Posts
Trust issue ความไว้ใจ บางคนต้องเผชิญกับประสบการณ์เชิงลบที่ไม่ดีในอดีต
อาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องความไว้ใจ แล้วส่งผลเสียต่อมิตรภาพกับครอบครัว เพื่อน แฟน หรือแม้กระทั่งกับตัวเรา
Trust issue ปัญหาด้านความไว้ใจ
“Trust issue” เป็นคำที่ใช้เรียกกันทั่วไป เพื่อบ่งชี้เมื่อมีคนแสดงพฤติกรรมที่ไม่ไว้วางใจเป็นนิสัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ความไม่ไว้วางใจถ้าเป็นระยะยาวจะผลต่อชีวิตประจำวัน กับทั้งตัวเราเองและกับความสัมพันธ์รอบตัว
สัญญาณของการขาดความไว้วางใจ
- ตั้งคำถามถึงการกระทำของคนอื่นที่ปฏิบัติกับเรา เป็นเจ้าหนูจำไมแทบทุกเรื่อง
- ถึงแม้ว่าคนอื่นจะใจดีกับเราแต่เราก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงใจดีกับเรา เขาต้องการอะไรจากเรากันแน่
- สงสัยไม่แน่ใจในตัวเอง เป็นความสงสัยที่ทำร้ายตัวเอง
- ตีตัวออกห่างจากผู้อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวัง
- Needy Relationship การขัดสนในความสัม เป็นความสัมพันธ์ที่เราต้องการความรักความมั่นใจจากคู่ของเรา ไม่ใช่แค่กับแฟน แต่หมายถึง เพื่อน หรือ ความสัมพันธ์อื่น ๆ ด้วยโดยความต้องการที่มากเกินกว่าอีกฝ่ายจะให้ได้
- มีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
หวาดระแวง VS ไม่ไว้ใจ
ถ้าเราพูดถึงความไม่ไว้ใจแล้วเหมือนจะมีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่คำว่าหวาดระแวง กับ ไม่ไว้ใจ จริง ๆ แล้วสองคำนี้แตกต่างกัน
โดยทั่วไปความไม่ไว้วางใจมีรากฐานมาจากความเป็นจริง เราเคยพบเจอกับบางสิ่งที่ทำให้สงสัยในความน่าเชื่อถือของผู้อื่น
เช่น การที่โดนพ่อแม่โกหก การโดนเพื่อนแกล้ง การโดนนอกใจ แต่ ความหวาดระแวงหมายถึงความสงสัยและความหวาดระแวงอย่างไม่มีเหตุผล รุนแรง
เช่น เคยโดนแฟนเก่านอกใจ ส่งผลให้ระแวงแฟนที่คบอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคนปัจจุบันยังไม่ได้ทำอะไรใช้ชีวิตปกติสุขกับเราแต่เราก็ไประแวงเขาซะอย่างงั้น
Kali Wolken ที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตที่มีใบอนุญาตใน Grand Rapids รัฐมิชิแกนอธิบาย…
“ ความไว้วางใจตั้งอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ที่เรียนรู้ ความหวาดระแวงไม่มีที่มา ด้วยความหวาดระแวง จึงไม่มีหลักฐานสนับสนุนความสงสัยที่เกิดขึ้นกับบุคคลหรือประสบการณ์”
ปัญหาใน Trust issue มาจากไหน?
ประสบการณ์ในวัยเด็ก
ความไว้วางใจเริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงแรก ๆ ของชีวิต สังคมแรกที่เราเจอคือสังคมของครอบครัวเราพึ่งพาพ่อแม่
นักจิตวิเคราะห์ เอริค อีริคสัน เรียกช่วงของชีวิตนี้ว่าระยะความไว้วางใจกับความไม่ไว้วางใจและเขาเชื่อว่าระยะนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางการพัฒนาในอนาคต
คนที่เติบโตมากับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนฝูงที่ให้การสนับสนุนและไว้วางใจได้อาจมีแนวโน้มที่จะเชื่อใจผู้อื่นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้ตั้งแต่เนิ่น
คนสำคัญในชีวิตของเราสามารถส่งผลต่อระดับความไว้วางใจของเราในภายหลังได้ ถ้าเราเชื่อใจผู้คนรอบตัวเรา และพวกเขาตอบแทนความไว้วางใจนั้น
เราจะใกล้ชิดกับพวกเขามากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากความไว้วางใจนั้นถูกทำลาย เราอาจพบว่าตัวเราเองไว้วางใจผู้อื่นน้อยลงในอนาคต
- ทฤษฎีรูปแบบความผูกพัน
ทฤษฎีรูปแบบความผูกพันแสดงให้เห็นว่าการที่เราผูกพันกับคนที่เราอยู่ด้วยในวัยเด็กส่งผลโดยตรงต่อวิธีสร้างความสัมพันธ์ของเราเมื่อเป็นผู้ใหญ่
รูปแบบความผูกพันที่ไม่ปลอดภัยคิดว่าเป็นผลมาจากผู้ปกครองที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการบางอย่างเมื่อเราโตขึ้น
เช่น การเลี้ยงดูที่ปล่อยปะละเลย ไม่ใส่ใจ อาจนำไปสู่รูปแบบสัมพันธ์ความผูกพันที่น่ากังวล ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความกลัวการละทิ้งในภายหลังในชีวิต
ในปี 2015 การศึกษาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ซึ่งสืบสวนความไม่ไว้วางใจในความสัมพันธ์แบบคู่รัก พบว่ารูปแบบความผูกพันเกี่ยวข้องโดยตรงกับระดับความไม่ไว้วางใจในความสัมพันธ์
ไม่ไว้วางใจพฤติกรรมที่คาดการณ์ไว้ เช่น ความหึงหวง ความรุนแรงที่ไม่ใช่ทางกายภาพ การทำร้ายจิตใจ และพฤติกรรมการสอดแนม
- การกลั่นแกล้งหรือการปฏิเสธ
ประสบการณ์ระหว่างบุคคลและสังคมส่งผลต่อความไว้วางใจที่เรามีต่อผู้อื่น การถูกรังแกหรือเผชิญกับการถูกปฏิเสธจากสังคมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
สามารถนำไปสู่ปัญหาความไว้วางใจได้ หากคนรอบข้างทำร้ายเราซ้ำ ๆ อาจเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อใจใครเป็นผู้ใหญ่เพราะกลัวว่าเราจะเจ็บอีกครั้ง
- ประสบการณ์ความสัมพันธ์เชิงลบ
ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีทำให้การไว้วางใจผู้อื่นเป็นเรื่องยาก เช่น แฟนที่ใช้ความรุนแรงทางอารมณ์อาจทำให้ยากสำหรับเราที่จะเชื่อใจผู้อื่นในอนาคต
เนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะทำร้ายหรือเอาเปรียบเรา หรือการนอกใจก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดจนทำลายความสัมพันธ์ได้เหมือนกัน
- การบาดเจ็บหรือ PTSD
สภาพสุขภาพจิตหรือเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจยังสามารถส่งผลต่อปัญหาความไว้วางใจได้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อวิธีที่เรามองตัวเองและความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น
ตัวอย่างเช่น ปัญหาความไว้วางใจอาจแสดงออกมาเป็นอาการของโรคความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD)
สร้างความไว้ใจกลับมาได้ยังไง
การที่จะกลับมาเชื่อใจ วางใจคนอื่นสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องของ Trust issue เป็นเรื่องที่ยาก
แต่วิธีการบางอย่างอาจช่วยให้เราเรียนรู้วิธีสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นและไว้วางใจได้มากขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ
- เริ่มต้นสร้างความไว้วางใจจากเรื่องเล็ก ๆ
มองหาวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่จะไว้วางใจผู้อื่น สิ่งที่จะทำให้เราวางใจคนอื่นได้มากที่สุดก็คือตัวเรา เริ่มจากการผลักดันตัวเองให้เชื่อใจผู้อื่นในปริมาณเล็กน้อย
จนกว่าเราจะสามารถเชื่อใจบางสิ่งที่สำคัญกว่าได้ เมื่อมีคนพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถรับความไว้วางใจจากเราในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราอาจพบว่าตัวเองสบายใจขึ้นโดยขึ้นอยู่กับพวกเขามากยิ่งขึ้น
- คิดในแง่บวก
พยายามมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับผู้อื่น เริ่มจากความเชื่อที่ว่ามีคนที่ใจดีที่มองอะไรดี ๆ ให้เราจริง ๆ การเปิดใจ เปิดกว้าง และทัศนคติในแง่ดีอาจช่วยลดความไม่ไว้วางใจผู้คนโดยทั่วไปได้
- ไว้วางใจอย่างระมัดระวัง
การเชื่อใจง่ายเกินไปอาจทำให้ผิดหวังได้ เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ที่จะไว้วางใจผู้คนในระดับที่ต้องการ เช่น กับกลุ่มเพื่อนคนนี้เราพูดเรื่องนี้ไ
ด้ กับอีกกลุ่มเราสามารถเลือกวางใจในเรื่องนี้ได้ ซึ่งบุคคลในชีวิตเราอาจต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคนที่เชื่อถือได้ ซื่อสัตย์ และคู่ควรแก่ความไว้วางใจของเรา
- ให้โอกาส
คนทุกคนเวลาทำผิดถ้าเขายังอยากที่จะมีเราอยู่ในชีวิตเขาย่อมต้องปรับปรุงตัว ถ้ามีสถานการณ์นี้เกิดขึ้นเราลองวางใจและให้โอกาสเขา
- พูดคุยกับนักบำบัด
การขาดความไว้วางใจในผู้คนส่งผลต่อความสามารถในการทำงานได้ตามปกติหรือทำให้เกิดความทุกข์ ลองพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
วิธีบำบัดที่แตกต่างกันหลายวิธีสามารถช่วยค้นพบและแทนที่ความคิดเชิงลบที่ซ่อนอยู่ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการไว้วางใจ
ที่มา :
How to Cope When Trusting Is a Challenge
พฤติกรรม ชอบส่อง ชอบดู ชอบแชร์โพสต์ของคนที่เราไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็น แฟนเก่า เเฟนเก่าของแฟนใหม่ เพื่อนที่เลิกคบกันไป
รวมไปถึงดาราคนมีชื่อเสียง รู้สึกไม่ชอบแต่ก็ยังอยากจะดู อยากจะอ่าน อยากจะรู้เขาเป็นยังไง ทำไมเราถึงชอบส่อง รู้แล้วสบายใจจริงหรอ
นิสัย ชอบส่อง คืออะไร?
