Posts
ความสัมพันธ์ของคนคิดมากที่ต้องอยู่กับคนไม่คิดอะไรเลย สองความสัมพันธ์ถ้ามาอยู่ด้วยกัน จะอยู่ด้วยกันได้ไหม?
คนคิดมาก
คนคิดมาก มาจากความคิดมากที่เกิดจากความวิตกกังวล ยิ่งคิดยิ่งต้องใช้พลังงานชีวิตมากขึ้นทำให้รู้สึกเหนื่อย นอนไม่หลับ
จนคิดและตัดสินใจผิดพลาด ทำให้ส่งผลกระทบต่อตัวเองและคนรอบข้าง ซึ่งสอดคล้องกับบทความ Alljit
ที่เคยกล่าวถึงไปในหัวข้อ “คิดมาก คิดวนจนนอนไม่หลับ” ที่ว่า
คนที่คิดมาก คือคนที่ยึดติดอยู่กับความผิดพลาด อยู่แต่กับเรื่องนั้นจนกระทบชีวิตปัจจุบัน กับคนที่คิดมากถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
ไม่คิดอะไรเลย คือ ภาวะสมองโล่ง?
ภาวะที่อยู่ ๆ ก็ลืมว่าจะพูดอะไร จะเดินมาหยิบอะไร อยู่ ๆ สมองโล่งว่างเปล่าเลยเรียกว่า “ปรากฏการณ์ปากประตู” (doorway effect)
การที่สมองเราจะล้างความทรงจำการใช้งานเฉพาะหน้าเพื่อรับข้อมูลใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ต่างกับอาการที่มีช่วงเวลานึงเลยที่คิดอะไรไม่ออกหรืออาการสมองตื๊อ เรียกมันว่า “ภาวะสมองล้า” คือ เราจะไม่มีสมาธิกับอะไรเลยแล้วจะรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์บ่จอย เหนื่อยง่าย
แต่ถ้าในมุมของ คนคิดมาก กับ คนไม่คิดอะไรเลยในความสัมพันธ์ ..
คนที่ไม่คิดอะไร เลยอาจเป็นคนที่ปล่อยใจจอย ๆ ในความสัมพันธ์ได้ อาจมีบ้างที่คิดบ้างแต่อาจจะแค่น้อยไปเลยคิดไม่ถึงไม่รอบคอบ
เหมือนคำพูดที่ว่า “โอ๊ย ทำไมแค่นี้ก็คิดไม่ได้/ไม่คิดเลย” คือจริง ๆ อาจจะคิดก่อนทำแล้วแต่อาจจะพลาดเพราะคิดน้อยไปหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ซึ่งตรงข้ามกับ คนคิดมาก ที่บางเรื่องไม่ต้องคิด ก็คิด พอมีอะไรมากระทบก็จะคิดวนไปมาอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องในชีวิต ที่ต้องเรียนรู้การแก้ไข
คนใกล้ตัวเป็นคนไม่คิดอะไรเลย มีวิธีรับมือยังไงเพื่อหาจุดตรงกลางอยู่ร่วมกัน
การเว้นระยะห่าง หรือการมีระยะห่างที่พอดีก็อาจช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นได้
เพราะถ้าเราไม่สบายใจกับการที่อีกคนไม่คิดอะไรเลย มีแต่เราที่คิดมากอยู่ฝ่ายเดียว
ลองเฟดตัวออกมาแปปนึง ทำความเข้าใจตัวเขาตัวเราแล้วอาจจะลองสื่อสารความรู้สึกนั้นออกไป
และอีกวิธี คือการสื่อสารอยากตรงไปตรงมา ที่บอกความรู้สึกความต้องการของทั้งคู่ออกไป
การสื่อสารที่ไม่ทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย ด้วยการบอกอย่างถนอมใจและรักษาความรู้สึก
ที่มา :
คนคิดมาก ข้อมูล โรงพยาบาล มนารมย์
นอกจากเราที่ไปพบเจอคน Toxic แล้วบางครั้งตัวเราเองก็ไป Toxic ใส่คนอื่นเหมือนกัน …
และอีกพฤติกรรมนึงที่อยากนำเสมอคือ Chronic liars เสพติดการโกหก
Chronic liars
Chronic – เสพติด
Liars – โกหก
การโกหก เป็นพฤติกรรมและลักษณะทั่วไปของการเข้าสังคมของมนุษย์ แม้แต่สัตว์บางชนิด เช่น ลิง ก็มีพฤติกรรมแบบนี้ด้วยเช่นกัน
คนโกหก มักจะมีเหตุผลที่ชัดเจนที่พวกเขาพูดโกหก การโกหกอาจเป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายได้บางสิ่ง บางอย่าง
เช่น โกหกแฟนเพื่อที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน โกหกว่าไม่มีแฟน จะได้มีแฟนเพิ่ม
โกหกว่าไม่ได้ทำ.. เพราะกลัวความผิด เรียกว่าเป็นพฤติกรรมทั่วไปที่มนุษย์มี
นพ.วรตม์ กล่าวว่า เมื่อวิธีที่ ‘ตรงไปตรงมา’ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ คนเราจึงเลือก ‘การโกหก’ เป็นทางออกแก้ปัญหา
การโกหกถือเป็นรูปแบบหนึ่งในการสื่อสาร แม้รู้ว่าปลายทางความจริงจะถูกเปิดเผย หรือไม่สามารถโกหกต่อไปเรื่อยๆ ได้
หากคนเราสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการ ‘พูดความจริง’ เราก็เลือกที่จะพูดจริงอยู่แล้ว เพราะ การโกหกเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อน
Chronic liars ถ้าในทางการแพทย์ Compulsive Liar หรือ เสพติดการโกหก ก็คือโกหกซ้ำ ๆ จนเป็นนิสัย รู้ว่าโกหกแต่ก็ชินกับการโกหก
การศึกษาในปี 2559 ระบุว่าสมองคุ้นเคยกับความไม่ซื่อสัตย์ นักวิจัยได้ศึกษาสมองของผู้เข้าร่วมเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเขาโกหก
และพบว่ายิ่งมีคนโกหกมากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งโกหกได้ง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นเท่านั้น
บางคนโกหกบ่อย รู้สึกตื่นเต้นที่ได้โกหก ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ก็อาจจะมีโรคเสพติดการโกหก
แต่ว่าไม่ได้เป็นโรคที่พบได้บ่อย แล้วการโกหกเพียงครั้งหรือสองครั้ง จะไม่สามารถใช้สำหรับการวินิจฉัยโรคได้ ต้องใช้การวินิจฉัยของจิตแพทย์อย่างละเอียด
โรคหลอกตัวเอง (Pathological Liar)
ภาวะการโกหกที่ควบคุมไม่ได้ มักกระทำโดยไม่มีเหตุผลและไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
คำโกหกเหล่านี้กว้างขวางและซับซ้อน แยกไม่ได้ว่าเรื่องที่ตัวเองพูดนั้นโกหกอันไหนจริงเท็จ
ถ้าเป็นโรคโกหกตัวเองแล้วเขาจะหลอกแม้แต่ความทรงจำของตัวเอง
คนโกหกที่อยากเลิกโกหกทำ
- รู้เท่าทันทุกคำพูดของตัวเอง โกหกไปเรื่อย อย่าทำลายความน่าเชื่อถือของตนเอง
- สำรวจว่าทำไมเราถึงชอบโกหก เพราะอยากเป็นที่รักของเพื่อน
- พบผู้เชี่ยวชาญ
สิ่งสำคัญคือรู้เท่าทันตัวเอง ว่ากำลังโกหก โกหกเรื่องอะไร ทำไมถึงโกหก ลองค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับตัวเองว่าทำไมถึงชอบโกหก
ถ้าเรารู้สาเหตุแล้วเราอาจจะแก้ไขทัน อย่าโกหกแม้กระทั่งโกหกตัวเอง โกหกเพื่อให้ตอนนี้เรารอดจากสถานการณ์นี้ไปวัน ๆ
ยังไงการหาวิธีบอกความจริง สื่อสารให้อีกคนรู้คงจะดีกว่าเขามารับรู้ทีหลังแล้วจะบานปลาย
รับมือกับคนที่ชอบโกหก
- แสดงออกให้เขารู้ ว่าเรารู้โดนโกหก เพราะส่วนมากถ้าเรารู้ว่าเขาโกหก เขาจะไม่ค่อยอยากโกหกเราต่อ
- การที่คน ๆ นั้นต้องโกหกจะสะท้อนถึงตัวเขามากกว่าตัวเรา
- อธิบายว่าคำโกหกของพวกเขาส่งผลต่อเราอย่างไร เช่น “ฉันโกรธและเสียใจเมื่อรู้ว่าคุณโกหกฉัน” “ ถ้าคุณโกหกฉัน มันยากสำหรับฉันที่จะพึ่งพาคุณเพื่อทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ” “มันยากสำหรับฉันที่จะเชื่อว่าคุณกำลังบอกความจริงกับฉันตอนนี้”
- หากจับได้ว่าคน ๆ นั้นโกหก พยายามอย่าหงุดหงิด และพยายามดึงความจริงกลับไปกลับมา
- กำหนดขอบเขตกับพวกเขา
ที่มา :
How to Understand and Cope with Compulsive Liars
ไม่ว่าจะวัยไหน ๆ ใคร ๆ ก็อยากประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังและตั้งใจกันทั้งนั้น
การหาสมดุลของวิธีการคิดและลงมือทำที่จะนำไปสู่เส้นชัยแห่งความสำเร็จด้วยตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ
คิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่ คืออะไร
“คิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่” พอมาตกตะกอนกับตัวเองดี ๆ ก็รู้สึกว่า ถ้าพูดถึงคนในวัยทำงาน
การเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนที่มีความสดใสและสร้างสรรค์อย่างเด็ก มันจะเป็นยังไงกันนะ
คิดแบบเด็ก คือ ความคิดที่มีอิสระ ไม่เขินอายที่จะจินตนาการ ไม่มีกฎเกณฑ์หรือกติกาในการคิดว่าให้คิดอยู่ในกรอบเท่านั้น
ทำให้เด็กหลายคนมักจะเกิดมุมมองที่ผู้ใหญ่ชื่นชมว่า เด็กคนนี้มีความคิดที่สร้างสรรค์
