก็บรูปภาพกับแฟนเก่าไว้ในโทรศัพท์ บางกรณีอาจจะไม่ได้คบกันแต่ยังมีความหวังดีและความเป็นเพื่อนกันอยู่ 

 

หรือบางคนยังคงพร่ำเพ้อคิดถึงแฟนเก่าจึงเก็บรูปภาพไว้ เพราะช่วงเวลาที่คบกับแฟนเก่าเป็นเหมือนความทรงจำช่วงหนึ่งในชีวิตที่อาจมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น คล้ายกับเป็นไดอารี่เล่มหนึ่ง

 

 

ปัญหาที่แฟนเรายังติดต่อกับ แฟนเก่า อยู่

ต้องลองกลับมาถามความรู้สึกตัวเองว่ารับได้หรือไม่ เพราะปัญหาที่เขายังติดต่อกับแฟนเก่าอยู่เป็นเรื่องของความยินยอม หากเรารับไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องผิด 

 

แต่เมื่อรับไม่ได้ก็ไม่ควรไปต่อ การที่แฟนเรายังติดต่อกับแฟนเก่าอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน บางครั้งเขามีความจำเป็นที่ต้องติดต่อกัน

 

เช่น เรื่องงานธุรกิจหรือเรื่องลูก ซึ่งการเปิดใจยอมรับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ไปต่อได้

 

 

Recheck แฟนเราว่าเขา ลืม หรือ ยังไม่ลืม แฟนเก่า?

บางทีก็ต้องกลับมาถามตัวเองเช่นกัน ว่าความรักของเรากับแฟนเกิดขึ้นหรือยัง เขายังรักแฟนเก่าอยู่หรือเปล่า

 

ถ้าเขาก็รักเราแต่ยังรักแฟนเก่าอยู่ก็เป็นไปได้ว่า เขารักสองคนไปพร้อมกัน

 

อาจต้องมาเปิดใจคุยกันก่อน ว่าความรักที่เขามีต่อแฟนอยู่ในระดับไหน ยังรู้สึกรัก รักมากหรือไม่รักแต่ยังมีแค่ความทรงจำที่เหลืออยู่ 

 

เพราะแต่ละระดับมีการจัดการที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนมากมักไม่ได้รักแต่ยังมีความทรงจำต่อกันอยู่ แม้ว่าความเป็นจริงจะไม่มีใครลืมความทรงจำในอดีตได้ก็ตาม 

 

ถ้าหากเรายอมรับได้ว่าเขายังไม่ลืมและเลือกที่จะอยู่ในความสัมพันธ์ต่อไป อาจต้องค่อยๆให้เวลาเยียวยาความรู้สึกของเขา 

 

การแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ของแฟน ต้องปรับตัวให้เข้ากันทั้งสองฝ่ายเสมอ 

 

ไม่ควรมีฝ่ายไหนรับผิดชอบความรู้สึกทั้งหมดไว้คนเดียวเพราะอาจทำให้เหนื่อยล้าและบั่นทอนจิตใจได้ มั่นเตือนตัวเองว่าคนใหม่ไม่ใช่คนเก่า 

 

ทุกคนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ความรู้สึกของเราควรรับผิดชอบและจัดการด้วยตัวเอง ไม่ควรเป็นปัญหาของคนใหม่

 

Recheck ความพร้อมสำหรับการสร้างความสัมพันธ์ครั้งใหม่

ลองทบทวนความรู้สึกตัวเองก่อนว่าเรายังคิดถึงคนเก่าอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่คิดถึงและไม่มีความรู้สึกอะไรกับคนเก่าแล้วแสดงว่าเราก็พร้อมที่จะไปต่อในความสัมพันธ์ครั้งใหม่

 

แต่ถ้ายังคิดถึงและยังมีความรู้สึกกับคนเก่า อาจต้องถามตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่าเราพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่จริงๆหรือเปล่า 

 

