ความสัมพันธ์ในรูปแบบ Love Bombing ความสัมพันธ์ที่พึ่งเริ่มเดทหรือพูดคุยกับใครสักคนนึง ทุกอย่างดูเหมือนจะเพอร์เฟคไปหมด เอาใจใส่ ตามใจ ทำให้เราคิดว่าเขาค่อนข้างออกตัวเเรงไปหน่อยไหม?
โทรหาเราบ่อย ๆ หรือส่งข้อความมานับครั้งไม่ถ้วนในทุกวัน เขาแสดงความรักต่อเราทั้งที่เราคุยกันไม่กี่วัน ไม่กี่อาทิตย์ สิ่งนี้อาจจะเรียกว่าเป็น Red Flag (ดูมีพิรุธ น่าสงสัย) ในความสัมพันธ์แน่นอนว่าเราไม่ควรปล่อยผ่านหรือมองข้าม
“Love bombing tends to blind us to the truth about our relationship” ช่วงเวลาที่กำลังโดน love bomber จะทำให้ไม่เห็นความจริงในความสัมพันธ์ อาจจะสัมผัสมันได้ว่า เอ่อ นี่เขาทำเกินไปไหม?
อาจจะแค่สงสัยแต่ไม่ได้ระมัดระวังว่ามันคือกับดัก สิ่งที่เขาทำกำลังจะทำร้ายเราในอนาคต แล้วถ้าเราอยากออกมาแต่ออกมาไม่ได้สักทีเราจะทำได้อย่างไร
Love Bombing คืออะไร
Love Bombing เป็นหนึ่งในรูปแบบของการควบคุมทางจิตใจ (Psychological Manipulation) เป็นการที่มีใครคนหนึ่งในความสัมพันธ์ออกตัวเเรงในช่วงแรกที่คบกัน ยกย่องและหลงใหลอีกฝ่ายมากเกินไป
ถึงแม้ว่าการแสดงออกถึงความหลงใหล ความเสน่หาจะเป็นเรื่องปกติของความสัมพันธ์ในช่วงเดท แต่มันก็สามารถเป็นสัญญาณที่น่ากลัวได้เช่นเดียวกันถ้าทำมากเกินไปตั้งแต่เริ่มต้น จุดประสงค์ คือ เพื่อให้อีกฝ่ายในความสัมพันธ์รู้สึกพึ่งพาและผูกพันกับ Love Bomber
คนที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ ในช่วงเเรกจะรู้สึกดีมาก ๆ เพราะ โดปามีนและเอ็นดอร์ฟิน ที่ได้จากของขวัญและความสนใจจาก Love Bomber ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกพิเศษ จำเป็น ถูกรัก มีค่า และคู่ควร ซึ่งเป็นองค์ประกอบทั้งหมดที่ช่วยส่งเสริมและเพิ่มความนับถือตนเอง
ในขณะที่ทุกอย่างดูเหมือนเกินความสมบูรณ์แบบ แต่หลังจากที่ Love Bomber ได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่าย การหลอกลวง การจัดการ และการล่วงละเมิดก็เริ่มต้นขึ้น เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลง คนที่เคยทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายจะเริ่มดูถูก ควบคุม และลดคุณค่า
คนที่จะทำ Love Bombing ต้องเป็นคนที่ Narcissist หรือก็คือคนที่เป็นโรคหลงตัวเอง เพราะคนที่เป็น Narcissist จะทำการหว่านล้อมด้วยคำพูด การกระทำ ที่ทำให้อีกฝ่ายที่โดน bomber วางใจ
พอทำไปเรื่อย ๆ แบบมีระยะเวลาด้วยนะว่าอีกฝ่ายติดกับดักเราแล้ว เขาก็จะดูถูก ควบคุม ลดคุณค่า และอาจจะเลิกรากับเราไปก็ได้เมื่อเขาพอใจแล้ว เช่น ถ้ามีของบางอย่างให้แฟน ราคาแพง จนแฟนรู้สึกไม่ดีที่ได้รับ
แฟนบอกว่าไม่ต้องให้แล้วหรือแบบขอไม่แพงได้ไหมถ้าเธออยากให้จริง ๆ เราก็จะโอเค ยอมลดให้ แต่ถ้าเป็นแบบ love bombing ถ้ามายปฏิเสธจะรู้สึกไม่พอใจ โกรธมาก ๆ ที่แฟนไม่ยอมรับข้อเสนอเพราะการไม่ยอมรับก็เหมือนเราไม่สามารถควบคุมเขาได้
