Posts

นิทรรศการ “Turn Your Scars into Stars” “แม้จะเจ็บปวดแต่คุณก็งดงาม” เป็นนิทรรศการที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนที่เจอกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สวยงาม

 

และกลายเป็นบาดแผลที่เจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ นิทรรศการจัดในวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ The Palette Artspace

 

ทางทีมงาน Alljit ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พวกเราเลยอยากมาเเชร์ความประทับใจและเเรงบันดาลใจที่ได้จากงานนี้กัน 

 

การเดินชมงานศิลปะ ทำไมถึงรู้สึกดีขึ้นได้ขนาดนี้นะ?

“ศิลปะบำบัด” อาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ การไปเดินชมงานศิลปะ เราไม่ได้ใช้เหตุผลและตรรกะ ในการอ่านทำความเข้าใจนัยยะของภาพ แต่เราใช้ “ความรู้สึก” ต่างหาก

 

ภาพนี้เราตีความออกมาเป็นแบบนี้เพราะเราทัชกับสิ่งนี้ ภาพนั้นเราตีความไปอีกแบบเพราะเคยผ่านประสบการณ์ประมาณนี้มาก่อน ความสนุกของการไปเดินชมงานศิลปะคงเป็นตรงนี้แหละ

 

และสิ่งที่ได้จากการไปชมงานในวันนั้นไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่เป็นแง่มุมและกำลังใจที่ได้กลับมา การที่รับรู้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว มีเพื่อน ๆ มากมายที่เคยประสบกับความเจ็บปวด

 

พวกเขาได้ก้าวผ่านมาได้ เหมือนเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ได้เหมือนกัน 

 

 

 “ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด”

ในวันนั้นได้พบกับ น้องธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือ น้องธันย์ สาวน้อยคิดบวก 

 

เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนน่าจะรู้จัก หรือได้ยินชื่อน้องธันย์กันมาบ้าง เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว คงเคยได้ยินข่าวเด็กวัย 14 ปีเกิดอุบัติเหตุตกรถไฟฟ้าสิงคโปร์ จนทำให้สูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง

 

เธอผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน ?

ในช่วงหนึ่งของนิทรรศการน้องธันย์ได้เล่าให้ฟังว่า เธอเริ่มจาก “การมองศัตรูให้เป็นเพื่อน” ความพิการที่เกิดขึ้นก็คือศัตรูที่เธอต้องพบเจอและต่อสู้ แต่พอสุดท้ายแล้วเธอทำให้ศัตรูกลายเป็นเพื่อนที่สนิทมาก ๆ

 

มันได้ทำให้เรารู้จักเพื่อนคนนี้ในทางที่ดีและได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายจากความเจ็บปวดในครั้งนั้น  “ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด” คนส่วนใหญ่ชอบมองว่าคนพิการจะต้องอยู่บ้านเฉย ๆ

 

นั่งวีลแชร์เฉย ๆ แต่การนั่งวีลแชร์ของเธอก็มีความสุขได้ มีความสุขกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และเราจะมองทุกอย่างในทางที่ดีขึ้น

 

หนึ่งสิ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ คุณพ่อของน้องธันย์น่ารักมาก พ่ออยู่ข้าง ๆ น้องตลอดเวลา ในขณะที่ก่อนจะสัมภาษณ์พ่อเองก็คอยประคองน้องธันย์ขึ้น-ลงเวที ถ่ายรูปเวลาน้องกำลังพูดคุยกับสื่อ 

 

สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้เวลาที่คุณพ่อกำลังมองน้องก็คือ ภายในแมสนั้นกำลังมีรอยยิ้มของพ่อที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในทุกครั้งที่มองน้องธันย์ สิ่งนี้เป็นอีกสึ่งหนึ่งที่สวยงามและน่าประทับใจ

 

 

ถ่ายทอดความเจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ

 

ในวันนั้นมีการเปิดตัวผลงานศิลปินชื่อดัง 11 ท่าน คือ คิ้วต่ำ, Tum Ulit , Art of Hongtae,Banana Blah Blah,Manasawii ,puck ,โรแมนติกร้าย,meetmrtwo,Yugo และ Pearytopia

 

และมีช่วงเวลาที่สัมภาษณ์ถึงคอนเซ็ปและเเรงบันดาลใจจากผลงาน ศิลปินแต่ละต่างมีมุมมองในแง่ของความเจ็บปวดที่น่าสนใจมากๆ เช่น

 

1. Farewell “ลาก่อน รักเก่า Parting is such sweet sorrow”

 เป็นผลงานของคุณ Art of Hongtae ที่เล่าเรื่องราวของการจบความสัมพันธ์ ผ่านภาพของการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ การเลิกราเป็นประสบการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดสำหรับทุกคน

 

แต่คุณฮ่องเต้กลับนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่งว่า ความเจ็บปวดนี้อาจเป็นอีกหนึ่งความเศร้าที่งดงาม ภาพที่ออกมาจะดูละมุนและดูเศร้าในเวลาเดียวกัน 

 

ด้วยความที่องค์ประกอบภาพหลักของภาพมีเพียง 2 อย่างคือ ‘คนหัวก้อนเมฆ สัญลักษณ์แทนความเครียดและความเศร้า’ และ ‘ท้องฟ้าสีอ่อนหวาน’ ทำให้อารมณ์ของภาพดูเศร้า เหงา

 

โดดเดี่ยวแต่งดงามไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเข้ากับ concept เรื่องการจากลาในมุมของคุณฮ่องเต้ ใจความของประโยคน่าประทับใจประโยคหนึ่งที่คุณฮ่องเต้พูดถึงผลงานของตัวเอง คือ

 

“ถ้าเรามองเรื่องการจากลาเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง เหมือนการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ เราคงมีความสุขง่ายขึ้น”

 

 

2.Someday This PAIN will be USEFUL

 

 

Someday This PAIN will be USEFUL ของคุณ ไตรภัค สุภวัฒนา นามปากกา PUCK ตอนที่เดินเข้าไปในงานรู้สึกว่าภาพนี้ดึงดูดใจมาก ๆ

 

ทั้งสีสันที่ฉูดฉาด รายละเอียดในภาพที่มีดีเทลเยอะแต่ลงตัวอย่างกลมกล่อม ในรูปภาพจะมีรูปประภาคารที่โดดเด่น 

 

และมีหลายอย่าง ๆ ที่ห้อมล้อมประภาคารนั้นเอาไว้ ตรงกลางของภาพจะมีรูปผู้หญิงที่กำลังเดินเข้าประภาคาร ซึ่งที่รู้สึกถึงความหมายภาพนี้คือทุกแม้ว่าความสุขของเราจะอยู่บนยอดประภาคาร

 

หรืออยู่ที่ไหนสักแห่ง ในตอนนี้เราอาจกำลังจมอยู่ในความทุกข์แต่สิ่งที่เป็นทุกข์คงไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป ทุกก้าวแห่งความเจ็บปวดพาไปยังความสุขที่ผ่านการเรียนรู้

 

ซึ่งคุณภัคได้บอกว่า “ หลายครั้งที่จมอยู่กับความทุกข์ ฉันลองค้นหาความสุขรอบๆ ตัวแต่ภาพแห่งความสุขนั้นพร่ามัวเหลือเกิน ใครสักคนเคยบอกไว้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตเรานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์

 

ความสุขนั้นเป็นเพียงสายลมเย็นที่นานๆ จะพัดผ่านมาที หากเป็นเช่นนั้นแล้วความทุกข์ก็ไม่ต่างจากกองไฟร้อนที่ตั้งอยู่ข้างกายเรา ไอร้อนที่อยู่กับเราเสมอมาหรืออาจเพราะมีไอร้อนนี้

 

ทุกครั้งที่ลมเย็นพัดผ่าน ฉันจึงรู้สึกถึงคุณค่าของลมเย็นนั้นจริงๆ ”

 

3. Thank You “ขอบใจที่เจ็บ” 

 

ชื่อศิลปิน : คิ้วต่ำ

 

“ความเจ็บปวด คงเป็นเหมือนช่วงเวลาเเรกตอนเลี้ยงแมวสักตัว เราอาจได้บาดแผลมากมาย แต่หากเราใช้เวลาเข้าใจ เรียนรู้ ยอมรับ และปรับตัวให้ได้ ความเจ็บปวดนั้น ก็จะเป็นความสัมพันธ์อันงดงาม”

 

การที่คุณคิ้วต่ำเปรียบเทียบความเจ็บปวดกับแมว ทำให้ค่อนข้างเห็นภาพชัดขึ้นว่า ทุกความเสียใจ ทุกความเจ็บปวดมันมีขั้นมีตอนของมัน วันแรกที่เราเจ็บ เราจะรับมือไม่ไหว ไม่รู้ต้องทำยังไง 

 

แต่เราจะเรียนรู้ที่จะยอมรับเข้าใจ และอยู่ร่วมกับมันได้ เมื่อได้เรียนรู้ เราจะพบเจอกับความสวยงามบางอย่าง  บาดแผลจะจางไป รอยยิ้มจะกลับมา

 

 

4. Equality Cake Planet

ในงานยังมีศิลปินนักเขียนนามปากกา โรแมนติกร้าย หรือ คุณ Win nimman เข้าร่วมในนิทรรศการนี้อีกด้วย ซึ่งคุณวินได้ห่างหายจากการวาดภาพไปค่อนข้างนานพอสมควร

 

และยังบอกอีกว่านิทรรศการนี้ทำให้คุณวินอยากกลับมาวาดภาพอีกครั้ง โดยผลงานในนิทรรศการมีชื่อภาพว่า Equality Cake Planet ซึ่งมีสีสันสดใส ความเป็นกวี ความรักในขนมหวานตามสไตล์โรแมนติกร้าย 

 

“เค้กก้อนสีชมพู ถึงแม้ว่ามันจะสวยงาม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยพบกับความเจ็บปวด แค่มันเลือกจะเป็นชมพูแบบนั้นต่อไป อย่าให้โลกที่โหดร้ายมาเปลี่ยนความชมพูของเรา”

 

และมีบทกวีในเค้กเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘be who you are as you wish we are all equal on this sweet-lonely planet’ ซึ่งตีความหมายถึงความเท่าเทียม ความเป็น feminist

 

ซึ่งเชื่อในความเท่าเทียมของทุกคนและทุกเพศ ภาพเค้กที่โรยด้วยเกล็ดน้ำตาลแท่งหลากหลายสีได้แทนถึงความเท่าเทียมทางเพศ ลดความอคติ เค้กในภาพจะช่วยลดความเจ็บปวดให้กับทุก ๆ คน

 

และยังเป็นเค้กที่ทุกเพศทุกวัยสามารถเอนจอยได้อีกด้วย 

 

อีกสิ่งที่อยากจะเล่าให้กับทุก ๆ คนได้ฟังคือ ตั้งแต่คุณวินเดินเข้างานมา มีน้อง ๆ แฟนคลับ หรือที่คุณวินเรียกว่า ‘แก๊งสายหวาน’ รอคุณวินตั้งแต่เดินเข้ามา มีการขอถ่ายรูปและชื่นชมผลงานโรแมนติกร้าย

 

บรรยากาศการที่แฟนคลับพูดคุยกับคุณวินอบอุ่นและเป็นกันเองมาก ในขณะที่คุณวินพูดอยู่บนเวลาทีนั้น ยังได้พูดถึงความเท่าเทียมซึ่งทำให้เราได้รู้สึกว่า

 

ความเท่าเทียมคือสิ่งสำคัญมากที่เราทุก ๆ คนควรตระหนักถึง

 

5.Another purpose of pain

ชื่อศิลปิน: Meetmrtwo

 

“Sometime,pain can become your cure.”