หากเราก็พร้อมที่จะรักคนใหม่ แม้จะยังมีความทรงจำกับคนเก่า เราก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ เพียงแต่อาจต้องใช้เวลาให้ความรู้สึกที่มีต่อคนเก่าลดน้อยลง 

 

 

พฤติกรรมชอบส่อง Social media ของแฟนเก่า

บางครั้งการส่อง Social media เป็นเรื่องปกติ เหมือนเราส่อง Social media เพื่อน ดาราศิลปินที่ชื่นชอบ เป็นความชอบส่วนตัว แม้จะไม่ใช่แฟนเก่า

 

เราก็มีความต้องการอยากรู้อยากเห็น ถึงเราจะส่องแฟนเก่าแต่เราอาจไม่ได้รู้สึกอะไรกับแฟนเก่าแล้วก็ได้ 

 

แต่ถ้าหากส่องแล้วมีความรู้สึกอยู่ ต้องกลับมาจัดการที่ความรู้สึกของตัวเองเพราะอาจมีปัญหาทางจิตใจ มีความทรงจำที่ไม่ดีเกิดTraumaสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อบำบัดได้

 

วิธีรับมือกับความรู้สึกตัวเอง

ยอมรับในความรู้สึกตัวเองที่ระแวงแฟน และเปิดใจคุยกับแฟนตามตรงว่าเรายังไม่สามารถวางความระแวงเรื่องแฟนเก่าของเขาได้

 

ช่วยกันแก้ไขปัญหาร่วมกัน ว่าอะไรที่ทำให้เราสบายใจขึ้น บางครั้งความใส่ใจ ความห่วงใย ความสนใจที่เขามอบให้เราก็เป็นตัวช่วยที่เยียวยาจิตใจและความรู้สึกระแวงให้เบาบางลงได้

 

วิธีลืม แฟนเก่า

เวลาคือปัจจัยสำคัญที่ช่วยเยียวยาจิตใจและทำให้ความรู้สึกที่มีต่อแฟนเก่าลดน้อยลง ซึ่งเวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน

 

การกลับมารักตัวเองก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้ความรู้สึกต่อแฟนเก่าลดน้อยลงได้ หากมีการจัดการความรู้สึกที่มีต่อแฟนเก่าไม่ได้จริงๆสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้เสมอ

 

 

โสดอย่างเป็นสุข

‘ความโสด’ เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนเคยผ่านช่วงเวลาการเป็นโสดมาก่อน แต่บางคนก็กลัวการเป็นโสด
โสดมานาน ยอมมีความสัมพันธ์ไม่ดีเพราะกลัวความโสด

ความโสด มีข้อดีอย่างไร 

ความโสดมีข้อดีหลากหลาย มีโอกาสอะไรหลายอย่างที่คนมีคู่อาจจะไม่มี เช่น . . 

 

ความอิสระ อยากทำอะไรสามารถทำได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร

มีโอกาสเจอคนมากขึ้น สามารถทำความรู้จักกับคนได้หลากหลาย 

มีเวลา ในกับตัวเอง มีเวลาให้กับครอบครัวและเพื่อนมากขึ้น

เราสามารถทุ่มเทเวลาให้กับตัวเอง ทำตามเป้าหมายของตัวเองได้มากขึ้น

 

ข้อเสียของความโสด

ความโสดอาจทำให้เหงา โดดเดี่ยว หว่าเว้ อยากมีคนแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตประจำวันแต่ไม่มีใครพร้อมรับฟังเราเลย

 

การจัดการกับความเหงา

ความเหงาเกิดขึ้นได้เมื่อไม่คุ้นชินกับการอยู่คนเดียว หากเราสามารถอยู่คนเดียวเป็น สร้างความสุขกับตัวเองได้ เราจะไม่มีเวลาให้กับความเหงาเลย 

 

 

การโสดอย่างมีความสุข

จากงานวิจัยบอกว่าเราสามารถโสดอย่างมีความสุขได้ เมื่อมีเพื่อนที่เป็นโสดเหมือนกัน การทำกิจกรรมร่วมกัน มีเวลาพูดคุยกันกับเพื่อนช่วยคลายความเหงาได้

 

หรือคนโสดที่เป็น Introvert ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบเข้าสังคม ก็สามารถมีความสุขในแบบของตัวเองได้ โดยการทำสิ่งที่ชอบและสบายใจในแบบของตัวเอง

 

 

รับมือกับความกดดันจากสังคมอย่างไร?

