Posts

ใคร ๆ ก็เคยโกรธ บางครั้งก็เป็นแค่ ความโกรธ เล็กน้อย แต่บางครั้งก็เป็นความโกรธแบบใหญ่โต จนเราเองก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองในขณะที่โกรธได้ จนเผลอพูดหรือทำการกระทำอะไรไม่ดีออกไป

 

แต่แน่นอนไม่มีใครอยากที่เป็นเป็นแบบนั้น วันนี้ Jane Story จะมาเล่าถึงประสบการณ์ที่ทำให้โกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่เราจะระงับความโกรธและมองความโกรธให้เป็นเรื่องตลกกัน:)

ความโกรธ ที่เกิดขึ้น

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเจนเจอกับเรื่องน่าหงุดหงิดใจ คือ เจนไปกินข้าว กินเสร็จแล้วก็เดินกลับมาขึ้นรถ ระหว่างที่กำลังขึ้นรถก็มีรถคันข้างๆเป็นรถตู้จอดอยู่ แล้วก็มีคนยืนอยู่ข้าง ๆ รถตู้ และป้าคนหนึ่งนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์

 

คุณป้าพูดกับคนขับรถตู้ว่า “เมื่อกี้ทำโทรศัพท์ตกไว้ตรงนี้ เห็นไหม?” คนขับก็บอกว่าไม่เห็น… คุณป้าก็ทำเสียงดังและพูดกลับไปประมาณว่าแน่ใจนะ เจนก็งง ๆ เดินขึ้นรถมาเพราะไม่เกี่ยวกับเราและขับออกมา

 

เจนก็ก้มหน้าเล่นมือถือปกติ แล้วขับไปได้สักพักก็เห็นป้าขับรถมอเตอร์ไซค์มาตัดหน้าแล้วก็จอดขวางหน้ารถแล้วชี้หน้าบอกประมาณว่าโทรศัพท์ตก เป็นป้าที่เราเจอหน้าร้านอาหาร คุณป้าท่าทีไม่เป็นมิตรเลย

 

เราเลยบอกว่าหลบก่อน แล้วจอดรถไปคุยกัน ระหว่างที่เจนกำลังเดินไปคุยกับป้า ป้าก็ทำท่าคลำหาอะไรสักอย่างที่ตัว เสร็จแล้วก็ขับออกไปเลย

 

เจนก็เลยโกรธและหงุดหงิดมาก ๆ พอขึ้นรถมาเลยคุยกับแฟนว่ายังไม่ทันได้คุยเลย ป้าไปซะแล้ว ด้วยอารมณ์โมโห แฟนเลยบอกว่า

 

“มองให้เป็นเรื่องตลกแล้วกัน ไม่เป็นไรหรอก”  เเล้วเจนก็รู้สึกว่าจริงด้วย ถ้าเรามองให้ตลกใจเราจะเบาลง

 

จัดการ ความโกรธ อย่างไร?

1.สำรวจตัวเองว่าเรารู้สึกอย่างไร

2.ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น

3.ทำความเข้าใจและให้อภัย

4.ระบายความรู้สึก

 

สิ่งสำคัญของการระบายความรู้สึกเวลาเกิด ความโกรธ

เราต้องระบายกับคนที่เราไว้ใจได้ ระบายด้วยเหตุและผล ให้เรามองว่าที่เขาทำกับเราแบบนี้น่าจะเป็นเพราะอะไร ระบายแล้วต้องจบ ต้องไม่โกรธเพิ่ม ไม่เกลียดเพิ่ม

 

ลองมองความโกรธเป็นเรื่องอื่นหรือมุมมองอื่น มองให้เป็นเรื่องตลก เช่น การแก้ปัญหาของคุณป้านี่ตลกจริง ๆ นะ มันจะมีใครสักคนที่ขับรถมาตัดหน้าเราแบบนี้ ชี้หน้าคนอื่นว่าเป็นขโมยแบบนี้

 

หรือเราลองมองให้มันลึกไปกว่านั้นเพราะอะไรเขาถึงทำแบบนี้ มันอาจจะเป็นนิสัยของเขาที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรือเปล่า ตัวเราก็จะเบาลง

เคยรู้สึก เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ กันบ้างไหม? หรืออยู่ ๆ ก็อยากร้องไห้ขึ้นมา แต่มันดันเป็นความรู้สึกภายในที่เกิดขึ้นมาเองอัตโนมัติ เป็นเพราะอะไรกันนะทำไมอยู่ดี ๆ ถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ 

เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ

เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกเศร้าและแน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องปกติเช่นกันที่เราจะไม่รู้สาเหตุว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะ ความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นกับเรา ความทรงจำที่ไม่ดี ปัญหาที่เกิดขึ้น

 

ที่เราอาจจะคิดว่ามันผ่านมาแล้ว เราไม่ได้รู้สึกเครียดกับมันแล้ว แต่จริง ๆ สิ่งเหล่านั้นอาจจะฝังรากลึกอยู่ในความรู้สึกของเรา และเราอาจจะไม่มีเวลาที่จะทบทวนตัวเอง …

เศร้า VS ซึมเศร้า

ความรู้สึกเศร้า เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยืนยันว่าเรายังมีความรู้สึกอยู่และเป็นความรู้สึกที่ดีต่อสุขภาพจิตเหมือนกัน  อาจจะเป็นเพราะความเศร้า ไม่ใช่ความรู้สึกที่เราชอบ

 

แต่จริง ๆ ความเศร้าเป็นสิ่งที่ดีนะ มันจะสอนให้เรารู้จักตัวเอง และเรียนรู้ที่จะจัดการความรู้สึกของตัวเอง

 

1. เศร้านานไปไหม

เราจะเศร้าหรือเสียใจเมื่อเราเจอกับความผิดหวัง เราสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป ความเศร้าก็มักจะเกิดขึ้น เมื่อระยะเวลาผ่านไปก็มักจะหายไป แต่ถ้าความเศร้ามันอยู่กับเรานาน อันนี้อาจจะเป็นอะไรที่มากไปกว่าความเศร้าโดยทั่วไป

 

2. เรายังใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิมไหม

นอกจากระยะเวลาที่ยาวนานของความเศร้าแล้ว อีก point ที่สำคัญเลยคือ การที่เราจะรู้ว่า ความเศร้านี้ ไม่ใช่เศร้าธรรมดา ๆ แล้ว คือการสังเกตว่า เรายังใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิมไหม

 

ความรู้สึกของเรามันมากซะจนทำให้ ไปทำงานไม่ได้ ไปเรียนไม่ได้หรือเปล่า? เพราะพอความเศร้าทั่วไปพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว เราจะเศร้าอยู่ตลอด ไม่มีแรง ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากยุ่งกับใคร

 

มีความคิดลบ หรือกระทั่งมีความคิดฆ่าตัวตาย ถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะต้องเริ่มปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดู  จะได้จัดการได้ก่อนที่จะสายเกินไป

 

3. ความเศร้าเป็นอาการหลัก แต่ ไม่ใช่อาการเดียว

อาการซึมเศร้าส่งผลต่ออารมณ์ของเรา ซึ่งหมายความว่าความเศร้าเป็นอาการหลัก แต่ก็ไม่ใช่อาการเดียว ซึมเศร้าจะเปลี่ยนวิธีที่เรามองตัวเองและโลกรอบตัวเรา มันเหมือนกับการใช้ชีวิตที่สวมผ้าปิดตา ทุกอย่างดูมืดมน

 

สิ่งที่ทำให้ผ่านช่วงเวลา เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ ไปได้? 

1. การขอความช่วยเหลือ 

หลาย ๆ คนไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เพราะไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ถึงความอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้ว ทุกคนต่างมีช่วงเวลานั้นเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น คือมันโอเคมาก ๆ ที่เราจะไม่โอเค

 

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราขอความช่วยเหลือ ได้ระบายออกไป เหมือนความเศร้าเรามันจะลดลงตามไปด้วย

 

2. หาเวลาพักผ่อนเพื่อทบทวนตัวเองว่าทำไม เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ

การที่ปล่อยให้ความรู้สึกแย่วนลูป จนสุดท้ายกลายเป็นคิดลบทุกวัน ร้องไห้ทุกวันอาจจะทำให้เราไม่รู้สาเหตุของความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการกลับมาสนใจความรู้สึกของตัวเองเลยเป็นอะไรที่สำคัญมาก ๆ

 

เพราะเรื่องนั้นมันอาจจะไม่ถูกปลดล็อคและวนเวียนทำให้เราเศร้ากับมัน เครียดกับมันอยู่แบบนั้น 

 

จัดการอย่างไรดีถ้า เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ ? 