Hate-Stalking พฤติกรรมการตามส่องดูคนที่เราไม่ชอบในโซเชียลมีเดีย ถึงแม้ว่าจะรู้สึกไม่ชอบ บางครั้งก็รู้สึกเกลียด
แต่ก็เลิกส่อง เลิกดูไม่ได้ ไปทำไปมาก็รู้สึกมีความสุข รู้สึกสะใจถ้าคนที่เราชอบส่องมีความทุกข์ใจ พฤติกรรม ชอบส่อง เปรียบเสมือนการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง
นิสัย ชอบส่อง มีประโยชน์ไหม?
พฤติกรรมดังกล่าวเป็นนิสัยที่พบได้ทั่วไป เป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง มักจะไม่เป็นอันตรายในระยะสั้น แต่ก็เป็นกิจกรรมที่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ กับชีวิต
เกี่ยวกับฮอร์โมน อารมณ์ความรักและความเกลียดชังต่างถูกกระตุ้นจากสมองในส่วนเดียวกัน ส่งผลให้ความรู้สึกพึงพอใจหลั่งไหลออกมาแบบเดียวกัน
เมื่อคนเรารู้สึกเกลียดจึงสร้างความรู้สึกพึงพอใจได้ พอทำบ่อย ๆ จะทำให้เราเสพติดความสุขจากการ Hate-Stalking คนอื่น ๆ ในอนาคตได้
ดร.เมแกน กล่าวว่า การที่เราระบายความรู้สึกเชิงลบออกไปในโลกโซเชียลบ้าง สามารถช่วยลดความเครียด ความเศร้า หรือความวิตกกังวลได้อย่างรวดเร็ว
และการเติมอีโก้ของตัวเองด้วยการตัดสินผู้อื่นผ่านโลกออนไลน์ สามารถกระตุ้นให้สมองปล่อยสาร “โดปามีน” ที่ให้ความรู้สึกดีออกมาได้
ดังนั้นหลายคนจึงตกหลุมพรางบ่มเพาะพฤติกรรม ชอบส่อง ได้ง่าย ๆ จนติดเป็นนิสัย
ทำไมถึงหยุดส่องไม่ได้?
- พฤติกรรมชอบส่องเหมือนกับนิสัยการเสพติดอื่น ๆ เป็นนิสัยที่เกิดเพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง อาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในพฤติกรรมนี้ ถ้าอยากหยุดพฤติกรรมส่อง เราต้องรู้ตัวก่อนว่า เพราะอะไรเราถึงส่องอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราส่องคน ๆ นี้ เช่น คนนี้ทำให้เรารู้สึกไม่ดีใช่ไหม? เราเลยเลิกส่องเขาไม่ได้ หรือว่าโกรธ หรือว่าอิจฉา หรือว่าเราอยากรู้ว่าชีวิตคนอื่นเป็นยังไงถ้าไม่มีเรา
- โซเชียลมีเดียทำให้เราสามารถรู้ว่าเพื่อนของเรากำลังทำอะไรอยู่ทุกช่วงเวลาของวันแบบเรียลไทม์
- เพราะเวลาเราส่องคนที่ไม่ชอบแล้วเรารู้ว่าเรามีชีวิตที่ดีกว่าเขาทำให้เรามีความสุข หรือรู้ว่าตอนนี้เขากำลังเศร้าก็ทำให้เรามีความสุข หลายคนจึงตกหลุมพรางบ่มเพาะพฤติกรรม ชอบส่อง ได้ง่าย ๆ จนติดเป็นนิสัย
ข้อสังเกต ข้อมูลจาก Medium
- เราทุกคนจะมีคนที่เราแอบตามดู แอบตามส่อง มีบางสิ่งบางอย่างที่อยากแสดงออกไปแต่แสดงออกมาไม่ได้ เช่น ไปชายหาดอยากแต่งตัวบิกินี่แต่ไม่มั่นใจ เลยไปตามดูคนที่ใส่บิกินี่สวย ๆ เพื่อสนองความต้องการที่เราทำไม่ได้
- คนที่เราติดตาม คนที่มีความสนใจคล้ายกันมากกับเราหรือทำสิ่งที่เราอยากทำกับชีวิตของเรา
- เราอาจจะไม่ได้เกลียดพวกเขา จริง ๆ แล้วเราอาจรู้สึกชื่นชมสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ เราชอบส่องเพราะเขามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราชอบ
อยากหยุดพฤติกรรม ชอบส่อง ทำอย่างไร ..
เริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ
พฤติกรมม ชอบส่อง ที่เราทำจากที่เราทำแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าเราทำเรื่อย ๆ จนกลายเป็นชีวิตประจำวันนั้นจะกลายเป็นความ Toxic กับตัวเรา เมื่อเราเริ่มรู้สึกว่าไม่ปกติ
เราไม่อยากส่องแล้ว เราต้องค่อย ๆ มีสติกับตัวเอง การฝึกใจตัวเองให้ควบคุมว่าห้ามส่องนะ เริ่มจากวันนี้แล้วไปทีละวัน การส่องก็ยอมรับว่าถ้ามันไม่ได้ทำให้เราบั่นทอนหรือรู้สึกไม่ดีถึงขั้น
กระทบกับความรู้สึกเราขนาดนั้นก็ต้องยอมรับว่ามันคือเรื่องปกติ แต่ถ้าถึงขั้นนั้นเมื่อไหร่คือต้องพอ
เปลี่ยนจุดโฟกัสจากโฟกัสคนอื่น มาที่ตัวเราเอง
เราชอบส่องเพราะเขาน่ารักเราลองเอาสิ่งที่เราชื่นชม เอามาปรับปรุงตัวเอง ผลักดันตัวเอง หรือไม่ก็ถ้าเรา
Toxic กับตัวเราเองกับนิสัยชอบเราเราเฟดตัวเองออกมาก็เป็นสิ่งที่ดีก่อนที่เราจะรู้สึกแย่กับตัวเอง
ที่มา :
Why do we keep tabs on people we can’t stand?
Why Are You Obsessed With Her Instagram?
Passion ในทางจิตวิทยาหมายความว่าอย่างไร จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันมากแค่ไหน
เมื่อเรามี Passion ที่แตกต่างไปจากค่านิยมของสังคม จะรับมือกับความรู้สึกกดดันที่ตามมาอย่างไร
Passion คือ . .