 

โดยคุณสองได้อธิบายถึงผลงานชิ้นนี้เอาไว้ว่า การที่ชีวิตเราผ่านอะไรมามาก ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่เราพบเจอได้สอนให้เราเรียนรู้เเทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด

 

โดยเปรียบความเจ็บปวดที่เราได้พบเป็นเหมือนสีที่ไหลออกมา แล้วเอาสีนั้นมาวาดเป็นจุดหมายของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เป็นการเปลี่ยนความเจ็บปวดของเราให้กลายเป็นจุดหมาย

 

เเรงบันดาลใจก็มาจาก ชื่อนิทรรศการ Turn Your Scars into Stars ที่บาดแผลทำให้เรามีเลือดไหลออกมา แต่เปลี่ยนจากเลือดตรงนั้นเป็นสีแทน

 

ครั้งแรกที่ได้ฟังคุณสองอธิบายถึงผลงานชิ้นนี้ เป็นสิ่งที่ประทับใจมาก ๆ เพราะบางครั้งความเจ็บปวดก็ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานนับครั้งไม่ถ้วน ร้องไห้กับมันนับครั้งไม่ถ้วน

 

แต่สุดท้ายความเจ็บปวดที่เราเจอ ในบางครั้งก็ทำให้เราเติบโตขึ้นและกลายเป็นเป้าหมายที่ทำให้ชีวิตเราก้าวต่อไปข้างหน้า

 

 

6.Colorful Daggers

 

ชื่อศิลปิน : Tum Ulit

 

“Fill in the right gap to release yourself from pain”

 

ความรู้สึกแรกที่เห็นผลงานชิ้นนี้ คือ ถ้าอยากจะมีผลงานศิลปะสักชิ้นไว้ในห้องนอน ก็คงเป็นชิ้นนี้ ให้ความรู้สึกน่ารัก อบอุ่นและคงเพิ่ม mood ให้ห้องนอนเป็น Safe Zone ให้เราได้ดี

 

คุณตั้มเล่าว่าได้รับเเรงบันดาลใจจากการถูกทำร้ายด้วยคำพูดหรืออารมณ์ของคนอื่นซ้ำ ๆ เมื่อผ่านความเสียใจจนวันนึงเกิดเป็นการตกตะกอนได้ว่า

 

“เราควรตั้งตนให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น” โดยใช้ “เกมเสียบถังโจรสลัด” มาเเทนหัวใจที่ถูกทิ่มเเทง แต่ถ้าเสียบได้ถูกช่อง เราก็จะกระเด็นออกจากความทุกข์นั้น:)

 

ทำให้นึกถึงตอนที่ทาง Alljit ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตั้มในเรื่องของ  การก้าวผ่านความเจ็บปวด และช่วงเวลาที่ยากที่สุด? คุณตั้มได้บอกว่า

 

“เมื่อเกิดความเจ็บปวดเราจะตั้งคำถามว่าทำไมเราไม่ทำอย่างนั้น? อย่างนี้? ซึ่งเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเราที่สุด แต่อีกส่วนหนึ่งคือ คำถามว่าเมื่อไหร่เราจะกลับมาเป็นปกติ

 

การรอเวลาเพื่อกลับไปถึงจุดนั้นมันทรมาน เพราะเรารู้สึกว่าการจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งต้องต่อสู้กับตัวเองเยอะมาก”

 

เพราะฉะนั้นภาพนี้เป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเหมือนกันว่าในวันนึงเราก็จะออกมาได้แหละ ถังโจรสลัดที่ทำให้เราถูกทิ่มแทงนับครั้งไม่ถ้วนใบนี้

 

เเละวันที่เราทะยานออกมาได้คงเป็นวันที่สดใสเหมือนผลงานของคุณตั้มชิ้นนี้:)

 

ยังมีผลงานของศิลปินอีกหลายท่านที่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ลึกซึ้ง สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน จนพวกเรายังแอบคุยกันว่า คงเอามาพูดใน Podcast ได้หลายอีพีเลย

Mini Gallery Turn Your Scars into Stars

ภายในงานจะมีผลงานของศิลปินทางบ้านที่ได้เข้าร่วมเป็น Mini Gallery บริเวณชั้นสาม ผลงานของศิลปินทางบ้านถูกประดับด้วยการแขวนเรียงกันให้ผู้เข้างานได้เข้ามาเยี่ยมชม ทุกรูปภาพที่ได้ศิลปินทางบ้าน

 

ได้ทำการวาดภาพเข้ามา มีเรื่องราวที่อยู่ในภาพเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจ การตีความได้อย่างลึกซึ้ง แต่การที่ได้ไปเดินชมก็สัมผัสได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในภาพเหล่านั้น

 

นอกจากจะได้เข้าร่วมใน Mini Gallery แล้ว ทางงานก็มีรางวัลรูปภาพขวัญใจศิลปินทั้ง 11 ท่านหรือ “Artist’s Pick! ” ศิลปินแต่ละท่านจะให้รางวัล การที่ได้รับเข้าร่วมเป็นเรื่องที่น่ายิน

 

และการได้รางวัลจากศิลปินที่ชื่นชอบเหมือนเป็นแรงใจ ประสบการณ์ที่น่ายินดีและจุดประกายความฝันให้ยิ่งขึ้นไป 

 

ในส่วนของชั้น 3 ที่นอกจากจะจัดแสดง Mini Gallery Turn Your Scars into Stars แล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ Art Market เอาใจสายช้อปงาน Hand made อย่างเรา ๆ

 

ร้านมากมายถึงเกือบ 20 ร้าน อาทิเช่น สติ๊กเกอร์ลายน่ารัก ๆ, กระเป๋าถักจากไหมพรม สมุดโน้ต กำไลข้อมือ ต่างหู เทียนหอม เป็นต้น เรียกว่าถ้าไม่คุมสติดี ๆ ได้มีกระเป๋าฉีกแน่ ๆ งานนี้ 

 

เปิดไพ่ฮีลใจและค้นหาคริสตัลประจำตัว

สิ่งนึงที่ทางทีมงานเสียดายมาก ๆ คือ อดเข้า Workshop ในงานวันที่ 5 เพราะเป็น Workshop ที่น่าสนใจมาก แต่อาจจะเป็นความโชคดีบนความน่าเสียดายที่เราได้มีโอกาสไปเปิดไพ่

 

และเลือกหินประจำตัวที่โต๊ะเล็ก ๆ ของคุณแอ้และคุณแคท ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์แทน

 

เปิดไพ่ฮีลใจ

จากคุณ แอ้ Memo Smile จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับการดูดวงนั่นแหละ แต่สิ่งที่แตกต่างจากการดูดวงที่ผ่านมาของเราคือ คำพูดที่ว่า

“การดูดวงที่ดี คือ การดูแล้วเห็นเส้นทางของตัวเอง หรือช่วยให้การตันสินใจได้ง่ายขึ้น”  ถ้าดูแล้วจิตตก กังวล อาจจะไม่ใช่การดูดวงที่ดีนัก เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่า การดูดวงครั้งนี้พิเศษตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย 

 

แล้วก็พิเศษแบบนั้นจริง ๆ ช่วงเปิดไพ่ ก็พบว่า เส้นทางของเราอาจจะไม่ได้สวยงามตลอดทั้งเส้น แต่ขอให้เชื่อมั่น และลงมือทำ เพราะเธอมาถูกทางแล้ว… แต่ความมั่นใจเราก็ยังมาไม่สุดทางอยู่ดี 

 

คุณเเอ้จับมือเรา พร้อมให้เปิดไพ่ใบสุดท้าย ที่บอกว่า “ KEEP YOUR HEART OPEN EVEN WHEN IT HURTS” และนั่นคือคำตอบของทุกอย่างที่ทำให้พลังความมั่นใจในตัวเราถูกเติม 

 

ความประทับใจอีกอย่างในระหว่างการเปิดไพ่ คือ  มีกล้องหลายตัว เข้ามาจับภาพ แต่คุณแอ้กังวลเพราะหน้าสด เราเลยอาสา ปัดแก้มให้ พร้อมยื่นกระจกให้ทาตาด้วย

 

มันคือความสัมพันธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่มันทำให้ใจฟูจริง ๆ   ปิดท้ายด้วยการ กอดให้กำลังใจ วินาทีนั้นเราตั้งใจหลับตา และตั้งใจรับพลังนั้นเข้ามา  

 

จากไม่กี่นาทีที่คุย จากไม่กี่เสี้ยววินาทีที่สัมผัสกัน  มันเป็นพลังบวกที่ส่งถึงกันจริง ๆ  และคุ้มค่าที่ได้ไปร่วมงาน “Turn Yours Scars into Stars” 

 

 

My Crystal Mandala

จาก “คุณแคทผู้เชี่ยวชาญทางด้านหินแร่” ในการค้นพบคริสตัลประจำตัวของคุณและสัมผัสพลังงานของผืนดิน

 

เพราะชีวิตต้องเจอกับเรื่องราวที่เจ็บปวด สิ่งที่ช่วยฮีลใจในวันยาก ๆ อาจจะเป็น ‘คริสตัล’ My Crystal Mandala เป็นเวิร์คช็อปที่จะพาทุกคนค้นหาหินประจำตัว

 

ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง หินเหล่านี้อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงช่วยดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามา  ตอนที่เข้าไปที่บูธ ได้รับการแนะนำดีมาก หินประจำตัวเลยเป็นสิ่งใหม่อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รู้จักจากนิทรรศการนี้ 

 

 

การที่เราได้พาตัวเองให้ถูกล้อมรอบไปด้วยผลงานศิลปะของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดเหมือนกัน เจอกับบาดแผลเหมือนกัน  ทำให้เราได้ฮีลใจของตัวเอง

 

ได้รับกำลังใจจากคนที่เคยเจอกับประสบการณ์ที่ไม่ดีเหมือนกันและได้มองตัวเองในมุมมองใหม่ว่า แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เราก็ยังคงสวยงามเหมือนเคย…

 

“ขอบคุณที่ก้าวผ่านความเจ็บปวดในวันนั้น มาเป็นเธอในวันนี้” – จาก Alljit

เคยไหมที่เวลาดูหนัง ฟังเพลง อ่านนิยาย แล้วร้องไห้?