1. ทำความเข้าใจ 

2. หาเวลาทบทวน ระบุความรู้สึกให้ได้ ถามตัวเองว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป

3. ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ครอบครัวหรือผู้เชี่ยวชาญ 

เมื่อทำอะไรไม่ได้ดั่งใจบางทีมันก็เกิดเป็นความรู้สึกผิดเข้ามาด้วยและทำให้เราจมอยู่กับ ความผิดพลาดในอดีต

 

ในโลกปัจจุบันนี้ต้องอยู่ท่ามกลางสังคมแห่งการการแข่งขันการแก่งแย่งชิงดีทั้งยังต้องแบบกับความรู้สึกกดดันจากคนรอบข้าง

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ

ความผิดพลาดในอดีต ให้อภัยตัวเองไม่ได้

มนุษย์ทุกคนล้วนต้องไปเผชิญกับความรู้สึกผิดพลาดอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน การทำงาน หรือแม้กระทั่งด้านความรักของเราก็ตาม

 

เพราะธรรมชาติของคนเราจะมีความคาดหวังต่อตัวเองในบางเรื่องอยู่แล้วหรือบางทีเราก็แอบไปคาดหวังกับคนอื่น

 

คนที่ยังคงติดอยู่กับความรู้สึกผิดในอดีตจนโทษตัวเองโลกของปัจจุบันในตอนนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นตรงนี้บางทีมันบั่นทอนจนทำให้ตัวเราเองไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้

 

ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเวลาที่เรารู้สึกติดอยู่กับความผิดพลาดในอดีตเราก็ยังเผลอไปทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจ หรือความรู้สึกของคนรอบตัวโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจหรือว่าตั้งใจก็ตาม

 

มองย้อนกลับไปบางทีมันก็ดูเลวร้ายดูไม่น่าให้อภัย ความรู้ผิดกับตัวเองค่อย ๆ ก่อตัวเป็นความทุกข์ใจ เกิดการโทษตัวเอง บอกกับตัวเองว่าเราคือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด

 

บางคนอาจจะมีคำพูดกับตัวเองว่าหากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาดความรู้สึกผิดหรือความรู้สึกแย่กับตัวเองที่มันเกิดขึ้นการยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้หรือแม้กระทั่งการก้าวผ่านความผิดพลาดของตัวเองไม่ได้

 

สิ่งที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อความรู้สึกแล้วก็ภาวะทางด้านจิตใจทั้งตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราสามารถรู้สึกผิดกับสิ่งเหล่านั้นได้

 

ความรู้สึกผิดพลาด ควรอยู่ในเวลาที่เหมาะสม

แต่ว่าความรู้สึกผิดเหล่านั้นมันควรอยู่ในช่วงเวลาที่มันเหมาะสม ควรเกิดขึ้นในเหตุการณ์ที่สมเหตุสมผลด้วยเราไม่ควรจมอยู่กับมันจนเกินไป

 

สาเหตุมันมาจากความสัมพันธ์ในครอบครัวในวัยเด็กโดยมาจากความเข้มงวดเกิน โดนดุ โดนด่ามากเกินไป บางบ้านอาจจะไม่ค่อยแสดงความรัก

 

มีแต่การกล่าวโทษมีแต่เรื่องความผิดพลาดที่ใส่ข้อมูลเข้าไปให้กับเขาเหล่านั้นหรือกลับบางคนอาจจะมีลักษณะของการรับรู้คุณค่าในตัวเองสูงเกินไป

 

ถ้าพูดถึงการรับรู้คุณค่าในตัวเองที่มันสูงเกินไปบางคนก็จะแสดงออกมาเป็นความมั่นใจในตัวเองที่มันมากเกินไปการคิด การแสดงออก ที่มันสูงเกินไปก็มักจะสร้างมาตรฐานให้กับตัวเองในระดับที่มันสูงเกินกว่าสิ่งที่เราจะสามารถทำมันได้

 

มีการสร้างแรงกดดันให้ตัวเองแบบที่เราไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่าตัวเราเองมองว่าเราเก่งเราดีมาก ๆ แล้วมั่นใจมาก ๆ ความคาดหวังในตัวเองก็จะสูงตามมาด้วย

 

ซึ่งคนเหล่านี้เวลาที่มีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นพวกเขามักจะให้อภัย ตัวเองได้ค่อนข้างยากแล้วก็มาจะคิดว่าตัวเองไม่เก่งเลย

 

ตัวเองไม่ได้เรื่องเลยหลังจากที่เจอกับความล้มเหลวเพียงแค่ครั้งเดียวซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเหล่ามักจะให้อภัยตัวเองได้ยากหรือกลับบางคนไม่เคยแม้กระทั่งจะให้อภัยตัวเองได้เลย

 

บางคนเวลาที่เรารู้สึกว่าเราขาดความยืดหยุ่นในตัวเองคนที่ทำอะไรอยู่ในกรอบทุกอย่างต้อง เป๊ะๆ ต้องเป็น 1  2 ต้องเป็น 2  3 รู้สึกว่าไม่ควรมีอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่แพลนไว้เลย

 

เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาที่มันเป็นความผิดแปลกไปจากที่เราคิดหรือจากแผนที่เราได้วางไว้แล้วก็จะคิดว่าแผนที่วางไว้มันไม่สำเร็จมันคือความล้มเหลวมันคือความผิดพลาดแล้วก็มักจะมองสิ่งต่าง ๆ

 

ป็นที่มีแค่ขาวกับดำไม่มีสีเทาแต่ในชีวิตจริงของเราบางทีเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่มีขาวไม่มีดำบางทีมันก็เทาขุ่น ๆ 

 

บางคนมีความคาดหวังกับตัวเองค่อนข้างสูงคนที่มีลักษณะ perfectionist หรือต้องการ ความสมบูรณ์แบบ ให้กับชีวิตคนเหล่านี้มักจะมีความเข้มงวด แล้วก็เคร่งครัดกับตัวเองมาก ๆ

 

จนเกินไปเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากๆในขณะเดียวกันเพราะเขาทุ่มเทมาก ๆ ใส่ใจกับรายละเอียดมาก ๆ พอผิดพลาดอย่างเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็มักจะโทษตัวเองแล้วก็จะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้แม้กระทั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

 

ที่มันเกิดขึ้นรู้สึกว่าทุกอย่างที่มันสร้างมามันพังทลายลงไปหมดเลยจริง ๆ การที่เราชอบ ความสมบูรณ์แบบ เรารู้สึกว่าความสมบูรณ์แบบ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้แต่อย่าลืมว่า

 

ไม่ว่าเป็นลักษณะไหนก็ตามมันก็มีทั้ง 2 ฝั่งมีทั้งขาว มีทั้งดำ ถ้าเรามองให้อย่างชัดเจนมากขึ้นเรามักจะเห็นเหรียญยังมีสองด้าน ลักษณะนิสัยของเราก็เช่นเดียวกันมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมันก็ค่อนข้างซับซ้อนส่วนใหญ่

 

มันต้องอาศัยช่วงเวลาในการที่จะต้องรวบรวมกระบวนการที่จะทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ว่าการที่เรายังคงรู้สึกผิดแล้วก็ยึดติดกับความผิดพลาดในอดีตของตัวเองจนไม่สามารถก้าวผ่านมันมาได้มันเกิดขึ้นได้ยังไง

 

ก่อนที่มันจะเป็นตัวของเราในตอนนี้กระบวนการในการเยียวยาการปรับสภาพจิตใจ มันอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร เหตุการณ์ในอดีตที่มันเกิดขึ้นแล้วบางทีมันเกิดขึ้นจริง

 

มันผิดพลาดจริง แล้วก็มันเป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะทำ แต่การที่เรายังให้มันมารบกวนเราในโลกของปัจจุบันมันเป็นสิ่งที่ตัวเราเองอาจจะต้องทบทวนกับ

 

ตัวเองว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่บางทีเราอาจจะไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้เลยแต่เราสามารถแก้ไขผลกระทบที่มันเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันได้ เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นแล้วแล้วมันมีผลกับปัจจุบันทำให้เราเป็นแบบนี้แล้วในปัจจุบัน

 

เราสามารถทำอะไรกับตัวเองได้บ้างเพื่อไม่ให้มันเกิดข้อผิดพลาดเหมือนในอดีตตรงนั้นได้อีก อาจจะต้องค่อย ๆ ปรับมุมมองกับตัวเองมองอดีตของเราที่มันเกิดขึ้นให้มันเป็นด้านบวกมากขึ้นด้วย

 

แน่นอนจะเป็นเหตุการณ์ที่มันแย่มาก ๆ หรือเป็นด้านลบมาก ๆ ก็ตามบางทีมันก็มีมุมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันซ่อนความรู้สึกดี ๆ หรือข้อคิดดี ๆ

 

สามารถปรับเปลี่ยนด้านลบตรงนั้นมาเป็นเรื่องบวกบเพื่อให้ตัวเราเองสามารถลบภาพในอดีตหรือว่าทำภาพในอดีตที่มันเคยล้มเหลวให้มาสวยงามขึ้นมา

การทำงานไม่ก้าวหน้า รู้สึกเหมือนหยุดอยู่กับที่ตลอดเวลา การทำงานที่เป็นรูทีน ความรู้สึกเหมือนทำงานไปวัน ๆ ไร้แรงบันดาลใจ ไม่มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นหรือสนุกไปกับงานเลย เราจะทำอย่างไรเมื่อเจอกับความรู้สึกนี้?

 

Alljit ร่วมกับคุณกวินทิพย์ จันทนิยม นักจิตวิทยาการปรึกษาและตอนนี้กำลังทำงานในตำแหน่ง HR (Human Resource / Human Resource Management)

รับมืออย่างไรกับ การทำงานไม่ก้าวหน้า

สารบัญ

1.มองหาการเรียนรู้เพิ่มเติม

การที่ได้พัฒนาการทำงานของตัวเองหรือมีการเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพนักงาน ถ้าเรารู้สึกว่าเหมือนทำงานไปวันๆ ไม่มีความก้าวหน้า ไม่ได้พัฒนาตัวเองเลย

 

เราอาจจะต้องมองหาการเรียนรู้เพิ่มเติมจากแหล่งอื่น ๆ เพื่ออัพสกิลของตัวเองให้เรียนรู้ในด้านอื่นเพิ่มมากขึ้นจากเดิม

2.พิจารณาหางานใหม่

ถ้าเราลองคิดวิเคราะห์ดูแล้วว่าองค์กรนี้ไม่สามารถที่จะทำอะไรเพิ่มเติมไปจากเดิมได้แล้ว และมองไปแล้วตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่มีจะให้ขยับแล้ว แนะนำให้ลองพิจารณาหางานใหม่ไปด้วย ไปโตที่อื่นดีกว่า

 

เพราะการไม่ได้เพิ่มคุณค่าให้ตัวเองหรือเป็นประโยชน์กับองค์กรมากขึ้นคงไม่ใช่การทำงานที่เป็นผลดีกับทั้งตัวเราและองค์กร

 

การทำงานรูทีนเป็นอย่างไร?