การลงมือทำแบบผู้ใหญ่ คือ การทำงานที่มีการวางแผน คิดก่อนทำ สามารถประเมินผลงาน พัฒนางาน บริหารจัดการเวลาและงานต่าง ๆ ได้อย่างรัดกุม
เมื่อนำความคิดแบบเด็กมารวมกับการทำงานแบบผู้ใหญ่ ผลงานที่ออกมาก็จะมีความโดดเด่น
น่าสนใจด้วยความคิดจินตนาการและการลงมือทำที่ทำให้จินตนาการนั้นเกิดขึ้นจริงและมีความสร้างสรรค์ ความเป็นไปได้
จริง ๆ ในแต่ละช่วงชีวิตเรา แน่นอนว่าบุคลิกนิสัยเราจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมรอบข้าง
ไม่ว่าเราจะเป็นคนแบบไหน ช่วงเวลาใด เพียงแค่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า ตอนนี้เราเป็นคนแบบไหน คนแบบไหนที่เราอยากเป็น และเราจะเป็นคนแบบนั้นได้อย่างไร
ลักษณะคนที่คิดแบบ…ลงมือทำแบบ…
คิดแบบเด็ก ทำแบบเด็ก จะเป็นการทำงานที่ขาดการวางแผน ขาดวินัย ไม่มีระเบียบขั้นตอน พูดง่าย ๆ คือ เอาความสนุกเป็นที่ตั้ง
สุดท้ายงานที่ออกมาก็อาจจะไม่เหมาะสมกับความสามารถที่แท้จริง
คิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่ คือ คนที่มีความคิดจินตนาการและลงมือทำด้วยการวางแผนที่ชัดเจน
ผลงานที่ออกมาก็จะมีความสร้างสรรค์แบบเด็กและเป็นไปได้ด้วยการลงมือทำแบบผู้ใหญ่ ก็จะทำให้ผลงานมีความน่าสนใจและมีโอกาสทำจนสำเร็จ
คิดแบบผู้ใหญ่ แล้วทำแบบเด็ก แบบนี้คงเดาไม่ยากใช่ไหมว่างานที่ออกมาก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ที่ตั้งไว้
เพราะหากเราคิดการใหญ่ วางแผนไว้อย่างดีเหมือนผู้ใหญ่แต่ถึงเวลาดันลงมือทำงานแบบเด็กที่อาจจะมีความอดทนน้อย
อาจจะทำนอกขอบเขตที่วางไว้ ก็จะมีความขัดแย้งกันจนงานอาจจะไปต่อไม่ได้หรือมีความยากในการทำให้สำเร็จ
คิดและทำแบบผู้ใหญ่ การทำให้ตัวเองดูโตสุด แต่ถ้าเราลองมองว่าถ้ามีแต่ความเป็นผู้ใหญ่อยู่ในตัวตลอดเวลา
งานที่ออกมาก็อาจจะมีความน่าเบื่อ เรียบ ๆ เดิม ๆ ได้ ซึ่งถ้าถามว่าผิดไหมที่จะคิดและทำแบบผู้ใหญ่ ไม่ผิด
บางเวลาเราก็ต้องการและจำเป็นต้องใช้ความคิดและทำแบบผู้ใหญ่ เพียงแค่ระหว่างทางการทำงาน
บรรยากาศอาจจะไม่สนุกผ่อนคลายเท่าการใส่ความเป็นเด็กลงไปในงานด้วยเท่านั้นเอง
คิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่ ไม่ใช่การเป็นผู้ใหญ่ที่คิดแบบเด็ก
แต่ทั้งนี้ เพื่อน ๆ คิดว่า การคิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่ ความหมายต่างจากผู้ใหญ่ที่คิดแบบเด็กไหม
เมื่อพูดถึงผู้ใหญ่ที่คิดแบบเด็ก ส่วนใหญ่เราจะนึกถึงคนที่ตัวเป็นผู้ใหญ่แต่ความคิดยังเด็ก ไม่เหมาะสมกับวัยที่ควรจะเป็น
เพราะการคิดแบบเด็ก อาจจะมองได้สองนัยยะ นัยยะแรก ก็คือการนำมุมมองแง่ดีของเด็กมาทำให้เกิดประโยชน์อย่างที่เราพูดกันมา
เช่น ความคิดที่สร้างสรรค์ ไม่ยึดติดกรอบเดิม การใส่ความสนุกลงไปในงานที่ทำ
และการคิดแบบเด็กใน อีกนัยยะ คือ คิดอะไรก็ทำแบบนั้นโดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีก่อน และถ้ามองลึกลงไปในความหมายนี้ ก็อาจมีความใกล้เคียงกับการคิดและทำแบบเด็ก
หากเปรียบให้เห็นภาพมากขึ้น คงเหมือนกับการที่ผู้ใหญ่คนนึงแต่งตัวดีใส่ชุดสูท แต่แต่ละความคิดที่พูดออกมา
ผู้ที่ฟังล้วนแต่ส่ายหน้าให้กับความคิดที่โตแต่ตัวเหล่านั้น แบบนี้คงไม่มีใครอยากพูดด้วย
เพราะการจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีอย่างเหมาะสม ต้องรู้จักการแสดงออก การวางตัว และการลงมือทำให้เป็นด้วย
เพราะการเป็นผู้ใหญ่ที่คิดแบบเด็ก เหมือนมันมีความไม่ชัดเจนแทรกอยู่ตรงที่คิดแบบเด็กแล้วจะลงมือทำแบบไหน
เราที่ฟังจะสามารถไว้ใจคนที่พูดแบบนี้ได้จริงไหม แต่การคิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่
มันมีแนวทางชัดเจนในตัวเองแล้วว่าถึงเราจะคิดแบบเด็กแต่เราจะลงมือทำแบบผู้ใหญ่ให้เห็น