Love Bombing แตกต่างจาก Honeymoon Phase อย่างไร
เรากำลังตกอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Love Bombing หรือเปล่า.. อย่าพึ่งตกใจไป จริง ๆ แล้วอาจจะเป็น Honeymoon Phase หรือ ช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ได้ เริ่มต้นจากการเเยกสองสิ่งนี้ออกก่อน
- Love bombing บางครั้งก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น honeymoon stage of a relationship แต่ทั้งสองแตกต่างกัน ในช่วง honeymoon phase ความรักจะแสดงออกโดย ความมุ่งมั่นที่จะโฟกัสไปที่สิ่งที่อีกฝ่ายชอบหรือสนใจ ดูเหมือนว่าจะครุ่นคิดแต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความประทับใจ
- ขณะที่ Love bomber จะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความสนใจและคาดหวังการยอมรับจากคนอื่น Love bombing เป็นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุม การสร้างการพึ่งพาและการทำให้เป็นอุดมคติช่วง honeymoon phase เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกเบิกบานใจของความสัมพันธ์ใหม่ หรือที่เราเรียกกันว่า ข้าวใหม่ปลามัน
Stages of Being Love Bombed
I : Idealization (ทำให้เป็นแบบอุดมคติ) : การแสดงหรือทำบางอย่างให้ดีเกินจริงหรือสมบูรณ์แบบเกินจริง
ในช่วงแรกของความสัมพันธ์เขาจะทำให้คุณเหมือนเจ้าหญิงบนหิ้งเลยก็ว่าได้ จะทำให้ความรักมันเพอร์เฟคที่สุด ทำให้ความรักของเขาเป็นความรักในอุดมคติแบบที่เราใฝ่ฝัน แต่สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไปในความสัมพันธ์
II : Devaluation : ลดคุณค่าหรือประเมินคุณค่าต่ำไปมาก
ระยะที่สอง คือ ระยะของการลดคุณค่า เขาจะสวิตช์สลับไปมาระหว่าง ใจดีหนึ่งนาทีแล้วก็เปลี่ยนเป็นใจร้ายในนาทีถัดไป Love Bomber ฉลาดมาก เพราะเขาจะแสดงออกว่าเขารักคุณดีตอนที่อยู่ต่อหน้าสาธารณะ แต่โหดร้ายในพื้นที่ส่วนตัว
สัญญาณเตือน
1. คำที่ Love Bomber อาจจะใช้กับเรา
- “ฉันจะตามใจและสปอยเธอทุกอย่าง” = ซื้ออะไรให้เรามากเกินไปในระยะเวลาสั้น ๆ
- “ฉันแค่อยากอยู่กับเธอตลอดเวลา” = ถ้าเรารู้สึกผิดที่ต้องการขอบเขตหรือพื้นที่ของเรา นั่นอาจไม่ใช่สัญญาณที่ดี
- “ฉันชอบที่จะเช็คนู่นนี่เพราะฉันเป็นห่วง” = ถ้าเขามาเช็คเป็นระยะ ๆ ก็ดูน่ารักเพราะอาจจะเป็นเพราะเขาห่วงจริงๆ แต่ถ้าเขาคอยเช็คว่าคุณอยู่ที่ไหน เช็คโซเชียลมีเดียว่าแชร์อะไร หใครทักมาบ้าง แสดงความรักบนโซเชียลมีเดีย หรือขอรหัสผ่านอยู่เสมอ? นั่นอาจจะเป็น Love Bombing ก็ได้
- “เราเกิดมาเพื่อกันและกัน” =คำพูดเกิดขึ้นเร็วเกินไป หรืออาจจะพูดประมาณว่าเราเป็นเนื้อคู่กันหรือเป็น Twin Flame ของเขา
- “ฉันและเธอจะอยู่ด้วยกันตลอดไป,ใช่ไหม?”