งานรูทีน (Routine) คืองานประจำที่มีให้ทำทุกวัน และทำซ้ำ ๆ เนื้องานที่ทำในแต่ละวันก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมเท่าไร ทำแบบเดิม ซ้ำ ๆ วนไปในแต่ละวัน ไม่ได้เรียนรู้ อัพสกิลหรือใช่ความคิดสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ

 

เพราะงานที่ทำเป็นแพทเทิร์นแบบเดิม ๆ วนลูปอยู่ตลอดทุกวัน

 

ข้อดี-ข้อเสียของการทำงานเป็นรูทีน

1.ข้อดีของงานรูทีน

คือเราจะมีความชำนาญในงานนั้น ๆ เพราะได้ทำทุกวัน ทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ และข้อดีอีกอย่างคือเราสามารถที่จะจัดการเวลางานได้ดี เพราะเราทำทุกวัน เราจะรู้ว่าแต่ละเนื้องานต้องใช้เวลาเท่าไร

2.ข้อเสียของงานรูทีน

จะทำให้เราเกิดความรู้สึกเบื่อได้ง่าย เพราะทำซ้ำ ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และเป็นงานที่ทำให้เราไม่ได้พัฒนาสกิลของตนเอง ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์เท่าที่ควร

 

วิธีรับมือกับการทำงานเป็นรูทีน

1.ตั้งเป้าหมายให้ตัวเองใหม่

เราอาจจะต้องลองตั้งเป้าหมายให้ตัวเองใหม่ เพื่อเป็นการท้าทายตัวเองไปในตัว เช่น เราอาจจะลองคิดวิธีการทำงานแบบใหม่ดู เผื่อจะช่วยให้งานเสร็จได้เร็วขึ้น

2.หาไอเดียใหม่ ๆ

ลองพยายามใส่ไอเดียใหม่ ๆ ลงในตัวงานเดิมที่ทำ เผื่อว่าจะได้แนวทางการสร้างผลงานใหม่ ๆ ออกมาและได้ผลลัพธ์ดีกว่าเดิม

3.ใช้เทคโนโลยี

อาจจะนำเทคโนโลยี หรือโปรแกรมใหม่ๆเข้ามาช่วยในการทำงาน เผื่อว่ามันจะช่วยให้เราทำงานได้ง่ายและสะดวกสบายมากกว่าเดิม

 

สาเหตุของ การทำงานไม่ก้าวหน้า

1.งานที่ทำเป็นงานที่จำเจ เดิม ๆ ซ้ำ ๆ

2.งานนั้นไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เลย

3.ตัวโครงสร้างขององค์กรไม่มีตำแหน่งหรือ carreer path

 

องค์กรต้องทำอย่างไรกับ การทำงานไม่ก้าวหน้า

1.ลองให้พนักงานทำงานข้ามสายงาน

องค์กรต้องเปิดกว้างให้กับพนักงานทุก ๆ ตำแหน่ง ให้พวกเขาได้ลองทำงานข้ามสายงาน เผื่อว่าพวกเค้าสนใจเนื้องานนอกเหนือจากงานที่ทำอยู่เป็นประจำ

2.จัดเทรนนิ่งสกิลใหม่ ๆ

องค์กรอาจจะจัดเทรนนิ่งสกิลใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ เพื่อให้ตามทันกับสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวกับตัวงาน หรือจะเทรนนิ่งในด้านอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับตัวงานก็ได้

 

แต่เป็นสิ่งที่พนักงานได้เทรนแล้วเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง

3.แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ของแต่ละแผนก

อาจจะให้แต่ละแผนกได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการทำงานของกันและกัน พนักงานจะได้รู้ว่าแต่ละแผนกในองค์กรทำอะไรกันบ้าง ช่วยกระตุ้นให้พนักงานกระตือรือร้นในการที่จะเรียนรู้ในสายงานใหม่ ๆ

 

และอาจจะนำมาปรับใช้กับงานของตัวเองได้

 

 

สิ่งที่ช่วยจัดการ การทำงานไม่ก้าวหน้า

1. รู้จักและพัฒนาตัวเอง

เราควรทำความรู้จักตัวเองเสียก่อน สิ่งไหนที่เราทำแล้วรู้สึกมี Passion กับมันและหันมาเรียนรู้และพัฒนาตนเองในสิ่งนั้นให้เชี่ยวชาญ ชำนาญ และนำมาปรับใช้กับงานของเราหรือหาลู่ทางใหม่ในการทำงาน

2. ตั้งเป้าหมายในการทำงาน

ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นหรือระยะยาว เช่น เราอาจจะตั้งเป้าไว้ว่า เราทำงานในตำแหน่งนี้ 3 ปี เราจะต้องอัพตำแหน่งให้สูงขึ้นให้ได้ หรืออัพเงินเดือนให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

3. มี Positive Thinking

จะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนพลังบวกในการทำงาน ให้เรามีกำลังใจที่ดีในการทำงานไม่ท้อถอย มีมุมมองและทัศนคติที่ดี สามารถแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด

 

สิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือเป้าหมายของเราเอง ถ้าเราทำงานแบบมีเป้าหมาย อะไรหลาย ๆ อย่างที่ตามมาก็อาจจะชัดเจนขึ้น ชัดทั้งเส้นทางการพัฒนาตัวเองและชัดทั้งเส้นทางการไปต่อกับงานในปัจจุบัน

 

คนเราทุกคนมีโอกาสที่จะเรียนรู้งานที่หลากหลาย มีโอกาสที่จะได้ทำงานในหลาย ๆ ตำแหน่ง เพราะฉะนั้นลองเปิดใจและเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพื่อเป็นการอัปเกรดสกิลในการทำงานให้กับตัวเอง

ขอบคุณ ขอโทษ ”  คำที่ควรพูดให้ติดปาก

 

คำพูดเป็นสิ่งสำคัญ

ทุกคนต่างรู้ว่าคำพูดเป็นสิ่งสำคัญ 1 คำพูดอาจสร้างความสุขได้มากมาย แต่อาจสร้างความทุกข์ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น การพูดอะไรสักอย่างควรผ่านการคิดไตร่ตรอง

 

เพราะอะไรถึงควรพูดคำว่า ขอบคุณ

เพราะเป็นคำที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี คำนี้จัดอยู่ในหมวดหมู่ Positive message เป็นการสร้างพลังบวกให้กับตัวเองและอีกฝ่าย แต่คำว่าขอบคุณจะ powerful มากขึ้น ถ้าออกมาจากใจจริง ๆ

 

ในอีกแง่หนึ่ง คำว่า “ขอบคุณ” ส่งผลกระทบในทางบวกพอ ๆ กับคำว่า “รัก” เลย เช่น ขอบคุณสำหรับอาหาร ขอบคุณสำหรับความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งคำว่าขอบคุณใช้ได้กับทุกคน

 

นอกจากจะเป็นคำพูด คำว่าขอบคุณเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้รู้ว่าคน ๆ นี้มีมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ไปในทางบวก คน ๆ นี้จะสามารถมีความสุขกับชีวิตตัวเองได้ง่าย ๆ แม้เจอปัญหา

 

เพราะอะไรถึงควรพูดคำว่า ขอโทษ 

คำว่าขอโทษเป็นคำพูดที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกไป เพราะบางคนมีมุมมองว่าคำพูดนี้แสดงออกถึงความอ่อนแอ เวลาที่เจอกับสถานการณ์ขัดแย้งในความสัมพันธ์

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกล่าวคำว่าขอโทษให้กับใครสักคน ไม่ใช่ความอ่อนแอแต่อย่างใด แต่เป็นการแสดงถึง ความเป็นผู้ใหญ่และความเเข็งแกร่ง มากกว่า

 

นอกจากนี้ การขอโทษยังช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งได้ นอกจากนี้อาจช่วยให้ความสัมพันธ์ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง การยอมรับผิดไม่ได้น่าอาย

 

 

รู้จัก Sorry Syndrome

บางคนพูดคำว่า ขอโทษ บ่อยมาก บ่อยจนเรารู้สึกเข้าใจไปเองว่า พูดขอโทษเพราะรู้สึกผิดจริง ๆ หรือว่าอยากให้เรื่องจบไว ๆ กันแน่? 

 

เลยอยากพาไปรู้จักกับ Sorry Syndrome ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของพฤติกรรมที่เกิดจากความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่มีต่อความสัมพันธ์นั้น ๆ

 

เช่น ความสัมพันธ์ที่มีความรุนแรงทั้งทางร่างกายหรือทางวาจา ทำให้คน ๆ นั้นเติบโตมาด้วยความรู้สึกผิดจนต้องพูดขอโทษบ่อย ๆ  

 

 

รู้จัก Fake Apology

เคยได้ยินไหม? คำว่า ” ขอโทษละกัน ” ทุกครั้งที่ได้รับคำพูดนี้ หลายคนจะไม่ได้รู้สึกอยากยกโทษให้เพราะสัมผัสถึงความรู้สึกผิดของเขาไม่ได้เลย 

 

Fake Apology คือ ประโยคที่ใช้แสดงการขอโทษ แต่ไม่ได้แฝงมาซึ่งความรู้สึกผิดใด ๆ เลย เป็นคำขอโทษปลอม ๆ เช่น ขอโทษละกัน ขอโทษนะแต่…

 

 

คำขอโทษในช่วงวัยต่าง ๆ 

ในบางวัฒนธรรมหรือกลุ่มสังคม พ่อแม่อาจจะรู้สึกว่าอายุเยอะกว่า การพูดขอโทษคนที่อายุน้อยกว่าอย่างลูกหลานเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ

 

ซึ่งไม่แปลกเพราะคนเอเชียค่อนข้างให้ความสำคัญกับลำดับอายุ ประกอบกับบรรทัดฐานทางสังคมที่หล่อหลอมเรื่องการเคารพผู้อาวุโส 

 

แต่จริง ๆ คำว่า ขอโทษ เป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้การกระทำใด ๆ เลย ลองหยิบยื่นคำว่า ขอบคุณ ขอโทษ ให้คนที่อยู่ตรงข้ามกับเราดูสิ

 

อาจทำให้วันที่ขุ่นมัวกลายเป็นวันที่สดใสได้ ขอบคุณช่วยให้รู้สึกดี ขอโทษช่วยให้ยอมรับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น แล้วทำไมถึงจะต้องเก็บไว้?