การที่คน ๆ นึงมีความชื่นชอบจนเอาเวลาและพลังงานไปทุ่มเทกับสิ่งนั้น Passion ในแต่ละคนจะมีลักษณะความรู้สึกที่ต่างกัน บางคนชื่นชอบมากมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ
บางคนไม่ได้ชอบแต่ถ้ามีเวลาก็แบ่งมาทำเป็นแรงจูงใจที่ทำให้สบายใจ แต่บางคนเวลาที่ทำสิ่งนั้นก็จะหลุมหลงถ้าไม่ได้ทำจะไม่มีความสุขเลย
หรืออีกรูปแบบเป็น Passion ที่สังคมกำหนดมา ถ้าไม่ได้ทำจะรู้สึกไม่มีความสุข
เช่น Passion ที่สังคมนำมาเป็นบรรทัดฐานว่าต้องประสบความสำเร็จขั้นไหน มีเงินเก็บกี่บาทถึงเรียกว่าประสบความสำเร็จ
ไม่มี Passion แปลกไหม . . .
มนุษย์ดำรงชีวิตแบบมีเป้าหมายเป็นพื้นฐานกันอยู่แล้ว แต่เป้าหมายที่เรามีไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นหมายที่ต้องเป็นรูปธรรมในเชิงที่สังคมกำหนด บริบทของสังคมพยายามเข้ามากำหนดเรา
ถ้าอยากมีความสุขต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ต้องการยอมรับจากสังคมทำให้เรามี Passion ที่ทำร้ายตัวเอง เป้าหมายก็เปรียบเสมือนกับดาบสองคม
Passion กลับมาทำร้ายตัวเอง
ลองถามตัวเองว่าจริง ๆ แล้วตัวเราต้องการอะไร สิ่งที่เราต้องการที่แท้จริง ระหว่างเดินไปแบบมีความสุข กับเดินไปแบบห่อเหี่ยวรอให้สำเร็จ หากถ้าเราคิดว่าเรากำลังหลงทางอยู่ ไม่มีคำว่า หลงทาง เพราะนั้นคือการเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ณ วินาทีนั้น
หมด Passion ในชีวิต
สาเหตุที่เราหมด Passion บางครั้งอาจจะเกิดจากบริบทเปลี่ยน การเรียนรู้เปลี่ยนค้นพบว่าเราควรไปอีกทางมากกว่าทางเดิม หรือบางครั้ง Passion อาจจะไม่ได้หายไป แต่เราแค่เหนื่อยลองให้เวลาตัวเองได้พักก่อน
“ อารมณ์จะกลายเป็นพิษถ้าคุณซ่อนไว้ และเป็นยารักษาใจถ้าคุณยอมรับมัน ”
หนังสือเรื่อง อย่าเก็บอารมณ์ไว้ให้ใจเจ็บปวด หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับอารมณ์
หนังสือเล่มนี้พูดถึงอารมณ์ การจัดการอารมณ์ วิธีรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ เขียนโดย ดร.หลิวเพ่ยเซียน และแปลโดย คุณ ชัยชาญ นวลมณี
สามเหลี่ยมอารมณ์
สามเหลี่ยมอารมณ์ เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราเข้าใจอารมณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมากขึ้น สามเหลี่ยมอารมณ์จะเป็นสามเหลี่ยมคว่ำ
ตรงยอดปลายคว่ำจะเป็นอารมณ์หลัก เช่น ความสุข ตื่นเต้น กลัว เสียใจ รังเกียจ ความโกรธ สิ่งที่เป็นอารมณ์หลักคือสิ่งที่เรารู้สึกและต้องเผชิญ
ฝั่งซ้ายของสามเหลี่ยมคือ กลไกลป้องกัน เป็น พฤติกรรมที่ปกป้อง ปิดกั้นไม่ให้เรารู้สึก เบี่ยงเบนความรู้สึกที่เราควรจะรู้สึก
ฝั่งขวาของสามเหลี่ยมคือ อารมณ์ที่ถูกระงับ อารมณ์ที่ควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เราเลือกปิดกั้นระงับอารมณ์ไว้
เรามักจะแยก อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกไม่ค่อยออกเวลากำลังเผชิญกับความรู้สึก เช่น ถ้าเราโดนแฟนบอกเลิกมาเราจะทำอะไรต่อ หลายคนคงจะตอบว่าออกไปหาเพื่อน
ออกไปหากิจกรรมอย่างอื่น แต่ไม่ค่อยมีใครตอบว่าให้เวลากับตัวเอง ได้ปลอดปล่อยอารมณ์เสียใจออกมา เรามักจะเห็นในหนัง หรือกับชีวิตจริงที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ
ทำไมช่วง 1-2 อาทิตย์แรกถึงรู้สึกอยู่ได้แต่พอหลัง ๆ ความเสียใจได้ก่อตัวทรมานขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นลองไม่ปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง ไม่ใช้กลไกลการปกป้อง
ไม่ทำให้อารมณ์ที่ควรเกิดขึ้นถูกระงับ เมื่อรู้สึกอย่างไรลองหายใจลึก ๆ แล้วจับอารมณ์นั้นให้ถูกแล้วปลดปล่อยอารมณ์เหล่านั้นออกมา
ความเหงา
เราจะสนิทกันได้ยังไงถ้าเราไม่เผยในมุมที่อ่อนแอ ความเหงาเป็นความรู้สึกที่เฉพาะตัว ไม่มีใครเข้าใจ ความเหงาไม่เท่ากับการอยู่คนเดียว
และไม่ได้ขึ้นว่ามีคนอยู่รอบตัวทั้งหมดกี่คน มีคนหลายคนที่กำลังเที่ยวหรือกำลังปาตี้แต่ในใจก็ยังมีความรู้สึกเหงาอยู่ดี
หรือแม้แต่คนที่แต่งงานกับคนรักมา 10 ปีแต่พอกลับมาบ้านก็รู้สึกเหมือนอยู่กันคนแปลกหน้า และเหงาอยู่ดี
ความเหงาเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นบ่อยเกินไปความเหงาจะเหมือนการสูบบุหรี่ห้ามวนต่อวัน
หนังสือเล่มนี้ได้บอกว่าความเหงานั้นไม่เกี่ยวกับว่าเราใช้เวลากับคนอื่นมากน้อยแค่ไหน
แต่เกี่ยวกับคุณภาพความสัมพันธ์ที่เราเต็มใจปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอเมื่ออยู่กับคนอื่นหรือเปล่า
อ่อนแอในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่กับคนอื่นแค่เพียงช่วงเวลาเศร้า แต่หมายถึงทุกความรู้สึกที่เราเต็มใจปล่อยออกมาโดยไม่มีอะไรการปิดกั้น
หรือกลไกลการเบี่ยงเบนความรู้สึกเรายินดีที่จะแสดงข้อด้อย และยินดีที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริง
ข้อคิดที่ชอบ
“เรารับผิดชอบอารมณ์ของตัวเราเองเท่านั้น ความผิดหวังและความเศร้าของอีกฝ่าย ไม่ควรมีใครต้องแบกรับหรือดูแล”
ในความเป็นจริงเราต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง การที่เราแชร์ความรู้สึกกับการที่เราอยากให้คนอื่นมารับผิดชอบความรู้สึกไม่เหมือนกัน
การที่เราแชร์หมายถึงว่า ถ้าหากว่าเศร้าก็ระบายให้เพื่อนฟังแต่ไม่ได้อยากให้เพื่อนมาทำอะไรบางอย่างให้เรารู้สึกดีขึ้น
หรือว่าตัวเราต้องไม่มองคนอื่นเป็นสนามอารมณ์ที่จะทิ้งอารมณ์ใส่เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี
คำพูดของการ Gaslighting ในความสัมพันธ์ที่ได้พบเห็นคำบ่อย ๆ
“เพราะเธอนั้นแหละ เราเลยทะเลาะกันแบบนี้”
“เรื่องแค่นี้เอง คิดมากทำไม”
“ไม่จริงนะ ไม่เคยพูดแบบนี้ มั่วแล้ว”
“เธอ sensitive เกินไปรึป่าว”
Gaslighting
Gaslighting เป็นรูปแบบพฤติกรรมรูปแบบนึงที่พยายาม Emotional Abuse หรือเรียกว่า ทำร้ายจิตใจ หรือ ล่วงละเมิดทางความรู้สึกคนอื่น
ที่ไม่มีใครควรที่จะเผชิญกับพฤติกรรมแบบนี้ โดยพฤติกรรม Gaslighting หรือที่เราเรียกกันว่า การปั่น การบงการ ถ้าเราโดนเราจะเริ่มสับสนกับตัวเอง เริ่มไม่มั่นใจ
จากที่เราคิดว่าเราทำถูก กลายเป็นว่าเรามองว่ามันผิด เรามองว่าคุณค่าในตัวเราเองมันลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งพฤติกรรม Gaslight ไม่ได้เกิดกับความสัมพันธ์ในรูปแบบแฟนเพียงอย่างเดียว