- พูดถึงแพลนของอนาคต เช่น ฉันอยากแต่งงาน ฉันอยากมีครอบครัวกับเธอ โดยที่พึ่งเริ่มความสัมพันธ์เหมือนกับการขายฝันให้เรา
- บอกข้อมูลส่วนตัวของตัวเอง ความลับ เช่น เรื่องที่เคยเจอในเด็ก ความเจ็บปวดที่เคยเจอในอดีตให้เราฟังมากเกินไปทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจ รู้สึกพิเศษ
2. การกระทำที่ love Bomber อาจจะทำกับเรา
- เขาจะเรียกร้องความสนใจและเวลาจากเรา หรืออาจจะแยกเราออกมาจากเพื่อนหรือครอบครัว (เช่น เขาอาจจะโกรธหรือทำให้รู้สึกผิดเมื่อรู้ว่าเรามีนัดหรือมีเเพลนกับคนอื่น)
- เขาชื่นชมและมอบความรักให้เรามากเกินไป
- เขาจะชักชวนให้เราสัญญาอะไรกับเขาตั้งแต่เริ่มจีบกัน
- เขาจะรู้สึกอัดอัด ไม่พอใจ เมื่อเรากำหนดขอบเขตการกระทำของเขา
- เขาทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นหนี้บุญคุณเขา
- รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจในตอนอยู่ด้วยกัน รู้สึกต่ำต้อยกว่าเขา
เเนวโน้มคนที่มีพฤติกรรม
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าทุกคนสามารถมีพฤติกรรมแบบ Love Bombing ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากอาการของความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder)
จากเว็บไซต์ Psychology Today คนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองนั้นเป็นที่รู้จักในเรื่องทักษะ Manipulate มากพอ ๆ กับความชอบในการรักตัวเอง พวกเขาอาจใช้คำพูดที่เยินยอและความเอาใจใส่เป็นเครื่องมือในการสร้างให้ตัวเองดูเป็นคนรักที่ดี
คนรักที่สมบูรณ์แบบ เพราะต้องการ การได้รับความไว้วางใจ หลงใหลและความรัก เมื่อ Narcissist ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจได้ว่า ทั้งคู่เข้ากันได้ดีแค่ไหน เขาจะพยายามกำหนดบทบาทของอีกฝ่ายในความสัมพันธ์ให้เป็น
“นักแสดงสมทบ” (คนที่ด้อยกว่าในความสัมพันธ์) ด้วยเหตุผลนี้ Narcissist มักจะพยายามทำให้ความสัมพันธ์เป็นที่พอใจร่วมกัน
จากเว็บไซต์ womenshealthmag Low Self-Esteem การที่พวกเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ชอบตัวเอง เขาเลือกวิธีการ love bombing ใส่คนอื่น เพราะอยากให้อีกฝ่าย เคารพในตัวเขา
รู้สึกดีเวลามีคนมาชื่นชอบเขา abuse love bombing ใส่เพราะอยากมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งด้วย
Love Bombing กับ Gaslighting
ความเหมือน
เป็นหนึ่งใน Manipulate เหมือนกัน อาจจะเกิดขึ้นในความสัมพันธ์เดียวกัน Gaslighter อาจจะใช้ Love Bombing เป็นอาวุธ
ความแตกต่าง
วิธีการควบคุมต่าง Gaslighting จะใช้ความกลัวหรือความรู้สึกผิดในการควบคุม แต่ Love Bombing ใช้ความรักและความเอาใจใส่ในการควบคุม
ระยะเวลาที่เกิดต่าง
Love Bombing เกิดขึ้นในช่วงแรกของความสัมพันธ์หรืออาจจะนานถึง 1 ปี Gaslighting มักเริ่มทีละน้อยและอาจเกิดขึ้นในช่วงหลายปีหรือหลายสิบปีก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
มีใครที่ Love Bombing แล้วดีจริง ๆ บ้างไหม
คนที่เขาทำดีกับเรา ให้ของขวัญ เอ่ยชมตลอดสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะ
1. เขาอาจจะต้องการตามหาคนที่ใช่ เมื่อรู้สึกว่าเจอแล้ว อาจจะเต็มที่กับการแสดงออกถึงความรัก การซื้อของขวัญให้ การเอ่ยคำชม อาจจะดูใจกว้างแต่ก็เกิดขึ้นได้ และเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติแบบไม่ได้ฝืนตัวเองหรือมีเจตนาไม่ดี
2. เพราะวัฒนธรรมและภูมิหลังครอบครัว เขาอาจจะเคยชินกับการมอบของขวัญและคำชื่นชมให้คนรักเพราะเกิดมาในครอบครัวที่มีการแสดงออกความรักแบบนี้เป็นเรื่องปกติ
3. เขาเป็นคนที่ชอบเอาใจใส่คนที่เขารักเป็นปกติอยู่แล้ว เช่น หากว่าเขาซื้อของขวัญให้เราในช่วงแรกแล้วลองดูว่าการดำเนินชีวิตคู่รักเขาทำอย่างสม่ำเสมอ นั้นอาจจะเป็นนิสัยของเขา