คนฟังก็จะมีความมั่นใจในตัวเราได้มากกว่า ดังนั้น การเป็นผู้ใหญ่ที่คิดแบบเด็กก็ต้องดูที่วิธีการคิดและการลงมือทำอีกทีเนอะว่าคิดแล้วจะลงมือทำแบบไหน
ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของการคิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่ คือ คน ๆ นั้นสามารถเป็นใครในวัยไหนก็ได้
เด็กประถมมัธยมก็สามารถเป็นคิดแบบเด็กและลงมือทำแบบผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
วิธีการคิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่
คนไหนอยากทำงานด้วยความคิดที่สดใหม่แบบเด็ก และมีความมั่นคงแบบผู้ใหญ่
สามารถทำได้โดยเริ่มจากการคิดนอกกรอบแต่อยู่บนความเป็นจริง คือ การคิดแบบมีความสุข ตื่นเต้น กล้าคิดกล้าทำ อย่าเพิ่งกลัวไปก่อน
ไม่ยึดติดกับการคิดแบบเดิม และจินตนาการเหล่านั้นก็ต้องไม่แฟนตาซีจนเกินขอบเขตความเป็นจริงมากเกินไป
รวมถึงสามารถนำหลักทางจิตวิทยาต่าง ๆ มาใช้ร่วมด้วยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น
- จิตวิทยาการมองโลกในแง่บวก และจิตวิทยาความสุข ซึ่งก็คือการมองเห็นและคิดถึงความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทางที่จะพาเราไปสู่เส้นชัยความสำเร็จ
- จิตวิทยาการรักตัวเอง เพราะเมื่อเรารักตัวเอง สิ่งที่ทำเพื่อตัวเอง เราก็จะคิดและทำแต่สิ่งดี ๆ และเมื่อเรารักตัวเองแล้ว มวลความสุขเราก็จะเผยแผ่ไปยังผลงาน เผยแผ่ไปถึงคนรอบข้างได้มีความสุขและชื่นชอบที่จะอยู่ใกล้เราก็อาจส่งผลให้เกิดการซัพพอร์ตกันและกันได้ จนนำไปสู่การสร้างมิตรภาพความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกับผู้อื่น เพราะยังไงมนุษย์เราก็เป็นสัตว์สังคมและจะรู้สึกอบอุ่นใจเมื่อได้รับและให้ความรัก
ผลของการคิดแบบเด็กและทำแบบผู้ใหญ่
สุดท้าย ผลของการคิดแบบเด็กและทำแบบผู้ใหญ่ จะทำให้เรามีมุมมองความคิดที่ยืดหยุ่น สร้างสรรค์ กว้างไกล
เกิดความสนุกในการทำงาน และยังมีการตระหนักเท่าทันความคิดที่จะนำไปใช้แบบผู้ใหญ่
ความคิดเหล่านั้นย่อมมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ และจะเกิดประโยชน์กับเราและสังคมได้แน่นอน
ในวันนี้ เราอาจจะตอบตัวเองไม่ได้ว่าเราเป็นคนแบบไหน อาจจะยังไม่ได้เป็นคนในแบบที่เราต้องการได้อย่างสมบูรณ์พอใจ
หรือบางคนก็อาจจะยังค้นหาตัวตนตัวเองอยู่ เพราะมิติของตัวตนมีหลากหลายมากมายเหลือเกิน
มีตัวเราในแต่ละเวอร์ชันอีกตั้งมากมายที่รอให้เราได้ค้นพบ ไม่ต้องกดดันตัวเองมากจนเกินไป ใช่ว่าตื่นมาพรุ่งนี้
เราจะต้องเป็นคนที่สมบูรณ์เพอร์เฟกต์ร้อยเปอร์เซนต์ พวกเราต่างกำลังเรียนรู้ความเป็นตัวเองอยู่ในทุกนาที
และถ้าเราเกิดความรู้สึกว่าอยากปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น นี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพาตัวเราเองไปสู่ตัวเองที่ดีขึ้น
สำหรับใครที่เป็นสายจดบันทึก อาจรู้ว่า Gratitude Journal คืออะไร แต่เราจะมาทำความรู้จักกับ Gratitude Journal กันมากขึ้น
Gratitude Journal
Cambridge Dictionary ได้ให้ความหมายไว้ว่า Gratitude = the feeling or quality of being grateful
แปลว่า ความรู้สึกขอบคุณ ซาบซึ่ง และเห็นคุณค่าของสิ่งๆ หนึ่ง
ในทางจิตวิทยา Gratitude ‘Gratitude’ หมายถึงความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณต่อสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในชีวิต
ทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานการณ์ หรือกระทั่งกับตัวเราเอง
การอยู่กับปัจจุบันขณะ ชื่นชมและขอบคุณสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา เป็นมากกว่าแค่อารมณ์แต่เป็นทัศนะคติที่ทำให้เรามองสิ่งต่างๆ ในเชิงบวกมากขึ้น