 

ถึงจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นไม่เกี่ยวกับเราเลย แต่ก็ร้องไห้ตามอยู่ดี …

 

 

สาเหตุที่เราดูอะไรซึ้ง ๆ แล้วร้องไห้ 

 

สาเหตุที่เราเศร้าเวลาที่ดูหรืออ่าน หรือกระทั่งฟังอะไรเศร้าๆ เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่ชื่อว่า ออกซิโทซินของแม่และความรัก

 

ออกซิโทซินแม่ เป็นฮอร์โมนและสารสื่อประสาท มักจะเจอตอนที่แม่คลอดลูก หรือให้นมลูก

 

หน้าที่ของออกซิโทซินในช่วงเวลานั้น คือ ช่วยในการเบ่งคลอดและทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันระหว่างแม่กับลูก 

 

เป็นฮอร์โมนที่หมอเอามาใช้กระตุ้นการทำงานของมดลูก เพื่อกระตุ้นการคลอด หรือเพิ่มการบีบตัวของมดลูกในระหว่างการคลอดบุตร 

 

ออกซิโทซินความผูกพัน หลั่งในตอนที่เรามีปฏิสัมพัทธ์ทางบวกทางร่างกายกับคนอื่นด้วย เช่น กอด จูบ มีเพศสัมพันธ์ ไปจนถึงเล่นกับสัตว์ 

 

แต่ในช่วงหลัง ๆ หลังจากการระบาดของ โควิด-19 เราเริ่มใช้ชีวิตแบบออนไลน์มากขึ้น

 

มีการศึกษาแล้วก็พบเหมือนกันว่า การมีปฎิสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ เช่น Video Call, Zoom,Meet อะไรต่างๆ ที่ไม่ได้เจอตัวเป็น ๆ ฮอร์โมนชนิดนี้ก็หลั่งเช่นกัน

 

พอฮอร์โมนหลั่งก็จะทำให้เรารู้สึกเชื่อใจ ไว้ใจ ผูกพัน ไปจนถึงรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคน ๆ นั้นหรือสิ่ง ๆ นั้น 

 

เลยมีชื่อเล่นว่า “ฮอร์โมนแห่งความรัก” และเมื่อการหลั่งออกซิโทซินจะมีความ เห็นอกเห็นใจ (Empathy) เพื่อนมนุษย์เพิ่มมากขึ้นด้วย 

 

งานวิจัยเลยสรุปได้ว่า ออกซิโทซินเกี่ยวข้องกับ ความเห็นอกเห็นใจ และเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เราแคร์คนอื่นแม้กระทั้งคนแปลกหน้า

 

มนุษย์ในฐานะสัตว์สังคม  มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม อยู่รอดด้วยการอ่านพฤติกรรม สีหน้า หรือรีแอคชั่นของคนอื่น ๆ ในสังคมที่ตัวเองอยู่ 

 

ความ Empathy หรือการที่เราเห็นตัวละครศร้าแล้วเราร้องไห้ตาม เป็นหนึ่งในกระบวนการ “เข้าเมืองตาหลิ่ว” ของมนุษย์

 

เราจำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราแคร์ตลอดว่าสังคมกำลังคิดแบบไหนและรู้สึกอย่างไร

 

การแชร์ความรู้สึกร่วมกับสังคมทำให้เรารอดในสมัยก่อน ถึงปัจจุบัน เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราร้องไห้เวลาดูหนัง

 

เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการระแวดระวังและการอ่านพฤติกรรมหรือความรู้สึกของคนที่อยู่ในสังคมร่วมกับเรา

 

เป็นหนึ่งในระบบการอยู่รอดที่ถูกเซ็ตเป็นแบบ โปรแกรมพื้นฐานของสมอง

ร้องไห้เท่ากับอ่อนแอ

 

 

“การร้องไห้มันคือการที่เข้าใจอีกฝ่าย เข้าใจในระดับที่เรารู้สึกร่วมไปด้วย การเข้าใจเขาในเชิงอารมณ์”

 

 

การร้องไห้ทำให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ความเครียด ความกังวลต่าง ๆ ที่อยู่ในใจเหมือนถูกระบายออกมาทางน้ำตา 

 

เวลาที่ร้องไห้ ฮอร์โมนความเครียดก็ออกมากับน้ำตาด้วย การร้องไห้ดูหนัง ฟัง อ่าน  จริง ๆ แล้วเป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดทางอารมณ์ 

 

แล้วคนที่ร้องไห้เมื่อดูหนังก็มีแนวโน้มที่จะสามารถรับมือกับอารมณ์ของตนเอง และสามารถจัดการปัญหาในชีวิตจริงได้ดีกว่า

 

เพราะว่าเขาเข้าใจอารมณ์ของตัวเองและสามารถแสดงอารมณ์ได้ตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ร้องตอนดูหนังคือคนที่แข็งแกร่งกว่า

 

เพราะความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของเราไม่เท่ากัน  ระดับความอ่อนไหวของคนเราไม่เท่ากัน

 

คนที่ร้องไห้ง่ายอาจหมายความว่าเขา connect กับตัวเองได้ง่ายกว่า หรือว่าอ่อนไหวกว่า แต่ไม่ได้แปลว่าแบบไหนดีกว่าแบบไหน :))

 

 

ที่มา :

Why We Cry at Movies

Crying is not a sign of weakness

ดูหนังทั้งน้ำตา จริงหรือที่เขาบอกว่า คนร้องไห้ขณะดูหนังนั้นอ่อนแอ

 

เด็กโตเกินวัย อาจจะเข้าใจว่า เด็กที่เป็นหนุ่มสาวก่อนวัยรึป่าว จริง ๆ แล้ว เด็กลักษณะนี้คืออะไรกันแน่

 

 

Parentified Child คืออะไร

 

เด็กคนนึงที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกินวัย เช่น ตัวละครของ วันเฉลิม ทองเนื้อเก้า ที่อายุไม่กี่ขวบแต่ต้องมาเลี้ยงน้อง ๆ  แทนพ่อแม่

 

ซึ่งอาจส่งผลให้วันเฉลิม แทบจะไม่มีช่วงเวลาเล่นสนุกสนานอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน

 

ต่างจากภาวะโตเกินวัยอีกแบบ โดยภาวะโตเกินวัยในด้านการแพทย์ จะเกิดจากการที่ร่างกายเด็กมีฮอร์โมนเพศสูงกว่าปกติ

 

ทำให้โตกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน อันนั้นเราก็จะเห็นผ่านร่างกายชัดเลย แล้วก็มีโตเกินวัยในอีกรูปแบบที่ โตเกินวัยในด้านภาวะอารมณ์ พฤติกรรม และการแสดงออก 

 

 

Parentified Child เป็นการโตเกินวัยในด้านความรับผิดชอบ 

 

เราอาจสับสนการที่พ่อแม่เลี้ยงดูให้เราสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง อย่างการฝึกให้ลูกล้างจาน เก็บที่นอนด้วยตนเองตั้งแต่ 7-8 ขวบ

 

มันคือ การสร้างนิสัยที่เหมาะสมกับอายุลูกอย่างถูกต้องแล้ว แต่ถ้าเป็นการเลี้ยงแบบ Parentification อย่างที่เราน่าจะเห็นในละครหรือหนังบ่อย ๆ

 

ที่ลูกต้องหาเลี้ยงครอบครัว ดูแลพ่อแม่หรือพี่น้องที่ป่วยบ้าง พูดง่าย ๆ การที่ต้องขึ้นมาเป็นพ่อเป็นแม่แทนพ่อแม่ตัวจริง 

 

เช่น น้องที่ต้องดูแลพี่ที่มีภาวะออทิสติกอย่างพี่ยิม น้องโด่ง ในซีรี่ส์เรื่อง Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ จะเห็นว่าน้องโด่งที่รับบท โดย สกาย วงศ์รวี

 

แทบจะเป็นเหมือนพ่อหรือพี่ชายอีกคนของพี่ยิม ซึ่งรับบท โดย ต่อ ธนภพ ก็จะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายของเด็กคนนึงที่ต้องรับหน้าที่ให้เป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร

 

แต่ก็มีการศึกษาจาก healthline ในปี 2016 บอกไว้ว่า ความสัมพันธ์พี่น้อง อาจจะมีประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันได้มากกว่าพ่อแม่

 

 

Parentification ส่งผลต่อบุคลิกเด็กคนนึงได้อย่างไร

 

พอเด็กมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเกินวัยขนาดนั้น เด็กอาจจะมีนิสัยเก็บความรู้สึกตัวเอง เราต้องเป็นผู้นำห้ามอ่อนแอ เพราะไม่อยากดูเป็นเด็กในสายตาคนอื่น

 

ละเลยความรู้สึกตัวเองจนความสุขตัวเองอาจจะหายไป #EldestDaughterSyndrome กลุ่มลูกสาวคนโตออกมาระบายเรื่องความรับผิดชอบที่ได้รับในฐานะพี่สาวคนโต

 

บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนพ่อแม่อีกคนของน้อง รวมถึงต้องแบกรับความหวังของครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่เลือกที่จะทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว

 

ก่อนโดยทิ้งความฝันตัวเองไว้ข้างหลัง ก็เลยอาจจะทำให้บุคลิกภายนอกดูเข้มแข็ง แต่ภายในอ่อนไหว ไม่ได้มีความสุขที่แท้จริงก็ได้

 

 

สัญญาณที่บ่งบอกว่าเรากำลังเป็น Parentified Child

 

