“ทั้งที่ รู้ว่าไม่ดี แต่ทำไมยังหยุดไม่ได้ ?” หรือ “ รู้วิธีทั้งหมด แต่ทำไม่ได้อยู่ดี ”
เพราะแบบนี้ที่ทำให้หยุดไม่ได้
เคยสงสัยในพฤติกรรมของคนที่รู้จัก รู้ทั้งรู้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรืออะไรก็ตาม มันทำร้ายร่างกายเรา แล้วทำไมถึงยังทำ
ได้คำตอบบ้างก็เพราะมันช่วยให้ผ่อนคลาย บ้างก็บอกว่าทำไม่นาน ไม่ได้ติด เดี๋ยวก็เลิก… ถึงจะห้ามหรือบอกข้อเสียมากแค่ไหน เขาก็ยังเลือกที่จะทำ
เลยกลับมาคิดซะว่า ทุกคนคงมีเหตุผลเป็นของตัวเองแหละ เราก็มีเหตุผลที่ไม่ชอบดื่ม มีเหตุผลที่มองว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี
แต่กลับกัน เขาอาจจะมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพื่อนเขา เป็นตัวช่วยชีวิตเขาในวันที่ทุกข์ใจหรือนอนไม่หลับ มองว่าต่างคนก็คงต่างใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ที่สุดในมุมของตัวเอง
และแน่นอนว่าการที่เราทำอะไรซ้ำ ๆ จะทำให้สมองเราสร้างทางลัดในการคิดจนกลายเป็นนิสัยนั่นเอง อย่างการการชอบทานของหวานเวลาเครียด
เราก็จะเชื่อมโยงของหวานเท่ากับความสบายใจ พอตั้งใจจะลดน้ำหนัก ก็เหมือนกับการต้องฝืนนิสัย ความสบายใจก็หายไปซึ่งสร้างความเหนื่อยรวมถึงต้องใช้พลังใจมากในการเลิก
ทำให้คนส่วนใหญ่อาจไม่ได้เลิกขาดในทันทีแต่อาจลดความถี่ในการทำพฤติกรรมให้น้อยลงแทน หรือแม้กระทั่งการตัดสินใจทำอะไรในเวลาที่สภาพอารมณ์เรายังไม่มั่นคง
ไม่ว่าจะเหนื่อย เครียด โกรธ สมองส่วนเหตุผลก็จะทำงานน้อยลง สมองส่วนอารมณ์จะมีอิทธิพลมากขึ้น
ทำให้คนเราตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบง่ายขึ้น ทำให้เกิดพฤติกรรมรู้นะว่าไม่ควรแต่ก็ทำ
นอกจากนี้พฤติกรรมไม่ดีบางอย่าง อาจช่วยให้เราอุ่นใจหรือเกิดความรู้สึกปลอดภัยจากการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไม่ชอบใจ
ทำให้สมองเรียนรู้ว่าสิ่งนี้เคยช่วยเราไว้ สมองก็จะติดการกระทำนั้นและชักชวนให้เราทำพฤติกรรมนั้นเพื่อหลีกหนีความรู้สึกไม่ดีของตนเองวนไป
ความลังเลระหว่าง “รู้ผิด” กับ “หยุดไม่ได้”
ถึงจะรู้สึกผิดไปบ้างก็ตาม แต่ในเมื่อขึ้นชื่อว่าความสุข แม้จะเป็นระยะสั้น บางคนก็อาจมองว่ามันคุ้มค่ากับการแลกมันมา
ในทางจิตวิทยา พฤติกรรมเช่นนี้อาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า Cognitive Dissonance หรือ “ความไม่สอดคล้องทางความคิด”
เมื่อคนเรามีความเชื่อหรือหลักการบางอย่าง แต่การกระทำกลับขัดแย้งกับสิ่งที่ตนเชื่อ ซึ่งจะทำให้เกิดความเครียดภายในจิตใจ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น การนอกใจ บางคนพยายามลดความขัดแย้งนี้ด้วยการหาเหตุผลมารองรับ
เช่น “มันก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น” หรือ “เดี๋ยววันหลังค่อยเลิก” เพื่อให้รู้สึกผิดน้อยลง แต่แทนที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม
กลับเปลี่ยนมุมมองหรือเหตุผลเพื่อให้พฤติกรรมเดิมดูเป็นที่ยอมรับได้มากขึ้นนั่นเอง
ทั้ง ๆ ที่รู้ผิดชอบชั่วดีอยู่แล้ว แต่มนุษย์เราก็ยังหลงกลไปกับสิ่งล่อลวงจนแทบจะถอนตัวไม่ขึ้น เกิดสารพัดข้ออ้างมากลบเกลื่อนความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งความรู้สึกผิด
ความรู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกคาดหวัง จนกระทั่งความรู้สึกลังเลว่าหรือจริง ๆ แล้ว ‘เราควรหยุด’
เมื่อเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ ด้านนางฟ้าเทวดาของเพื่อน ๆ ต่างกำลังต่อสู้กับปีศาจอีกด้านของเพื่อน ๆ อยู่อย่างเต็มกำลัง
การที่เราจะมีสติและเกิดคำถามนี้ขึ้นมา มันอาจแปลได้ว่า ที่ผ่านมาเราทำมาเต็มที่แล้วก็ได้ค่ะ เราอาจทำมาจนถึงในระดับที่พอดีแล้ว
เพียงแต่อาจยังไม่พอใจเรา จึงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นเพราะเรากำลังลังเลในความสงสัยอยู่
การจะหลุดออกจากวงจรนี้จึงต้องอาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจมากกว่าแค่การตระหนักรู้ว่าอะไรผิดหรือถูก เราต้องมีแรงขับเคลื่อนจากภายในและภายนอก
ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจจริงของเรา แรงสนับสนุนจากคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งประสบการณ์ที่กระตุ้นให้มองเห็นผลเสียอย่างชัดเจนที่สุด …
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ฝังรากลึก ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้
หากเราเริ่มจากการซื่อสัตย์กับตัวเอง และยอมรับว่ามันไม่ดี นั่นคือเรากำลังเริ่มต้นใหม่ได้ก้าวนึงแล้ว
แล้วถ้า “รู้ทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้อยู่ดี”
รู้ทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้…เขาทุกข์ใจที่..ถึงเขาจะทำได้นับวัน เดือน ปี แต่มันก็ยังไม่ต่อเนื่องขนาดนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ทำได้
จากวันเป็นเดือนด้วยซ้ำ มันเพิ่มขึ้นทีละนิด ๆ แล้วมันก็ต่อเนื่องได้ตั้งสามวัน เจ็ดวัน ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้เป็นเดือน เป็นปี ความคิดก็จะนำการกระทำของเราไปสู่จุดนั้นเอง
เหมือนกับการที่ถ้าเราคิดจะทำอะไรด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ โอกาสสำเร็จก็จะสูงขึ้นแน่นอน มันจะค่อย ๆ ดีขึ้น เพราะเราเองก็รู้วิธีแก้ปัญหาทุกอย่างอยู่แล้ว
ถ้าตั้งใจจะทำและไม่ไปโฟกัสความผิดพลาดเล็กน้อยระหว่างทาง โฟกัสแค่สิ่งดี ๆ ที่เราทำได้
ดังนั้นประโยค “รู้ทุกอย่างแต่ทำไม่ได้” กับ “รู้ผิดแต่หยุดไม่ได้” มีความหมายใกล้เคียงกันในบางแง่มุม แต่ต่างกันเล็กน้อยในแง่ของอารมณ์หลังการกระทำ
- รู้ทุกอย่างแต่ทำไม่ได้ คือ รู้สิ่งที่ควรทำ รู้วิธีแก้ไข แต่อาจด้วยขาดแรงจูงใจ สภาพจิตใจไม่พร้อม ทำให้ทำไม่ได้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นความรู้สึกหมดแรง สิ้นหวัง เช่น รู้ว่าต้องตัดใจ มูฟออนยังไง แต่ยังไปไหนไม่ได้สักที
- ส่วนรู้ผิดแต่หยุดไม่ได้ คือ เรารู้ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ดีแต่ก็ยังคงทำต่อไป เช่น ติดนิสัยโกหก เสพอบายมุข ดื่มเหล้าทุกวันเมาทุกคืน การกระทำนี้เราจะรู้สึกขัดแย้งในใจแบบรู้สึกผิด แต่ถามว่าทำต่อมั้ยก็คงทำ เพราะถูกดึงดูดให้ทำต่อไป
ทางรอดจากวังวนเดิม
วิธีลดหรือหาทางออกจากวังวนนี้ อย่างแรก คือ ให้เราคอยสังเกตตัวเองว่าเมื่อไรที่เราจะทำสิ่งนั้น และทำเพราะอะไร
เราทำเพราะว่าง เพราะไม่สบายใจ เครียด หรือเพราะติดนิสัยไปแล้ว เราจะได้รู้ทันตัวเองและจัดการแก้ปัญหาที่แท้จริงได้ตรงจุด
ที่สำคัญ คือ ให้เปลี่ยนจากการตำหนิตัวเองเป็นการ “เข้าใจตัวเอง” มันไม่เป็นไรเลยที่เราจะทำมันไม่ได้ต่อเนื่อง อย่างน้อยเราก็ทำได้แล้ว
และถ้าอยากทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อหยุดความเคยชินหรือนิสัยเดิม ก็ลองหากิจกรรมอย่างอื่นที่ทำให้เรารู้สึกดีจริง ๆ ทำแทน
เช่น เปลี่ยนจากดื่มน้ำหวานเป็นทานผลไม้ที่ให้ความหวานกำลังดี มีประโยชน์แทน ค่อย ๆ เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ
เพื่อลดความถี่ในการทำพฤติกรรมที่ต้องการเลิก เพราะถ้าเลิกเลยทันที บางครั้งอาจทำให้เกิดอาการกระวนกระวายคล้ายอาการลงแดง
ซึ่งอาจทำให้เรากลับมาอยู่ในช่วงที่สภาพอารมณ์ไม่มั่นคง มีความวู่วาม และตัดสินใจกลับไปทำพฤติกรรมเดิมต่อเพื่อสมานแผลความเจ็บปวดของตนเองได้
และอย่างที่เราคุยกันมา การจัดการกับพฤติกรรมที่ต้องการเลิกหรือลงมือทำอะไรสักอย่าง จำเป็นต้องพึ่งพาความตั้งใจจริง
เพราะถ้าเรามัวแต่คิดแต่ไม่ลงมือทำ จะด้วยความขี้เกียจ ผัดวันประกันพรุ่ง หรือพูดไปงั้น ๆ ก็ตาม เป้าหมายที่เราตั้งมั่นไว้ก็จะไม่สำเร็จ
ขอให้เพื่อน ๆ ที่ทั้งต่างรู้วิธีแก้แต่ยังทำหรือเลิกทำไม่ได้ ขอให้ฟังคลิปนี้แล้วมีความตั้งใจที่จะทำอย่างจริงจังเพิ่มขึ้น
เอาชนะความกลัวความกังวลให้ได้ และอยากให้จำไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากการเกลียดตัวเอง แต่เริ่มจากการเห็นคุณค่าของตัวเองต่างหาก
Post Views: 6