แม้สังคมจะตั้งคำถามอย่างไรไม่สำคัญเท่าจิตใจของเรา เคารพในการตัดสินใจของตัวเอง ไม่ต้องสนใจใครว่าเขาจะคิดอย่างไรกับความโสดของเรา 

 

 

ความคาดหวังของเขาเป็นปัญหาที่เขาควรจัดการ ไม่ใช่ปัญหาของเรา เรามีชีวิต เส้นทางของตัวเอง เราเลือกได้ว่าอยากเป็นแบบไหน แค่มีความสุขในสิ่งที่เราเลือกก็พอ

 

เริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ยังไม่พร้อมส่งผลอย่างไร?

หากไม่พร้อมที่จะมีความสัมพันธ์ อาจทำให้เราต้องปรับตัวเองเพื่อมีเวลาให้กับอีกคนมากขึ้น จากแต่ก่อนมีความอิสระต้องแคร์อีกคนมากขึ้น

 

มีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจมากขึ้น ส่งผลต่อภายในจิตใจทำให้เราคาดหวัง เกิดความสัมพันธ์ที่ Toxic

 

มีความสัมพันธ์เมื่อพร้อมทั้งภายในและภายนอก ลองสำรวจภายในจิตใจของเราก่อน ว่าเราพร้อมที่จะแบ่งปันเวลา คุณค่า และจุดหมายในชีวิต

 

ที่ต้องมีอีกคนเข้ามาอยู่ในชีวิตเราหรือเปล่า พร้อมที่จะหยุดอยู่กับความสัมพันธ์นี้แล้วจริง ๆ 

 

 

 เราควรมีความสัมพันธ์ในช่วงที่ชีวิตไม่ยุ่ง ไม่มีความเครียดหรือกดดันเกินไป หากชีวิตเรายังมีปัญหาอยู่ อาจมีปัญหากระทบต่อความสัมพันธ์ได้

 

 

 

เปิดใจอย่างไร เมื่ออยากเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่

เมื่อไหร่ที่เจอคนที่ใช่ ใจเราจะเปิดเอง พร้อมที่จะก้าวจากเซฟโซนตัวเอง คนที่ใช่คือคนที่ปลอดภัยสำหรับจิตใจเราด้วยเช่นกัน

 

ไม่ว่าจะเป็นคนโสดอย่างมีความสุขหรือโสดอย่างเหงาๆ ควรมีความสุขจากตัวเองให้เป็น และเริ่มต้นเปิดใจกับคนที่ใช่จริงๆ

 

กล้าที่จะเป็นตัวเอง มีความสัมพันธ์เมื่อพร้อม ถึงยังไม่เจอคนที่ใช่ ก็ไม่เป็นไร เรามีความสุขกับการเป็นโสดได้เสมอ

 

มูเตลู เกี่ยวข้องกับทางจิตวิทยาคือการทำงานกับจิตใจ การมีที่พึ่งทางใจ การมูเตลูทำงานคล้ายกับจิตวิทยาที่ช่วยดูแลจิตใจได้

มูเตลู

 

ทำไมหลาย ๆ คนถึงเลือกไปหาหมอดู

การไปเจอหมอดูอาจเป็นความสะดวก รวดเร็วและใช้เวลาไม่นานสามารถทำให้เราสบายใจมากขึ้นได้ 

 

 

วิธีจัดการปัญหาของหมอดูและนักจิตวิทยา

หมอดูช่วยจัดการปัญหาตามขั้นตอนจากศาสตร์ที่เรียนมา ว่าควรจัดการปัญหาอย่างไรบ้าง ต้องทำอะไรต่อไป 