ยังสามารถเกิดได้ทั้งความสัมพันธ์แบบเพื่อน ครอบครัวก็ได้ และพฤติกรรมนี้เป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ Toxic relationship อีกด้วย
ที่มา Gaslight
ศัพท์คำว่า “Gaslighting” มีต้นกำเนิดมาจาก บทละครโดย Patrick Hamilton ปี 1938 ที่ชื่อว่า Angel Street เป็นบทละครที่โด่งดังมากในประเทศอังกฤษ
จน Hollywood ซื้อลิขสิทธิ์แล้วเอามาทำเป็นหนังชื่อ Gaslight ในปี 1944 ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ฝ่ายสามีพยายามจะปั่นหัวภรรยาให้คิดว่าตัวเองเสียสติ
ด้วยวิธีการชวนเขย่าประสาทเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น หรี่ตะเกียงน้ำมัน (อันเป็นที่มาของชื่อเรื่อง Gaslight) ทำให้ภรรยาเข้าใจว่า คิดไปเองคนเดียว
พยายามปลุกปั่นให้ภรรยาตัดขาดจากสังคมรอบข้าง และค่อย ๆ ทำให้ภรรยาคิดว่าตัวเองเสียสติจริง ๆ
Gaslight สัญญาณว่าเรากำลังโดนปั่น
การ Gaslight เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล และอาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตอื่น ๆ อีกด้วย
สัญญาณเตือนที่สามารถพิจารณาได้ทั้งตัวเราเองกำลังเป็นเหยื่อไหม หรือ ตัวเราเองได้ทำพฤติกรรมแบบนี้กับใครหรือเปล่า
- สงสัยในความรู้สึก และความเป็นตัวของเราเอง เช่น ถ้าคน ๆ นั้นพูดอะไรมาถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ผิดแต่เราก็คิดว่าไม่ใช่หรอก เขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนี่นา เป็นเพราะเรา คิดมากอ่อนไหวมากเกินไป
- กลัวที่จะแสดงความรู้สึกออกมา เลยเลือกที่จะเงียบ ในบางกรณีบางคนอาจเคยแสดงออกมาแล้วแต่ได้รับการโต้ตอบที่ไม่ดี เลยเป็นความกลัวที่จะสื่อสารออกมา
- รู้สึกถึงคามผิดปกติบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าอะไร
- รู้สึกอ่อนแอ หมดความเชื่อมั่นในตัวเอง และอาจมีภาวะซึมเศร้า เครียด กังวล เพิ่มเติมมาด้วย
- รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ดีไม่พอ
- สงสัยว่าอะไรคือความจริงกันแน่ และสงสัยว่าเราเป็นแบบที่คนที่เป็นฝ่าย Gaslight บอกมาจริง ๆ เช่น เป็นคนไม่เก่ง ไม่เป็นคนอ่อนไหว
- เป็นฝ่ายขอโทษอยู่ตลอดเวลา
- อีกฝ่าย ทำเป็นเฉยเมย ไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อหลีกหนีความผิด
อีกอย่างที่สำคัญคือ ผู้กระทำจะพยายามทำยังไงก็ได้ให้สุดท้ายชีวิตเราเหลือแต่เขา และต้องพึ่งพาเขา เหลือเขาอยู่คนเดียวในชีวิต กันเราออกจากคนรอบตัว
Gaslight ในรูปแบบต่าง ๆ ของความสัมพันธ์
ในรูปแบบของแฟน
“เพราะเธอไม่มีเวลา ฉันเลยไปมีคนอื่น”
แฟนมีคนอื่น แต่บอกว่าเป็นพราะว่าตัวเราเองที่เป็นคนไม่มีเวลา ไม่ใส่ใจ จนเราคิดว่าเป็นเพราะตัวของเราที่ทำให้สัมพันธ์ของชีวิตคู่เป็นแบบนี้
จนลืมถึงความจริงไปว่ามันมีทางออกอื่นอีกนะที่แฟนไม่ต้องไปมีมือที่ สาม การมีมือที่สามไม่ควรเกิดขึ้นในความสัมพันธ์
รูปแบบของครอบครัว
ในกรณีที่พ่อแม่มีคำพูดอยากให้เราทำบางสิ่งบางอย่าง โดยอ้างว่าเป็นเพราะพ่อแม่นะลูกถึงมีทุกอย่างอย่างวันนี้
การกระทำนี้ไม่ใช่การปั่นแต่เป็นแนวโน้มให้เรารู้สึกแย่ถ้าเราจะเลือกทำอีกทางนึงที่ไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ต้องการ
รูปแบบของที่ทำงาน
ความรู้สึกที่เราเหมือนคนไร้ความสามารถในที่ทำงาน ทำเท่าไหร่ก็ไม่ดีพอไม่ได้รับคำชมจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า ๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงเราทำได้ดีที่สุดแล้ว
ถ้าเราเป็นตกเป็นเหยื่อ . . .
ฝึกฟังเสียงของตัวเองให้มาก ๆ
พยายามมีสติอยู่เสมอ ช่วงเวลาในการโดนปั่น เรามักจะกังวล ประหม่า ไม่เชื่อถือในตัวเอง สับสน อยากที่จะควบคุมตัวของตัวเอง
เพราะฉะนั้นเราอาจจะจะต้องลองหาใครสักคนที่เราสามารถแชร์เรื่องนี้ได้เพื่อให้เขาคอยคอนเฟิร์มถึงความจริง และดึงสติให้เรา
เก็บหลักฐาน
เมื่อเรารับรู้ถึงความจริง แต่ผู้กระทำก็ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเราเอง เราต้องพยายามรักษาสิ่งที่เป็นความจริง หลักฐานที่เรามี คำพูด การกระทำต่าง ๆ
ที่เราสามารถมาดูในภายหลังได้เพื่อให้ไม่ให้ตัวเราของเราเองถูกปั่นไปเพียงเพราะคำพูดหรือการกระทำของเขา
กำหนดขอบเขต
การกำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ก็สำคัญเหมือนกัน เมื่อเรารู้ว่าสิ่งไหนที่ทำให้เรารู้สึกแย่ในความสัมพันธ์เราขีดเส้นให้ตัวเรา
เพื่อไม่ให้เขาก้าวข้ามขอบเขตมาทำให้เรารู้สึก Toxic
พาตัวเองออกมาจากความสัมพันธ์นั้น
เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกแย่มากพอ แล้วเข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ควรไปต่อ เราลองพักจากความสัมพันธ์นั้นมาเพื่อรักษาความรู้สึกของตัวเราเอง
ที่มา
What Are the Signs of Gaslighting?
Red Flags of Gaslighting in a Relationship
Gaslighting and How to Respond
รักต่างวัย หลาย ๆ ครั้งอาจจะตามมาด้วยปัญหา เช่น สายตาสังคม การสื่อสารระหว่างกัน จะรักษาความสัมพันธ์อย่างไรให้รักยืนยาว
มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X พ.ต.อ พญ. อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์ 🙂
ความรักกับอายุสัมพันธ์กันอย่างไร ?
เวลาเรารักใครซักคน เปรียบเหมือนเราตาบอด เรามักจะไม่ได้สนอายุของอีกฝ่าย หรือเขาจะเป็นใครมาจากไหน ความรักมีอนุภาคร้ายแรงทำให้เรามองข้ามบางสิ่งไป และบางสิ่งจะได้รับข้อยกเว้นไปเพียงเพราะรัก
จะรับมืออย่างไรกับสายตาสังคม ?
เนื่องจากค่านิยมในสังคม เวลามีคู่ ควรมีอายุที่ใกล้เคียงกัน ผู้ชายควรมีอายุที่มากกว่า ผู้หญิงอายุน้อยกว่า แต่เนื่องด้วในปัจจุบันด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
เริ่มมีความอิสระ เเละ เสรี กรอบทางสังคมเริ่มจางลง เมื่อพบเจอใครที่พูดคุยกันรู้เรื่อง มีความคิดแนวทางเหมือนกัน หรือที่เรียกว่าเคมีตรงกันก็สามารถคบหากันได้อย่างเปิดเผย
เมื่อถึงวัยอายุ 20 ปีขึ้นไป ถือว่าบรรลุนิติภาวะ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เมื่อไปคบกับผู้ใหญ่ที่อาจจะมีอายุ 31 หรือ 41 ก็ ถือว่า ผู้ใหญ่ 2 คนมาทำความรู้จักหรือคบหากัน
ช่วงอายุที่ต่างกันในความสัมพันธ์ส่งผลอย่างไร ?
