Posts
ทำไม กล่องจุ่ม ถึงยอดฮิต ทำไมคนเราถึงติดใจการสุ่มผ่านมุมมองจิตวิทยา
กล่องจุ่ม คืออะไร
กล่องจุ่ม กล่องสุ่มหรือ Mysterious Box คือ กล่องที่มีการนำสินค้าทั้งแบ่งหมวดหมู่และแบบคละสินค้ามาใส่รวมกันในกล่อง
คนซื้อจะไม่รู้ว่าตัวเองจะได้อะไร เลยจะมีความรู้สึกลุ้น ตื่นเต้น สนุก
การสุ่มเริ่มมาจากอะไร เกิดขึ้นตอนไหน
ต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก่อนญี่ปุ่นมีเหมือนถุงสุ่มที่เรียกว่า ถุงเอบิสึ คำว่าเอบิสึมาจากชื่อเทพเจ้าแห่งการค้าและโชคลาภ
ภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ ฟุกุบุคุโระ แปลว่าโชคดี หรือ Lucky bag ส่วนใหญ่จะเป็นถุงกระดาษสีแดง ๆ ข้างในก็จะมีสินค้าต่าง ๆ คละๆ ไว้ในถุง
และวางขายแค่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของญี่ปุ่น คนต่อแถวตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดเลยนะ ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว
ในส่วนของกาชาไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น มาจากอเมริกาที่ผลิตเครื่องกฎหมายฝรั่งที่มีของแถม
ต่อมาก็พัฒนาเป็นขายของเล่น แล้วก็เอาไปวางที่ญี่ปุ่น แล้วก็บูมในคนญี่ปุ่นมาก ๆ เลยกลายเป็นของคู่ประเทศญี่ปุ่น
เหตุผลที่ทำให้การสุ่มขึ้นติดเทรนด์
ความสนุก ตื่นเต้น การลุ้น เพราะความน่าตื่นเต้น น่าค้นหาทำให้ดึงดูดใจคน
แต่อีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ซ่อนอยู่ คือ ความคาดหวัง ในทางจิตวิทยา
เมื่อเราเกิดความรู้สึกนี้ เหมือนเป็นแรงขับที่จูงใจให้เราอยากได้อยากมี รู้สึกมีความสุขถ้าทำสำเร็จ
ความคาดหวัง เกิดจากการที่เราไม่รู้อนาคตถึงความไม่รู้มันจะดูน่ากลัว แต่ทุกคนก็ยังเลือกที่จะมีความหวัง
เห็นได้ว่าจะมีความรู้สึกขัดแย้งกันอยู่ แต่ถ้าเรียบเรียงดี ๆ อะ ความไม่รู้ทำให้เกิดความกลัว พอกลัวเราก็เกิดการให้กำลังใจตัวเอง
คาดหวังว่ามันอาจจะดีก็ได้นะ ไม่ลองไม่รู้ ฟีลแบบให้กำลังใจตัวเอง มนุษย์ติดอยู่กับความคาดหวังในทุกวัน
นอกจากความคาดหวังแล้ว พ่วงเรื่องของ ความอยากรู้อยากเห็น หรือ Pandora effect เข้ามาด้วย
ปรากฎการณ์ ที่จิตวิทยาเชื่อว่า ถ้ามันมีสิ่งที่ไม่แน่นอนอะ มนุษย์จะสนใจและอยากรู้อยากลองมากกว่าอะไรที่ความแน่นนอนชัดเจน
เช่น ถ้าตรงหน้ามีประตูสองบาน แล้วมีคนบอกกว่า ประตูแรกเป็นเหวอีกประตูเป็นบันได กับบอกว่า ประตูแรกเป็นบันได อีกประตูไม่รู้คืออะไร
พูดแบบไหนเราจะอยากเปิดประตูมากกว่ากัน ความอยากรู้อยากเห็นเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาอยู่ก่อนแล้ว
และมันก็ช่วยกำจัดความไม่แน่นอนออกไป มนุษย์ไม่ชอบอะไรที่ไม่แน่นอน เลยอาจเป็นอีกสาเหตุที่เราชอบสุ่ม
เคล็ดลับก่อนตัดสินใจเข้าวงการสุ่ม
สำหรับใครที่กำลังจะเข้าวงการนี้ หรือเป็นมือใหม่ วิธีจาก mushroomtravel เป็นเคล็ดลับการเลือกซื้อกล่องสุ่ม เขาบอกไว้ว่า
เป้าหมายที่อยากได้คืออะไร ถ้าซื้อตัวแรกแล้วยังไม่ได้ จะซื้ออีกกี่ครั้งถึงจะพอ
- ดูประเภทสินค้าดี ๆ เพราะบางร้านก็จัดกลุ่มสินค้ามาให้แล้ว ถ้าไม่อ่านรายละเอียดก่อนก็อาจทำให้ได้ของไม่ตรงความต้องการหรือความตั้งใจ
- ก่อนซื้อ แน่นอนว่าต้องพิจารณาราคาก่อน เพราะราคาจะเป็นตัวบอกมูลค่าของสิ่งที่อยู่ในกล่อง รวมถึงดูงบของตัวเองด้วยว่ามีกำลังซื้อพอมั้ย
- เมื่อมีความคาดหวัง ก็ต้องมีความผิดหวัง เผื่อใจไว้ด้วย คิดว่าเสี่ยงเพื่อความสนุกและประสบการณ์
ที่มา
ต้นกำเนิดที่มากล่องสุ่ม
ตลาด “กาชาปอง” ของเล่นสุดป็อปที่กลายเป็นของฝากสุดฮอตจากญี่ปุ่น
อิคิไก ใช้อธิบายความรื่นรมย์และความหมายของชีวิต อิคิ คือ ชีวิต ไก คือ เหตุผล
อิคิไก เป็นคำธรรมดาทั่วไปที่คนในญี่ปุ่นใช้กันในชีวิตประจำวัน การที่เราจะใช้คำว่า อิคิไก
ไม่จำเป็นว่าเราต้องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานก็ได้ อิคิไก เป็นคำที่เปิดกว้างที่หมายถึงว่าการ ยอมรับความแตกต่างความหลากหลายของชีวิต
เป็นคำที่มีความเสมอภาค เปิดกว้างสำหรับทุกคน อิคิไก คือสิ่งที่อยู่รอบตัวเราตั้งแต่ตื่นนอน เช่น อากาศดี ๆ อาหารอร่อย คำชม
หรือคำติที่ทำให้เราดีขึ้น สิ่งที่ดีงามเหล่านี้เราสามารถมีความสุขและชื่นชม นี่แหละคือ อิคิไก
การเริ่มต้นเล็ก ๆ
ในหนังสืออิคิไกได้พูดถึงข้อดีของการตื่นเช้า ฮิโรกิ ฟูจิดะ พ่อค้าปลาทูน่าในตลาดปลาชื่อดังของโตเกียว เขาตื่นตั้งแต่ตีสอง
และเตรียมออกไปทำงานทุกวัน เพราะต้องการได้ปลาตัวที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าของเขา ซึ่งฮิโรกิ ฟูจิดะ ได้ทำแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 10 ปี
ถ้าตื่นสายวัตถุดิบที่ดีจะหมด เมื่อหมดคนที่มากินก็จะได้วัตถุดิบที่ไม่ดี อาหารไม่อร่อย จากสิ่งที่เป็นพื้นฐานง่าย ๆ การตื่นเช้า
การได้ลงมือทำทีละขั้นตอนปั้นซูชิ สั่งสมไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความสุข คนกินมีความสุข คนปั้นก็มีความสุข
การปลดปล่อยตัวเอง