Gratitude มันส่งผลดีอย่างไร
1. ทำให้เราเกิดความสุข
เวลาที่เราจะฝึกทำ Gratitude ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ เขียน บันทึก หรือเล่าให้ใครสักคนฟัง
เราชะลอเวลาให้ตัวเองได้จมอยู่กับช่วงเวลานั้นมากขึ้น ในขณะนั้น Serotonin และ Dopamine หลั่ง เป็นสัญญาณว่าเรามีความสุข
Serotonin และ Dopamine หลั่ง เป็นสัญญาณว่าเรามีความสุข
- เป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความสุข
- นอกจากนั้นยังพบอีกว่า ฮอล์โมนความเครียดลดลงด้วย
เพราะฉะนั้ัน การขอบคุณหรือเห็นคุณค่าของสิ่งรอบตัวเรา สามารถช่วยให้เรามีความสุขและลดความเครียดได้
2.เป็นเซ็ตกระบวนการทำงานของสมองของเราใหม่
สมองเราถูกโปรแกรมมาให้จดจำและสังเกตเรื่องทางลบได้ดีกว่าบวก เพราะเป็นกระบวนการณ์ในการอยู่รอด
แต่ในปัจจุบันเราไม่จำเป็นต้องระแวดระวังเพื่ออยู่รอดมากขนาดนั้นแล้ว
การทำ Gratitude เลยช่วยฝึกให้สมองเริ่มสังเกตและใส่ใจเรื่องดีๆ ในชีวิต
เพราะสมอง adapt ได้ดี สมองของเรามีคุณสมบัติที่เรียกว่า นิวโรพลาสติกซิตี (Neuroplasticity) เป็นความสามารถของสมองในการเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
Neuroplasticity ความสามารถของสมองในการเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
พอส่งแรงกระตุ้นเชิงบวกเป็นประจำ เรากำลังฝึกสมองให้สังเกตสิ่งดีๆ มากขึ้น สุดท้ายแล้วสมองก็จะปรับเปลี่ยนกระบวนการไปเอง
มีงานวิจัยหลายชิ้นมากที่ศึกษาผลดีของการทำ Gratitude อันนี้ฟิวอ่านและแปลมาจาก Review Research ของ University of Callifornia
ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ นำไปสู่การเห็นคุณค่าต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวเราไม่ว่าจะคน สิ่งของหรือกระทั่งตัวเอง
และนำไปสู่สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เพิ่มความสุข ความพึงพอใจในชีวิต
และลดความเป็นวัตถุนิยม (ต้องการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสิ่งต่างๆ) รวมไปถึงมีแนวโน้มว่าจะ Burn out ลดลงด้วย
3. Gratitude กับกลุ่มฆ่าตัวตาย
งานวิจัยชิ้นหนึ่งฝรั่งเศษ ให้ผู้ป่วยพยายามฆ่าตัวตายบันทึกความรู้สึกทราบซึ้งขอบคุณ หรือ Gratitude Journal เป็นเวลา 7 วัน
ผลพบว่า สภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และแนวโน้มฆ่าตัวตามที่ต่ำลง
งานวิจัยยังเสนอให้นำ gratitude ไปรวมเป็นหนึ่งในวิธีการบำบัด กลุ่มผู้ป่วยที่พยายามฆ่าตัวตาย
4. ในกลุ่มหัวใจล้มเหลว หัวใจดีขึ้น
อีกงานวิจัยหนึ่งก็ได้ให้ผู้ป่วยโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลวทำ Gratitude Journal ในระหว่างการรักษา
พบว่ากลุ่มผู้ป่วยทำ gratitude ร่วมกับการรักษาหลับง่ายขึ้น เหนื่อยล้าลดลง และมีระดับของการอักเสบของเซลล์ลดลง
5. ช่วยในเรื่องของ Trauma
ในผู้ป่วยที่มี Trauma หรือเผชิญเหตุสะเทือนขวัญ การทำ Gratitude ร่วมกับการรักษา ช่วยให้อาการซึมเศร้าลดลง และฟื้นตัวจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญได้ดีขึ้น
บางงานวิจัยยังเสริมอีกด้วยว่า Gratitude หรือความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา มีส่วนช่วยให้เราอายุยืนขึ้นด้วย
6. กาวทางสังคม
ในหลายๆ งานวิจัยก็ยกให้ Gratitude มีชื่อเล่นว่า “กาวทางสังคม”
เพราะมันช่วยให้คนใจกว้างขึ้น ใจดี ช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น และส่งเสริมสัมพันธภาพในด้านต่างๆ ให้แข็งแรงขึ้นด้วย