 

 

ถ้ามองในแง่ดี การเป็นคนที่ชอบดูแลคนอื่น ก็ทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันดีขึ้นด้วย

 

แต่ถ้าต้องกลายเป็นคนที่พ่อแม่คาดหวังก็คงรู้สึกกดดัน ซึ่งอาจจะมาจากตัวพ่อแม่เองที่ก็ไม่ได้รับการเติมเต็มในวัยเด็กเหมือนกัน

 

 

การเป็น Parentified Child ส่งผลอย่างไรได้บ้างในความสัมพันธ์

 

ดีตรงที่เราพึ่งพาตัวเองได้ไม่ว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์ไหนเพราะต้องเป็นผู้นำตั้งแต่เด็ก การเป็น Parentified Child 

 

ถ้าไม่ชอบควบคุมคนอื่นเพราะไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ ไปเลย ก็อาจจะเป็นแนว People Pleaser  เพราะคนสองประเภทนี้จะชอบเห็นคนอื่นมีความสุข

 

คอยเอาใจคนอื่นเสมอ ทำให้มองว่าการทำให้คนอื่นรู้สึกดีเป็นหน้าที่ของตนเอง ถ้าทำไม่ได้ก็จะรู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่า

 

ก็อาจจะทำให้เกิดการถูกเอาเปรียบในความสัมพันธ์ได้ รวมถึงอาจจะเผลอเข้าไปอยู่ใน Toxic Relationship ด้วย

 

เพราะคนลักษณะนี้จะค่อนข้างลำบากใจในการปฏิเสธคน เลยยอมทำตามคนอื่นเพื่อได้รับการยอมรับ

 

เราทุกคนสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งแม้ว่าจะไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม 

 

ไม่ต้องรู้สึกผิดที่จะสนุกกับชีวิต ตามหาตัวเองในเวอร์ชั่นที่ชอบและอยากเป็นได้อย่างมีความสุข 🙂

 

เพราะว่าเรา เปลี่ยนไป ตามเรื่องราวที่เราพบเจอ

 

 

 

การเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลง  ถ้าเป็นเรื่องของตัวเอง เราก็อาจจะยังพอหาคำตอบและรับมือกับมันได้

 

เช่น เสาร์นี้มีนัดเจอกับเพื่อน เลือกชุดไว้ตั้งแต่วันจันทร์ มีกำลังใจตื่นเช้าในวันหยุด ตื่นเต้น ตั้งใจแต่งตัว

 

แต่เพื่อนดันมาเทนัดในวินาทีสุดท้ายตอนที่กำลังจะออกจากบ้าน ความเปลี่ยนแปลงได้ถือกำเนิดขึ้นในใจแล้ว

 

จากอารมณ์ที่ดีกลายเป็นเซ็งหรือบางคนอาจจะหงุดหงิดเลยก็ได้ พอเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของเรา เราน่าจะรู้ตัวเราดีใช่ไหม

 

แต่การที่เพื่อนเปลี่ยนใจแล้วไม่บอกเหตุผล กลายเป็นว่าเราเองที่พยายามหาเหตุผล ซึ่งก็มีได้ทั้งเพื่อนอาจจะมีเหตุจำเป็น ไข้ขึ้น มีงานด่วน

 

หรือแค่ขี้เกียจออกจากบ้านแล้ว เราจะคิดไปต่าง ๆ นานา ทั้งคิดแทนทั้งคิดไปเองอาจจะคิดจากประสบการณ์เดิมของตัวเองด้วย

 

ก็สะท้อนให้เห็นนะคะว่า ถ้าคนรอบข้างเราเปลี่ยนไป เราอาจไม่มีทางเข้าใจการเปลี่ยนไปของพวกเขาเลย

 

ยิ่งถ้าเราไม่ได้รับการอธิบายหรือไม่ทราบสาเหตุมาก่อน ความเครียด คิดมากกับตัวเองว่า ‘หรือเราทำอะไรผิด’ ก็จะตามมา

 

และคิดว่าหลาย ๆ คนก็คงอยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถามอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าบางอย่างอาจจะไม่เป็นอย่างที่หวังหรือกลัวว่าความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไป 

 

เปลี่ยนแปลงเหมือนกับเปลี่ยนไปไหม เพราะบางครั้ง ในบางเรื่องราวหรือบางความสัมพันธ์เราอาจจะรู้สึกว่าอย่างน้อย

 

‘เปลี่ยนแปลงได้แต่อย่าเปลี่ยนไป’ พอได้หาความหมายตามพจนานุกรมก็พบว่าความหมายใกล้เคียงกัน

 

แต่เมื่อเราพูดแต่ละคำในประโยคเดียวกัน เช่น อย่าให้สิ่งนั้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิตฉัน กับ อย่าให้สิ่งนั้นมาทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป

 

ฟังแล้วให้ความรู้สึกต่างกันเล็กน้อย คำว่าเปลี่ยนแปลงดูเป็นอะไรที่ค่อนข้างใช้เวลา

 

ค่อย ๆ เปลี่ยน แต่เปลี่ยนไป เหมือนกับว่าอยู่ ๆ ก็พบว่าสิ่งนั้นเปลี่ยนไปจนไม่ทันตั้งตัว จากหน้ามือเป็นหลังมืออะไรทำนองนี้

 

ก็เลยคิดว่ามันคงอาจจะอยู่ที่บริบทการใช้ ถ้าอยากให้รู้สึกดี การใช้คำว่าเปลี่ยนแปลงอาจจะดีต่อใจมากกว่าเปลี่ยนไป

 

 

สาเหตุการเปลี่ยนแปลง   

 

สาเหตุที่ทำให้คนนึงเปลี่ยนแปลงไปอาจจะเกิดจากหลายปัจจัย หลายเหตุผลก็ได้ เพราะ ‘ทุกสิ่งบนโลกไม่มีอะไรแน่นอน’

 

เมื่อเวลาเปลี่ยน ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนไปได้กันทั้งนั้น ตัวเราในวันนี้ก็สามารถต่างจากเราในเมื่อวานก็ได้

 

เมื่อวานชอบเพลงป๊อปแต่วันนี้กลับเริ่มชอบเพลง Alternative ขึ้นมา แต่ก่อนดื่มหวานปกติ เดี๋ยวนี้ชอบดื่มหวานน้อย

 

หรือวันนี้รัก พรุ่งนี้หมดรักไปดื้อ ๆ แล้วก็มี มันเลยไม่แปลกที่คนรอบข้างเราก็อาจจะเปลี่ยนไปตามเรื่องราวของตัวเองได้เช่นกัน  

 

 

สิ่งที่ควรทำเมื่อพบความเปลี่ยนแปลง

 

ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ สิ่งแรกที่เราต้องมีคือ สติ รับรู้ ทบทวนจนกว่าจะมั่นใจว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริง ๆ 

 

เพราะการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่มักอยู่กับเราเรื่อย ๆ โดยที่เราอาจไม่ทันสังเกตหรือตั้งตัวว่ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร

 

ต่อจากนั้นสิ่งสำคัญ คือ การยอมรับความเปลี่ยนแปลง แม้ว่ามันจะยากในช่วงแรก  มองว่ามันคือจุดเริ่มต้นของคนที่มีความพยายามในการเดินหน้าต่อไป

 

แต่ถ้ารู้สึกยังไม่พร้อมยอมรับความเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องกดดันตัวเองให้ยอมรับในทันที เพราะการฝืนยอมรับทั้งที่ใจไม่โอเค

 

ผลที่ตามมาโดยเฉพาะใจเราเอง ก็อาจไม่โอเคด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เราอึดอัดใจกับการกระทำคนอื่นที่เปลี่ยนไปจนรู้สึกแย่กับตัวเอง

 

บางทีการอดทน ปล่อยไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร การสื่อสารเพื่อปรับความเข้าใจตนเองหรือเพื่อปรับความเข้าใจกับผู้อื่นอาจจะเป็นทางออกที่ช่วยได้มากกว่า

 

เราสามารถเลือกตัดสินใจได้ว่าเราจะเลือกอดทนต่อความเปลี่ยนแปลง และผ่านมันไปด้วยตัวเองหรือเลือกสื่อสารออกไป

 

หากเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับคนรอบข้างด้วยซึ่งถ้าพูดไปแล้ว ผลลัพธ์มันน่าจะดีขึ้นก็ขอให้สื่อสารออกไปดีกว่า

 

 

ยอมรับความเปลี่ยนแปลง

บทเรียนของการมีสติและยอมรับการเปลี่ยนแปลง คือ เราจะใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจและพร้อมรับมือมากขึ้นว่าคนเรา

 

ต้องเจอสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ไม่มีใครเหมือนเดิมได้ตลอด เราเองก็ด้วย ยอมรับได้ว่าตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

 

แล้วเรารู้สึกอะไรกับการเปลี่ยนแปลงนั้น และค่อย ๆ หาวิธีรับมือกับมันไป คนที่มีสติและมีความมั่นใจในคุณค่าของตัวเอง

 

จะไม่หวั่นไหวและสามารถจัดการรับมือเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว แต่ถ้าคนที่จิตใจไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในตัวเอง

 

ความรู้สึกกลัวต่าง ๆ มันอาจจะเข้ามาครอบครองจิตใจที่อ่อนไหวของเราได้ ไม่ใช่ว่าเราจะเกิดความรู้สึกกลัวไม่ได้

 

กลัวได้ตามกลไกธรรมชาติของจิตใจ ยอมรับความกลัวนั้นก่อนก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน

 

ในทางจิตวิทยาจะเรียกว่า การโอบกอดอารมณ์ไว้อย่างมีสติ คือ การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกอย่างเหมาะสม แล้วค่อย ๆ ประคองจิตใจให้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงนั้นต่อ 

 

 

ปรับความคิด mindset ของตัวเอง

การเริ่มต้นสังเกตและยอมรับความเปลี่ยนแปลงมันอาจจะทำได้ยาก แต่ถ้าทำได้ก็ดีเหมือนกัน

 

เพราะถ้ามองอีกมุม การให้โอกาสตัวเองได้ลองสัมผัสและเรียนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน

 

ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เติบโตขึ้น เพราะการที่เรารับรู้และยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดจากตัวเราหรือคนใกล้ตัวเราได้

 

เป็นวิธีที่ทำให้เราเข้าใจโลกความจริงมากขึ้น เราอาจจะค้นพบการมีความสุขโดยง่ายผ่านการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

 