ฮิโรกิ ฟูจิดะ ไม่ยึดติดว่าเขาเคยทำอะไรหรือเป็นใครมาก่อน เขาคิดว่าตอนนี้เขามีหน้าที่ทำซูชิให้ดีที่สุดในแบบของเขาก็พอ
การที่เขาคิดแบบยอมรับตัวเองและปลดปล่อยตัวเองในหน้าที่ของเขา จะเกิดสภาวะลื่นไหลเกิดขึ้น
จนสิ่งอื่นใดก็ไม่มีความสำคัญ “มีความสุขกับงานที่ทำ” เป็นเป้าหมายในตัว ไม่ใช่ต้อง “ทนทำ”
เวลาที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบสิ่งที่ถูกใจจะเกิดภาวะ Flow เกิดขึ้นรู้สึกตัวอีกทีเวลามันผ่านไปไวเหลือเกิน
ความสอดคล้องและยั่งยืน
การเป็นมนุษย์การกระทำของเราต้องสอดคล้องกับธรรมชาติ และมนุษย์ด้วยกันเอง
เช่น ตัวอย่างของ ฮิโรกิ ฟูจิดะ ที่ตื่นเช้า เวลาเดินไปซื้อวุตถุดิบที่ตลาด เขาจะทักทาย “อรุณสวัสดิ์” ด้วยภาษาญี่ปุ่นว่า “โอฮาโยะ”
พร้อมสบตากับผู้เกี่ยวข้อง ด้วยความรู้สึกดี ๆ ก็ช่วยกระตุ้นระบบการให้รางวัลสมอง มีผลให้ระบบควบคุมการหลั่งฮอร์โมนดีขึ้น ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น
ความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ
ฮิโรกิ ฟูจิดะ ‘ความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ’ คือการปั้นซูชิที่อยู่ตรงหน้า
จากการตื่นเช้าแล้วเริ่มต้นด้วยสิ่งที่หอมหวาน การดื่มน้ำชาหรือกาแฟ ชมวิวที่สวยงามระหว่างทาง กินขนมที่ชอบ
สมองจะหลั่งสารโดปามีน ที่ตอกย้ำพฤติกรรมการตื่นตัวของร่างกาย เพื่อรับรางวัลด้วยเครื่อง เป็นความสุขเล็ก ๆ แบบง่าย ๆ ที่เริ่มต้นด้วยบรรยากาศดี ๆ ทุกเช้า
การอยู่ตรงนี้ ตอนนี้
‘การอยู่ตรงนี้ ตอนนี้’ อยู่กับปัจจุบัน ไม่ติดกับอดีตหรือกังวลในอนาคต จะทำให้เกิดสภาวะลื่นไหล ถูกตัดขาดจากสิ่งรบกวนต่าง ๆ ของโลกภายนอก
และใจจดใจจ่อมีสมาธิเช่น พ่อค้าอยู่กับการปั้นซูชิตรงหน้าเพียงอย่างเดียว เกิดสภาวะลื่นไหลและทำให้ได้สร้างผลงานที่มีคุณค่า และมีความหมาย ที่รู้สึกได้ในขณะที่ทำในปัจจุบัน
เสาหลัก 5 ประการ สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้ยังไง
สิ่งสำคัญของ อิคิไก คือ การที่เรายอมรับตัวเอง อิคิไกไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับอาชีพการงานในชีวิตของเรา
อิคิไกให้คำตอบว่าใจเย็นๆ ไม่ต้องสุดไม่ต้องขนาดนั้น แค่เราต้องยอมรับตัวเราเอง และมองหาสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขจริง ๆ แบบยั่งยืน
ในวัยทำงาน ถ้ารู้สึกว่างานที่ทำไม่ได้สร้างความสุขเท่าคุณลุงขายซูชิ ลองหางานอดิเรกอย่างอื่นไหมมาเติมเต็มความสุขเหล่านั้นแทน
งานอดิเรกที่เรารู้สึกว่าเราพอจะสนุกกับชีวิตได้บ้าง ไม่ได้ห่อเหี่ยวแต่มีเรื่องให้แฮปปี้ในแต่ละวัน 🙂
ความอิจฉา เป็นเรื่องปกติ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ ที่มักจะสร้างความหงุดหงิดใจให้กับมนุษย์เอง
ความอิจฉา
ความอิจฉามีหลากหลายความหมาย …
จากอาจารย์ คิม รันโดว
อิจฉา เป็นการเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าแล้วรู้สึกไม่พอใจ อยากได้บ้าง แต่ก็ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับความสำเร็จของคนอื่น
ริษยา คือ การไม่อยากเห็นผู้อื่นได้ดีกว่า
จากอาจารย์ ดร.แพง ชินพงศ์
“คนขี้อิจฉา” หมายถึง คนที่เห็นคนอื่นได้ดีแล้วมีความรู้สึกไม่พอใจ เกิดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อยากจะเป็นหรืออยากจะมีเหมือนกับเค้าบ้าง
“คนขี้อิจฉา” หมายถึง คนที่มีความอยากและความปรารถนา ที่จะได้ดีมากกว่าคนอื่น และไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่าตนเอง
และเมื่อไม่เป็นไปอย่างที่อยากให้เป็น ก็เกิดอาการโกรธ เกลียด กลัว มืดมัว อ้างว้าง บางคนมีอาการหนัก
ถึงขนาดที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตนเองแล้วทนไม่ได้ ต้องหาทางทำลายหรือทำร้ายคนที่ตนเองอิจฉาริษยาให้ต้องมีเหตุย่อยยับไป
โรงพยาบาลมโนรมณ์
“อิจฉา” เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดการประเมิน แข่งขัน หรือเปรียบเทียบทางสังคม ระหว่างตัวเองและผู้อื่น
ก่อให้เกิดความไม่สบายใจหรือไม่มีความสุข แน่นอนว่าโดยส่วนมากเป็นอารมณ์ที่เป็นไปในทางลบ
และมักเป็นอารมณ์ที่แม้แต่เจ้าของความรู้สึกยังคิดว่ามันไม่เหมาะสม บางคนจึงอาจรู้สึกผิดที่ไปอิจฉาคนอื่น
ดังนั้นอิจฉาจึงมักเป็นอารมณ์ที่ถูกเก็บซ่อนไว้อยู่ภายในโดยไม่ได้แสดงออกไปให้ใครเห็น
วิธีเราจะต้องหัดยอมรับกับอารมณ์เหล่านี้ เพื่อให้เราเติบโตไปข้างหน้าได้
สำรวจตัวเองก่อนว่าจริง ๆ แล้วสาเหตุของความรู้สึกอิจฉาของตัวเราเอง
เราต้องการอะไรเรามีความอยากได้อะไร หรือเราลองให้เวลาตัวเอง
สัมผัสกับความรู้สึกอิจฉาของตัวเองให้เต็มที่
ถ้าเกิดขึ้นแล้วเราก็ถอยออกมาจากสถานการณ์นั้นทำให้จิตใจเราค่อย ๆ สงบลงก่อน
ถ้าเราสงบจิตใจเราลงได้แล้วเราก็ยอมรับได้ว่าเราเป็นคนขี้อิจฉาคนนึงแล้วเราถอยออกมามองตรงนั้น
เราจะเข้าใจได้ว่าที่มันอยู่ภายใต้ความรู้สึกที่เราอิจฉาเราต้องการอะไรจากความอิจฉาตรงนั้น 🙂
เคยไหมที่เวลาดูหนัง ฟังเพลง อ่านนิยาย แล้วร้องไห้?
ถึงจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นไม่เกี่ยวกับเราเลย แต่ก็ร้องไห้ตามอยู่ดี …
สาเหตุที่เราดูอะไรซึ้ง ๆ แล้วร้องไห้
สาเหตุที่เราเศร้าเวลาที่ดูหรืออ่าน หรือกระทั่งฟังอะไรเศร้าๆ เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่ชื่อว่า ออกซิโทซินของแม่และความรัก
ออกซิโทซินแม่ เป็นฮอร์โมนและสารสื่อประสาท มักจะเจอตอนที่แม่คลอดลูก หรือให้นมลูก
หน้าที่ของออกซิโทซินในช่วงเวลานั้น คือ ช่วยในการเบ่งคลอดและทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันระหว่างแม่กับลูก
เป็นฮอร์โมนที่หมอเอามาใช้กระตุ้นการทำงานของมดลูก เพื่อกระตุ้นการคลอด หรือเพิ่มการบีบตัวของมดลูกในระหว่างการคลอดบุตร
ออกซิโทซินความผูกพัน หลั่งในตอนที่เรามีปฏิสัมพัทธ์ทางบวกทางร่างกายกับคนอื่นด้วย เช่น กอด จูบ มีเพศสัมพันธ์ ไปจนถึงเล่นกับสัตว์
แต่ในช่วงหลัง ๆ หลังจากการระบาดของ โควิด-19 เราเริ่มใช้ชีวิตแบบออนไลน์มากขึ้น
มีการศึกษาแล้วก็พบเหมือนกันว่า การมีปฎิสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ เช่น Video Call, Zoom,Meet อะไรต่างๆ ที่ไม่ได้เจอตัวเป็น ๆ ฮอร์โมนชนิดนี้ก็หลั่งเช่นกัน
พอฮอร์โมนหลั่งก็จะทำให้เรารู้สึกเชื่อใจ ไว้ใจ ผูกพัน ไปจนถึงรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคน ๆ นั้นหรือสิ่ง ๆ นั้น
เลยมีชื่อเล่นว่า “ฮอร์โมนแห่งความรัก” และเมื่อการหลั่งออกซิโทซินจะมีความ เห็นอกเห็นใจ (Empathy) เพื่อนมนุษย์เพิ่มมากขึ้นด้วย
งานวิจัยเลยสรุปได้ว่า ออกซิโทซินเกี่ยวข้องกับ ความเห็นอกเห็นใจ และเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เราแคร์คนอื่นแม้กระทั้งคนแปลกหน้า
มนุษย์ในฐานะสัตว์สังคม มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม อยู่รอดด้วยการอ่านพฤติกรรม สีหน้า หรือรีแอคชั่นของคนอื่น ๆ ในสังคมที่ตัวเองอยู่
ความ Empathy หรือการที่เราเห็นตัวละครศร้าแล้วเราร้องไห้ตาม เป็นหนึ่งในกระบวนการ “เข้าเมืองตาหลิ่ว” ของมนุษย์
เราจำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราแคร์ตลอดว่าสังคมกำลังคิดแบบไหนและรู้สึกอย่างไร
การแชร์ความรู้สึกร่วมกับสังคมทำให้เรารอดในสมัยก่อน ถึงปัจจุบัน เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราร้องไห้เวลาดูหนัง
เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการระแวดระวังและการอ่านพฤติกรรมหรือความรู้สึกของคนที่อยู่ในสังคมร่วมกับเรา
เป็นหนึ่งในระบบการอยู่รอดที่ถูกเซ็ตเป็นแบบ โปรแกรมพื้นฐานของสมอง
ร้องไห้เท่ากับอ่อนแอ
“การร้องไห้มันคือการที่เข้าใจอีกฝ่าย เข้าใจในระดับที่เรารู้สึกร่วมไปด้วย การเข้าใจเขาในเชิงอารมณ์”
การร้องไห้ทำให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ความเครียด ความกังวลต่าง ๆ ที่อยู่ในใจเหมือนถูกระบายออกมาทางน้ำตา
เวลาที่ร้องไห้ ฮอร์โมนความเครียดก็ออกมากับน้ำตาด้วย การร้องไห้ดูหนัง ฟัง อ่าน จริง ๆ แล้วเป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดทางอารมณ์
แล้วคนที่ร้องไห้เมื่อดูหนังก็มีแนวโน้มที่จะสามารถรับมือกับอารมณ์ของตนเอง และสามารถจัดการปัญหาในชีวิตจริงได้ดีกว่า
เพราะว่าเขาเข้าใจอารมณ์ของตัวเองและสามารถแสดงอารมณ์ได้ตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ร้องตอนดูหนังคือคนที่แข็งแกร่งกว่า
เพราะความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของเราไม่เท่ากัน ระดับความอ่อนไหวของคนเราไม่เท่ากัน
คนที่ร้องไห้ง่ายอาจหมายความว่าเขา connect กับตัวเองได้ง่ายกว่า หรือว่าอ่อนไหวกว่า แต่ไม่ได้แปลว่าแบบไหนดีกว่าแบบไหน :))
ที่มา :
Crying is not a sign of weakness
ดูหนังทั้งน้ำตา จริงหรือที่เขาบอกว่า คนร้องไห้ขณะดูหนังนั้นอ่อนแอ
เด็กโตเกินวัย อาจจะเข้าใจว่า เด็กที่เป็นหนุ่มสาวก่อนวัยรึป่าว จริง ๆ แล้ว เด็กลักษณะนี้คืออะไรกันแน่
Parentified Child คืออะไร
เด็กคนนึงที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกินวัย เช่น ตัวละครของ วันเฉลิม ทองเนื้อเก้า ที่อายุไม่กี่ขวบแต่ต้องมาเลี้ยงน้อง ๆ แทนพ่อแม่
ซึ่งอาจส่งผลให้วันเฉลิม แทบจะไม่มีช่วงเวลาเล่นสนุกสนานอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน
ต่างจากภาวะโตเกินวัยอีกแบบ โดยภาวะโตเกินวัยในด้านการแพทย์ จะเกิดจากการที่ร่างกายเด็กมีฮอร์โมนเพศสูงกว่าปกติ
ทำให้โตกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน อันนั้นเราก็จะเห็นผ่านร่างกายชัดเลย แล้วก็มีโตเกินวัยในอีกรูปแบบที่ โตเกินวัยในด้านภาวะอารมณ์ พฤติกรรม และการแสดงออก
Parentified Child เป็นการโตเกินวัยในด้านความรับผิดชอบ
เราอาจสับสนการที่พ่อแม่เลี้ยงดูให้เราสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง อย่างการฝึกให้ลูกล้างจาน เก็บที่นอนด้วยตนเองตั้งแต่ 7-8 ขวบ
มันคือ การสร้างนิสัยที่เหมาะสมกับอายุลูกอย่างถูกต้องแล้ว แต่ถ้าเป็นการเลี้ยงแบบ Parentification อย่างที่เราน่าจะเห็นในละครหรือหนังบ่อย ๆ
ที่ลูกต้องหาเลี้ยงครอบครัว ดูแลพ่อแม่หรือพี่น้องที่ป่วยบ้าง พูดง่าย ๆ การที่ต้องขึ้นมาเป็นพ่อเป็นแม่แทนพ่อแม่ตัวจริง
เช่น น้องที่ต้องดูแลพี่ที่มีภาวะออทิสติกอย่างพี่ยิม น้องโด่ง ในซีรี่ส์เรื่อง Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ จะเห็นว่าน้องโด่งที่รับบท โดย สกาย วงศ์รวี
แทบจะเป็นเหมือนพ่อหรือพี่ชายอีกคนของพี่ยิม ซึ่งรับบท โดย ต่อ ธนภพ ก็จะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายของเด็กคนนึงที่ต้องรับหน้าที่ให้เป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร
แต่ก็มีการศึกษาจาก healthline ในปี 2016 บอกไว้ว่า ความสัมพันธ์พี่น้อง อาจจะมีประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันได้มากกว่าพ่อแม่
Parentification ส่งผลต่อบุคลิกเด็กคนนึงได้อย่างไร
พอเด็กมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเกินวัยขนาดนั้น เด็กอาจจะมีนิสัยเก็บความรู้สึกตัวเอง เราต้องเป็นผู้นำห้ามอ่อนแอ เพราะไม่อยากดูเป็นเด็กในสายตาคนอื่น
ละเลยความรู้สึกตัวเองจนความสุขตัวเองอาจจะหายไป #EldestDaughterSyndrome กลุ่มลูกสาวคนโตออกมาระบายเรื่องความรับผิดชอบที่ได้รับในฐานะพี่สาวคนโต
บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนพ่อแม่อีกคนของน้อง รวมถึงต้องแบกรับความหวังของครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่เลือกที่จะทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว
ก่อนโดยทิ้งความฝันตัวเองไว้ข้างหลัง ก็เลยอาจจะทำให้บุคลิกภายนอกดูเข้มแข็ง แต่ภายในอ่อนไหว ไม่ได้มีความสุขที่แท้จริงก็ได้
สัญญาณที่บ่งบอกว่าเรากำลังเป็น Parentified Child
- เติบโตด้วยความรู้สึกที่มีหน้าที่ ‘ที่ต้อง’ รับผิดชอบมากมาย
- ต้องคิดเสมอว่าจะเล่นสนุกหรือปล่อยมันไป
- ชอบอะไรที่ควบคุมได้
- ถูกดึงเข้าไปเป็นประเด็นปัญหาระหว่างผู้ดูแล
- รู้สึกว่าได้รับความรับผิดชอบที่ไม่เหมาะกับวัยตนเอง
- มักได้รับคำชมว่า “ดีมาก” และ “มีความรับผิดชอบดีมาก”
- อาจจะรู้สึกว่าพึ่งพาตนเองดีกว่าการพยายามไว้วางใจผู้อื่น
- จำไม่ได้ว่า ‘ความเป็นเด็ก’ เป็นอย่างไร
- พ่อแม่มีปัญหาในการดูแลตัวเองหรือผู้อื่น และมอบความรับผิดชอบให้เราแทน
- มักพบว่า ตัวเองกลายเป็นผู้ดูแลอยู่บ่อยครั้ง
- แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ดูแล แม้ว่าจะต้องเสียสละบางส่วนของตัวเองก็ตาม
- มีความเห็นอกเห็นใจและสามารถทำความเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น
- รู้สึกว่าเราต้องเป็นคนประนีประนอมเสมอ (Peacemaker)
- รู้สึกว่าความพยายามของเราไม่ได้รับการชื่นชม
ถ้ามองในแง่ดี การเป็นคนที่ชอบดูแลคนอื่น ก็ทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันดีขึ้นด้วย
แต่ถ้าต้องกลายเป็นคนที่พ่อแม่คาดหวังก็คงรู้สึกกดดัน ซึ่งอาจจะมาจากตัวพ่อแม่เองที่ก็ไม่ได้รับการเติมเต็มในวัยเด็กเหมือนกัน
การเป็น Parentified Child ส่งผลอย่างไรได้บ้างในความสัมพันธ์
ดีตรงที่เราพึ่งพาตัวเองได้ไม่ว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์ไหนเพราะต้องเป็นผู้นำตั้งแต่เด็ก การเป็น Parentified Child
ถ้าไม่ชอบควบคุมคนอื่นเพราะไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ ไปเลย ก็อาจจะเป็นแนว People Pleaser เพราะคนสองประเภทนี้จะชอบเห็นคนอื่นมีความสุข
คอยเอาใจคนอื่นเสมอ ทำให้มองว่าการทำให้คนอื่นรู้สึกดีเป็นหน้าที่ของตนเอง ถ้าทำไม่ได้ก็จะรู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่า
ก็อาจจะทำให้เกิดการถูกเอาเปรียบในความสัมพันธ์ได้ รวมถึงอาจจะเผลอเข้าไปอยู่ใน Toxic Relationship ด้วย
เพราะคนลักษณะนี้จะค่อนข้างลำบากใจในการปฏิเสธคน เลยยอมทำตามคนอื่นเพื่อได้รับการยอมรับ
เราทุกคนสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งแม้ว่าจะไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม
ไม่ต้องรู้สึกผิดที่จะสนุกกับชีวิต ตามหาตัวเองในเวอร์ชั่นที่ชอบและอยากเป็นได้อย่างมีความสุข 🙂
เพราะว่าเรา เปลี่ยนไป ตามเรื่องราวที่เราพบเจอ
การเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นเรื่องของตัวเอง เราก็อาจจะยังพอหาคำตอบและรับมือกับมันได้
เช่น เสาร์นี้มีนัดเจอกับเพื่อน เลือกชุดไว้ตั้งแต่วันจันทร์ มีกำลังใจตื่นเช้าในวันหยุด ตื่นเต้น ตั้งใจแต่งตัว
แต่เพื่อนดันมาเทนัดในวินาทีสุดท้ายตอนที่กำลังจะออกจากบ้าน ความเปลี่ยนแปลงได้ถือกำเนิดขึ้นในใจแล้ว
จากอารมณ์ที่ดีกลายเป็นเซ็งหรือบางคนอาจจะหงุดหงิดเลยก็ได้ พอเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของเรา เราน่าจะรู้ตัวเราดีใช่ไหม
แต่การที่เพื่อนเปลี่ยนใจแล้วไม่บอกเหตุผล กลายเป็นว่าเราเองที่พยายามหาเหตุผล ซึ่งก็มีได้ทั้งเพื่อนอาจจะมีเหตุจำเป็น ไข้ขึ้น มีงานด่วน
หรือแค่ขี้เกียจออกจากบ้านแล้ว เราจะคิดไปต่าง ๆ นานา ทั้งคิดแทนทั้งคิดไปเองอาจจะคิดจากประสบการณ์เดิมของตัวเองด้วย
ก็สะท้อนให้เห็นนะคะว่า ถ้าคนรอบข้างเราเปลี่ยนไป เราอาจไม่มีทางเข้าใจการเปลี่ยนไปของพวกเขาเลย
ยิ่งถ้าเราไม่ได้รับการอธิบายหรือไม่ทราบสาเหตุมาก่อน ความเครียด คิดมากกับตัวเองว่า ‘หรือเราทำอะไรผิด’ ก็จะตามมา
และคิดว่าหลาย ๆ คนก็คงอยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถามอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าบางอย่างอาจจะไม่เป็นอย่างที่หวังหรือกลัวว่าความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไป
เปลี่ยนแปลงเหมือนกับเปลี่ยนไปไหม เพราะบางครั้ง ในบางเรื่องราวหรือบางความสัมพันธ์เราอาจจะรู้สึกว่าอย่างน้อย
‘เปลี่ยนแปลงได้แต่อย่าเปลี่ยนไป’ พอได้หาความหมายตามพจนานุกรมก็พบว่าความหมายใกล้เคียงกัน
แต่เมื่อเราพูดแต่ละคำในประโยคเดียวกัน เช่น อย่าให้สิ่งนั้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิตฉัน กับ อย่าให้สิ่งนั้นมาทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป
ฟังแล้วให้ความรู้สึกต่างกันเล็กน้อย คำว่าเปลี่ยนแปลงดูเป็นอะไรที่ค่อนข้างใช้เวลา
ค่อย ๆ เปลี่ยน แต่เปลี่ยนไป เหมือนกับว่าอยู่ ๆ ก็พบว่าสิ่งนั้นเปลี่ยนไปจนไม่ทันตั้งตัว จากหน้ามือเป็นหลังมืออะไรทำนองนี้
ก็เลยคิดว่ามันคงอาจจะอยู่ที่บริบทการใช้ ถ้าอยากให้รู้สึกดี การใช้คำว่าเปลี่ยนแปลงอาจจะดีต่อใจมากกว่าเปลี่ยนไป
สาเหตุการเปลี่ยนแปลง
สาเหตุที่ทำให้คนนึงเปลี่ยนแปลงไปอาจจะเกิดจากหลายปัจจัย หลายเหตุผลก็ได้ เพราะ ‘ทุกสิ่งบนโลกไม่มีอะไรแน่นอน’
เมื่อเวลาเปลี่ยน ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนไปได้กันทั้งนั้น ตัวเราในวันนี้ก็สามารถต่างจากเราในเมื่อวานก็ได้
เมื่อวานชอบเพลงป๊อปแต่วันนี้กลับเริ่มชอบเพลง Alternative ขึ้นมา แต่ก่อนดื่มหวานปกติ เดี๋ยวนี้ชอบดื่มหวานน้อย
หรือวันนี้รัก พรุ่งนี้หมดรักไปดื้อ ๆ แล้วก็มี มันเลยไม่แปลกที่คนรอบข้างเราก็อาจจะเปลี่ยนไปตามเรื่องราวของตัวเองได้เช่นกัน
สิ่งที่ควรทำเมื่อพบความเปลี่ยนแปลง
ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ สิ่งแรกที่เราต้องมีคือ สติ รับรู้ ทบทวนจนกว่าจะมั่นใจว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริง ๆ
เพราะการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่มักอยู่กับเราเรื่อย ๆ โดยที่เราอาจไม่ทันสังเกตหรือตั้งตัวว่ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร
ต่อจากนั้นสิ่งสำคัญ คือ การยอมรับความเปลี่ยนแปลง แม้ว่ามันจะยากในช่วงแรก มองว่ามันคือจุดเริ่มต้นของคนที่มีความพยายามในการเดินหน้าต่อไป