ช่องว่างระหว่างวัย
ยกตัวอย่างเช่น วัยเกษียณ คบหากับ วัยทำงาน อีกคนหนึ่งต้องวุ่นวายกับการทำงาน สร้างเนื้อสร้างตัว แต่อีกคนอาจจะมีชีวิตที่มีเวลาว่าง สบาย ๆ ก็จะต้องปรับเวลาเข้าหากันมากขึ้น
ในเรื่องของมุมมองและทัศนคติก็เช่นกัน แต่หากมีช่วงวัยที่ใกล้เคียงกันก็จะมีความใกล้เคียงกันด้านต่าง ๆ มากกว่า ปรับตัวเข้าหากันได้ง่ายยิ่งขึ้น
รักต่างวัย จะสื่อสารอย่างไรให้เข้าใจกัน ?
รักต่างวัย ควรยอมรับซึ่งกันและกัน เราไม่สามารถเปลี่ยนเขาได้ ในขณะเดียวกันเขายังเปลี่ยนเราไม่ได้เช่นเดียวกัน
แต่ค่อย ๆ ปรับตัวพูดคุยเข้าหากันเพื่อรักษาความสัมพันธ์ เพราะความรักไม่สามารถทำให้เราทนได้ทุกอย่าง
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์ ?
“ดูแลซึ่งกันและกัน” ไม่ว่าจะเรื่องของจิตใจ ร่างกาย ชีวิตและ ความเป็นอยู่ และ “ยอมรับข้อจำกัดของกันและกัน”
สามารถติดตามความอื่น ๆ ได้ที่ Alljit Blog
การร้องไห้เป็นพฤติกรรมหนึ่งที่คนแสดงออกเมื่อเสียใจ แต่หลาย ๆ ครั้งเรากลับไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรเรา ร้องไห้ไม่มีสาเหตุ
เกิดจากอะไร จะรับมืออย่างไร มาหาคำตอบกับ ดร. ทศพิธ รุจิระศักดิ์ นักจิตวิทยาการปรึกษา
ร้องไห้ โดยไม่มีสาเหตุเกิดจากอะไร?
ทุก ๆ การร้องไห้ย่อมมีสาเหตุ แต่สาเหตุนั้นเจ้าตัวจะรับรู้ถึงสาเหตุได้มากน้อยแค่ไหน . . .
อยากให้ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เวลาที่มีคลื่นความเศร้าถาโถมเข้ามาในใจ ระหว่างนั้นเรากำลังนึกถึงเรื่องอะไรอยู่…?”
คลื่นความเศร้ามาพร้อมความ ดิ่ง ๆ ดาวน์ ๆ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเราเหนื่อยจัง ในขณะนั้นเราไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจเพียงอย่างเดียว
แต่มีความเหนื่อยล้าเข้ามาด้วย จริง ๆ แล้วในช่วงเวลานั้นหาให้เจอว่า เรากำลังเศร้าหรือเหนื่อย ความรู้สึกไหนที่เข้ามากระทบมากกว่ากัน
และพอเมื่อเรารู้สึก เศร้า เสียใจ จะมีเสียงในใจที่บอกว่าไม่เป็นไร พอเรามีเสียงนี้แทรกเข้ามาทำให้เราได้ยินเสียงความเศร้า ความเหนื่อยล้าได้ชัดน้อยลง เราเลยฟันธงไปว่ามันไม่มีสาเหตุ
ความเศร้ามีที่มาแต่หลายครั้งไม่ได้ถูกรับฟัง ความเศร้าก็เหมือนเพื่อนของเราคนนึง แต่ก็มีเพื่อนอีกคนนึงที่บอกว่าอย่าไปฟังความเศร้า
ถ้าเสียงของความเศร้าได้แสดงออกมาเต็ม ๆ เราก็จะได้รับสารของความเศร้าที่พยายามสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน
ร้องไห้บ่อยผิดปกติหรือไม่ ?
ถ้าการร้องไห้ไม่ได้เข้ามารบกวนการใช้ชีวิตประจำวันถือว่าไม่ผิดปกติ แต่ในสายตาคนอื่นที่เห็นว่าเราร้องไห้บ่อย อาจจะตัดสินว่าเราร้องไห้บ่อยเกินไป
วิธีรับมือกับสายตาคนอื่นที่มองมาที่เรา เช่น สถานะความสัมพันธ์ในคู่รักจะมีอีกฝ่ายที่อ่อนไหว และรู้สึกมากกว่า ถ้าเรารู้สึกแบบนั้นเราก็ควรสื่อสารให้เขารู้
ถ้าเขารับมือกับเราได้ มีวิธีที่จะอยู่กับเรา เราก็จะเดินหน้าต่อไปได้ แต่ถ้าแฟนเรามีวิธีที่ไม่ได้เห็นความสำคัญกับสิ่งที่เราเป็น
อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าความสัมพันธ์นี้อาจจะมีปัญหาบางอย่างในการไปต่อ
การร้องไห้มีข้อดีอย่างไร?
เวลาเราเกิดอารมณ์ทางลบอยู่ในใจแล้วเรากดอารมณ์ไม่อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้เลย สามารถส่งผลเสียทางร่างกายได้
- สามารถทำให้สภาพร่างกายเป็นพิษได้ แต่ถ้าเรามีช่องให้ร่างกายได้ร้องไห้บ้างจะทำใ้ร่างกายเราสามรถเคลียร์ตัวเองได้เหมือนกัน
- รักษาสมดุลทางอารมณ์ได้มากขึ้น อนุญาตให้ตัวเองมีความรู้สึกทางลบได้บ้าง
สามารถปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญได้หรือไม่?
ถ้าหากว่าเราลองพูดคุยกับตัวเองแล้ว ปรึกษาคนอื่นแล้ว แต่เราจัดการไม่ได้ เราสามารถไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญหาทางออก
ช่วยเหลือเราในอีกทางหนึ่งได้เหมือนกัน เพราะเรื่องบางเรื่องการที่มีใครบางคนที่เข้ามาช่วยเหลือคงจะดีกว่าการที่เราพยายามหาทางออกอยู่เพียงคนเดียว 🙂
ตัดสินคนอื่น หรือกลัวว่าเขาจะคิดยังไงนะ เขาจะมองเรายังไงนะ เคยมีคำถามแบบนี้กับตัวเองหรือเปล่า หลายคนไม่กล้าลงมือทำ ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าเป็นตัวเองตัวเอง
เพราะกลัวสายตาของคนอื่นว่าจะตัดสินอย่างไร จะรับมืออย่างไร มาหาคำตอบกันใน รายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂
เคยกลัวการถูกตัดสิน หรือไม่ ?
ความกลัวเป็นธรรมชาติ มักเกิดในสถานที่ไม่คุ้นเคย ที่ตรงนั้นไม่มั่นคงปลอดภัย เราอาจจะคิดว่าตรงนั้นจะเป็นยังไง คนอื่นจะมองเราอย่างไร
การตัดสินคนอื่น เกิดจากอะไร?
การตัดสินคือ พื้นฐานที่เราจะต้องตัดสินใจ เพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ในขณะเดียวกันความไวในการตัดสินมากกว่าที่ส่งผลกระทบต่อตัวบุคคล
โดยผ่านการกรองและ ประสบการณ์ของตัวเอง เราจะมีไม้บรรทัดคำว่าดีกับแย่เป็นของตัวเอง แต่ไม่ได้แปลว่าสิ่งนี้ใช้ได้กับทุก ๆ คน
การ ตัดสินคนอื่น ควรหรือไม่ควรทำ?
ตัดสินคนอื่นเราควรพิจารณาว่าทำแล้วเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม เราทำแล้วดี หรือไม่ดี การจะพูดถึงใครซักคนจะเป็นผลดีมากกว่า เราก็สามารถพูดออกไปได้ แต่ควรจะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ใช่ อคติ
การจะบอกว่าสิ่งนี้อยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม เราควรดูที่ Norm หรือ คนส่วนใหญ่ที่เขาคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความเป็นจริง ไม่ใช่มาจากความคิดเห็นตัวเรา
จะรับมืออย่างไรเมื่อกลัวการตัดสิน ?
การที่เรากังวลว่าเขาพูดนั้น หมายความว่าอย่างไร เช่น ถ้าเรารู้ว่าเรากังวล และกังวลกับอะไร ลองต้งคำถามกับตัวเอง สิ่งที่เขาพูดถึงเรา เป็นเรื่องจริงไหม ?