เพราะในเมื่อเราห้ามสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เราก็แค่ยอมรับมัน เศร้าบ้าง เอนจอยบ้าง ต้องปรับตัวกันไป ลดความคาดหวังลงหน่อยจะได้ไม่เจ็บมาก

 

กลับมาโฟกัสความสุขของตัวเองมากขึ้น ชีวิตก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย

 

ก่อนจบค่ำคืนนี้ อยากฝากข้อความสุดท้ายไว้อีกครั้งว่า การที่คน ๆ นึงจะเปลี่ยนไป เรารับรู้และใส่ใจได้เท่าที่พอดีกับใจเรา

 

พึงระลึกไว้เสมอว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงได้ หนึ่งนาทีหลังจากนี้ อาจจะมีการเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนใจในบางเรื่องก็ได้เช่นกัน

 

ถ้าเรามองว่า การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในใจเราได้รวมตัวกันเป็นมวลพลังที่จะทำให้เรากล้าที่จะก้าวออกจาก comfort zone นั่นเป็นสัญญาณที่ดี

 

อยากให้เพื่อน ๆ ค่อย ๆ ฝึกการยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาอย่างสม่ำเสมอ

 

อย่าลืมขอบคุณตัวเองที่ก้าวผ่านความยากเหล่านั้นมาได้สำเร็จ สำหรับคืนนี้เข้านอนด้วยจิตใจที่สงบและเป็นสุข :))

Burnout Boreout Brownout

 

 

ภาวะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและการจัดการพลังงานทั้งจิตใจและร่างกาย ไม่ใช่วัยทำงานอย่างเดียวแต่วันเรียน

 

 

ก็มีภาวะเหล่านี้ที่โรงเรียนได้เหมือนกัน  เบื่องาน หมดไฟ หมดใจ เรากำลังเป็นแบบไหนกันแน่…

 

Burnout

ภาวะความอ่อนล้าทางอารมณ์ เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดเรื้อรัง ทำให้รู้สึกหมดไฟ มองตัวเองในแง่ลบ ไม่มีแรงจูงใจ

 

ไม่อยากไปทำงาน/ไปเรียน ภาวะหมดไฟ ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโรคใหม่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อให้อยู่ในแนวทางการวินิจฉัยโรค

 

แม้ยังไม่ถูกจัดว่าเป็นความเจ็บป่วยหรือมีเงื่อนไขทางการแพทย์  แต่นักวิชาการที่เกี่ยวข้องก็ให้ความสนใจและมีการพูดถึงประเด็นนี้

 

Boreout

ภาวะเบื่องาน เกิดจากการทำงานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไม่ท้าทายหรือความสามารถเราสูงกว่างานที่ทำ

 

ศักยภาพที่มีก็ใช้ได้ไม่เต็มที่ก็เลยทำให้ขาดแรงจูงใจในการทำงาน กลายเป็นไม่ขยันหรือกระตือรือร้นเท่าแต่ก่อน

 

ประสิทธิภาพการทำงานเลยลดลง และมีแนวโน้มอยากหางานใหม่เกิดขึ้น

 

Brownout

ภาวะหมดใจ การอยู่ในสภาพแวดล้อมขององค์กรที่ไม่เหมาะกับตนเองนาน ๆ จนหมดใจที่จะทำงานต่อ มีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนงานไปเลย

 

อาจดูคล้ายกับการ Bureout ภาวะเบื่องาน เพราะมีความรู้สึกอยากออกจากงานเดิมทั้งคู่

 

แต่จะมีความต่างที่สังเกตได้ คือ Bureout ถ้าเราได้ทำงานใหม่ ๆ หรืองานเดิมที่ท้าทายขึ้น เราจะกลับมามีแรงทำต่อ

 

แต่ถ้า Brownout จะรู้สึกว่า ไม่ใช่เนื้องานที่ทำให้เราไม่อยากทำงาน แต่เป็นเพราะสิ่งรอบข้างที่ทำให้เราหมดใจ

 

เช่น หัวหน้ากดดันว่าต้องเอางานวันนี้ เดี๋ยวนี้ วันหยุดก็ตามงาน ผลตอบแทนที่ได้ก็ไม่เหมาะกับแรงที่ทุ่มเทไป 

 

 

Checklist สัญญาณพฤติกรรมแต่ละภาวะ

 

Boreout พฤติกรรมเบื่องาน ภาวะนี้เกิดจากความเบื่อที่ ‘งานน้อยเกินไป’ 

 

Burnout จากการทำงานหนักเกินไป 

 

Brownout หมดใจจากความเหนื่อยใจต่อเพื่อนร่วมงานหรือสภาพแวดล้อมขององค์กรเป็นหลัก 

 

ซึ่งข้อมูลจากองค์กรอนามัยโลก ได้ยืนยันว่า Brownout เป็นอาการที่ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์

 

เนื่องจากเกิดจากความรู้สึกว่าถูกองค์กรกดดันตลอดจนเริ่มปลีกตัวออกจากสังคม และเลือกที่จะลาออกเพื่อไปหาสิ่งที่คาดหวังหรือต้องการมากกว่า

 

แม้ว่าจะได้รับการเสนอขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่ง แต่ก็จะฉุดรั้งคนที่หมดใจนี้ไว้ไม่ได้นั่นเอง

 

 

5 ระยะที่นำมาสู่ภาวะ Burnout

 

 

 

 

 

 

 

วิธีรับมือ แก้ไข

 

 

 

 

 

 

ที่มา

Boreout VS Burnout VS Brownout

พฤติกรรม Burnout Boreout Brownout

5 ระยะของภาวะหมดไฟ

 

Lazy คือ ขี้เกียจ

 

Perfectionist คือ คนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ เวลาทำอะไรจะต้องเป๊ะ มีกรอบ มีหลักการ

 

 

 

A person who wants everything to be done perfectly but is too lazy to do it.

 

การที่คน ๆ นึงอยากทำทุกอย่างให้สำเร็จแต่ขี้เกียจเกินจะทำ 

 

หรือ “Lazy Perfectionist” เป็นคำที่ใช้อธิบายคนที่ตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สมบูรณ์แบบ

 

แต่บางครั้งก็ขาดความกระตือรือร้นเมื่อต้องทำงานหรือกิจกรรมที่ไม่ถึงขั้นตอนที่พวกเขาคาดหวัง  

Lazy Perfectionist

 

Lazy Perfectionist ไม่ใช่โรค ไม่ใช่ภาวะผิดปกติ ตามเกณฑ์วินิจฉัยอะไร เป็นคำ ๆ นึง ที่ใช้เรียกคนที่มีพฤติกรรมแบบหนึ่งเท่านั้นเอง

 

ถ้าอ้างอิงจาก Urban Dictionary คำว่า Lazy Perfectionist เป็น Phenomenon หรือ ปรากฏการณ์ อธิบายง่าย ๆ คือ เป็นลักษณะหนึ่ง เป็นพฤติกรรมในช่วงหนึ่ง

 

คำนี้ใช้อธิบายคนที่ตั้งมาตรฐานไว้สูง อยากทำงาน ทำกิจกรรม ให้ออกมาดี แต่ไม่มีแรงผลักดันที่จะลงมือทำให้สำเร็จ ทำให้ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมทำตามเป้าหมาย

 

การที่ใครมีภาวะ Lazy Perfectionist อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายของบุคคล

 

เนื่องจากอาจทำให้เกิดความเครียดเมื่อไม่สามารถทำงานตามความสมบูรณ์ที่ต้องการได้

 

 

Cycle of Laziness

 

 

 

Lazy Perfectionist เพราะอะไร ?

 

 

 

ไม่อยากเป็นคน ขี้เกียจ แล้ว..

 

  1. รับรู้และยอมรับ ยอมรับว่ามีความขี้เกียจและต้องการเปลี่ยนแปลง การรับรู้เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้เริ่มการเปลี่ยนแปลง

 

  1. กำหนดเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดเป้าหมายที่เล็ก ๆ และเริ่มจากการทำงานเล็ก ๆ ที่สามารถทำได้ในแต่ละวัน 

 

  1. พูดคุยกับตัวเองปลุกความเชื่อมั่นมั่นใจว่าเราจะทำได้ 

 

  1. บริหารเวลา การจัดการเวลาช่วยให้สามารถทำงานและสร้างสมดุลในชีวิตประจำวัน 

 

 

ทำยังไงได้บ้าง?

 

 

 

 

 

 

ที่มา : 

Are YOU a Lazy Perfectionist? Understanding the Phenomenon

Signs You’re a Lazy Perfectionist

ช่วงนี้ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะเห็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับความรักอยู่บ่อยครั้ง

 

Alljit เลยอยากหยิบยก ประเด็นเรื่องอาการคลั่งรัก และการหมดโปรฯ ในความรักมา Learn&Share

 

 

อาการคลั่งรัก

 

คลั่งรัก เป็นสภาวะทางจิตใจของความหลงใหล ซึ่งถูกนิยามครั้งแรกในปี 1970 โดยนักจิตวิทยา Dorothy Tennov

 

เขาเขียนจากประสบการณ์ของตนเองว่า ช่วงเริ่มต้นอาการคลั่งรักจะเป็นความอิ่มเอมใจและมีความเร้าอารมณ์รุนแรง

 

จนอยากที่จะครอบครองคนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และก็มีนักบำบัดชีวิตคู่ ชื่อ Silva Depanian บอกว่า คนเราจะสับสนความรักกับการคลั่งรัก

 

โดยเขามองว่าคนที่คลั่งรัก คือ คนที่มีความรักแต่ใช้ไม่ถูกหรือที่เราพูดแซว ๆ กันว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’

 

ซึ่ง การมีความรักแรกเริ่ม อะไร ๆ ก็ดีไปหมด บางทีเรายังทำบางสิ่งที่ไร้เหตุผลเพื่อคนที่เรารักได้เลย

 

อาจจะจริงที่เรามองข้ามข้อเสียของอีกฝ่ายหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่เราเองก็รู้ว่ามีอยู่แล้วในช่วงแรกหรือที่เขาเรียกว่า ช่วงโปรโมชั่น

Honeymoon Phase หรือ ช่วงโปรโมชั่น

 

Honeymoon Phase หรือที่เราเรียกกันว่าช่วงโปรโมชั่น ช่วงระยะเวลาที่มีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง สามารถอยู่ได้ตั้งแต่หกเดือนถึงหลายปีหรือสองปี

 