แต่ถ้ารู้สึกยังไม่พร้อมยอมรับความเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องกดดันตัวเองให้ยอมรับในทันที เพราะการฝืนยอมรับทั้งที่ใจไม่โอเค
ผลที่ตามมาโดยเฉพาะใจเราเอง ก็อาจไม่โอเคด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เราอึดอัดใจกับการกระทำคนอื่นที่เปลี่ยนไปจนรู้สึกแย่กับตัวเอง
บางทีการอดทน ปล่อยไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร การสื่อสารเพื่อปรับความเข้าใจตนเองหรือเพื่อปรับความเข้าใจกับผู้อื่นอาจจะเป็นทางออกที่ช่วยได้มากกว่า
เราสามารถเลือกตัดสินใจได้ว่าเราจะเลือกอดทนต่อความเปลี่ยนแปลง และผ่านมันไปด้วยตัวเองหรือเลือกสื่อสารออกไป
หากเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับคนรอบข้างด้วยซึ่งถ้าพูดไปแล้ว ผลลัพธ์มันน่าจะดีขึ้นก็ขอให้สื่อสารออกไปดีกว่า
ยอมรับความเปลี่ยนแปลง
บทเรียนของการมีสติและยอมรับการเปลี่ยนแปลง คือ เราจะใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจและพร้อมรับมือมากขึ้นว่าคนเรา
ต้องเจอสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ไม่มีใครเหมือนเดิมได้ตลอด เราเองก็ด้วย ยอมรับได้ว่าตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
แล้วเรารู้สึกอะไรกับการเปลี่ยนแปลงนั้น และค่อย ๆ หาวิธีรับมือกับมันไป คนที่มีสติและมีความมั่นใจในคุณค่าของตัวเอง
จะไม่หวั่นไหวและสามารถจัดการรับมือเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว แต่ถ้าคนที่จิตใจไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในตัวเอง
ความรู้สึกกลัวต่าง ๆ มันอาจจะเข้ามาครอบครองจิตใจที่อ่อนไหวของเราได้ ไม่ใช่ว่าเราจะเกิดความรู้สึกกลัวไม่ได้
กลัวได้ตามกลไกธรรมชาติของจิตใจ ยอมรับความกลัวนั้นก่อนก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน
ในทางจิตวิทยาจะเรียกว่า การโอบกอดอารมณ์ไว้อย่างมีสติ คือ การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกอย่างเหมาะสม แล้วค่อย ๆ ประคองจิตใจให้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงนั้นต่อ
ปรับความคิด mindset ของตัวเอง
การเริ่มต้นสังเกตและยอมรับความเปลี่ยนแปลงมันอาจจะทำได้ยาก แต่ถ้าทำได้ก็ดีเหมือนกัน
เพราะถ้ามองอีกมุม การให้โอกาสตัวเองได้ลองสัมผัสและเรียนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน
ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เติบโตขึ้น เพราะการที่เรารับรู้และยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดจากตัวเราหรือคนใกล้ตัวเราได้
เป็นวิธีที่ทำให้เราเข้าใจโลกความจริงมากขึ้น เราอาจจะค้นพบการมีความสุขโดยง่ายผ่านการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน
เพราะในเมื่อเราห้ามสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เราก็แค่ยอมรับมัน เศร้าบ้าง เอนจอยบ้าง ต้องปรับตัวกันไป ลดความคาดหวังลงหน่อยจะได้ไม่เจ็บมาก
กลับมาโฟกัสความสุขของตัวเองมากขึ้น ชีวิตก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย
ก่อนจบค่ำคืนนี้ อยากฝากข้อความสุดท้ายไว้อีกครั้งว่า การที่คน ๆ นึงจะเปลี่ยนไป เรารับรู้และใส่ใจได้เท่าที่พอดีกับใจเรา
พึงระลึกไว้เสมอว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงได้ หนึ่งนาทีหลังจากนี้ อาจจะมีการเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนใจในบางเรื่องก็ได้เช่นกัน
ถ้าเรามองว่า การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในใจเราได้รวมตัวกันเป็นมวลพลังที่จะทำให้เรากล้าที่จะก้าวออกจาก comfort zone นั่นเป็นสัญญาณที่ดี
อยากให้เพื่อน ๆ ค่อย ๆ ฝึกการยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาอย่างสม่ำเสมอ
อย่าลืมขอบคุณตัวเองที่ก้าวผ่านความยากเหล่านั้นมาได้สำเร็จ สำหรับคืนนี้เข้านอนด้วยจิตใจที่สงบและเป็นสุข :))
Burnout Boreout Brownout
ภาวะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและการจัดการพลังงานทั้งจิตใจและร่างกาย ไม่ใช่วัยทำงานอย่างเดียวแต่วันเรียน
ก็มีภาวะเหล่านี้ที่โรงเรียนได้เหมือนกัน เบื่องาน หมดไฟ หมดใจ เรากำลังเป็นแบบไหนกันแน่…
Burnout
ภาวะความอ่อนล้าทางอารมณ์ เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดเรื้อรัง ทำให้รู้สึกหมดไฟ มองตัวเองในแง่ลบ ไม่มีแรงจูงใจ
ไม่อยากไปทำงาน/ไปเรียน ภาวะหมดไฟ ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโรคใหม่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อให้อยู่ในแนวทางการวินิจฉัยโรค
แม้ยังไม่ถูกจัดว่าเป็นความเจ็บป่วยหรือมีเงื่อนไขทางการแพทย์ แต่นักวิชาการที่เกี่ยวข้องก็ให้ความสนใจและมีการพูดถึงประเด็นนี้
Boreout
ภาวะเบื่องาน เกิดจากการทำงานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไม่ท้าทายหรือความสามารถเราสูงกว่างานที่ทำ
ศักยภาพที่มีก็ใช้ได้ไม่เต็มที่ก็เลยทำให้ขาดแรงจูงใจในการทำงาน กลายเป็นไม่ขยันหรือกระตือรือร้นเท่าแต่ก่อน
ประสิทธิภาพการทำงานเลยลดลง และมีแนวโน้มอยากหางานใหม่เกิดขึ้น
Brownout
ภาวะหมดใจ การอยู่ในสภาพแวดล้อมขององค์กรที่ไม่เหมาะกับตนเองนาน ๆ จนหมดใจที่จะทำงานต่อ มีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนงานไปเลย
อาจดูคล้ายกับการ Bureout ภาวะเบื่องาน เพราะมีความรู้สึกอยากออกจากงานเดิมทั้งคู่
แต่จะมีความต่างที่สังเกตได้ คือ Bureout ถ้าเราได้ทำงานใหม่ ๆ หรืองานเดิมที่ท้าทายขึ้น เราจะกลับมามีแรงทำต่อ
แต่ถ้า Brownout จะรู้สึกว่า ไม่ใช่เนื้องานที่ทำให้เราไม่อยากทำงาน แต่เป็นเพราะสิ่งรอบข้างที่ทำให้เราหมดใจ
เช่น หัวหน้ากดดันว่าต้องเอางานวันนี้ เดี๋ยวนี้ วันหยุดก็ตามงาน ผลตอบแทนที่ได้ก็ไม่เหมาะกับแรงที่ทุ่มเทไป
Checklist สัญญาณพฤติกรรมแต่ละภาวะ
Boreout พฤติกรรมเบื่องาน ภาวะนี้เกิดจากความเบื่อที่ ‘งานน้อยเกินไป’
- อาจเล่นโทรศัพท์หรือหาอะไรทำในเวลาทำงาน
- ไม่ภูมิใจกับงานที่ทำเพราะมันง่ายเกินไป
- รู้สึกว่างานที่ทำไม่มีความหมายกับตัวเอง สามารถนำไปสู่ความเครียด หรือซึมเศร้าในระยะยาว
- ถ้าได้อัพความยากหรือมีอะไรใหม่ก็จะมีแรงทำต่อ
Burnout จากการทำงานหนักเกินไป
- รู้สึกเหนื่อย มีอาการทางกายร่วมเมื่อต้องมาทำงาน
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย อาจมีปัญหาการนอนไม่หลับ