4. เคยเจ็บปวดกับอดีตที่มีความรักที่ไม่ดีเลยอยากทำรักครั้งใหม่ให้ดี สำคัญเลยคือการพูดคุยกัน
ผลกระทบ
1. สุขภาพจิต
Love Bombing อาจส่งผลเสียอย่างมากต่อสุขภาพจิต เนื่องจากเป็น Manipulate รูปแบบหนึ่ง คนที่ถูกบงการควบคุมจะเกิดความสงสัยในตัวเอง มักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิด ทำอะไรก็ผิดอยู่ตลอดเวลา
เพราะ Love Bomber จะมีคำพูดต่อว่าเราในสิ่งที่เขาไม่พอใจตลอดเวลา จนอีกฝ่ายรู้สึกแย่กับตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความรักจากเขา ส่งผลให้การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self-Esteem) ลดลง อาจเป็นต้นเหตุของอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้าได้เช่นกัน
2. เกิดเป็นความคิดที่ว่า “เราต้องตอบรับและตอบแทนความรักที่เขาให้”
Love Bombing เกี่ยวข้องกับกฎการตอบแทนซึ่งกันและกัน (law of reciprocity) หรือคำที่เราชอบใช้ บุญคุณต้องทดแทน ใครทำดีกับเรา เราต้องตอบแทนเขา ถ้ามีใครให้บางสิ่งกับเรา เราจะรู้สึกว่าเราเป็นหนี้
ที่ต้องให้บางอย่างที่เท่ากันกับที่เขาให้หรืออาจจะมากกว่านั้น เช่นเดียวกันกับความรัก ถ้าคนรักให้ความรักและความเอาใจใส่มากเกินไป อาจจะเกิดความรู้สึกว่าเราต้องแสดงออกถึงความรัก หรือ ความภักดี เป็นการตอบแทน
3. เกิดเป็น วัฏจักรของการถูกทำทารุณกรรม (Cycle of Abuse)
เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายติดงอมแงม Love Bomber ไม่ใช่แค่ควบคุมจิตใจและหัวใจของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอัตตาของตนเองอีกด้วย ในขั้นตอนนี้ พวกเขาไม่มีประโยชน์สำหรับคู่ของตนอีกต่อไป
และเริ่มถอนตัวจากความสัมพันธ์ เมื่อ Love Bomber เริ่มถอนตัว เขาอาจเริ่มทำร้ายอีกฝ่ายทางอารมณ์ เช่น ดูถูก เหยียดหยาม พูดจาทำร้ายจิตใจ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไร้ค่า
เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้และในที่สุดอาจเดินออกมาจากความสัมพันธ์ ด้วยความเข้าใจว่าเขาสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา เพื่อทำให้วงจรนี้เกิดขึ้นต่อไป
4. ความสัมพันธ์กับคนรอบตัว
ในช่วงที่เราโดน love bom ใส่ จะทำให้เราไม่ได้ใช้เวลาส่วนตัวของเราเอง กับเพื่อน กับครอบครัว อาจทำให้ส่งผลกระทบกับคนรอบข้างได้
กับดักของ Love Bombing
อย่างที่เรากล่าวกันไปว่าฝ่ายที่ทำการ love bombing เราเขาจะสาดความหวาน ทั้งคำพูด การให้ของขวัญ ต่างๆนา ๆ ส่งข้อความมาหาเราบ่อย ๆ เชื่อว่าหลายคนอาจจะชอบที่ถูกกระทำแบบนี้
จนพอเขาควบคุมเราได้แล้ว จากที่เคยทำดีตอนนี้ก็กลับกัน แต่เรายังคงติดกับในช่วงแรกที่เขาสาดความโรแมนติกใส่ ทำให้ออกมาจากความสัมพันธ์ที่อาจจะกลายเป็น Tocix ได้
ทำอย่างไรเมื่อตกอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Love Bombing
1. รีเช็คความสัมพันธ์ หากเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอึดอัดกับการกระทำของเขา การให้ของขวัญ การเยินยาของเขาที่รู้สึกว่าเกินไป เราควรมานั่งรีเช็คความสัมพันธ์
2. สร้างขอบเขตที่ชัดเจนและจริงจัง
3. จดบันทึกเขียนไดอารี่สิ่งที่เขาให้เรา หรือพูดกับเราในตอนเริ่มต้นความสัมพันธ์เพื่อเตือนตัวเราเอง
4. อย่าปฏิเสธความรู้สึกตัวเองเมื่อรู้สึกแย่ถึงการกระทำของเขา พยายามหนักแน่นถึงขอบเขต
5. พยายามยอมรับความจริงในสิ่งที่เขาทำ โดยไม่ต้องหาเหตุผลมาซัพพอร์ตเขาเกินไป
6. สื่อสารกับเพื่อน ครอบครัวหรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อเริ่มรู้สึกว่ามันยากขึ้นเรื่อย ๆ ลองปรึกษาเพื่อน คนรอบตัวว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กระทบกับความสัมพันธ์คนรอบข้าง และตัวเองมากเกินไป เช่น เขาโกรธเวลาเราไปเจอเพื่อน จนเพื่อนเริ่มไม่โอเคกับเราแล้ว อาจจะต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญ
ถ้าเราเป็นคนที่ love bombing ใส่คนอื่น?