 

 

ขอบคุณ ขอโทษ พูดไปอาจทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นกว่าที่คิด 🙂

เพราะโลกมันโหดร้าย คนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก ประโยคนี้จริงแค่ไหน?

 

การไม่มีลูก = ปัญหาระดับชาติ

จากสถิติการเกิดใหม่ของเด็กไทยปี 2563 พบว่า จำนวนของเด็กไทย ลดต่ำกว่า 600,000 คน เป็นครั้งแรก และยังมีแนวโน้มที่จะลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

 

สาเหตุมาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านสภาพสังคมในปัจจุบัน ขณะเดียวกันผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยวอชิงตันของสหรัฐอเมริกา

 

บอกว่า ไทยเป็น 1 ใน 23 ประเทศ ที่มีอัตราการเกิดของเด็กแรกเกิดลดลง คาดว่า อีก 80 ปีข้างหน้า ประชากรคนไทยอาจลดลงจนเหลือ 35 ล้านคนเท่านั้น 

 

 

เพราะอะไรที่ทำให้ คนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก?

1. รู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ

2. รู้สึกถึงความไม่พร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจ

3. ยังรักความอิสระที่มีในเวลานี้อยู่ จึงไม่อยากสร้างครอบครัว 

4. คู่รักสมัยใหม่แต่งงานช้าลง อายุมากขึ้น ศักยภาพในการมีลูกจึงลดลงไปด้วย 

5. ไม่อยากให้ลูกต้องมาเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงที่โหดร้าย กลัวว่าลูกจะปรับตัวไม่ได้ 

 

 

โรคกลัวการคลอดลูก 

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก อาจมีสาเหตุมาจากการเป็นโรคกลัวการคลอดลูกที่เรียกว่า โทโคโฟเบีย (Tokophobia) มาจากภาษากรีซ

 

Tokos หมายถึง การคลอดบุตร และ Phobos หมายถึง ความกลัว ความกลัวนี้จะเกิดขึ้นกับคุณแม่ได้ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์และต่อเนื่องไปจนถึงหลังคลอด

 

 

ข้อดี-ข้อเสีย ของการมีลูก

ข้อดี

1. มีความผิดชอบมากขึ้น

2. มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

3. มีลูกเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ

4. สานสัมพันธ์ให้กับคนในครอบครัว

5. เห็นคุณค่าของการมีชีวิต เพราะมีอีกชีวิตที่ต้องดูแล

ข้อเสีย

1. ถ้ามีลูกเมื่อไม่พร้อม อาจเกิดปัญหาตามมามากมาย เด็กที่เกิดมาอาจไม่ได้รับการดูแลที่ดี

2. การมีลูกตอนอายุมากเกินไป อาจทำให้คุณแม่เหนื่อยกว่าเดิม เพราะไม่มีพลังมากเท่าเดิม

 

 

การมีลูก คือ การต้องดูแลอีก 1 ชีวิต จะตัดสินใจอย่างไร ลองใช้เวลาทบทวนตัวเอง 🙂

รู้สึกว่าตัวเราเอง แบกโลกทั้งใบ ไว้ทั้งกับตัวเอง

 

เอาทุกอย่างมาแบกไว้บนบ่าเป็นความรู้สึกที่เหนื่อยมาก ๆ ทุกข์มาก ๆ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วเราสามารถทำอย่างไรได้บ้างให้ความรู้สึกนี้เบาบางลง..

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ

ความรู้สึก แบกโลกทั้งใบ ไว้กับตัวเอง

เวลาที่เราเกิดความยุ่งยากบางอย่างขึ้นมาเรามักจะชอบเก็บความทุกข์ใจของเราไว้ที่ตัวเราเองแบกรับมันไว้เพราะไม่อยากให้คนรอบข้างต้องมาเดือดร้อนกับเรื่องราวของเรากับเรื่องราวของเราสิ่งที่มันดูเป็นเรื่องยุ่งยาก

 

เรื่องซับซ้อนเหล่านั้นเราชอบที่จะแบกจะเก็บมันไว้คนเดียว สุดท้ายปัญหาเหล่านั้นมันก็อาจจะดีขึ้นได้ถูกจัดการไปได้ แต่บางครั้งบางปัญหามันก็ไม่สามารถแก้ไขได้จนตัวเราเองบางทีมันก็เกิดมีความกดดันความทุกข์ความเศร้าต่าง ๆ ที่มันตามมา

 

เพียงเพราะเรามองว่าเราจะต้องแบกโลกนี้ไว้คนเดียว แบกปัญหาทุกอย่างไว้ที่ตัวเราเองเพียงคนเดียวความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นหรือปัญหาที่มันเกิดขึ้นเราพยายามแบกเพียงคนเดียวมันเหมือนกับเราเอาทุก ๆ อย่างมาใส่ไว้บนบ่าของตัวเราเองมันอาจจะเป็นวิธีการที่มันไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่

 

เพราะยิ่งเวลาผ่านไปตัวเราเองจะยิ่งรู้สึกว่ามันอ่อนล้ามันเหนื่อยจิตใจมันอ่อนแอ เรี่ยวแรงก็จะเริ่มหมดไปเราก็จะเริ่มถดถอยในการที่จะต้องรับมือกับสิ่งเหล่านั้น จนบางนี้มันเกิดเป็นภาวะอารมณ์เศร้าขึ้นมา

สงสัยว่าการที่เรามีคนอื่นคอยให้กำลังใจหรือมีคนอื่นคอยรับฟังมันมีประโยชน์ยังไง?

จริง ๆ แล้วเวลาที่มีใครสักคนนึงรับฟังหรือมีใครสักคนนึงพูดให้กำลังใจเรามันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อจิตใจเรามาก ๆ เลย เพราะการที่เรามีคนคอยรับฟังเวลาที่เรามีปัญหามันจะช่วยแบ่งเบาภาระทางอารมณ์หรือความรู้สึก

 

ทางอารมณ์ที่มันแย่หรือความรู้สึกที่ไม่ดีของเรา จนบางทีเราอาจจะรู้สึกว่ามันโล่งสบายดีจังเลยหรือรู้สึกสบายใจขึ้นจังเลยหรือกลับบางคนแค่ได้แบ่งปันบางอย่างออกไป

 

ก็อาจจะรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว เราไม่จำเป็นต้องรับทุกอย่างไว้คนเดียว ยังมีคนคอยที่จะผลักดัน คอยที่จะ support  เราหรือคนที่จะคอยช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาร้าย ๆ ออกไป

 

หากกำลังเจอกับเรื่องหนักใจหรือชอบเก็บอะไรไว้ในใจคนเดียวจนเรารู้สึกว่า แบกโลกทั้งใบไว้คนเดียวไม่ว่าจะเหตุการณ์อะไรที่มันเกิดขึ้นก็ตามขอให้เข้าใจไว้ว่าเราอาจจะไม่ได้กำลังเผชิญสิ่งเหล่านั้นอยู่เพียงคนเดียว

 

อาจจะกำลังมีคนเผชิญกับโชคชะตาหรือชะตากรรมในการแบกโลกไว้ทั้งใบเหมือนกับเราเหมือนกัน

 

ดังนั้นแล้วการให้เราพยายามแบกโลกไว้คนเดียวมันอาจจะเป็นวิธีการที่มันไม่ค่อย Healthy บางทีเราอาจจะหันมาปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ปรับเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองใหม่เพื่อลดความรู้สึกเครียด ความรู้สึกตึง

 

และความรู้สึกทุกข์ใจในตัวเอง ให้มันลดลงกันดีกว่า 

 

เราอาจจะต้องแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นหรือมีการดึงสิ่งเหล่านั้นมาเป็นแรงบันดาลใจหรือว่าเป็นแรงผลักให้เราสามารถเอามาใช้ให้มันเกิดประโยชน์

 

การที่เราแบกโลกไว้คนเดียวมันมักจะมาจากการที่เราคิดด้านลบพยายามทำให้ชีวิตเรามันติดลบส่วนใหญ่มักจะมีจุดเริ่มต้นจากการที่เราดูถูกตัวเอง

 

หรือบางทีอาจจะเริ่มต้นจากการตัดพ้อกับตัวเองก่อน เช่น มองว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นตัวเองไม่มีความสำเร็จอะไรเกิดขึ้นเลยหรือคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะไปสู้กับคนอื่นได้

 

ซึ่งมันคล้าย ๆ กับการที่เราพยายามจะแบกรับทุกอย่างไว้เพราะเรารู้สึกว่าเราสามารถด่าทอดูถูกตัวเองจะตีจะเครียดตัวเองให้เจ็บปวดได้ดีที่สุด 

 

เราอาจจะต้องปรับ Mindset ในเรื่องของการไว้วางใจคนอื่นเชื่อใจในคนอื่นบ้าง ดังนั้น แล้วบางทีถ้าเรามัวแต่ไปโฟกัสว่าตัวเราเองมันไม่ดีคนอื่นอาจจะไม่อยากช่วย ตัวเราเองแย่เราก็เลยต้องแบกสิ่งเหล่านี้ไว้เพียงคนเดียว

 

มันยิ่งจะก่อให้เกิดเป็นความทุกข์ใจเวลาที่ตัวเราก็จะต้องแบกรับปัญหาอะไรหรืออย่างไว้ที่ตัวเองสิ่งต่อมาเลยนอกจากการที่เราจะต้องปรับ Mindset ใหม่ให้ไม่เครียดแล้วก็คือเราจะต้องเรียนรู้ในการที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยจริง ๆ

 

แล้วตัวเราเองเพียงแค่มีผู้รับฟังหรือมีใครสักคนนึงที่เขาคอยพูดให้กำลังใจบางทีมันก็เป็นประโยชน์กับเรามาก ๆ แล้วแต่การที่เราปรับ Mindset ตัวเองเพื่อเรียนรู้ว่าเราจะต้องไม่เครียดไปกับมันจะต้องไม่เอาทุกอย่างมาทิ้งที่ไว้ที่ตัวเราเอง

 

ถ้าเราทำแบบนั้นแล้วตัวเราเองจะเป็นทุกข์ นอกจากจะทุกข์กายแล้วเราเองยังจะมีความทุกข์ใจกับกันแบกโลกไว้บนบ่าอีกต่างหากด้วยและสิ่งสำคัญก็คือเราอาจจะต้องยอมรับว่าทุกคนล้วนแตกต่าง

 

ทุกคนมีวิธีการในการจัดการมีวิธีการในการรับมือกับปัญหาที่มันแตกต่างไป

 

เพียงแต่ตัวเราเองอาจจะมองว่าสิ่งเหล่านี้คนอื่นจะไม่สามารถช่วยเราได้แต่อย่าว่าบางทีตัวเราเองก็เหมือนอยู่ในห้องดำที่เราไม่สามารถที่จะหาทางออกกับมันได้

 

การที่เราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นเรียนรู้ที่จะแบ่งปันกับคนอื่นเรียนรู้ที่จะเชื่อใจคนอื่นมันก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยให้เราแบ่งเบาหรือบรรเทาความรู้สึกที่ตัวเราเองแบกรับไว้อย่างนั้นจะช่วยให้มันเบาบางลงได้ 

 

” Low self-esteem ” ไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเท่ากับซึมเศร้าไหม?