- ทำงานช้าลงมาก คุณภาพงานลดลง
- ไม่สนุกกับงานอีกต่อไป
- แต่พักผ่อนแล้วจะหายดี
Brownout หมดใจจากความเหนื่อยใจต่อเพื่อนร่วมงานหรือสภาพแวดล้อมขององค์กรเป็นหลัก
- ทำงานแบบไร้ชีวิตจิตใจ ทำงานแบบอัตโนมัติตามความเคยชิน
- อยากลางานตลอด ตั้งใจมาสาย
- ขาดงานโดยไม่รู้สึกผิด ดองงานหรือเทงานได้ก็จะทำ
- พร้อมลาออกตลอดเวลา
- แม้ว่าจะพักผ่อนแล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น
ซึ่งข้อมูลจากองค์กรอนามัยโลก ได้ยืนยันว่า Brownout เป็นอาการที่ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์
เนื่องจากเกิดจากความรู้สึกว่าถูกองค์กรกดดันตลอดจนเริ่มปลีกตัวออกจากสังคม และเลือกที่จะลาออกเพื่อไปหาสิ่งที่คาดหวังหรือต้องการมากกว่า
แม้ว่าจะได้รับการเสนอขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่ง แต่ก็จะฉุดรั้งคนที่หมดใจนี้ไว้ไม่ได้นั่นเอง
5 ระยะที่นำมาสู่ภาวะ Burnout
- ระยะ Honeymoon เป็นช่วงเริ่มงาน เลยมีความตั้งใจ เสียสละ และปรับตัวกับเพื่อนร่วมงานอย่างเต็มที่ เลยรับแรงกดดันจากการทำงานได้ดี
- ระยะรู้สึกตัว ระยะนี้เราจะเริ่มคาดหวังกับงาน และอาจพบว่างานไม่ตอบสนองต่อความต้องการทั้งในแง่ค่าตอบแทน หรือการเป็นที่ยอมรับ เริ่มรู้สึกว่ามาทางผิด เกิดความขับข้องใจจนไม่สามารถจัดการงานได้
- ระยะไฟตก เป็นระยะเริ่มต้นของภาวะหมดไฟ เริ่มเหนื่อยล้า และเราจะหงุดหงิดง่ายขึ้นอย่างชัดเจน เริ่มปลีกตัวออกห่างเพื่อนร่วมงาน พูดถึงองค์กรในแง่ลบ และทำพฤติกรรมที่ช่วยให้หนีจากความขับข้องใจ เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
- ระยะหมดไฟเต็มที่ ก็คือ หมด passion ในการทำงานอย่างสมบูรณ์ เราเริ่มรู้สึกว่าชีวิตการทำงานล้มเหลว สิ้นหวัง เสียความมั่นใจในตัวเอง
- ระยะฟื้นตัว หากเราได้รับการผ่อนคลายหรือพักผ่อนอย่างเต็มที่ ปรับ mindset ในการทำงาน balance เวลาส่วนตัวและงานได้ดีขึ้น เราก็สามารถกลับมามีแรงบันดาลใจหรือมีไฟในการทำงานใหม่อีกครั้ง ใช้โอกาสนี้ในการตั้งเป้าหมายใหม่ในการทำงานได้ด้วย
วิธีรับมือ แก้ไข
- ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ หรือทำ check list สิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน จะรู้สึกว่าพอมีจุดหมายและทำได้ปุ๊ป การติ้กถูกหรือขีดฆ่าออก จะรู้สึกฟินเหมือนเราทำสำเร็จไปทีละอย่าง เกิดความภูมิใจในตัวเองเล็ก ๆ ขึ้นมา
- หาแรงบันดาลใจ ไปพักผ่อน ไม่ก็จัดตกแต่งสภาพแวดล้อมใหม่
- หยุดพัก แต่การหยุดในที่นี้เราจะไม่ทำให้คนอื่นเสียหาย เคลียร์ทุกอย่างก่อนแล้วมาจัดการความรู้สึกกับตัวเอง
- หากพักใจแล้วก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น ลองถามความต้องการของตัวเองว่าเราต้องการทำอะไร ปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน แก้เองได้ไหม ถ้าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา วิธีทั่วไปที่ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำเลยก็คือ การสื่อสารบอกหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานถึงปัญหาที่เกิดขึ้น อาจจะช่วยให้ได้รับการแก้ไขมากกว่ามานั่งเครียดอยู่คนเดียว
- สุดท้ายแล้วการลาออก คงเป็นทาางเลือกที่ดีกว่าการทนอยู่สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษหรือ Toxic Workplace
ที่มา
Boreout VS Burnout VS Brownout
พฤติกรรม Burnout Boreout Brownout
Lazy คือ ขี้เกียจ
Perfectionist คือ คนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ เวลาทำอะไรจะต้องเป๊ะ มีกรอบ มีหลักการ
A person who wants everything to be done perfectly but is too lazy to do it.
การที่คน ๆ นึงอยากทำทุกอย่างให้สำเร็จแต่ขี้เกียจเกินจะทำ
หรือ “Lazy Perfectionist” เป็นคำที่ใช้อธิบายคนที่ตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สมบูรณ์แบบ
แต่บางครั้งก็ขาดความกระตือรือร้นเมื่อต้องทำงานหรือกิจกรรมที่ไม่ถึงขั้นตอนที่พวกเขาคาดหวัง
Lazy Perfectionist
Lazy Perfectionist ไม่ใช่โรค ไม่ใช่ภาวะผิดปกติ ตามเกณฑ์วินิจฉัยอะไร เป็นคำ ๆ นึง ที่ใช้เรียกคนที่มีพฤติกรรมแบบหนึ่งเท่านั้นเอง
ถ้าอ้างอิงจาก Urban Dictionary คำว่า Lazy Perfectionist เป็น Phenomenon หรือ ปรากฏการณ์ อธิบายง่าย ๆ คือ เป็นลักษณะหนึ่ง เป็นพฤติกรรมในช่วงหนึ่ง
คำนี้ใช้อธิบายคนที่ตั้งมาตรฐานไว้สูง อยากทำงาน ทำกิจกรรม ให้ออกมาดี แต่ไม่มีแรงผลักดันที่จะลงมือทำให้สำเร็จ ทำให้ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมทำตามเป้าหมาย
การที่ใครมีภาวะ Lazy Perfectionist อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายของบุคคล
เนื่องจากอาจทำให้เกิดความเครียดเมื่อไม่สามารถทำงานตามความสมบูรณ์ที่ต้องการได้
Cycle of Laziness
- รู้สึกว่างานน่าเบื่อ
- ไม่รู้สึกอะไรกับเดดไลน์
- รู้สึกผิดเวลาที่ตัวเองไม่พยายามมากพอในการทำมัน
- คิดซ้ำ ๆ ว่าครั้งหน้าจะทำให้ดีขึ้น
- แต่แล้วก็เปลี่ยนกลับไปเป็นคนเก่า ไม่ทำ ไม่สนใจ เหมือนเดิม
Lazy Perfectionist เพราะอะไร ?
- ตั้งเป้าหมายที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ตั้งมาตรฐานไว้สูงเกินไป
- ชอบวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง (ยังไม่ดีพอ ยังไม่พร้อมพอ ฯลฯ ทำให้ไม่มีแรงลงมือทำ , ไม่มีความสามารถมากพอ ทำให้ขาดแรงบันดาลใจที่จะทำ)
- เป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้ มันล้มเหลวบ่อย ๆ คนที่มีความเครียดหรือกลัวจากเป้าหมายที่เคยตั้งไว้แล้วล้มเหลวก็อาจมีแนวโน้มที่จะต้องการทำให้ทุกสิ่งเป็นสมบูรณ์เพื่อหลีกเลี่ยงการล้มเหลว แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่อยากใช้พลังงานหรือเวลามากเกินไป
- การที่มีสภาพจิตใจที่ไม่พร้อม
ไม่อยากเป็นคน ขี้เกียจ แล้ว..
- รับรู้และยอมรับ ยอมรับว่ามีความขี้เกียจและต้องการเปลี่ยนแปลง การรับรู้เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้เริ่มการเปลี่ยนแปลง
- กำหนดเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดเป้าหมายที่เล็ก ๆ และเริ่มจากการทำงานเล็ก ๆ ที่สามารถทำได้ในแต่ละวัน
- พูดคุยกับตัวเองปลุกความเชื่อมั่นมั่นใจว่าเราจะทำได้
- บริหารเวลา การจัดการเวลาช่วยให้สามารถทำงานและสร้างสมดุลในชีวิตประจำวัน
ทำยังไงได้บ้าง?