นั้นหมายความว่า การทำ Gratitude ช่วยทั้งในเรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มความสุข ความพึงพอใจในชีวิต ลดความเป็นวัตถุนิยม
ลดแนวโน้มการเกิดสภาวะ Burn out ช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของร่างกายและจิตใจ และทำให้คนใจกว้างขึ้น ใจดี และช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น
- เพิ่มความสุข ความพึงพอใจในชีวิต
- ลดความเป็นวัตถุนิยม
- ลดแนวโน้มการเกิดสภาวะ Burn out
- ช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของร่างกายและจิตใจ
- ใจกว้างขึ้น ใจดีขึ้น ช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น
Gratitude มีรูปแบบไหนบ้าง ?
- Gratitude Journal: การทำ Gratitude ในรูปของบันทึก
1. Counting Journals
บันทึก 5 สิ่งที่อยากขอบคุณ/ สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น จะทำรายวัน/สัปดาห์ก็ได้
2.Three Good Things
3 สิ่งที่เป็นเรื่องดีๆ และเขียนรายละเอียดเพิ่ม เช่น เพราะอะไรมันถึงทำให้คุณมีความสุข และสุขยังไง
3. Mental subtraction
ให้เรานึกถึงเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต และลองเขียนถึงมันในหัวข้อว่า “จะเป็นอย่างไรถ้าสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเรามันไม่ได้เกิดขึ้น”
- Gratitude letter: การทำ Gratitude ในรูปของบันทึก
จดหมายขอบคุณให้คนที่เรายังไม่ได้ขอบคุณ แล้วนำไปให้เขา
ทุกคนรู้สึกคันไม้คันมืออย่างเขียนกันบ้างไหม ถ้าใครรู้สึกเริ่มอยากเขียน
ให้หยิบหยิบสมุด หรือจะเศษกระดาษก็ได้ ปากกาหรือดินสอใกล้มือ มาเริ่มเขียนกันนะ 🙂
มนุษย์มีความผูกพัน ต่อธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากพันธุกรรมและหยั่งรากลึกในวิวัฒนาการ
เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงชอบจองที่พัก ที่มองเห็นวิวสวยงามจากระเบียง
ทำไมผู้ป่วยที่ได้รับมุมมองที่เป็นธรรมชาติจากเตียงในโรงพยาบาลจึงฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนอื่นๆ
หรือเมื่อความเครียดส่งผลเสียต่อจิตใจของเรา เราจึงกระหายเวลาที่จะค้นพบสิ่งต่างๆ ท่ามกลางธรรมชาติ?
แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ สถาปนิกชื่อดัง เคยกล่าวไว้ว่า “ ศึกษาธรรมชาติ รักธรรมชาติ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ” มันจะไม่ทำให้คุณล้มเหลว
Nature Therapy
“Nature Therapy” คือ การบำบัดด้วยธรรมชาติ ที่ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ
การที่มนุษย์ต้องพบกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นั้นอาจเพราะพาตัวเองห่างออกจากธรรมชาตินั่นเอง โดย Ecotherapy เป็นการเชื่อมโยงมนุษย์เข้ากับธรรมชาติอีกครั้ง
มนุษย์ผูกพันธ์กับธรรมชาติยังไง
ข้อมูลจากมูลนิธิไทยรักป่า ได้กล่าวไว้ว่า ตั้งแต่ที่เราเกิดมาลืมตาดูโลก เราสูดอากาศหายใจจากธรรมชาติ นั้นก็คือ ออกซิเจน
ในสมัยแรก ๆ ปัจจัยการดำรงชีวิตทุกอย่างได้มาโดยตรงจากธรรมชาติ ทั้งอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค
นอกจากนี้แล้ว มนุษย์ ก็มีความความผูกพันและความเชื่อกับธรรมชาติมานานแล้ว
หลักความเชื่อ พิธีกรรม และศาสนา วัฒนธรรมของคนไทย ก็มีความเชื่อว่า ธรรมชาติทุกอย่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน
มีการเกื้อกูลพึ่งพากันในระบบนิเวศ ซึ่งความเชื่อนี้ นำไปสู่พิธีกรรมเกี่ยวกับป่า
และกลายมาเป็นวัฒนธรรมประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน เช่น การบวชป่า ที่บ่งบอกถึงเจตนาของชุมชนที่แสดงออกถึงการรู้คุณค่าของทรัพยากรป่าไม้
ธรรมชาติทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้จริงไหม?