 

 

Self-esteem คืออะไร?

เป็นการเห็นคุณค่าในตนเอง ที่เป็นมากกว่าการชอบตัวเองโดยทั่วไป แต่ยังหมายถึง การเชื่อว่าเราสมควรได้รับความรักและเห็นคุณค่าของความคิด ความรู้สึก ความคิดเห็น ความสนใจ และเป้าหมาย

 

แบบเข้าใจง่ายที่สุด Self-esteem คือ การภูมิใจในตัวเอง รักตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทุกคนควรเห็นคุณค่าตัวเอง เพราะสิ่งนี้สำคัญมาก แต่ในทางปฏิบัติการเห็นคุณค่าตัวเองอาจไม่ใช่เรื่องง่าย

 

 

เรากำลังเป็นคน Low self-esteem หรือเปล่า?

ถ้ามีลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ อาจเข้าข่ายว่ามี Low self-esteem

1.อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์

2.ไม่กล้ากำหนดของเขตตัวเอง

3.ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง  

4.พูดถึงตัวเองในเชิงลบ 

5.จมกับตัวเองในอดีต

6.กลัวความผิดพลาด 

7.กลัวการเข้าสังคม 

8.ชอบเปรียบเทียบ 

 

 

สาเหตุที่ทำให้เกิด Low self-esteem

1. ครอบครัว

self-esteem ของคนบางคนถูกผู้ใหญ่ทำลายไปตั้งแต่วัยเด็กเพียงเพราะคำว่า “อย่าชมเด็กเยอะ เดี๋ยวเหลิง” ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะวัยไหน การชื่นชมเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างต้องการ

2. สังคมโซเชียล

การเห็นสื่อสังคมทำให้ยิ่งเป็นการตอกย้ำกับตัวเองว่าเรายังดีไม่พอ สวยไม่พอ เก่งไม่พอ ถ้าเทียบกับคนอื่น 

3.ไม่มีกำลังใจ

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามที่มันยาก ท้าทาย ก็ไม่เคยได้รับกำลังใจจากใครเลย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรอบข้าง 

4. ถูก Bully 

ทั้งทางคำพูดและการกระทำ จะทำให้มีการรับรู้คุณค่าของตัวเองลดลง อีกทั้งยังสร้างบาดแผลภายในจิตใจ

5. เจอกับความล้มเหลว

การประสบปัญหาในชีวิตที่ส่งผลกับสภาพจิตใจ อาจทำให้คน ๆ นั้นหมดหวังกับชีวิตและไม่พึงพอใจในตัวเอง 

 

 

ผลกระทบจาก Low self-esteem

1. ส่งผลต่อความสุข

ทำให้ไม่มีความสุข กลัวและกังวลในทุกสิ่งที่ทำ ทำให้พลาดโอกาส นำไปสู่ความรู้สึกเกลียดตัวเอง 

2. โรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล

เมื่อเวลาผ่านไป อาการเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตอย่าง โรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลได้

 

 

วิธีการก้าวข้ามผ่านเรื่องที่ทำให้ Low self-esteem

1. รับรู้ความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง

การรับรู้ความรู้สึกและความต้องการของตัวเองอยู่เสมอเป็นสิ่งที่ดี ลองเริ่มด้วยการลองทำในสิ่งที่ชอบ สร้างความเชื่อมั่นว่าทุกคนคู่ควรที่จะมีความสุข

2. ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ยึดกับความเป็นจริง

ลองก้าวผ่านความรู้สึกแย่ที่มีต่อตัวเองด้วยเป้าหมายเล็ก ๆ ถ้าทำสำเร็จอย่าลืมที่จะให้รางวัลตัวเอง เพื่อเป็นแรงเสริมให้สามารถมองเห็นคุณค่าในตัวเอง 

3. ลองหยิบยื่นความรู้สึกดี ๆ ให้คนอื่น

อาจจะเป็นคำชื่นชม ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เวลาที่ได้ยินคำว่าขอบคุณ อาจทำให้เรามีความสุขและเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นได้ รวมถึงพัฒนาความสัมพันธ์ด้วย

 

 

แต่อย่าลืมว่า ถ้าไม่ไหว ไม่ผิดที่จะไปพบจิตแพทย์ 🙂

ความรู้สึก เกลียดตัวเอง เราจะรับมือกับความรู้สึกแบบนี้ของตัวเองได้ยังไง?

 

ถ้ามันเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะรู้สึกดีกับตัวเอง

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ

ความรู้สึก เกลียดตัวเอง

ความรู้สึกไม่ชอบตัวเองเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนก็มักจะเกิดขึ้นที่จริงมันอาจจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอในตัวเราเวลาที่เราทำอะไรที่เราไม่อยากทำหรือเราอาจจะเคยไม่ชอบในนิสัยบางอย่างของตัวเองไม่ชอบชื่อตัวเอง

 

อ่อนไหวกับเรื่องง่าย ๆ เลยหรือแม้กระทั่งไม่ชอบที่จะเสียใจไม่ชอบที่จะเป็นคนขี้โมโห หรือน้อยใจจากการกระทำของคนอื่น

 

สิ่งเหล่านี้บางทีเราเก็บสะสมมามาก ๆ คิดมันอยู่บ่อย ๆ มันก็กลายมาเป็นความรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาได้เหมือนกัน

 

แต่สำหรับบางคนคิดว่าตัวเองอาจจะไม่ดีหรือแม้กระทั่งเอาแต่โทษตัวเองอยู่อย่างนั้นว่าเราไม่ดีพอหรือเราไม่มีศักยภาพมากพอ แล้วก็คิดว่าตัวเองไม่สามารถดีขึ้นได้เลย

 

ความรู้สึกแบบนี้ที่มันเกิดขึ้นมันยิ่งจะบั่นทอนเราแล้วก็ถักถอเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีกับตัวเองขึ้นมาทุก ๆ เลยก็ได้

อะไรที่เป็นสาเหตุของการที่เราเริ่มรู้สึก เกลียดตัวเอง

การที่เรารู้สึกเกลียดชังตัวเองมันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยมาก ๆ เลยมารวมกันหรือกับบางคนอยู่กับปัจจัยตรงนั้น ๆ จนเป็นความเจ็บปวดในจิตใจจนทําให้เราเริ่มมีความรู้สึกไม่ชอบในตัวเองพอเราเริ่มไม่ชอบในตัวเอง

 

ความรู้สึกเกลียดตัวเองก็จะเข้ามาแทนที่คำว่าไม่ชอบตัวเองตรงนั้นได้เหมือนกันซึ่งในความรู้สึกเกลียดตัวเองเวลาที่มันก่อตัวขึ้นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดที่มันเกิดขึ้นกับเราจนก่อเป็นความเกลียดตัวเองขึ้นมา

 

หรือกับบางคนมีการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นความคาดหวังต่าง ๆ แม้กระทั่งการพัฒนาตัวเองแล้วมันไม่เป็นอย่างที่ตัวเราหวัง ความผิดหวังในตัวเองบางทีมันก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกเกลียดตัวเองได้เหมือนกัน

 

หลายคนที่มีความรู้สึกเกลียดชังในตัวเองมาจากการที่เคยผ่านเรื่องราวที่มันเลวร้ายหรือมีประสบการณ์บางอย่างที่มันเจ็บปวดในอดีต

 

ไม่ว่าจะเป็นการถูกล่วง ละเมิดทางเพศ การถูกทำร้ายร่างกาย การถูกทำลายทางด้านจิตใจ หรือแม้กระทั่งการถูกทอดทิ้ง

 

สิ่งเหล่านี้บางทีมันเป็นความรู้สึกที่มันแปลงมาเป็นความเกลียดตัวเองได้แต่เมื่อประสบการณ์ต่าง ๆ มันทำ ให้ตัวเรามองบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ค่อยปลอดภัย

 

มองรอบตัวเปลี่ยนไปก็จะรู้สึกมีแต่ความอันตรายแล้วก็คิดไปเองว่าตัวเราเองเนี่ยไม่มีค่าพอในการที่จะถูกรักหรือไม่เป็นที่ต้องการ

 

ความรู้สึกเกลียดตัวเองก็อาจจะก่อตัวขึ้นมาได้เช่นกันแต่บางคนอาจจะรู้สึก ผิดหวังกับสิ่งที่ตั้งใจไว้นี่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งเหมือนกันที่มันเกิดขึ้นบ่อย ๆ เกิดขึ้นซ้ำ ๆ

 

มันก็จะก่อตัวขึ้นมาเป็นความรู้สึกไม่ชอบและก็เกลียดตัวเองได้แต่จริง ๆแล้วมันเป็นเรื่องปกติมาก ๆ เลย

 

ทุก ๆ คนจะต้องเจอกับความผิดหวังทุก ๆ คนต้องเผชิญกับอะไรที่มันไม่สมหวังดั่งใจอยู่แล้ว การที่เราอยากเป็นคนที่ถูกยอมรับจึงพยายามทำทุกอย่างให้มันออกมาดีที่สุดไม่มีข้อบกพร่อง