 

แต่กระบวนการของนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ใช้หลักการแก้ปัญหาตามความจริง

 

ที่เผชิญ ต้องใช้ระยะเวลาในการสำรวจจิตใจ เรียนรู้จิตใจ และตัดสินใจแก้ไขด้วยตัวเอง 

 

การไปหาหมอดูไม่ใช่เรื่องแย่หากช่วยเป็นที่พึ่งทางใจทำให้ใช้ชีวิตต่อไปได้ 

 

แต่ถ้าหากไปหาหมอดูแล้วปัญหายังอยู่เหมือนเดิม อาจลองเปลี่ยนวิธีเพื่อมาพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ก็เป็นทางเลือกอีกทางได้เช่นกัน

 

 

มูเตลู อย่างไรไม่ให้กระทบกับชีวิต?

การไปพบหมอดูหรือการมูเตลูควรอยู่ในพื้นฐานความพอดี หากหมอดูทักว่าเรื่องที่ทำเป็นเรื่องอันตราย ลองกลับมาประเมินก่อน ว่าเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน 

 

และจะจัดการป้องกันความอันตรายได้หรือไม่ เราสามารถใช้ความเชื่อจากการมูเตลูมาป้องกันและระมัดระวังตัวเองจากเรื่องอันตรายได้ โดยอยู่ในพื้นฐานความจริงที่ไม่กังวลมากเกินไป

 

 

จะมูเตลูอย่างไรไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์?

หากเราเชื่อในคำพูดของหมอดูก็แสดงออกได้ว่าความสัมพันธ์อยู่ในความไม่มั่นคง 

 

มีเรื่องที่ไม่มั่นใจเกิดขึ้น บางความคิดของเราก็อาจไม่ใช่เรื่องจริง ลองฝึกตั้งคำถามในสิ่งที่เราคิด ก็สามารถทำให้เรามีการไตร่ตรองมากขึ้น

 

 

ควรรีเช็คตัวเองอย่างไร?

เราควรรู้สาเหตุของการนำเรามาพบหมอดูหรือนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ ว่าต้นเหตุคือเรื่องอะไร การรู้สาเหตุเหมือนเป็นการย้ำเตือนตัวเอง

 

ถึงปัญหาที่เราต้องการหาทางออกและสุดท้ายความสบายใจที่เกิดขึ้นมาจากการจัดการกับปัญหา

 

 

 

มูเตลูที่ส่งผลต่อตัวเองและคนรอบข้าง ควรสื่อสารและเตือนคนรอบข้างอย่างไร?

เตือนผ่านความเป็นจริง สะท้อนถึงการมูเตลูและความเชื่อของเขาทำให้เกิดผลกระทบต่อเขาอย่างไรบ้าง 

เราไม่สามารถบังคับให้เขาลดความเชื่อได้ แต่เราสามารถบอกปัญหาที่กระทบต่อเขาและคนรอบข้างได้ 

และไม่คาดหวังว่าเขาจะเปลี่ยนความเชื่อ เพราะความคิดและความเชื่อเป็นเรื่องของแต่ละคน มีมุมมองที่ต่างกัน

 

เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้ป่วย โรคซึมเศร้า เราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไรบ้าง และเราจะดูแลตัวของเราอย่างไรดี 

โรคซึมเศร้า

 

ความยากของการอยู่ร่วมกับผู้ป่วย โรคซึมเศร้า

ความยากมีระดับความยากที่แตกต่างกัน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นแฟน เพื่อน หรือ คนในครอบครัว

 

อาจมีความสับสนเกิดขึ้นในจิตใจแบ่งเป็นสองข้างคือเราต้องดูแลผู้ป่วย เพราะเป็นโรคซึมเศร้าแต่เราก็ไม่โอเคกับบางพฤติกรรมที่มาจากการป่วยของเขาเลย เช่น การที่เขาหงุดหงิดใส่

 

หรือ การที่เขาไล่ให้เราไปไกล ๆ แต่ทั้งหมดอยากให้เราทำความเข้าใจว่าผู้ป่วยไม่ได้อยากที่จะทำพฤติกรรมแบบนั้น บางพฤติกรรมส่งผลมาจากสารเคมีในสมองเวลาป่วย

 

แต่ก็เป็นความรู้สึกแย่ของผู้ดูแลถึงแม้จะเข้าใจ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นต้องหาวิธีจัดการกับความรู้สึกของผู้ดูแล

 

 

ดูแลผู้ป่วยซึมเศร้าอย่างไร?