สิ่งสำคัญในช่วง Honeymoon เลยคือ เราอาจมองข้ามสิ่งที่เป็นข้อเสียก็ได้ หรือ Red Flage บางอันที่เรามีขอบเขตหรือสิ่งที่คิดว่าอันนี้ถ้าทำ

 

จะไม่ไปต่อแน่ ๆ ในความสัมพันธ์ ช่วงนี้อาจทำให้เราหลงลืมไป และอยู่กับมันจนกลายเป็นข้อเสียในภายหลัง

 

เพราะเราทุกคนจะออกจากช่วงฮันนีมูน ช่วงฮันนีมูนไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป แต่ไม่ได้หมายความว่า ความสุข ความรู้สึกดี จะหมดหายไป

 

ช่วงแรกเวลารักก็จะหลั่งฮอร์โมนโดปามีนออกมา พอช่วงหลังไม่ได้หลั่งฮอร์โมนโดปามีนแล้วไม่ใช่ว่าจะหายไปจากร่างกาย

 

ถ้ากระตุ้นก็จะยังหลั่งอยู่ แต่ช่วงที่หยุดหลั่งจะเปลี่ยนเป็นออกซิโทซิน หรือฮอร์โมนแห่งความผูกพันเข้ามาแทน

 

เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมระยะแรกของการมีความรัก เราถึงโหยหา คิดถึงแต่เขา เป็นเพราะเราหลั่งฮอร์โมนความสุขออกมาทำให้เราเสพติดความรู้สึกดี ๆ 

 

เราอาจมีความคาดหวังเพิ่มขึ้นตามมาในความสัมพันธ์ ละพอไม่ได้อย่างที่หวัง ความสุขก็น้อยลง

 

บวกกับต่างฝ่ายต่างชินกับการมีอยู่ของแต่ละคน ก็อาจจะทำให้รู้สึกว่าเป็นช่วงหมดโปรหมดรัก เพราะโดปามีนเริ่มหลั่งคงที่

 

ความรักกับอาการคลั่งรักต่างกันอย่างไร ?

 

การคลั่งรัก ความรักเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าลืมว่าถ้าตอนนี้ความรักที่มีอยู้กำลังเรียบง่าย อาจเป็นความเรียบง่ายที่แสนพิเศษที่เราตามหาอยู่ก็ได้นะ 🙂

Playing the victim  เมื่อมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นก็ตาม บุคคลเหล่านี้มักจะแสดงให้เห็นว่าตนไม่ใช่คนผิด

 

เป็นผู้ถูกกระทำ เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ต่าง ๆ

 

เพื่อที่บุคคลเหล่านี้จะได้รับความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจหรือให้ได้มาซึ่งบางสิ่งที่ตัวเองต้องการ

 

 

Playing the victim

 

บุคคลเหล่านี้มักจะมองไม่เห็นความผิดของสิ่งที่ตัวเองเคยทำหรือถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองนั้นทำความผิดอยู่

 

บุคคลเหล่านี้ก็เลือกที่จะไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองกระทำโดยการโยนความผิดให้อีกฝ่าย

 

จะแสดงออกให้เห็นถึงความน่าสงสารเพื่อให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจหรือการสนับสนุนจากคนที่พวกเขาต้องการ

 

เพื่อที่จะกดดันให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดแทน ท้ายที่สุดสิ่งที่พวกเขาต้องการก็แค่การได้รับความสนใจมากขึ้นและทำให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่เขาพูดง่ายขึ้น

 

Victim Mentality หรือคนที่มีความคิดที่รู้สึกว่าตัวเองเป็น เหยื่อ ต่อโชคชะตา และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขามาจากคนอื่นแทบทั้งสิ้น

 

หรือที่เราชอบพูดกันว่าทำไมโลกใบนี้มันโหดร้ายกับเราจัง เหมือนเป็นชุด Mindset ที่มาจากความมั่นใจในตัวเองที่ต่ำ 

 

Playing the victim , Victim Mentality มีความเหมือนกัน แต่ก็แตกต่าง ทั้งสองอย่างสามารถเป็นได้แบบสลับไปสลับมาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ไหน กับใคร 

ถ้าเราไม่อยากคิดแบบเหยื่อแล้ว ?

 

ความคิดของเหยื่อคือการเรียนรู้พฤติกรรม ความคิดของการตกเป็นเหยื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดมาพร้อมกับเรา

 

เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อม ประสบการณ์ที่เคยเจอ ผลจากบาดแผลทางจิตใจ อย่างไรก็ตาม เราสามารถเอาชนะความคิดนี้ได้ 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้ถูกกระทำต้องทำอย่างไร

 

แรก ๆ เราอาจจะไม่รู้ว่าเขากำลังรับบทเป็นเหยื่อ ซึ่งจริง ๆ ตัวเราเองที่กำลังเป็นเหยื่อของเขาอยู่ . . ช่วงแรกเราคงเห็นใจและรู้สึกไม่ดีที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้น

 

แต่ถ้าทำบ่อย ๆ คงต้องคุยกันว่าสิ่งที่เธอทำ ทำให้ชั้นรู้สึกแย่เหมือนกันนะ โดยวิธีสื่อสารแบบ I-Message การสื่อสารเชิงบวกเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ

 

Introvert คือคนที่พูดน้อย เข้าถึงยาก เก็บตัว . . .

 

เคยสงสัยไหมว่าเพื่อนเราหรือคนใกล้ตัวที่เขาเป็น Introvert นะ แต่ทำไมถึงพูดเยอะจัง

 

พูดน้อย

 

 

Introvert

ถ้าเราพูดถึง Introvert เราจะนึกถึงคนที่ชอบทำอะไรคนเดียว ไปไหนคนเดียว อยู่คนเดียว แตกต่างจาก Extrovert ที่เรามักจะเห็นอย่างได้ชัด

 

การศึกษาทดลองและการจดบันทึก Carl G. Jung ค้นพบว่า Introvert มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ของสังคมได้ค่อนข้างยาก

 

มากกว่า Extrovert คนส่วนใหญ่เลยตีความว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบ Introvert ชอบเก็บตัว โดดเดี่ยว

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว Introvert คือคนที่สนใจในเรื่องของความรู้สึกและความคิดของตัวเองเป็นหลัก

 

และวิธีการอยู่คนเดียวของเขาคือวิธีชาร์จพลังมากกว่าการทำกิจกรรมของ Extrovert

 

แต่ทุกคนมีทั้งความเป็น Extrovert และ Introvert อยู่ในตัว แต่อยู่ที่ว่าจะเอนไปในทิศทางไหนมากกว่ากัน

 

เพราะจริง ๆ Introvert ก็ไม่ใช่ว่าจะเงียบ โดดเดี่ยว เก็บตัวอย่างเดียว เพราะ Introvert ก็มีพื้นที่จะปลอดปล่อยความเป็นตัวเองออกมา

 

Talkative introvert

Talkative Introvert ไม่ชอบอยู่กับคนหมู่มาก ไม่ได้พูดจากับคนที่ไม่สนิท แต่ก็ไม่ได้เงียบตลอดเวลา

 

พออยู่กับคนที่สนิทแล้วรู้สึกปลอดภัย ก็จะกลายเป็นคนพูดมากสุด ๆ อาจจะสนุกสนานเฮฮามากเลยด้วยซ้ำ

 

หรือก็คือ Talkative Introvert คนที่ชอบเก็บตัวแต่พูดมาก มักจะเห็นว่า Introvert จะไม่ค่อยพูดอะไรมากแต่เขาจะพูดมากทันที

 

ถ้าได้คุยในประเด็นที่เขาสนใจ มี Passion มีความรู้เยอะ ๆ หรือ ถ้าได้คุยกับคนที่คุ้นเคย หรือสนิทมาก ๆ ก็จะพูดไม่หยุด

 

เพราะเขาเลือกมาแล้วว่า นี่คือคนที่เขาอยากคุยเรื่องราวต่าง ๆ ในระดับที่ลึกขึ้นมากกว่าแค่การถามไถ่ทั่วไป

 

พร้อมจะเปิดเผยตัวตน ทัศนคติต่าง ๆ ให้คนเหล่านั้นได้เข้าใจ

 

 

ภายในสังคมเราน่าจะมองว่าการใช้ชีวิตแบบชาว Extrovert ง่ายกว่า Introvert เพราะเข้าสังคมง่าย พูดคุยกับคนอื่นได้ง่าย

 

 

และเป็นเรื่องง่ายสำหรับการสังสรรค์หลังเลิกงานกับชาว Extrovert มากกว่า Introvert แต่จริง ๆ ชาว Introvert หลายคนก็สามารถกลมกลืนกับสังคมได้ง่าย

 

ตามรูปแบบของเขาและถ้าหากเราเปิดใจให้ชาว Introvert รับฟังและเข้าใจในตัวตนของเขา เราเชื่อว่าชาว Introvert

 

จะค่อย ๆ รู้สึกวางใจในสังคมที่เขาอยู่และอาจจะเริ่มสนิทกับคนในสังคมนั้นได้มากขึ้น แค่เราต้องให้เวลาเขาแค่นั้นเอง

 

 

 

 ทำไมเราไม่ควรเชื่อความคิดตัวเองหลังเที่ยงคืน  

 

เคยเปลี่ยนใจในเช้าวันใหม่จากการตัดสินใจของตัวเราไหม . . 