- ธรรมชาติช่วยในการควบคุมอารมณ์และปรับปรุงการทำงานของสมองส่วนความจำ การศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ด้านการรับรู้ของธรรมชาติพบว่า ผู้เข้าร่วมที่เดินชมธรรมชาติจะมีความจำที่ดีกว่าผู้ที่เดินไปตามถนนในเมือง (Berman, Jonides และ Kaplan, 2008)
- การเดินชมธรรมชาติเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า ผลการศึกษาพบว่า คนที่เป็นโรคซึมเศร้า ระดับเล็กน้อยถึงรุนแรงจะมีอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสัมผัสกับธรรมชาติ ไม่เพียงเท่านั้น แต่พวกเขายังรู้สึกมีแรงบันดาลใจและมีพลังมากขึ้นในการฟื้นตัว (Berman et al., 2012)
- ผลการวิจัยล่าสุดพบว่าการอยู่กลางแจ้งช่วยลดความเครียดโดยการลดฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอล (Gidlow et al., 2016; Li, 2010)
- การศึกษาที่มหาวิทยาลัยแคนซัสพบว่าการใช้เวลากลางแจ้งมากขึ้นและใช้เวลากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์น้อยลงจะช่วยเพิ่มทักษะในการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ได้ (Atchley, Strayer, & Atchley, 2012)
- การทดลองขนาดใหญ่ที่ดำเนินการกับผู้เข้าร่วม 120 ราย ยืนยันถึง ‘การเชื่อมโยงทางธรรมชาติ’ ในการลดความเครียดและการเผชิญปัญหาผู้เข้าร่วมแต่ละคนสังเกตภาพทิวทัศน์ธรรมชาติหรือสภาพแวดล้อมในเมือง ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้เผยให้เห็นว่า
- ผู้เข้าร่วมที่ดูภาพสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติมีคะแนนความเครียดต่ำ และมีการเต้นของหัวใจและชีพจรดีขึ้น (Ulrich et al., 1991)
โรคขาดธรรมชาติ
โรคขาดธรรมชาติ Nature Deficit Disorder มีการพูดถึงครั้งแรกในปี ค.ศ.2005 Richard Louv นักเขียนชาวอเมริกัน
ผู้เขียนหนังสือ The Nature Principle และ Last Child in the Woods กล่าวไว้ว่า เด็กที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ
ไม่มีกิจกรรมนอกบ้านหรือห้องเรียนให้ได้สัมผัสจับต้องกับธรรมชาติอย่าง ต้นไม้ ดินหญ้า ลำธารหรือสวนสาธารณะ
แต่ใช้เวลาอยู่แต่กับการเล่นมือถือ เกม คอมพิวเตอร์ หรือเรียนพิเศษจนหมดวัน ก็อาจจะทำให้ขาดความคิดสร้างสรรค์ได้
โรคขาดธรรมชาตินี้จะยังไม่ได้มีการระบุทางการแพทย์ว่าเป็นหนึ่งในโรค
เพราะว่าในธรรมชาตินั้นมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่ แสง สี เสียง กลิ่น อุณหภูมิ ที่ทำให้ประสาทสัมผัสของเรารับรู้
มีการทำปฎิกิริยากับระบบประสาทต่างๆ ของร่างกายเราโดยอัตโนมัติ และส่งต่อไปยังสมอง
จนเกิด “ความรับรู้เชิงบวก” (Positive Perception) หรือที่เราเรียกว่า “รู้สึกดี” เพราะฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อยากให้ทุกคนไปสัมผัสธรรมชาติกัน
ตัวอย่างธรรมชาติบำบัด
- การปลูกต้นไม้
- เดินเล่นสวนสาธารณะ
- การจัดแต่งห้อง / โต๊ะทำงานให้มีสีเขียว
- ท่องเที่ยวธรรมชาติ
- อาบป่า ดูนก ชมไม้
สุดท้ายก็อยากฝากไว้ด้วยว่า ทำกิจกรรมที่เหมาะสม กับเวลาและสถานที่ เคารพกฎกติกา และ เมื่อเราใช้ธรรมชาติมาเยอะขนาดนี้ เราก็ดูแลธรรมชาติกันนะ 🙂
ทุกคนเคยคิดว่าตัวเองควบคุมทุกอย่างได้ไหม แต่จริง ๆ แล้วเราควบคุมทุกอย่างไม่ได้ขนาดนั้น