การดูแลผู้ป่วยเป็นเรื่องยากที่จะดูแลได้ทั้งหมด พยายามไม่กดดันตัวเอง และคาดหวังว่าตัวเองจะต้องดูแลผู้ป่วยให้หายดีได้ในทันที ไม่แบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว

 

เราที่เป็นผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย เราเลือกที่จะรับฟังเขาอยากตั้งใจ เข้าใจปัญหาที่เขาเผชิญและไม่ตัดสินปัญหาของเขาผ่านมุมตัวเอง ควรมีผู้เชี่ยวชาญดูแลควบคู่กับการดูแลผู้ป่วย

 

 

คำพูดที่ควรหลีกเลี่ยง ในการสื่อสารกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามีอาการและรายละเอียดแตกต่างกัน คำพูดบางคำอาจมีผลกระทบที่รุนแรงหรือเฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไร 

 

เมื่อเรารู้สึกกังวลใจ อยากดูแลจิตใจผู้ป่วย เราสามารถเปิดใจคุยกับเขาตามตรงได้ ว่าเรารับรู้ความรู้สึกของเขาที่เขาดูเศร้าหรือเสียใจ 

 

บางคำพูดหรือจุดประสงค์ของเราอาจจะไม่ตรงกับที่เขาต้องการ หากเขาต้องการให้ช่วยอย่างไรบอกกับเราได้ เราจะคอยซัพพอร์ตเขาเสมอ

 

เพียงแค่เราแสดงออกว่าห่วงใยและเข้าหาเขาในช่วงเวลาที่เขารู้สึกแย่ ก็เป็นสิ่งที่ดีที่เราช่วยเหลือเขาได้และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวคนเดียว

 

 

ความโดดเดี่ยวเป็นปัจจัย ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงในผู้ป่วยซึมเศร้า

การแสดงออกว่าเรารับรู้ถึงความรู้สึกของผู้ป่วย รับฟังสิ่งที่เขารู้สึกก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยวคนเดียว

 

การมีคนที่พร้อมรับฟังในเวลาที่เขาต้องการ ทำให้ความโดดเดี่ยวเบาบางลงได้ การสื่อสารสำคัญมากบอกความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายให้เข้าใจกันได้มากขึ้น

 

 

วิธีการดูแลตัวเองเมื่อต้องอยู่กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

การโฟกัสและให้ความสำคัญกับผู้ป่วยตลอดเวลา อาจทำให้เราละเลยความรู้สึกของตัวเองไป

 

การพยายามทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ก็สามารถทำให้เราหมดไฟ รู้สึกแย่กับตัวเองและหลงลืมการดูแลตัวเองไป

 

 

ลองเริ่มแบ่งขอบเขตให้กับตัวเองอย่างชัดเจน อาจไม่ต้องใช้เวลามากแค่ช่วงเวลาเล็ก ๆ ที่เราสามารถแบ่งกลับมาให้ตัวเองได้ลองกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง

ว่าเราต้องการอะไร วันนี้อยากทำอะไร มีสิ่งไหนที่สามารถเติมเต็มความต้องการของตัวเองได้บ้าง ให้ช่วงเวลานั้นหันกลับมาโฟกัสตัวเองและใส่ใจตัวเองบ้าง

เราดูแลคนอื่นได้แต่อย่าลืมดูแลตัวเองไปพร้อมๆกัน 🙂