หากเราคิดว่าเราเป็นคนที่ Love Bombing ใส่คนอื่น สิ่งสำคัญคือต้องพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ถึงเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมของเราอาจเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตหรือปัจจัยความผูกพันที่สามารถแก้ไขได้ด้วยความช่วยเหลือจากนักบำบัดโรคหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
จะแยกได้ยังไงว่าอันไหนคือความรักจริง ๆ กับ Manipulate
“If it seems too good to be true, it probably is” ถ้าบางสิ่งดูดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้ มันอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ (คือเกินจริงแบบที่คิด) คำพูดนี้อาจจะช่วยให้เราแยกได้
เมื่อมีคนให้อะไรเราสักอย่างที่มากเกินปกติ ให้ของอะไรสักอย่างกับเราแล้วรู้สึกว่ามันฟุ่มเฟือยจัง หรือเรียกร้องให้ใช้เวลาร่วมกันมากเกินไป ในขณะที่เขาทำเหมือนหลอกล่อให้เรามีเวลาให้เพื่อนหรือครอบครัวน้อยลง
สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสัญญาณว่าความสัมพันธ์ไม่สมดุลเท่าที่ควร เพราะความรักที่ดีคือความรักที่เข้าใจและให้ตัวเรามีเวลาให้กับพาร์ทอื่นๆในชีวิตได้อย่างไม่รู้สึกผิด
เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไปเร็วหรือกดดันเรามากเกินไป ลองบอกให้เขารู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ถ้าเขาเต็มใจที่จะฟังและปรับปรุง อาจมีเหตุผลที่ทำให้เขาอยากได้เวลากับเรา อาจจะเป็นการที่อยากให้ความสัมพันธ์มีการพัฒนา
แต่ถ้าเขาไม่ฟัง พยายามแก้ตัว และไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมให้ตรงกับความต้องการของเราได้ นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยเราแยกได้ง่ายขึ้น
Manipulative people sometimes hook in their victims by “love bombing” them. คนที่ชอบบงการบางครั้งก็ตกเหยื่อด้วยการ love bombing ใส่ ยากที่จะระบุถึงการ love bombing
แต่มันก็มีสิ่งที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่เกิดอย่างรวดเร็ว เช่น แฟนของเราต้องการเวลาจากเรามาก ส่งข้อความมาหาแบบถี่ ๆ ให้ของแพง ๆ จนเรารู้สึกว่าเริ่มอึดอัด แต่เบื้องหลังการกระทำสุดแสนจะประทับใจทั้งหมดนี้คือความต้องการให้เราสำนึกในบุญคุณ
และแสดงออกว่าตนมีอำนาจเหนือกว่าจึงทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก มันยากที่จะแยกออกเพราะคนที่โดน bomber บางคนก็รู้สึกชอบที่มีคนมาปฏิบัติทรีตเราดี ๆ แบบนี้
การที่จะมีความรักครั้งใหม่ อยากให้ลองสังเกตตวามสัมพันธ์ว่ามันเร็วไปไหมในบางเรื่อง เราอึดอัดไหม ถ้าอึดอัดกับการกระทำลองบอกเขาถ้าเขายอมปรับตัวแปลว่าเขายังไม่ถึงขั้น Love Bombing ใส่เรา
Post Views: 4,613