 

แต่บางครั้งเราก็มักคาดหวังเกินไปหรือคาดหวังเกินกว่าสิ่งที่ความสามารถเราจะสามารถทำได้เวลาที่เราทำไม่ได้ดั่งใจเราก็จะรู้สึกว่ามันเจ็บปวด ม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ของเลย

 

จนหลาย ๆ ครั้งเราก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่คาดหวังกับตัวเองเรามันดูไม่เก่งไม่มีค่าไม่มีความสามารถเลย ที่จะทำอะไรในชีวิตให้มันดีขึ้นมาได้บางครั้ง คนเราก็อาจจะพยายามทำตามคำพูดของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา พยายามทำให้

 

คนอื่นชอบตัวเอง ซึ่งมันเป็นวิธีการที่มันอาจจะไม่ค่อยดีแล้วมันก็เป็นปัจจัยที่มักจะส่งผลต่อตัวเราเองด้วยว่าเวลาที่เราทำอะไรและเราเชื่อมโยงตัวเองกับคนอื่นว่าทำแบบนี้คนอื่นจะต้องชอบ

 

แปลว่าถ้าวันหนึ่งเราทำแบบนี้ไปแล้วเขาไม่ชอบเราก็ต้องไม่ชอบตัวเองด้วยมันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า อันนี้อยากจะให้คุณฟังลองถามตัวเองด้วยว่าเราจำเป็นไหมที่เราจะต้องเชื่อมโยงตัวเองกับคนอื่นอยู่เสมอเลย

 

เพราะจริง ๆ แล้วความรู้สึกของเขากับความรู้แต่ของเรามันคงไม่มีอะไรที่เอามาวัดว่าความสุขของเรากับเขาเมันจะต้องเท่ากันเสมอไปหรือไม่กระทั่งการทำดีในระดับที่เรารู้สึกว่ามันมากพอแล้วในขณะเดียวกัน

 

อีกคนการที่เราจะจัดการความรู้สึกนี้ได้หรือว่าการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ คือเราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่มันเป็นสาเหตุของความรู้สึกเกลียดตัวเอง 

ความรู้สึกที่เราไม่ชอบตัวเองมันมาจากอะไร

มันมีอะไรกันที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นกับตัวเอง ความรู้สึกเกลียดตัวเองไม่ชอบตัวเองให้เราลองสังเกตก็ได้ว่ามันมีเหตุการณ์ไหนที่มันเกิดขึ้นกับเราและเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับเราแล้วเรามักจะเชื่อมโยงกับความรู้สึกไม่ชอบตัวเองหรือความรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมา

 

ถ้าเราเริ่มเชื่อมโยงแบบนี้ได้แล้วก็จะเห็นได้ว่าสาเหตุอะไรกันบ้างที่มันทำให้เรามีความรู้สึกไม่ชอบและเกลียดชังตัวเองแบบนี้ถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่เห็นภาพเราเลือกว่ามันยังไม่ได้ชัดเจนมากพอแล้วทำให้เราไม่สามารถเข้าใจได้ว่าความรู้สึกนี้มันมีสาเหตุมันมีปัจจัยอะไรบ้าง

 

ที่มันไปก่อตัวเป็นความรู้สึกเกลียดชังตัวเอง อยากให้ลองเขียนมันออกมาบรรยายออกมาเป็นเหตุการณ์บรรยายว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นแล้วมันตามมาด้วยความรู้สึกเกลียดตัวเอง ก่อนหน้าที่เราจะมีความรู้สึกแบบนี้กับตัวเองมันสามารถเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ไหนในชีวิตของเราได้บ้าง

 

พอเราเห็นที่มาที่ไปถึงจะทำให้เราเข้าใจและเชื่อมโยงได้ว่าเราจะต้องไปจัดการในความรู้สึกเกลียดชังหรือรับมือกับมันได้ยังไงบ้าง เมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรมันเป็นสาเหตุหรือปัจจัยอะไรที่มันเป็นตัวกระตุ้นทำให้ความรู้สึกมันเกิดขึ้นกับเรา เราจะเลือกวิธีในการจัดการกับสิ่งเหล่านั้นหรือมีอีกวิธีนึงเลยฝึกการพูดเชิงบวกกับตัวเอง

 

ในมุมที่เราสามารถมองเห็นมันได้ตื่นเช้ามาถ้าเราตื่นมาพร้อมกับการมองเห็นสิ่งที่ดี คำดี ๆ ที่มีกับตัวเองมันก็เป็นการทำให้ตัวเราเองที่เพิ่มพูนความรู้สึกดี ๆ ประสบการณ์ดี ๆ กับตัวเองมากขึ้นด้วยเช่นกัน

 

ให้เรานึกถึงข้อดีที่เราจดไว้หรือแม้กระทั่งคำพูดดี ๆ ที่เราพยายามเขียนบอกตัวเอง

 

แล้วก็ติดข้างฝาไว้ตรงนั้นเลยถ้าเรารู้สึกว่ามันยากจังเลยที่เราจะต้องอยู่คนเดียวแล้วก็ทำให้ตัวเราเองเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเองน้อยลง หรือหามุมดี ๆให้ตัวเองคิดคำพูดในเชิงบวกให้ตัวเองการที่เราหันมาเห็นอกเห็นใจในตัวเอง

 

ยอมรับว่าความผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน

 

และรวมไปถึงตัวเราด้วยมันจะทำให้ตัวเราเวลาที่ความผิดพลาดเกิดเป็นความล้มเหลวก็จะได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันก็แค่ต้องปรับปรุง ต้องพัฒนาตัวเองในครั้งต่อไปเพื่อไม่ให้มันเกิดข้อผิดพลาดตรงนี้อีก

ทำไมตอนนั้นเราถึงเลี้ยงสัตว์กันนะ เพราะเราอยากเลี้ยง เพราะมันน่ารัก หรือเพราะเราเหงา แต่รู้หรือไม่ว่า สัตว์เลี้ยงช่วยฮีลใจ ได้นะ

สัตว์เลี้ยงช่วยฮีลใจ (Pet therapy)

การบำบัดด้วยสัตว์ช่วยสามารถลดความเจ็บปวดและความวิตกกังวลในคนที่มีปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง มีประโยชน์สำหรับคนที่อยากเลี้ยงสัตว์และคนที่มีความไม่มั่นคงด้านความรู้สึกและมีปัญหาสุขภาพ

 

เคยได้ยินเรื่องหนึ่งมานานมากแล้ว ว่าสัตว์เลี้ยงมักรับรู้ความรู้สึกของเราได้ ตอนนั้นอ่านเจอของใครสักคนหนึ่ง เขาเล่าว่าเมื่อตอนที่เขาเศร้า สัตว์เลี้ยงของเขาก็เหมือนรับรู้และคอยมาอยู่ข้าง ๆ ไม่ไปไหน

 

ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่ได้เชื่อ แต่พอวันหนึ่งที่เราเศร้ามาก เรานอนร้องไห้ แมวที่เราเลี้ยงไว้ เขากลับมานอนอยู่ข้าง ๆ แล้วไม่ไปไหน ไม่รู้ว่าคิดเองเออเองไปหรือเปล่านะ

 

ตอนนั้นเรารู้สึกได้ว่าเขารับรู้ถึงความเศร้าภายในใจของเรา แล้วเหมือนเขาอยากอยู่ปลอบใจเรา ถึงแม้ว่าเขาจะพูดไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาทำได้ คือการอยู่ข้าง ๆ เราในเวลานั้น ณ ขณะนั้นมันช่วยได้มาก ๆ

 

สัตว์เลี้ยงช่วยฮีลใจ และเติมพลังให้กับร่างกายและจิตใจ

เวลาที่เหนื่อยมาก เศร้ามาก หรือหมดแรง การเข้าไปกอดแมว แล้วบอกขอเติมพลังหน่อย มันช่วยได้มาก ๆ เลย เพราะการกอดสามารถช่วยเติมพลังให้กับเราได้ ถ้าตอนนั้นเราไม่สามารถกอดใครได้ หรือไม่มีใครให้กอด

 

“แต่อย่างน้อยเรามีสัตว์เลี้ยง”

 

สิ่งที่จะได้รับจากน้องๆคือ
1. คลายเหงา การได้มองเค้าวิ่งเล่นหรืออใช้ชีวิตปกติ มันทำให้เรารู้สึกไม่เหงา
2. ลดความเครียด จากการสัมผัส การเล่น การกอด
3. เพิ่มกิจกรรมให้เราได้

 

นอกจากความน่ารักของเจ้าสัตว์ตัวน้อยแล้ว ยังสามารถช่วยบำบัดความเครียดได้ รวมถึงมีงานวิจัยเยอะมาก ว่าสัตว์เลี้ยงช่วยฮีลใจได้จริงมั้ย และเราพบว่ามันจริง เลยเกิดเป็น กิจกรรมสัตว์เลี้ยงบำบัด

 

Pet Therapy ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของ การบำบัดด้วยสัตว์ Animal assisted Therapy/Animal Therapy

 

จากความน่ารักของเค้าที่อาจจะดูเล็กๆ ช่วยลดความความเครียด เพิ่มความสุขได้ แต่กลับเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือสามารถช่วยบำบัดผู้ป่วยได้เลย

 

เพราะสัตว์สามารถช่วยในเรื่องการรับรู้สัมผัส เสริมสร้างสมาธิ เพิ่มความไว้วางใจผู้อื่น ให้สัมผัสที่อบอุ่น ปลอดภัย และเป็นมิตร เพิ่มแรงจูงใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

 

เลี้ยงสัตว์ช่วยฮีลใจ แล้วช่วยเรื่องอะไรได้อีกบ้าง?