และถ้าเราเป็นแบบนั้นจริง มันแย่มากไหม แย่อย่างไร แล้วเราสามารถแก้ไขได้อย่างไร เพื่อไม่เกิดเรื่องแย่ที่สุดที่เรานึกถึงได้
ทุกคนต้องพูดถึงเรา แต่ในอีกมุมหนึง อย่าลืมว่าเราไม่ได้สำคัญกับทุกคนขนาดนั้น เราไม่ใช่จุดสนใจเท่าที่เรารู้สึกกังวล บางที่ความกังวลอาจมาจากแค่ตัวเอง
ถ้ามีคนพูดถึงเราจริง ๆ เราต้องมีตัวกรองว่า คำพูดนั้นของเขาจริงไหม แล้วทำอย่างไรได้บ้าง และพิจารณาว่าเราไม่ใช่จุดศูนย์กลางที่ทุกคนสนใจ เราจะได้กังวลน้อยลง ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น
จะทำอย่างไรถ้าอยากตัดสินน้อยลง ?
ทันความคิดของตัวเองให้ได้
ความคิดอัติโนมัติ มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาที่เราเห็นสิ่งที่ไม่พอใจ และรู้สึกว่าไม่ถูกไม่ควร เราจะตัดสินอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเราต้องทันความคิดของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่การพูดทุกอย่างที่คิดออกมา
แต่ต้องตัดสินใจได้ว่าสิ่งไหนควรพูด หรือไม่ควรพูด และจะเชื่อหรือไม่เชื่อในความคิดของตัวเอง เราไม่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงคนอื่น
เท่าทันความคิดของตัวเองให้ได้ แล้วเราจะไม่วิ่งตามความคิด แต่เราจะตรวจสอบความคิดของและไม่ Action กับทุกความคิดและอคติของตัวเอง
บทความที่น่าสนใจอื่น ๆ คลิก
หลายคนมองว่าการปฏิเสธจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจและสูญเสียความสัมพันธ์ ทำให้หลาย ๆ คนกลัวและ ไม่กล้าปฏิเสธ
แต่นั่นเป็นเหตุผลเดียวจริงหรือ จริง ๆ แล้วการไม่กล้าปฏิเสธมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง และจะปฏิเสธอย่างไรให้ไม่กระทบความสัมพันธ์
ไม่กล้าปฏิเสธ มีสาเหตุมาจากอะไร?
การที่เราปฏิเสธคนอื่นไม่ค่อยได้ เกิดมาจากความรู้สึกที่เรามีความเชื่อที่ต้องรับผิดชอบทุก ๆ อย่างในโลกใบนี้
พอเรามีความเชื่อที่ต้องรับผิดชอบและดูแลคนอื่น ๆ เลยทำให้เราไม่กล้าปฏิเสธ
แนวโน้มที่เราไม่กล้าปฏิเสธเพราะเราเห็นความสำคัญของคนอื่นมากกว่าตัวเอง กลัวว่าถ้าปฏิเสธไปเราอาจจะไม่ได้รับการยอมรับ
เสียความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เราอาจจะต้องดูว่า เราปฏิเสธไม่เป็นเพราะไม่กล้าปฏิเสธ หรือเรากล้าที่จะปฏิเสธแต่ไม่กล้าสื่อสารเป็นคำพูด
ไม่กล้าปฏิเสธทำให้กลายเป็น People Pleaser จริงหรือไม่?
การที่เราไม่กล้าปฏิเสธไปเรื่อย ๆ แล้วเห็นว่าคนรอบข้างมองว่าเราดูโอเค ดูเป็นคนสำคัญ
อาจกลายเป็นคนที่ ‘อะไรก็ได้อะไรก็ยอม’ ก็ได้ เพราะเราเห็นผลตอบรับจากการที่เราไม่ได้ปฏิเสธ
เกรงใจอย่างไรให้พอดี?
การมีน้ำใจเป็นเรื่องที่ดี แต่ความมีน้ำใจที่ดีไม่ควร ล้นมากเกิน ถ้าการมีน้ำใจที่เรามีกลายเป็นการทำตามความคาดหวังคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องดี
การกำหนดขอบเขตของตัวเองเราจะค่อย ๆ ปฏิเสธคนอื่นได้ดีขึ้น เรื่องไหนที่เราอยากจะช่วย เรื่องไหนที่เราอยากจะอาสา
ถ้าเราเรียนรู้ว่าปฏิเสธบ้างก็ไม่ได้แย่ เราจะเริ่มเป็นคนที่ปฏิเสธเป็นโดยที่เรายังมีน้ำใจในขอบเขตของเราด้วย
ปฏิเสธอย่างไรให้ไม่กระทบความสัมพันธ์?
ไม่มีใครเหมือนเดิมทุกวัน เริ่มจากการรับฟังว่าอีกฝ่ายต้องการแบบไหน เราสามารถปฏิเสธได้โดยการหาทางออกร่วมกัน บอกขอบเขตที่เราสามารถทำได้
อย่าลืมว่าสิ่งที่เขาเอามาให้เราช่วยคือปัญหาของเขา ถ้าหากเขาจะเปลี่ยนไปในความสัมพันธ์ก็เป็นส่วนของเขา ที่เขาต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวของเขาเอง
จะรับมืออย่างไรเมื่อปฏิเสธแล้วสูญเสียความสัมพันธ์?
เราไม่สามารถรับผิดชอบความรู้สึกของคนทั้งโลกได้ รวมไปถึงความรู้สึกของคนอื่นด้วย เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าเราช่วยเขาไปแล้วเขาจะรู้สึกดีจริง ๆ ไหม
ถ้าเราเริ่มเข้าใจเราจะเริ่มตั้งหลักกับตัวเองได้ ทุกคนที่หน้าที่รับผิดชอบและจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง ถ้าเราปฏิเสธใครแล้วอยู่ ๆ เขาเปลี่ยนไป
แปลว่าบางทีเขามองเห็นเราเป็นเครื่องทำงานบางอย่างให้เขาเท่านั้นเอง สิ่งสำคัญที่สุดหลังจากที่เราได้พูดหรือเราได้ปฏิเสธไปแล้ว
เราต้องฟังเสียงของตัวเราเองให้มาก ๆ ความต้องการของเราคือสิ่งสำคัญถ้าหากทำแล้วรู้สึกแย่การปฏิเสธคงจะดีกว่าการทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ดี
“ความคาดหวัง” เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวัน บางครั้งก็สร้างแรงบันดาลใจ แต่หลายครั้งก็นำมาซึ่งความทุกข์และความกดดัน จะรับมืออย่างไร
มาหาคำตอบกันใน รายการพูดคุย X ดร. ทศพิธ รุจิระศักดิ์ นักจิตวิทยาการปรึกษา 🙂
ความหวังกับความคาดหวังแตกต่างกันอย่างไร ?
ความหวังและความคาดหวังมักมาพร้อม ๆ กัน เมื่อเรามีความคาดหวังกับอะไรซักอย่าง นั่นหมายความว่าเราต้องการสิ่งเหล่านั้น หรือคน ๆ นั้นอยู่
จัดการความคาดหวังอย่างไรให้พอดี ?
แต่ละสถานการณ์ที่เราคาดหวังก็จะมีรายละเอียดของความคาดหวังที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเหตุการณ์
สมมุตว่าเราเลิกกับแฟน เรารู้สึกเสียใจ ความเสียใจตรงนี้ถูดยึดโยงกับความคาดหวังว่าเธอยังจะต้องอยู่กับในสถานะแฟนเช่นเดิม
ในกรณีนี้แนวทางการจัดการความคาดหวังมีหลากหลาย แต่จะขอยกตัวอย่างหนึง คือ สำรวจความคาดหวัง ว่ามีอะไรที่อยู่เบื้องหลังความคาดหวังนั้น
เมื่อพบคำตอบเราก็ลองเข้าไปจัดการด้วยวิธีที่ช่วยเติมเต็มความรู้สึกของเราได้เป็นวิธีที่เราสะดวกสบายใจ ซึ่งอาจจะไม่ได้ช่วยเติมเต็มทั้งหมด แต่อย่างน้อยการที่เราได้เติมเต็มขึ้นมา ก็จะลดความทรมานลงได้บ้าง
รับมือกับความคาดหวังจากคนอื่นอย่างไร ?
คนอื่นมีความคาดหวังกับเรา แล้วเขาเอาความคาดหวังมาใส่ให้เรา แต่ไม่ว่า คนอื่นจะพยายามยัดเยียดความหวังใส่เรา แล้วเราเลือกจะ Say No ความคาดหวังก็จะไม่มาหนักในใจเรา
แต่ถ้าคนอื่นเอาความคาดหวังมาใส่ให้เรา แล้วเราเลือกที่จะ Say yes ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร สิ่งที่สังเกตเห็นได้คือ เราก็มีความคาดหวังในใจที่อยากจะให้อีกฝ่ายสมหวังในตัวเรา
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่มีความคาดหวัง ?