 

 

เหมือนกับการลบโพสต์ที่เพิ่งโพสต์ไปเมื่อคืนก่อนนอนไม่ว่าจะโพสต์ด้วยอารมณ์ไหนก็ตาม

 

 

แต่พอตื่นขึ้นมา เริ่มรู้สึกและคิดว่า “ไม่น่าทำแบบนั้นเลย ลบดีกว่า”

 

ความคิดหลังเที่ยงคืน

 

 

เป็นธรรมดาที่จะอ่อนไหวในช่วงเวลากลางคืน ทำให้บางทีมีความคิดที่ฟุ่งซ่าน คิดมาก หรือคิดสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต  

 

 

ถึงแม้ในช่วงเวลากลางคืน ร่างกายเราจะรู้สึกสงบ ผ่อนคลายแต่ก็ส่งผลให้กล้าพูดความรู้สึกที่จริงใจออกมาในช่วงเวลานี้

 

 

ความคิดจิตใจหลังเที่ยงคืน 

 

มนุษย์เราถูกออกแบบมาให้ทำงานในช่วงกลางวันซึ่งสอดคล้องกับพระอาทิตย์ขึ้นและพักผ่อนในช่วงกลางคืนซึ่งก็คือพระอาทิตย์ตก

 

 

มีแนวคิดสมมติฐานเรื่องความคิดจิตใจหลังเที่ยงคืน (Mind after Midnight) จากวารสาร  Frontiers in Network Psychology

 

 

โดยเขาเชื่อว่า ร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงเวลากลางวันโดยในเชิงวิวัฒนาการจะเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ออกล่าหาอาหารนั่นเอง

 

 

ในทางกลับกัน หากเราออกหากินในเวลากลางคืน สมองที่ถูกบังคับให้ตื่นตัวในเวลานั้นซึ่งไม่ใช่เวลาทำงานตามปกติ

 

 

จะทำให้คน ๆ นั้นเกิดการตอบสนองต่อสิ่งเร้าและอารมณ์เชิงลบได้ไวกว่าปกติ หรืออีกกรณี เวลากลางคืนน่าจะทำให้คนเรามองโลกในแง่ร้ายมากขึ้น

 

 

ตัดสินใจเร็วหรือทำอะไรที่เสี่ยงมากขึ้นโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา เช่น การกินตามใจปาก การใช้ความรุนแรง

 

 

โดยในช่วงเวลาระหว่างเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า พบว่า เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนมักมีแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นมากกว่าเวลาอื่นของวันถึง 3 เท่า  

 

 

ผู้ที่เสพยาเสพติดมักควบคุมความอยากของตนเองได้ดีในเวลากลางวัน แต่มักพ่ายแพ้ต่อความอยากในเวลากลางคืน

 

 

ความคิดคนเราหลังเที่ยงคืนเป็นอะไรที่เสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ง่ายมากหากเราไม่มีสติที่จะควบคุมมันได้มากพอ 

 

 

ตัดสินใจเรื่องสำคัญช่วงเที่ยงคืน 

 

สะท้อนตัวเองว่า ตอนนี้ที่เราคิดหรือรู้สึก เรากำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร แล้วจะเลือกทำวิธีไหนก็ได้ที่จะไม่ทำให้สุขภาพทั้งกายและใจเราพังทีหลัง

 

 

ดังนั้นหากจำเป็นต้องตัดสินใจในช่วงเวลานี้จริง ๆ ก็คงต้องกรองความคิดตัวเองซ้ำ ๆ ต้องใช้เวลาตกตะกอนสักระยะนึงหน่อย

 

 

สุดท้าย จะเชื่อมั่นเฉพาะความคิดที่ถูกตกตะกอนมาดีแล้วว่า โอเค เรารู้สึกหรือคิดแบบนี้กับเรื่องนี้จริง ๆ ก็จะยอมรับความคิดและการตัดสินใจนั้นของตัวเอง

 

 

 

ที่มา :

สมองมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานหลังเที่ยงคืน

 

ธงเขียวธงแดง

Red flags , Green flags ในความสัมพันธ์

Red flags , Green flags ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเพศไหนหรือความสัมพันธ์ไหนแต่เกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชายและทุกความสัมพันธ์เลย ไม่ว่าจะเป็น แฟน,เพื่อน,เพื่อนร่วมงาน 

 

Red flags ธงแดง เมื่อเป็นสีแดงเราก็จะนึกถึงความสัมพันธ์ในรูปแบบ Toxic Relationship และ Green flags ขั้วตรงข้ามของธงแดง เป็นความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรต่อสุขภาพจิต

 

 

ตัวอย่างของ Red flags , Green flags

Red flags

 

Green flags

 

 

นอกจาก ธงเขียว และ ธงแดง ก็ยังมีธงอื่น ๆ ด้วยนะ

 

Beige Flags เป็นธงที่เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเราจะพอใจ หรือไม่พอใจมากกว่า เป็นพฤติกรรม หรือนิสัยแปลก ๆ ส่วนตัว

 

ที่ทำให้คนในความสัมพันธ์รู้สึกขึ้นมาว่า เธอคนนี้แปลกจัง หรือบางคนก็มองว่านิสัยของ เธอคนนี้น่ารักจัง 

 

 

Yellow Flags เป็นธงที่เรารู้สึกเอ๊ะและเริ่มมีพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้เราไม่มั่นใจความสัมพันธ์ เช่น ความชอบ นิสัยรวมถึงเป้าหมายระยะยาวที่ค่อนข้างต่างกัน

 

ทำให้ในบางครั้งอาจเกิดความไม่เข้าใจกันไปบ้าง แต่ความไม่เข้าใจถ้ายอมรับและสามารถอยู่ด้วยกันได้ก็ดี แต่ถ้าไม่เข้าใจ ต่อต้าน และสั่งห้ามสามารถพัฒนาไปสู่ธงแดงได้เหมือนกัน

 

 

Pink Flag ถึงแม้จะเป็นธงสีชมพู แต่ไม่ได้หมายความว่าหวานเสมอไป ธงชมพู คือเรื่องที่เกิดขึ้น เล็กๆ น้อยๆ ความไม่ลงรอยเบา ๆ ในช่วงเพิ่งเริ่มคบหา

 

เรื่องเหล่านี้ก็เป็นอะไรที่พอจะมองข้ามไปได้ แต่ยิ่งนานวันเข้า ยิ่งความคลั่งรักเริ่มลดลง ประเด็นเหล่านี้พร้อมจะกลายเป็นประเด็นในการเลิกราไปเลยก็ได้

 

 

รับมือยังไงกับ Red flags

 

 

 

 

เชื่อในตัวเองว่าถ้าหมดจากความสัมพันธ์นี้ไปยังมีอะไรที่เข้ากับเราได้มากกว่ารออยู่ เพราะถ้าเราไม่จบธงแดงจากคนปัจจุบัน เราจะเจอธงเขียวในอนาคตได้ยังไง

 

เพราะฉะนั้นแล้วมีอีกหลากหลายความสัมพันธ์ ที่รอเราอยู่ สุดท้ายไม่ว่าจะ ธงเขียว หรือ ธงแดง ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเข้ากันได้ไหม เรายอมรับกันได้ไหม :))

 

 

 

 

Manifest

 

Manifest คืออะไร?

 

Manifest หรือ จิตดลบัลดาล คือ ความสามารถในการสร้างชีวิตที่สมปารถนา ความสามารถในการดึงดูดสิ่งใดก็ตามที่เราอยากได้

 

อยากให้เข้ามาในชีวิต และทำให้เรากลายเป็นคนเเขียนเรื่องราวของตัวเราเอง แต่ Manifest สามารถทำได้จริง ๆ หรอ… 

 

Manifest มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ควินตัมฟิสิกส์สอนไว้ว่า ทุกอย่างในจักรวาลประกอบด้วยพลังงาน ตัวเราเกิดจากพลังงาน สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน

 

ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ก็คือพลังงานถ้าเรามีพลังงานที่ High Vibe (ความรัก ความหวัง ความมั่นใจ ความสุขฯลฯ) ก็จะดึงดูดพลังงานเหล่านั้น

 

แต่ถ้าเรามี Low Vibe (ความโกรธ สิ้นหวัง เศร้า อิจฉา กลัวฯลฯ) ก็จะดึงดูด สิ่งเหล่านี้ก็เรียกว่า พลังของจักรวาล 

 

 

“มองภาพให้ชัดเจน” 

 

วิธีแรกคือการมองภาพสิ่งที่อยากให้เกิด สิ่งที่เราอยากเป็น บ้านที่เราอยากอยู่ คนรักที่เราอยากมี ความสำเร็จ เงินในบัญชี เป็นภาพให้ชัดเจนก่อน 

 

การนึกภาพใหชัดเจนและมีประสิทธิภาพ คือ ไม่ใช่แค่นึกเพียงสภาพแต่เราต้องดำดิ่งว่าเราได้ครอบครองสิ่งนั้นด้วย ให้จำไว้ว่า เราดึงดูดสิ่งที่เรารู้สึก

 

เช่น เราอยากอยู่บ้านหลังนี้ เราต้องนึกว่าเรารู้สึกอย่างที่จะได้อยู่บ้านหลังนั้นจริง ๆ ยิ่งถ้าเรารู้สึกได้ครอบครองจะยิ่งเข้มข้น สิ่งนั้นก้จะมาหาง่ายมากขึ้นเช่นกัน

 

 

ซึ่งเวลานึกเราต้องนึกสิ่งที่เราต้องการ  และจะเป็นจริง ๆ  พยายามตั้งสติเลือกสิ่งที่เราต้องการ

อย่านึกหรือเขียนสิ่งที่เราคิดว่าเราน่าจะต้องการหรือสิ่งที่คนอื่น คนรักเราต้องการแทนเรา ไม่เปรียบเทียบ จิตดลบัลดาล ของเรากับคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน 

 

 

 

 “ขจัดความกลัว และความกังขา”

การที่จะทำ Manifest ให้สำเร็จ ต้องมีความเชื่อที่มาจากจิตใต้สำนึกแต่อุปสรรคของความเชื่อ ก็คือ ความกลัว และความกังขา ไม่มั่นใจว่าจักรวาลจะจัดสิ่งเหล่านั้นมาให้จริง ๆ

 

โดยที่ความกลัวและความกังวลบางทีก็มาในรูปแบบ เพื่อนที่หวังดี ที่คอยบอกเราว่า อย่าหวังไกล อย่าฝันไกล เพราะอาจจะไม่สำเร็จ 

 

เราต้องเชื่อก่อนว่าเรามีค่าควรที่จะได้รับสิ่งนั้น ระบุความกลัว ข้อกังขาให้ชัดเจนแล้วก็หาวิธีขจัด 2 สิ่งนั้นออกไป

 

เช่น หากเราเติบโตมาแบบไม่ได้รับความรักจากครอบครัว แต่เราอยากมีความรักที่ดี เราอาจจะเชื่อและะตอกย้ำตัวเองว่าชั้นไม่มีวันที่จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์หรือความรักดี ๆ

 

สิ่งเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นความเชื่อเราจนทำให้เราคิดแบบนั้นไปถึงแม้ว่าจะอยากมีความรักที่ดีก็จะยั้งตัวเองไว้ตลอดก็ได้ 

 

 

 

“การลงมือเชิงรุก”

 

การลงมือเชิงรุกก็ คือ การลงมือทำ เราลิสต์สิ่งที่อยากให้เป็นจริง แต่ถ้าเราไม่ลงมือทำเปิดโอกาสให้ตัวได้ไปเจอ ได้ไปทำ สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น

 