1. Mental Health สุขภาพจิต

2. สุขภาพกาย เช่น

 

แต่การบำบัดด้วยสัตว์ในลักษณะแบบนี้จะได้รับการบำบัดจากสัตว์ที่ถูกฝึกฝนอย่างมืออาชีพค่ะ แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำการบำบัดด้วยสัตว์สำหรับอาการต่าง ๆ

 

โดยมีเป้าหมายที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล เพราะ สัตว์แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ที่เราน่าจะเคยเห็นบ่อยๆจะเป็นสัตว์ที่มีความเฟรนลี่ เช่น แมว หมา โลมา

 

เลี้ยงสัตว์ในวันที่พร้อม

ถึงเราจะพูดว่าการเลี้ยงสัตว์มันดีนะ มันสามารถช่วยฮีลจิตใจของเราได้ แต่ก็อยากจะบอกว่า เราควรเลี้ยงสัตว์ในวันที่พร้อม เพราะการเลี้ยงสัวต์ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เรารับน้องเขามาเลี้ยง

 

เราต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาด้วย ไม่ใช่แค่รับมาเลี้ยงเพื่อตัวเราอย่างเดียว แต่เราต้องดูแลเขาไปจนแก่ตาย การเลี้ยงสัตว์มีสิ่งที่เราต้องคิดให้เยอะ ๆ

 

คือ ค่าใช้จ่าย การดูแลเอาใจใส่ ไม่ใช่ว่ารับมาเลี้ยงแล้ว จะทิ้งขว้างเขา ไม่เห็นค่าเขา ไม่ดูแลตอนที่เขาป่วย แบบนั้นไม่ควรรับน้องมาเลี้ยง ก่อนจะตัดสินใจดูแลชีวิตน้อย ๆ ต้องเช็คความพร้อมของตัวเองให้ดีก่อน ว่าเราพร้อมมากน้อยแค่ไหน

จากประสบการณ์

การเลี้ยงแมวสัก 1 ตัว ค่าใช้จ่าย มีทั้ง อาหาร ทรายแมว วัคซีน อาบน้ำตัดขน ของเล่นขนม และค่าใช้จ่ายในวันที่เขาป่วย อย่างของพี่เลี้ยงแมว 6 ตัว แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายเยอะมาก

 

แต่ก่อนที่เราจะมีน้อง เราก็ต้องสำรวจความพร้อมของตัวเองก่อนว่า แต่ละเดือนเราสามารถดูแลเขาได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็อย่าเพิ่มภาระให้กับตัวเอง

 

อันนี้สำคัญและอยากจะย้ำมาก ๆ เลย เพราะการเลี้ยงสัตว์ 1 ตัว เหมือนการเลี้ยงลูกเลยนะคะ เหมือนอย่างที่พี่อังบอกไปว่ามันมีค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ เราอาจจะต้องคิดน่าคิดหลังให้ดีก่อน

 

เพราะถ้าเราไม่พร้อมแล้วเอาเค้ามาเลี้ยง จากที่จะช่วยฮีลใจอาจจะทำให้เราเครียดเรื่องค่าใช้จ่ายแทน

 

ท้ายที่สุด เราจำเป็นที่จะต้องก้าวออกจากโลกของตัวเอง และพยายามที่จะสื่อสารกับคนอื่นบ้าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบำบัดรักษา

 

ในขณะที่สัตว์เองก็มีความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดสิ่งเหล่านี้ง่ายขึ้นนะ เพราะอย่างน้อยที่สุดก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วงหนึ่งที่ทำให้เราสนใจสิ่งอื่นนอกจากตัวเราและความรู้สึกเจ็บปวดของเราบ้าง

” ติดบ้าน “ กับ ชอบเที่ยว คุณเป็นแบบไหน?  บางคนชอบพักผ่อนอยู่บ้าน บางคนชอบออกไปเที่ยว เพราะทุกคนมีความสุขที่แตกต่างกัน 

 

คำว่า ติดบ้าน กับ ชอบเที่ยว

“ติดบ้าน”

คือ ชอบอยู่บ้าน ชอบทำกิจกรรมที่ทำได้ที่บ้าน รวมไปถึงการใช้เวลาร่วมกับคนรอบข้างที่บ้าน

“ชอบเที่ยว”

คือ ชอบออกไปข้างนอก ซึ่งแต่ละคนอาจมีสถานที่หรือกิจกรรมที่ชอบแตกต่างกัน เช่น ชอบเที่ยวตามธรรมชาติ ชอบเที่ยวตามห้างหรือร้านกาแฟ เป็นต้น

 

 

ที่มาของการ ติดบ้าน กับ ชอบเที่ยว

คนติดบ้านหรือคนชอบเที่ยว ไม่ใช่ลักษณะนิสัยที่ตายตัว แต่ละคนอาจมีทั้งช่วงเวลาที่เป็นคนติดบ้านและคนชอบเที่ยวได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

 

นอกจากนี้ เวลาเราใช้ชีวิตและได้สัมผัสประสบการณ์ต่าง ๆ รูปแบบการใช้ชีวิตแบบไหนน่าพึงพอใจกว่า เรามักจะเลือกใช้ชีวิตแบบนั้น ตามใจ

 

 

ติดบ้าน vs ชอบเที่ยว กับ Introvert vs Extrovert

เคยสงสัยไหมว่า รูปแบบการใช้ชีวิต เชื่อมโยงกับ ลักษณะนิสัยหรือไม่? มีความเป็นไปได้ที่กลุ่ม introvert จะเป็นคนติดบ้าน เพราะกลุ่ม introvert จะชาร์จพลังจากการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

 

และมีความเป็นไปได้เช่นกัน ที่กลุ่ม extrovert จะเป็นคนชอบเที่ยว เพราะกลุ่ม extrovert จะชาร์จพลังจากการออกไปสังสรรค์พบปะผู้คน นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Ambivert ที่มีทั้ง 2 ด้าน

 

ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงกว่า อาจจะชอบทั้งการอยู่บ้านและการออกไปข้างนอก แต่ในท้ายที่สุดแล้ว คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เพราะลักษณะนิสัยไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกพฤติกรรม

 

 

ข้อดี-ข้อเสีย ของ ติดบ้าน vs ชอบเที่ยว

“ติดบ้าน”

การอยู่บ้านมักจะให้ความรู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังทำให้ได้มีเวลาส่วนตัว ทำสิ่งที่อยากทำได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าอยู่คนเดียว อาจทำให้เกิดความเหงาได้ ซึ่งจะนำไปสู่อารมณ์ทางลบอื่น ๆ

“ชอบเที่ยว”

การออกไปเที่ยวมักจะทำให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ๆ แต่เป็นสิ่งที่ต้องใช้เงิน ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย การวางแผนจึงสำคัญ แต่ในอีกแง่หนึ่งอาจใช้สร้างเป้าหมายให้ตัวเองได้

 

 

จัดการความรู้สึกตัวเองอย่างไร เมื่อถูกมองในแง่ลบ?

1. ปล่อยวาง

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ การไม่ให้ความสนใจกับคำพูดเหล่านั้น ปล่อยวางเพื่อให้ตัวเองมีความสุข จึงเป็นสิ่งสำคัญ

2. นิ่งเฉยกับคำพูดเหล่านั้น

เพราะเรารู้ตัวเราเองดีที่สุด คำพูดเหล่านั้นไม่ได้สะท้อน “เรา” แต่สะท้อน “เขา” ว่ามีมุมองและทัศนคติอย่างไร โฟกัสกับชีวิตตัวเองดีกว่า

 

 

จะติดบ้าน หรือ ชอบเที่ยว ไม่มีวิถีชีวิตแบบไหนถูกหรือผิด ขอให้เลือกใช้ชีวิตในแบบที่ทำให้มีความสุขนะคะ 🙂

ความเความกดดันและปัญหาต่าง ๆ ที่เจอในที่ทำงาน ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึก ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ และไม่ว่าสาเหตุของความรู้สึกนั้นจะเกิดจากอะไร แน่นอนว่ามันกระทบกับการทำงานได้อย่างแน่นอน 

 

Alljit ร่วมกับคุณกวินทิพย์ จันทนิยม นักจิตวิทยาการปรึกษาและตอนนี้กำลังทำงานในตำแหน่ง HR (Human Resource / Human Resource Management)

“รู้สึก ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ” ในมุมมองของ Hr 

สารบัญ

ถ้าในมุมมองของ hr คิดว่าน่าจะมีปัจจัยในหลาย ๆ อย่างที่ทำให้พนักงานไม่มีความสุขในการทำงาน อาจจะเป็นทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน เรื่องเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานหรือสวัสดิการที่ได้รับ

 

ซึ่งพนักงานแต่ละคนก็จะมีปัจจัยที่แตกต่างกันไปตามความคาดหวังของแต่ละคน 

 

และสิ่งที่ hr ต้องทำอันดับแรกเลยคือ เราต้องรู้และเข้าใจพนักงานก่อนว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง เราช่วยหรือสามารถปรับแก้จุดไหนได้บ้างเพื่อให้พนักงานทุกคนพอใจร่วมกัน เพราะเป็นสิ่งที่ hr ต้องทำอยู่แล้ว

 

ต้องทำสถานที่ทำงานให้เป็น Workplace Happiness…

 

ในมุมมองนักจิตวิทยาจะทำอย่างไรให้รู้สึกมีความสุขกับงานที่ทำ

Positive Thinking

ถ้าในมุมมองของนักจิตวิทยา ก็ต้องใช้การคิดบวก positive thinking เข้ามาช่วย  เพราะการทำงานอย่างมีความสุขเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ที่จะช่วยส่งผลให้งานที่ทำออกมาดี

 

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องรู้จักเรียนรู้วิธีทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น มีความสุขได้เพื่อการทำงานอย่างมืออาชีพ โดย

 1. ยิ้มและพูดเรื่องดี ๆ

 

ยิ้มและพูดแต่เรื่องที่ดี ๆ การยิ้มที่ออกมาจากใจจะส่งสัญญาณไปยังสมอง เปลี่ยนไปอยู่ในโหมดคิดบวก เพราะการมองเห็นด้านดีในสิ่งต่าง ๆ และเห็นคุณค่าของบุคคลรอบกาย จะทำให้คุณมีความสุขได้ทุกที่ทุกเวลา

2.ให้รางวัลตัวเอง

 

ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง ให้รางวัลกับตัวเองกับทุก ๆ ความสำเร็จในเป้าหมายหรือหน้าที่ โดยเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เช่น ตั้งเป้าไว้ว่าจะทำงานที่ง่าย ๆ ให้เสร็จภายใน 1 ชม.