- สำคัญที่สุดอยู่ที่จุดเริ่มต้นเลย คือ ตั้งเป้าหมายให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป้าหมายที่ตั้งต้องไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น
- เมื่อผิดพลาด ผลลัพธ์ไม่ได้เป็นแบบที่คาดหวังไว้ อย่าลืมให้อภัยตัวเอง เรียนรู้จากมันแล้วพัฒนาต่อในครั้งหน้า
- รับรู้และยอมรับความไม่สมบูรณ์ รับรู้ว่าไม่ทุกสิ่งจะต้องเป็นสมบูรณ์แบบทุกครั้ง และยอมรับความไม่สมบูรณ์เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และทำให้เราเติบโตนะ
- เติม Positive self-talk พูดดี ๆ กับตัวเอง (การให้กำลังใจ การสร้างแรงบันดาลใจ การโอ๋ตัวเองก็ได้นะ เวลาที่ทำแล้วผลลัพธ์ออกมาไม่ถูกใจ)
- จัดการความเบื่อ เพราะความรู้สึกเบื่อเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยมีใครชอบ
ที่มา :
Are YOU a Lazy Perfectionist? Understanding the Phenomenon
Signs You’re a Lazy Perfectionist
ช่วงนี้ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะเห็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับความรักอยู่บ่อยครั้ง
Alljit เลยอยากหยิบยก ประเด็นเรื่องอาการคลั่งรัก และการหมดโปรฯ ในความรักมา Learn&Share
อาการคลั่งรัก
คลั่งรัก เป็นสภาวะทางจิตใจของความหลงใหล ซึ่งถูกนิยามครั้งแรกในปี 1970 โดยนักจิตวิทยา Dorothy Tennov
เขาเขียนจากประสบการณ์ของตนเองว่า ช่วงเริ่มต้นอาการคลั่งรักจะเป็นความอิ่มเอมใจและมีความเร้าอารมณ์รุนแรง
จนอยากที่จะครอบครองคนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และก็มีนักบำบัดชีวิตคู่ ชื่อ Silva Depanian บอกว่า คนเราจะสับสนความรักกับการคลั่งรัก
โดยเขามองว่าคนที่คลั่งรัก คือ คนที่มีความรักแต่ใช้ไม่ถูกหรือที่เราพูดแซว ๆ กันว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’
ซึ่ง การมีความรักแรกเริ่ม อะไร ๆ ก็ดีไปหมด บางทีเรายังทำบางสิ่งที่ไร้เหตุผลเพื่อคนที่เรารักได้เลย
อาจจะจริงที่เรามองข้ามข้อเสียของอีกฝ่ายหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่เราเองก็รู้ว่ามีอยู่แล้วในช่วงแรกหรือที่เขาเรียกว่า ช่วงโปรโมชั่น
Honeymoon Phase หรือ ช่วงโปรโมชั่น
Honeymoon Phase หรือที่เราเรียกกันว่าช่วงโปรโมชั่น ช่วงระยะเวลาที่มีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง สามารถอยู่ได้ตั้งแต่หกเดือนถึงหลายปีหรือสองปี
สิ่งสำคัญในช่วง Honeymoon เลยคือ เราอาจมองข้ามสิ่งที่เป็นข้อเสียก็ได้ หรือ Red Flage บางอันที่เรามีขอบเขตหรือสิ่งที่คิดว่าอันนี้ถ้าทำ
จะไม่ไปต่อแน่ ๆ ในความสัมพันธ์ ช่วงนี้อาจทำให้เราหลงลืมไป และอยู่กับมันจนกลายเป็นข้อเสียในภายหลัง
เพราะเราทุกคนจะออกจากช่วงฮันนีมูน ช่วงฮันนีมูนไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป แต่ไม่ได้หมายความว่า ความสุข ความรู้สึกดี จะหมดหายไป
ช่วงแรกเวลารักก็จะหลั่งฮอร์โมนโดปามีนออกมา พอช่วงหลังไม่ได้หลั่งฮอร์โมนโดปามีนแล้วไม่ใช่ว่าจะหายไปจากร่างกาย
ถ้ากระตุ้นก็จะยังหลั่งอยู่ แต่ช่วงที่หยุดหลั่งจะเปลี่ยนเป็นออกซิโทซิน หรือฮอร์โมนแห่งความผูกพันเข้ามาแทน
เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมระยะแรกของการมีความรัก เราถึงโหยหา คิดถึงแต่เขา เป็นเพราะเราหลั่งฮอร์โมนความสุขออกมาทำให้เราเสพติดความรู้สึกดี ๆ
เราอาจมีความคาดหวังเพิ่มขึ้นตามมาในความสัมพันธ์ ละพอไม่ได้อย่างที่หวัง ความสุขก็น้อยลง
บวกกับต่างฝ่ายต่างชินกับการมีอยู่ของแต่ละคน ก็อาจจะทำให้รู้สึกว่าเป็นช่วงหมดโปรหมดรัก เพราะโดปามีนเริ่มหลั่งคงที่
ความรักกับอาการคลั่งรักต่างกันอย่างไร ?
- เราหลงใหล หมกมุ่นเกี่ยวกับเขามาก
- เพ้อฝัน จินตนาการถึงเขาบ่อยจนฟุ้งซ่าน
- สืบส่องชีวิตเขา หึงหวงทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน
- เขาคือคนที่เพอร์เฟคที่สุด เห็นแต่ข้อดี มองข้ามข้อเสีย
- อยากอยู่ด้วยกันไปตลอด ไม่อยากแยกจากกันแม้แต่วินาทีเดียว
- ตื่นเต้น พูดจาติดขัด หรือถึงขั้นใจสั่น เหงื่อออก จะเป็นลมทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา
- อารมณ์ดีเป็นพิเศษเวลาที่เขาสนใจ กระวนกระวายเมื่อเขาหายไป
- รู้สึกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา
การคลั่งรัก ความรักเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าลืมว่าถ้าตอนนี้ความรักที่มีอยู้กำลังเรียบง่าย อาจเป็นความเรียบง่ายที่แสนพิเศษที่เราตามหาอยู่ก็ได้นะ 🙂
Playing the victim เมื่อมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นก็ตาม บุคคลเหล่านี้มักจะแสดงให้เห็นว่าตนไม่ใช่คนผิด
เป็นผู้ถูกกระทำ เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ต่าง ๆ
เพื่อที่บุคคลเหล่านี้จะได้รับความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจหรือให้ได้มาซึ่งบางสิ่งที่ตัวเองต้องการ
Playing the victim
บุคคลเหล่านี้มักจะมองไม่เห็นความผิดของสิ่งที่ตัวเองเคยทำหรือถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองนั้นทำความผิดอยู่
บุคคลเหล่านี้ก็เลือกที่จะไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองกระทำโดยการโยนความผิดให้อีกฝ่าย
จะแสดงออกให้เห็นถึงความน่าสงสารเพื่อให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจหรือการสนับสนุนจากคนที่พวกเขาต้องการ
เพื่อที่จะกดดันให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดแทน ท้ายที่สุดสิ่งที่พวกเขาต้องการก็แค่การได้รับความสนใจมากขึ้นและทำให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่เขาพูดง่ายขึ้น
Victim Mentality หรือคนที่มีความคิดที่รู้สึกว่าตัวเองเป็น เหยื่อ ต่อโชคชะตา และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขามาจากคนอื่นแทบทั้งสิ้น
หรือที่เราชอบพูดกันว่าทำไมโลกใบนี้มันโหดร้ายกับเราจัง เหมือนเป็นชุด Mindset ที่มาจากความมั่นใจในตัวเองที่ต่ำ
Playing the victim , Victim Mentality มีความเหมือนกัน แต่ก็แตกต่าง ทั้งสองอย่างสามารถเป็นได้แบบสลับไปสลับมาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ไหน กับใคร
ถ้าเราไม่อยากคิดแบบเหยื่อแล้ว ?
ความคิดของเหยื่อคือการเรียนรู้พฤติกรรม ความคิดของการตกเป็นเหยื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดมาพร้อมกับเรา
เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อม ประสบการณ์ที่เคยเจอ ผลจากบาดแผลทางจิตใจ อย่างไรก็ตาม เราสามารถเอาชนะความคิดนี้ได้
- เราเป็นคนเดียวที่ควบคุมการกระทำของตัวเอง เราไม่สามารถควบคุมผู้อื่นได้ แต่เราสามารถควบคุมวิธีตอบสนองต่อคนอื่นได้
- การดูแลตัวเองและความเห็นอกเห็นใจตัวเอง ฝึกฝนการดูแลตนเองและความรักตนเอง ก็จะช่วยให้จิตใจของเรากลับมาแข็งแรง ความคิดการจะเล่นรับบทเหยื่อก็จะค่อย ๆ หายไป
- พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เพราะถ้าเรารู้สึกแบบนี้บ่อยครั้ง อาจส่งผลให้เกิดเป็น ภาวะซึมเศร้า ปัญหาในความสัมพันธ์ การอยู่ร่วมกับคนอื่น อาการทางอารมณ์ และบางครั้งก็ส่งผลถึงร่างกาย
ผู้ถูกกระทำต้องทำอย่างไร
แรก ๆ เราอาจจะไม่รู้ว่าเขากำลังรับบทเป็นเหยื่อ ซึ่งจริง ๆ ตัวเราเองที่กำลังเป็นเหยื่อของเขาอยู่ . . ช่วงแรกเราคงเห็นใจและรู้สึกไม่ดีที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้น
แต่ถ้าทำบ่อย ๆ คงต้องคุยกันว่าสิ่งที่เธอทำ ทำให้ชั้นรู้สึกแย่เหมือนกันนะ โดยวิธีสื่อสารแบบ I-Message การสื่อสารเชิงบวกเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ
Introvert คือคนที่พูดน้อย เข้าถึงยาก เก็บตัว . . .