ความคาดหวัง และความต้องการมักจะเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราให้ความสำคัญ เราจะไม่คาดหวังในคน หรือในสิ่งที่เราไม่ให้ความสำคัญ
ถ้าเราจะกลายเป็นคนไม่มีความคาดหวังเลย นั่นหมายถึงเราจะเป็นคนที่ไม่ให้ความสำคัญกับอะไรเลย แต่เราจะอยู่แบบไม่คาดหวังก็ได้นะ แต่เราจะเป็นคนที่ไม่ให้คุณค่ากับอะไรเลย
ดูเผิน ๆ การไม่ให้คุณค่ากับสิ่งใด จะทำให้ไร้ทุกข์ แต่อีกมุมอาจเป็นทุกข์อีกรูปแบบหนึง “การใช้ชีวิตแบบไม่มีความทุกข์เลย อาจจะไม่ใช่ทางเลือกเสมอไป”
เราสามารถใช้ชีวิตแบบที่มีความคาดหวัง และมีความทุกข์ที่พวงโยงมากับความคาดหวังได้ แต่อย่างน้อยเราก็สามารถ ค้นพบความหมายของชีวิตเราตรงนี้ได้ ก็จะทำให้เรามีความทุกข์อย่างมีความหมาย
มีค่าพอที่เราจะแบกความคาดหวังนี้ไว้ได้ เพราะฉะนั้นความทุกข์จะยังมีอยู๋ แต่จะมีความหมาย และคุณค่าและช่วยให้เราทนเผชิญหน้าของความคาดหวังได้มากขึ้น
ดัั่งคำพูดที่ว่า One who has a why can endure anyhow.จาก Friedrich Nietzsche แปลคร่าว ๆ ได้ว่า
การใช้ชีวิตของเราอาจไม่จำเป็นต้องพุ่งไปไปที่การไรทุกข์ก็ได้ แต่การค้นพบความหมายของความทุกข์ จะทำให้เราเผชิญหน้ากับความทุกข์ได้อย่างไม่ทรมาน
Emotional First Aid ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ เวลาที่เราเจ็บปวดทางกาย ไม่สบายเรามักรู้อาการ
รู้วิธีรักษาว่าเราจะบรรเทายังไง กินยาอะไรถึงหายดี แต่ถ้าเราเจ็บปวดทางใจละ
คนอื่นก็รักษาเราไม่ได้ นอกจากตัวเราเองที่จะเยียวยา . . .
Emotional First Aid
‘ชุดปฐมพยาบาลทางอารมณ์เบื้องต้น เพื่อบรรเทาอาการแตกสลาย และป้องกันใจที่อักเสบลุกลาม’
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย คุณ Guy Winch (กาย วินซ์) นักจิตวิทยา แปลโดยคุณลลิตา ผลผลา
หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์คนไข้ของ คุณ กาย วินซ์ อีกด้วย
หนังสือเล่มนี้จะมี 7 ความรู้สึกที่เรารู้สึกกันอยู่เป็นบ่อยครั้ง
- การถูกปฎิเสธ
- ความเหงา
- การสูญเสีย
- ความรู้สึกผิด
- การครุ่นคิด
- ความล้มเหลว
- Low self-esteem
ทั้ง 7 ความรู้สึกทุกคนน่าจะเคยเผชิญและบางครั้งเราก็หาวิธีรักษาความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้ หรือวิธีการรักษาที่เราทำกันเป็นประจำอาจจะยังไม่มากพอให้มันจางลงไป
เลยเลือกที่จะหยิบ 1 ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งมาแบ่งปันเรื่องราวกัน 🙂
“การครุ่นคิด”
1. การครุ่นคิดทำให้ความทุกข์ของเราใหญ่มากขึ้น ยิ่งเราคิดถึงสิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีและเจ็บปวด ก็เหมือนกับเราได้เปิดแผลของตัวเองไปเรื่อย ๆ
กลายเป็นความบั่นทอนในชีวิต พัฒนาไปเป็นความเสี่ยงของ ‘โรคซึมเศร้า’ ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ชีวิตเราจะไม่มีอะไร อาจจะไม่ได้ดีมาก แต่เรายังนึกถึงประสบการณ์ที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นอาจจะบั่นทอนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
2. ความโกรธ เป็นการเติมไฟของการครุ่นคิด ยิ่งเราโกรธเรายิ่งคิด และเมื่อเราคิดที่ระบายไม่ได้เราจึงเลือกระบายความโกรธ ความหงุดหงิดใส่คนรอบตัว
3. การครุ่นคิดเป็นบ่อนทำลายสติปัญญาและเผาพลาญเวลาที่มีค่าของเรา เคยครุ่นคิดวนไปจนเวลาในชีวิตของเรามันหมดไปกับห้วงความคิดเหล่านั้น
พอเรารู้ตัวอีกทีเราก็รู้สึกเสียเวลาและเสียดายช่วงเวลาที่เราน่าจะพาตัวของเราออกไปหาสิ่งใหม่ ๆ สิ่งที่เป็นแง่บวกมากกว่าการที่เรามาจมกับสิ่งที่เราครุ่นคิดอยู่
4. คนที่เรารักได้รับผลกระทบจากการครุ่นคิด เวลาที่เราครุ่นคิดอะไรบางอย่างเรามักจะระบายกับคนที่อยู่ข้าง ๆ เราและการระบายแต่ละครั้งก็เหมือนเรากดเล่นอะไรซ้ำ ๆ
ในห้วงความคิดและบทสนทนาให้คนอื่นด้วย เวลาที่เราระบายไปแน่นอนว่าคนที่เรารักมักจะเสนอตัวช่วยวิธีแก้ไข แต่เรามักจะรับฟังแต่ไม่ค่อยได้เอาไปใช้เท่าไหร่
และเมื่อเรายังครุ่นคิดเราก็จะเล่าเรื่องซ้ำ ๆ ระบายเรื่องซ้ำ ๆ ให้กับคนที่เรารัก จนพวกเขารู้สึกว่าไม่ไหวแล้วไม่อยากฟังแล้วแล้วค่อย ๆ ถอยห่างจากเราออกไป
เมื่อเราพอรู้แล้วว่าการครุ่นคิดทำให้เราเกิดบาดแผลได้ยังไงบ้าง เรามาดูชุดปฐมพยาบาลที่หนังสือเล่มนี้ได้บอกให้เราทำกัน
เปลี่ยนมุมมอง
จากที่เราเป็นมุมมองผู้ครุ่นคิดเราลองเปลี่ยนมุมมองมาเป็นคนนอกในเรื่องที่เราครุ่นคิดอยู่ เวลาใครมาปรึกษาเรา เราสามารถหาวิธีแก้ไขให้พวกเขาได้
ให้คำแนะนำต่าง ๆ เราลองเอาวิธีเหล่านั้นในการเป็นมุมมองคนนอกที่กำลังมองเรื่องของเราอยู่ เราอาจจะเจจอวิธีแก้ไขเหล่านั้น และเข้าใจตัวของเราเองมากขึ้น
เบี่ยงเบนความสนใจ
การเบี่ยงเบนความสนใจไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำเวลาที่เรารู้สึกครุ่นคิด คิดมากในเรื่องนั้น ลองออกกำลังกาย เข้าสังคม ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเบี่ยงเบนความคิดนั้นในช่วงเวลาที่สั้น ๆ ไม่ได้หายไป แต่มันก็ยังดีที่เราไม่ต้องคิดถึงเรื่องราวนั้นในขณะนั้น
ตีกรอบความโกรธใหม่
มีการศึกษาหลายอย่างพบว่า การที่เราระบายอารมณ์กับสิ่งของ จะช่วยให้ความโกรธหายลงไป แต่จริงแล้ว กลับทำให้เป็นแรงขับความโกรธได้มากกว่าเดิม
วิธีปฐมบาลคือเราต้องตีความความโกรธใหม่ ให้เราเปลี่ยนเจตนาความโกรธเป็นเจตนาที่ไปในทางบวก เหมือนเวลาที่เราครุ่นคิดว่าทำไมคนนั้นถึงเลือกที่จะทำแย่ ๆ ใส่เรา
พูดจาไม่ดี หรือทำให้เรารู้สึกไม่ดี คนนั้นอาจจะมีประสบการณ์หรือเจออะไรแย่ ๆ มา เลยเลือกที่จะทำแบบนั้นใส่เราหรือเปล่า
ความโกรธที่เรามีอาจะเปลี่ยนเป็นความเข้าใจว่า อ่อเพราะเขาคงผ่านเรื่องอะไรแบบนั้นมาสินะ
จัดการมิตรภาพ
เราต้องประเมินว่าเรากำลังสร้างภาระให้กับมิตรภาพของเราอยู่หรือป่าว
- เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วกับเหตุการณ์นี้
เช่น การที่เราเลิกกับใครสักคน เราควรที่จะฟื้นตัวภายในระยะเวลาหนึ่งไม่เกิน 3-4 เดือน ฟื้นตัวจากการครุ่นคิดถึงสิ่งนั้น
- เราคุยประเด็นนี้กับเพื่อนคนนี้มากี่ครั้งแล้ว
เมื่อเลือกระบายกับเพื่อนคนนี้กับเรื่องนี้บ่อยครั้ง ‘เกินไป’ ไหม คนที่เป็นผู้รับฟังแน่นอนว่าเขาจะอ่อนล้ากับสิ่งที่เราได้พูดออกไป
บางทีเราอาจจะต้องลองเกลี่ยเรื่องนี้ให้ผ้รับฟังคนอื่นบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความอ่อนล้าจนความสัมพันธ์เริ่มห่างหาย
- อย่าพูดแต่เรื่องของตัวเอง
เวลาที่เรารู้สึกไม่สบายใจ แน่นอนว่าเรามักจะระบายสิ่งที่อยู่ในใจของเรา แต่การที่เราไม่ถามอีกฝ่ายเลยว่าสะดวกใจฟังไหม
หรือแบ่งพื้นที่ให้อีกฝ่ายแชร์เรื่องของตัวเองบ้าง ตัวของเราเองกำลังเสี่ยงที่จะทำให้มิตรภาพนี้ตกอยู่ในอันตราย ไม่มีใครที่อยากรับฟังไปตลอดทุกบทสนทนา อย่าลืมที่จะถามไถ่อีกฝ่ายบ้าง
- เราปล่อยให้ความครุ่นคิดมันครอบงำมิตรภาพไปหรือเปล่า
ลองสังเกตว่าในเวลาสนทนาเราปล่อยให้ความครุ่นคิดทางอารมณ์ ความรู้สึกคิดมาก ความหดหู่ มาปะปนกับความสนุก การที่ได้ใช้เวลากับเพื่อน ๆ มากเกินไป
จนทำให้บรรยากาศมันตึงเครียดไปด้วยไหม แน่นอนว่าตอนที่เรายังเป็นเหยื่อทางอารมณ์ของการครุ่นคิดจะมีเงาเทา ๆ หรือความคิดของเราที่ไม่ได้ Positive ขนาดนั้น
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเราได้ออกมาเจอเพื่อน ๆ แล้วพยายามเก็บเกี่ยวรอยยิ้มของคนตรงหน้าให้มากที่สุดลืมเรื่องราวครุ่นคิดไปสักพักแล้วมีความสุขกับช่วงเวลานี้
สุดท้ายแล้วถ้าการปฐมพยาบาลเบื้องต้น 4 วิธี ลองทำแล้วไม่ดีขึ้นหรือเรายังมอยู่กับความครุ่นคิดนานเกินไป ความครุ่นคิดเหล่านั้นบั่นทอนกินเวลาชีวิตของเราเหลือเกิน
คุณ กาย วินซ์ ก็ได้แนะนำให้เราไปพบผู้เชี่ยวชาญ นักบำบัด นักจิตวิทยา เพราะถ้าเราครุ่นคิดบ่อยครั้งบ่อย เราก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ และภาวะซึมเศร้า
ประโยคจากที่อยากบอกเล่าจากคนอ่าน
ไม่มีอะไรที่ทำให้เราคิดถึงบางสิ่งได้เท่ากับการพยายามเต็มที่ไม่ให้คิดถึงมัน เป็นข้อคิดที่ได้จาก การครุ่นคิด
เชื่อว่าหลายคนคงเคยพยายามที่จะลืมอะไรบางอย่างลืมเรื่องที่สร้างความจุกจิกในใจของเราแต่ยิ่งอยากลืมยิ่งคิดถึงมัน
เพราะฉะนั้นแล้วเราลองไม่รีบลืมแต่หาวิธีอยู่กับสิ่งนั้นให้ได้โดยไม่ให้มันมารบกวนจิตใจกันดีกว่า
สิ่งที่ทำให้เราอยู่กับมันได้ที่เราอยู่เหนือความคิดที่เข้ามารบกวนเหล่านั้น 🙂
แมวยิ้มง่าย ใช่ว่า . . . แตกสลายไม่เป็น บทสนทนาว่าด้วยรอยขีดข่วนแห่งยุคสมัย
หนังสือ หน้าปกเล่มสีขาว มีน้องเงาแมวดำ เขียนโด คุณใบพัด นบน้อม
หนังสือที่เราได้อ่านแล้วเหมือนเราอ่านสิ่งที่เราคุยกับเพื่อน เป็นหนังสือที่มีบทสนทนาระหว่างคนกับแมว และแมวกับคน ที่เต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วนของยุคสมัย
เราจะเห็นได้ว่าเนื้อหาในหนังสือมีการพูดถึงสิ่งที่คนทั่วไปเจอกันใยุคนสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Beauty standard,ความเจ็บปวดของการที่ต้องไล่หาความสำเร็จ
หรือ การที่เราอยากเป็นคนกลาง ๆ ไม่ขวนขวายอะไรกับสังคม
A Chapter ที่ชอบ
คนกลาง ๆ
การเป็นคนกลาง ๆ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่มีแพชชั่นอะไรรุนแรง เอาตัวรอดไปเรื่อย ๆ ให้พอมีความสุขไปวัน ๆ จะสามารถอยู่รอดได้ไหมนะ .. ?
แต่ทั้งหมดที่พูดมาก็ต้องใช้เงิน อยากเป็นกลาง ๆ ที่ร่ำรวยจัง อยากเป็นกลาง ๆ ที่ทำงานเหมือนกับการไปเข้าสังคม
แต่ความเป็นจริงเราจะทำได้ไหม คงอยู่ที่เราพอใจ เราคงสามารถเปนคนกลาง ๆ ได้โดยที่ไม่เอาเสียงขของคนรอบข้างมากดดันตัวเอง
พอได้อ่านจบแล้ว มีใครอยากเปนคนกลาง ๆ เหมือนกันไหม คนกลาง ๆ ของแต่ละคนอาจนิยามไม่เหมือนกัน การใช้ชีวิตมันเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องไล่ตามสิ่งต่าง ๆในโลกใบนี้
เพราะฉะนั้นแล้วอย่าฝืนมากเกินไปถ้าไม่เป็นตัวของตัวเอง และการฝืนมันไม่ได้ทำให้เรามีความสุข ขอให้ทุกคนได้พบเจอนิยามการเป็นคนกลาง ๆ ที่เรามีความสุขไปกับมัน
วิ่ง
สไลด์จอมือถือก็เจอแต่คนมีชีวิตดี ๆ ขึ้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง ใช้ชีวิตท่ามกลางการแผดเผาความสำเร็จของคนอื่น จมอยู่กับความรู้สึกเราเก่งไม่พอ สวยไม่พอ ตัวเล็กลีบไปวันทุกวัน
วิ่งช้าบ้างก็ได้ อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย อนุญาตให้ตัวเองผิดพลาดตัวเองบ้างก็ได้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่พอเราอยากวิ่งให้ช้าลง
ก็กลัวตกขบวนเหมือนโดนหลอกให้หยุดพักชื่นชมข้างทาง แล้วโดนคนอื่นแซงไประหว่างทาง เลยได้ค้นพบว่าการที่เราจะวิ่งลองฟังเสียงในตัวเราดูไหม ?
แรงจูงของเรามีอยู่ 2 แบบ
การทำอะไรหวังผล ทำเพื่อที่จะได้รับอะไรบางอย่างตอบแทนจากภายนอก เงิน ชื่อเสียง การยอมรับ
ทำอะไรเพราะเรารู้สึกชอบ และมาจากใจจริง ๆ ลองหาสิ่งที่ตัวเราเองชอบ โดยท่่ไม่ต้องนึกถึงว่าสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับ ถึงแม้จะเป็นเรื่องไร้สาระก็ตาม 🙂
ประโยคที่อยากบอกเล่าจากคนอ่าน
“ชอบแบบไหน ก็ทำแบบนั้น มีความสุขในแบบของตัวเอง และเคารพความรู้สึกของคนอื่นแค่นั้นเอง”
บางครั้งถ้าเราลองหยุดคิด หยุดเปรียบเทียบ หยุดประเมินตัวเองบ้าง ชอบอะไร มีความสุขกับอะไรก็ทำไป ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เดือดร้อนใคร
ไม่ได้หมายความว่าการประเมินตัวเองไม่ได้ไม่ดีไปสะทุกด้านบางทีการประเมินตัวเองจะทำให้เราเจอว่าเราควรปรับจุดไหน ความ ‘พอดี’ ในการใช้ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