 

ถ้าเสร็จตามกำหนดเราจะให้รางวัลตัวเองด้วยการสั่งอาหารกลางวันในสิ่งที่ชอบมากิน เป็นต้น การรู้จักมอบรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่ตนเองจะทำให้เรารู้สึกภูมิใจและมั่นใจในตัวเองขึ้นได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นด้วยเช่นกัน

 3.ไม่กลัวความล้มเหลว

 

เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ ทุกคนสามารถเรียนรู้และเข้าถึงปัญหาได้

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึก ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ

1.ระบบการทำงานขององค์กร

 

บางครั้งองค์กรก็มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนหรือหลายขั้นตอนจนเกินไป อาจจะส่งผลบั่นทอนด้านความสุขของพนักงานได้เช่นกัน เพราะบางทีในการที่จะทำให้งานนึงเสร็จนั้นต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนจนเกินไป

 

อาจต้องรอนานกว่าจะได้รับการอนุมัติ เกิดความล่าช้าไม่เป็นไปตามกำหนดทำให้พวกไม่มีความสุขในการทำงานได้

 

2.ตัวเงินเดือน

 

อาจจะเป็นในส่วนที่เงินเดือนไม่สอดคล้องกับงานที่มันมากจนเกินไป เงินเดือนอยู่ในอัตราที่ไม่เหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาทุ่มเทและตั้งใจ

 

3.หน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ

 

ถ้าได้ทำงานที่ตัวเองถนัด ได้ทำงานที่รักที่ชอบ พนักงานก็มีความสุขกับการทำงาน แต่ถ้างานที่ทำมันจำเจ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ งานนั้นก็ดูจะน่าเบื่อ

 

และถ้าเป็นงานที่ถูกสั่งให้ทำอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้ออกความคิดเห็นเลย ก็จะยิ่งทำให้คนทำงานไม่มีความสุขกับงาน

 

4.ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า

 

ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานนั้นดีไม่มีปัญหา พนักงานก็จะมีความสุขและงานก็จะออกมาดี แต่ถ้าความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างานไม่ดีแล้วนั่น แน่นอนว่าความสุขในการทำงานก็จะลดน้อยลงไปด้วย

 

พนักงานคนนั้นก็จะมีความรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจที่จะร่วมงานกัน ส่งผลให้งานที่ออกมาก็อาจจะไม่ดีไปด้วย

 

5.Benefit สวัสดิการของพนักงาน

 

ในส่วนตรงนี้ต้องดูว่าตอบโจทย์ของพนักงานได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าสวัสดิการดี ครอบคลุมในหลายๆอย่าง เป็นไปตามที่พนักงานได้คาดหวังไว้

 

ก็จะทำให้พนักงานมีความ happy แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่คาดไว้หรือสวัสดิการไม่ครอบคลุมพอ ย่อมส่งผลต่อความสุขของพนักงานแน่นอน

 

สภาพแวดล้อมในการทำงานส่งผลให้เรา ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ

สภาพแวดล้อมในการทำงานหรือในองค์กรก็เป็นสิ่งสำคัญต่อความสุขของพนักงาน เพราะออฟฟิศก็เปรียบเสมือนบ้านอีกหลังหนึ่งที่พนักงานจำเป็นต้องเข้ามาใช้ชีวิตมาทำที่ออฟฟิศ

 

จึงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงานและสามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างดีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

แต่ในทางกลับกัน ถ้าสถานที่ทำงานไม่เป็นที่น่าพึงพอใจจะทำให้ประสิทธิภาพของพนักงานลดลงและยังทำให้พวกเขาเกิดความเครียดขึ้นได้ พนักงานก็จะไม่มีความสุขในการทำงาน

 

เพราะฉะนั้น hr จึงต้องพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในออฟฟิศให้กับพนักงาน ทำให้พนักงานมีความสะดวกสบาย อุปกรณ์การทำงานครบ มีพื้นที่หรือมีมุม relax ไว้ให้กับพนักงาน

 

การที่เราไม่มีความสุขกับงานที่ทำเพราะเราไม่ได้รักงานนั้นด้วยหรือเปล่า

เป็นไปได้ ถ้าพนักงานคนนั้นเค้าได้ทำงานที่ไม่ได้ชอบ ไม่ถนัดหรือเป็นงานที่ไม่ใช่สำหรับเค้าแล้ว ก็อาจจะทำให้พนักงานคนนั้นรู้สึกไม่สนุก ไม่ความสุขกับงานที่ได้ทำอยู่

 

พนักงานคนนั้นเค้าอาจจะต้องจำใจทำ หรือมีความจำเป็นต้องทำงานนั้นๆ แต่ไม่ได้ทำเพราะชอบหรือมีใจรัก ซึ่งก็จะส่งผลต่อความสุขในการทำงานของพนักงานคนนั้นแน่นอน

 

วิธีที่ทำให้ตัวเองมีความสุขในการทำงาน

1.พัฒนาตัวเอง

พัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไม่มีความสุขเวลาทำงานก็คือการที่เรารู้สึกว่าเราติดอยู่กับที่ไม่สามารถไปไหนได้ ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ

 

ก็อยากให้ลองเก็บเกี่ยวโอกาสหาความรู้เกี่ยวกับบริษัท เกี่ยวกับสินค้า หรือเกี่ยวกับระบบการทำงานทั้งหมดของบริษัท เพื่อเราจะมีไอเดียอะไรลองไปนำเสนอผู้บริหารดู

2.Work-life balance

สร้าง work life balance ให้กับตัวเอง บางคนทำงานหนักเกินไปจนไม่มีเวลาให้ตัวเองได้ผ่อนคลายมันก็จะทำให้เราไม่มีความสุข

 

เพราะฉะนั้นเราต้องปรับการทำงานใหม่ ทำงานแค่พอประมาณแล้วก็หาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองบ้าง เพื่อชาร์ตแบตให้ตัวเอง ให้ตัวเองได้มีเวลาทำอะไรในสิ่งที่ชอบบ้าง หาความสุขให้ตัวเราเองบ้าง

3.ขอคำปรึกษาจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า

ถ้ามีปัญหาหรือเจอปัญหาอะไรในการทำงาน อย่าเก็บไว้คนเดียว เราควรขอคำปรึกษาจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน เค้าจะได้ช่วยเราปรับแก้ไขงานได้ เราจะได้ไม่ต้องเก็บมาเครียดอยู่คนเดียว

 

ไม่มีความสุขกับงานทางออกคือต้องลาออกอย่างเดียวไหม

ไม่เสมอไป บางคนก็สามารถที่จะปรับความคิดปรับมุมมองต่องานที่ทำนั้นๆได้ บางคนก็อาจจะหาความสุขจากสิ่งอื่น ๆ มาทดแทน บางบริษัทเค้าก็เปิดกว้างเรื่องตัวงานหรือสายงานให้พนักงาน

 

ถ้าพนักงานคนนั้นอยากลองทำอะไรใหม่ๆ หรืออยากลองทำงานข้ามสายงานอะไรแบบนี้ค่ะซึ่งบริษัทที่เปิดกว้างเรื่องนี้ เค้าก็จะผลักดันพนักงานให้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดู เพื่อเป็นการป้องกันการลาออกของพนักงานด้วย

 

ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ไปเรื่อย ๆ จะทำให้เรากลายเป็นซึมเศร้าได้ไหม

มีโอกาสเป็นได้

 

ถ้าพนักงานคนนั้นอยู่ในสภาวะที่ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ พอนาน ๆ ไปเกิดเป็นความเครียดสะสม พอความเครียดที่สะสมเรื่อย ๆ นั้นอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าจนนำไปสู่การป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้

 

เพราะถ้าไม่มีความสุขกับงานที่ทำ เครียดสะสมเรื่อย ๆ จะส่งผลต่อสุขภาพจิตของพนักงานคนนั้นได้

 

ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ เพราะเพื่อนร่วมงานกับเจ้านาย ทำอย่างไร

เราต้องพูดคุยปัญหาที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าคนนั้นแบบตรง ๆ และพยายามหาทางออกร่วมกัน ลองปรับทักษะในการสื่อสาร ลองหาวิธีที่ทำให้พวกเขายอมรับฟังและเข้าใจ

 

ถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ เป็นตัวเราเองที่ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการรับมือกับพวกเขา ทำความเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาเป็นคนแบบนั้น จะช่วยให้เราปรับกลยุทธ์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์

 

เราอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ แต่เราต้องเปลี่ยนวิธีการรับมือ ให้คิดว่ามันคือ challenge อย่างนึง มองให้มันเป็นเรื่องสนุก ๆ ไปเลย เผื่อจะช่วยได้บ้าง

 

พื้นที่สำหรับ Relax สำคัญไหม

เป็นสิ่งสำคัญ

 

ถ้าในองค์กรมีพื้นที่ relax สำหรับพนักงาน จะช่วยให้พนักงานได้ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการรีเฟรชตัวเอง พร้อมรับการทำงานในแต่ละวัน ให้พนักงานได้เปลี่ยนบรรยากาศการนั่งทำงาน

 

สามารถมานั่งพักผ่อนเพื่อคลายเครียดได้ หรืออาจจะจัดเป็นห้องเล่นเกมส์ ห้องอ่านหนังสือก็ได้ บางบริษัทมีมุมให้พนักงานได้นอนพักผ่อนด้วย 

 

การให้รางวัลตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลย ลองตั้ง Target เล็ก ๆ เพื่อเป็นการสนอง Need ของตัวเอง เหมือนเป็นเเรงจูงใจให้ตัวเองว่าปลายเดือนเรามีสิ่ง ๆ นี้รออยู่ เดี๋ยวเราจะได้ไปเที่ยวเเล้ว

 

วิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ทำให้เรามีความสุขกับการทำงานมากขึ้นก็ได้…