เคยสงสัยไหมว่าเพื่อนเราหรือคนใกล้ตัวที่เขาเป็น Introvert นะ แต่ทำไมถึงพูดเยอะจัง
Introvert
ถ้าเราพูดถึง Introvert เราจะนึกถึงคนที่ชอบทำอะไรคนเดียว ไปไหนคนเดียว อยู่คนเดียว แตกต่างจาก Extrovert ที่เรามักจะเห็นอย่างได้ชัด
การศึกษาทดลองและการจดบันทึก Carl G. Jung ค้นพบว่า Introvert มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ของสังคมได้ค่อนข้างยาก
มากกว่า Extrovert คนส่วนใหญ่เลยตีความว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบ Introvert ชอบเก็บตัว โดดเดี่ยว
แต่ในความเป็นจริงแล้ว Introvert คือคนที่สนใจในเรื่องของความรู้สึกและความคิดของตัวเองเป็นหลัก
และวิธีการอยู่คนเดียวของเขาคือวิธีชาร์จพลังมากกว่าการทำกิจกรรมของ Extrovert
แต่ทุกคนมีทั้งความเป็น Extrovert และ Introvert อยู่ในตัว แต่อยู่ที่ว่าจะเอนไปในทิศทางไหนมากกว่ากัน
เพราะจริง ๆ Introvert ก็ไม่ใช่ว่าจะเงียบ โดดเดี่ยว เก็บตัวอย่างเดียว เพราะ Introvert ก็มีพื้นที่จะปลอดปล่อยความเป็นตัวเองออกมา
Talkative introvert
Talkative Introvert ไม่ชอบอยู่กับคนหมู่มาก ไม่ได้พูดจากับคนที่ไม่สนิท แต่ก็ไม่ได้เงียบตลอดเวลา
พออยู่กับคนที่สนิทแล้วรู้สึกปลอดภัย ก็จะกลายเป็นคนพูดมากสุด ๆ อาจจะสนุกสนานเฮฮามากเลยด้วยซ้ำ
หรือก็คือ Talkative Introvert คนที่ชอบเก็บตัวแต่พูดมาก มักจะเห็นว่า Introvert จะไม่ค่อยพูดอะไรมากแต่เขาจะพูดมากทันที
ถ้าได้คุยในประเด็นที่เขาสนใจ มี Passion มีความรู้เยอะ ๆ หรือ ถ้าได้คุยกับคนที่คุ้นเคย หรือสนิทมาก ๆ ก็จะพูดไม่หยุด
เพราะเขาเลือกมาแล้วว่า นี่คือคนที่เขาอยากคุยเรื่องราวต่าง ๆ ในระดับที่ลึกขึ้นมากกว่าแค่การถามไถ่ทั่วไป
พร้อมจะเปิดเผยตัวตน ทัศนคติต่าง ๆ ให้คนเหล่านั้นได้เข้าใจ
ภายในสังคมเราน่าจะมองว่าการใช้ชีวิตแบบชาว Extrovert ง่ายกว่า Introvert เพราะเข้าสังคมง่าย พูดคุยกับคนอื่นได้ง่าย
และเป็นเรื่องง่ายสำหรับการสังสรรค์หลังเลิกงานกับชาว Extrovert มากกว่า Introvert แต่จริง ๆ ชาว Introvert หลายคนก็สามารถกลมกลืนกับสังคมได้ง่าย
ตามรูปแบบของเขาและถ้าหากเราเปิดใจให้ชาว Introvert รับฟังและเข้าใจในตัวตนของเขา เราเชื่อว่าชาว Introvert
จะค่อย ๆ รู้สึกวางใจในสังคมที่เขาอยู่และอาจจะเริ่มสนิทกับคนในสังคมนั้นได้มากขึ้น แค่เราต้องให้เวลาเขาแค่นั้นเอง
ทำไมเราไม่ควรเชื่อความคิดตัวเองหลังเที่ยงคืน
เคยเปลี่ยนใจในเช้าวันใหม่จากการตัดสินใจของตัวเราไหม . .
เหมือนกับการลบโพสต์ที่เพิ่งโพสต์ไปเมื่อคืนก่อนนอนไม่ว่าจะโพสต์ด้วยอารมณ์ไหนก็ตาม
แต่พอตื่นขึ้นมา เริ่มรู้สึกและคิดว่า “ไม่น่าทำแบบนั้นเลย ลบดีกว่า”
เป็นธรรมดาที่จะอ่อนไหวในช่วงเวลากลางคืน ทำให้บางทีมีความคิดที่ฟุ่งซ่าน คิดมาก หรือคิดสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต
ถึงแม้ในช่วงเวลากลางคืน ร่างกายเราจะรู้สึกสงบ ผ่อนคลายแต่ก็ส่งผลให้กล้าพูดความรู้สึกที่จริงใจออกมาในช่วงเวลานี้
ความคิดจิตใจหลังเที่ยงคืน
มนุษย์เราถูกออกแบบมาให้ทำงานในช่วงกลางวันซึ่งสอดคล้องกับพระอาทิตย์ขึ้นและพักผ่อนในช่วงกลางคืนซึ่งก็คือพระอาทิตย์ตก
มีแนวคิดสมมติฐานเรื่องความคิดจิตใจหลังเที่ยงคืน (Mind after Midnight) จากวารสาร Frontiers in Network Psychology
โดยเขาเชื่อว่า ร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงเวลากลางวันโดยในเชิงวิวัฒนาการจะเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ออกล่าหาอาหารนั่นเอง
ในทางกลับกัน หากเราออกหากินในเวลากลางคืน สมองที่ถูกบังคับให้ตื่นตัวในเวลานั้นซึ่งไม่ใช่เวลาทำงานตามปกติ
จะทำให้คน ๆ นั้นเกิดการตอบสนองต่อสิ่งเร้าและอารมณ์เชิงลบได้ไวกว่าปกติ หรืออีกกรณี เวลากลางคืนน่าจะทำให้คนเรามองโลกในแง่ร้ายมากขึ้น
ตัดสินใจเร็วหรือทำอะไรที่เสี่ยงมากขึ้นโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา เช่น การกินตามใจปาก การใช้ความรุนแรง
โดยในช่วงเวลาระหว่างเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า พบว่า เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนมักมีแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นมากกว่าเวลาอื่นของวันถึง 3 เท่า
ผู้ที่เสพยาเสพติดมักควบคุมความอยากของตนเองได้ดีในเวลากลางวัน แต่มักพ่ายแพ้ต่อความอยากในเวลากลางคืน
ความคิดคนเราหลังเที่ยงคืนเป็นอะไรที่เสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ง่ายมากหากเราไม่มีสติที่จะควบคุมมันได้มากพอ
ตัดสินใจเรื่องสำคัญช่วงเที่ยงคืน
สะท้อนตัวเองว่า ตอนนี้ที่เราคิดหรือรู้สึก เรากำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร แล้วจะเลือกทำวิธีไหนก็ได้ที่จะไม่ทำให้สุขภาพทั้งกายและใจเราพังทีหลัง
ดังนั้นหากจำเป็นต้องตัดสินใจในช่วงเวลานี้จริง ๆ ก็คงต้องกรองความคิดตัวเองซ้ำ ๆ ต้องใช้เวลาตกตะกอนสักระยะนึงหน่อย
สุดท้าย จะเชื่อมั่นเฉพาะความคิดที่ถูกตกตะกอนมาดีแล้วว่า โอเค เรารู้สึกหรือคิดแบบนี้กับเรื่องนี้จริง ๆ ก็จะยอมรับความคิดและการตัดสินใจนั้นของตัวเอง
ที่มา :
สมองมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานหลังเที่ยงคืน