เช่น อยากมีแฟน เราลิสต์ไว้แล้ว แต่ไม่ได้พาตัวเองไปเจอสังคมใหม่ หรือการเล่นแอปเพื่อเกิดโอกาสให้ตัวเอง เปอร์เซ็นที่จะทำให้สำเร็จเรื่องคู่อาจไม่สำเร็จเท่าไหร่

 

 

 

เอาชนะบททดสอบของจักรวาล

 

แบบทดสอบของจักรวาล มาในรูปแบบอุปสรรค คน สิ่งท้าทาย จำเอาไว้ว่า

 

 

“Manifest จะสำเร็จ ต้องเชื่อว่าเรามีคุณค่าที่ควรจะได้รับสิ่งนั้น และแสดงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะได้รับ”

 

 

เวลาที่เราไม่ได้รับในสิ่งที่เราวาดหวัง ให้เราเชื่อและมั่นใจไว้ว่า จักรวาลรู้ว่าเรามีค่าควรได้รับสิ่งดียิ่งกว่าเราปรารถนา

 

เช่น ถ้าคนที่เรากำลังคบทิ้งเราไป ให้ยอมรับความจริงว่าเขาไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเรา และขอบคุณสิ่งที่ผ่านไปต้อนรับสิ่งใหม่ที่กำลังเข้ามาหาเรา

 

โอบรับความสำนึกรู้คุณ โดยปราศจากเงื่อนไข

 

เราดึงดูดสิ่งที่เรารู้สึกเข้ามา รู้สึกดีก็จะดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามา เมื่อเรารู้สึก low vibe ก็จะดึงดูดความรู้สึกไม่ดีเข้ามา ซึ่งเมื่อเรารู้สึก low vibe ให้เรานึกถึงความสำนึกรู้คุณ 3 หมวด

 

 

วิธีบ่มเพาะและโอบรับความสำนึกรู้คุณ (โดยปราศจากเงื่อนไข) 

 

 

 

เปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบัลดาลใจ

 

แรงบันดาลใจ เป็นขั้วตรงข้ามของความริษยา 

 

4 ขั้นตอนที่เราต้องทำเพื่อเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ

 

 

การรักตัวเองคือพื้นฐานในทุกขั้นตอนของ Manifest ยิ่งเรารักตัวตนที่แท้จริงที่เราเป็นและที่กำลังจะเป็นมากเท่าไร เราจะถูกกระตุ้นด้วยสิ่งรอบตัวน้อยลงเท่านั้น

 

 

ไว้วางใจในจักรวาล

 

 ความไว้วางใจอาจเป็นการล่วงรู้ว่า ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เราแค่รู้ว่ามันจะเกิด การล่วงรู้โดยปราศจากข้อกังขาว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เราปรารถนาที่สุดกำลังมาหาเรา

 

เวลาที่เราไม่วิตกกังวลว่าจะได้อะไรมา เพราะเรารู้ดีว่าเราจะได้มาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราจะมีสติอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น 

 

และความไม่อดทนรอคือศัตรูของ Manifesting เวลาที่อะไรบางอย่างไม่เข้ามาหาเราโดยทันที จะเกิดพื้นที่ให้ความคิดเชิงลบ ความไม่มั่นใจ

 

สัญชาตญาณอาจเอนเอียงไปสู่ความคิดลบ โดยยอมให้ความกลัวและความกังขาเข้ามา

 

 

แต่ถ้าเราไว้วางใจในจังหวะเวลาอันเหมาะสม เราจะมีสติอยู่กับปัจจุบันและรู้ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ควรเป็น

 

 

หนังสือเล่มนี้เหมือนไกด์ที่มีวิธีที่ทำให้เราได้ไปปรับใช้ชีวิตจริง เช่น การที่ให้เราเลือกใช้กฎแรงดึงดูดของการทำดี พูดดี 

 

เหมือนเป็นการปลดปล่อยพลังงานในตัวเรา ให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และรักตัวเอง ในแบบที่เรามี

 

แล้วจะมีสิ่งที่เข้ากับเรา ดีที่สุดที่เราอยากมีเกิดขึ้นกับเราเมื่อเราเปิดรับพลังงานเหล่านั้น 🙂

 

 

 

Toxic People มีหลากหลายประเภท เราจะมาทำความรู้จักกับ เห็นแก่ตัว

 

เห็นแก่ตัว

 

เห็นแก่ตัว

‘เห็นแก่ตัว’ เป็นคำที่เรารับรู้ความหมายการกระทำ ที่คนอื่นกระทำใส่เรา หรือใส่คนอื่น ถ้าคนนี้เขาทำลักษณะของคำว่า เห็นแก่ตัว เราจะรู้ว่านี่แหละคือการเห็นแก่ตัว 

 

Melissa Deuter ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์คลินิก กล่าวว่า ความเห็นแก่ตัวเป็นคำที่ดูน่าเกลียด แต่จริง ๆ แล้วมีความหมายที่แตกต่างกันอยู่สองอย่าง

 

อย่างแรกคือการเป็นคนใจร้ายและไม่เกรงใจผู้อื่น แต่อีกอย่างหนึ่งคือการที่เราต้องรับผิดชอบต่อการตอบสนองความต้องการของเรา

 

ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของการเป็น “ผู้ใหญ่” หมายความว่าถ้าเราใช้ความเห็นแก่ตัวในสถานการณ์หรือช่วงเวลาที่ถูกต้อง เราก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

 

 

ทำไมคนเราถึงเห็นแก่ตัว?

 

วิธีการเลี้ยงลูกเป็นสาเหตุหลักของการปลูกฝังนิสัยเห็นแก่ตัวให้กับลูก การเลี้ยงดูแบบตามใจที่มากเกินไป ทำให้ลูกมองตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง

 

เอาแต่ความต้องการตัวเองเป็นหลัก ก็สามารถทำไปสู่ขาดการเคารพและเห็นอกเห็นใจคนอื่น

 

สัตว์มีความเห็นแก่ตัวเหมือนกับมนุษย์ แต่มนุษย์มีสติปัญหาที่แตกต่างจากสัตว์และเราก็เป็นมนุษย์ที่สามารถสัมผัส รับรู้ ความคิด ความเห็นแก่ตัวได้

 

และปกติเมื่อมีความรู้สึก กลัว เกิดขึ้น มนุษย์มีจะเกราะป้องกันความรู้สึกนี้ บางครั้งก็อาจเลือกใช้ความเห็นแก่ตัวมาปกป้องการอยู่รอดของตัวเอง

 

 

เมื่อไหร่ที่ควร เริ่มเห็นแก่ตัว

 

เคยไหม? เวลามีเพื่อนมาชวนออกไปข้างนอก แล้วเราอยากจะตอบว่า “ไม่อยากไป เพราะอยากอยู่บ้านมากกว่า” แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป

 

เพราะกลัวเพื่อนไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงเลือกที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าออกไปใช้เวลากับกลุ่มเพื่อน ไม่ต้องรู้สึกผิดหากเราเลือกที่จะใช้เวลากับตัวเอง

 

มากกว่าที่จะสละเวลาส่วนตัวอันมีค่าให้กับคนอื่น และเราเชื่อด้วยว่าคนที่เขารู้จักเราจริง ๆ จะไม่มองว่าเราเห็นแก่ตัว

 

ช่วงเวลาที่ยากลำบากของใครหลาย ๆ คนคงจะหนีไม่พ้นช่วงเวลาที่ต้องเลิกกับแฟน หรือลาออกจากงาน 

 

หลายครั้งเรามักจะไม่กล้าก้าวออกมาจากความสัมพันธ์เพราะกลัวจะไปทำร้ายใครบางคน

แต่ถ้าการอยู่ในพื้นที่นั้นทำให้เรารู้สึกแย่ เราก็ต้องกล้าที่จะบอกลา ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ งาน หรืออะไรก็ตาม

 

เพราะมันคือช่วงเวลาที่เราต้องให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

 

“ความสัมพันธ์ที่ดี เมื่อเป็นผู้รับแล้ว ก็ต้องเป็นผู้ให้ที่ดีด้วย” ลองสังเกตดูว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีความสมดุลระหว่างการให้และการรับอยู่หรือเปล่า

 

ถ้าเราเป็นฝ่ายให้มากกว่าก็ถึงเวลาที่เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เช่น เปิดอกพูดคุยกัน หรือตัดคนเหล่านั้นออกไปจากชีวิต

 

เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรและปล่อยไปเฉยๆ ความสัมพันธ์แบบนี้ก็จะทำให้เกิดความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจในอนาคตได้

 


สำหรับคนที่ “ให้” คนอื่นตลอดเวลา จนตัวเองรู้สึกเหนื่อยล้าและเครียดเอง ในบางครั้งเราก็ต้อง “เห็นแก่ตัว” และให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง

 

เพื่อดูแลสุขภาวะทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจของตัวเอง

 

 

“ความเห็นแก่ตัว” เป็นเหมือนดาบสองคม ถ้าเราใช้ในทางที่ถูกต้องมันก็จะให้ประโยชน์แก่ตัวเรา แต่ถ้าใช้ในทางที่ผิดผลลัพธ์ก็จะออกมาตรงกันข้าม

 

 

จัดการกับความ เห็นแก่ตัว

การที่เราเริ่มคำนึงถึงสิ่งเล็ก ๆ รอบตัวให้มากขึ้น มันจะทำให้เราใจกว้าง และลดการเห็นแก่ตัวลงไปเองทีละน้อย การสร้างนิสัยไม่เอาแค่ตัวเองหรือคนที่ฉันรัก

 

 

เช่น การทำถูกกฎระเบียบของสังคม ซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรมาวัดได้ นั่นก็คือกฎหมาย เมื่อไหร่ที่เราคำนึงถึงส่วนรวมได้มันเหมือนเราตัวเล็กลง แล้วเราจะมีนิสัยไม่เห็นแก่ตัว  

 

‘ตัวเองต้องมีความสุขก่อนที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข’ เป็นการเห็นแก่ตัวในแง่ดี ที่ทำให้ตัวเองมีความสุขก่อนเพื่อที่จะสามารถเผื่อแผ่ความสุข

 

ความอบอุ่นไปถึงคนรอบข้างได้ ก็อยากให้ทุกคนเห็นแก่ตัวแบบมีความสุข และไม่ทำร้ายคนอื่น 🙂

 

 

ที่มา :

เห็นแก่ตัวบ้างก็ไม่เป็นไร! รวม 5 ช่วงเวลาที่เราต้องใส่ใจตัวเอง

How to Stop Being Selfish