หนังสือนี้เล่มนี้จะมีหลักการทางวิทยาศสาสตร์มาให้คำตอบเราผ่านเรื่องราวของยีน ดีเอนเอ จุลชีพ กระบวนการเหนือพันธุกรรมต่าง ๆ
หนังสือปกสีน้ำเงิน ที่ทำให้เราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรามากขึ้น เราอาจจะคิดว่าตัวเองปกติ
แต่ก็จะมีใครมองว่าเราแปลกอยู่ดี อาหาร นิสัย ความชอบ ทำไมบางคนใจดีจัง แล้วทำไมบางคนถึงใจร้าย
หลาย ๆ อย่างพฤติกรรม การกระทำ ความคิดที่แตกต่างกันของมนุษย์ ความหลากหลายในการใช้ชีวิต หนังสือเล่มนี้ทำให้เราอยากเข้าใจว่าทำไมคนเราถึงแตกต่างกัน
แต่ในความแตกต่างและหลากหลายก็มีสิ่งนึงที่ทุกคนเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเรียนรู้ความลับของมนุษย์
มนุษย์มักจะชอบคิดว่าเราสามารถควบคุมความชอบ พฤติกรรม นิสัยต่าง ๆ หรือจังหวะชีวิตของเราได้
แต่จริง ๆ แล้วยังมีจังหวะชีวิตที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นคือ ‘พลังซ่อนเร้นที่วางแผนและจำกัดความเคลื่อนไหวของเรา’
เช่น ตัวอย่างในหนังสือที่ผู้เขียนกล่าวถึง บล็อคโคลี่ เขาไม่ชอบกินบล็อคโคลี่ เพราะขม
แต่ภรรยาชอบกิน เป็นความแตกต่างของสามี-ภรรยา และเขาก็ค้นพบว่าลูกชายเขาชอบแต่ลูกสาวไม่ชอบ
เขาไม่ได้สอนลูก แต่ลูกตอบสนองต่อบล็อคโคลี่เอง คือ DNA ความลับของวิทยาศาตร์ที่ซ่อนไว้
รสนิยมของคุณ
ตอนเด็ก ๆ ทุกคนเคยไหมที่พ่อแม่บังคับให้กินผัก บังคับให้กินในสิ่ง ที่ไม่ชอบ
หรือบางทีกินอาหารจานเดียวกันกับเพื่อน เราชอบแต่เพื่อนไม่ชอบ ในทางวิทยาศาสตร์หนังสือเล่มนี้มีคำอธิบาย
ว่าทำไมรสนิยมคตวามชอบถึงแตกต่างกัน อาหารทั้งหมดของเราประกอบด้วยสารเคมี เมื่อคนเรากินอะไรเข้าไปย่อมได้รับสารเคมีที่แตกต่างกัน
ลิ้นของเรามีปุ่มรับรสชาติที่แตกต่างกัน ปุ่มรับรสชาติของเราประกอบด้วย 50-150 cells ยีนในตระกูลที่เรียกว่า tas2r
เป็นตัวสร้างกลไกรับรสเซลล์ แล้วก็ไปเกี่ยวกับเคมีและโมเลกุลของอาหาร พอโมเลกุลนี้เข้าไปในปากเราก็จะเชื่อมเข้ากับตัวรับรส
และส่งสัญญาณไปที่สมองเราว่า อร่อย กับ ไม่อร่อย และนอกจากนี้แล้วก็ยังมีเข้า DNA ในตัวเราด้วย DNA คือเครื่องจักรที่ทำให้มนุษย์อยู่รอด
และการที่มีปุ่มรับรสขมก็ช่วยให้มนุษย์รอดชีวิตจากสิ่งที่กินเข้าไป
พบกับเนื้อคู่ของคุณ
แรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน รักจืดจางนำ้ตาลยังว่าขม เคยสงสัยไหมว่าทำไมความรักในช่วงแรกมันตื่นเต้น เร้าใจ ทำให้นอนไม่หลับ
ผีเสื้อบินในท้องตลอดเวลา เพราะว่าความรักได้เปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมองของเรา เวลาที่เราตกหลุมรักใครสักคน
เส้นประสาทที่เดียวกับอารมณ์ด้านลบ รวมถึงความกลัวและการใช้วิจารณญานจะไม่ยอมทำงาน
ดังนั้นส่งผลให้เราในตอนนั้นมีการประเมินตัวตนบุคคลต่ำลง เลยทำให้เกิดคำว่า ความรักทำให้คนตาบอด
ไม่ใช่คำที่เอามาพูดกันเฉย ๆ มันมีเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์เหมือนกัน ตาบอดในแง่ที่มันทำให้สมองเราหยุด คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ไปชั่วขณะ
เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่หัวใจเราต้องการ สำหรับคนนอกอาจมองว่าไร้สติ ไม่มีเหตุผลแต่สิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ กับระบบประสาทของเรา
แต่ความรักและการเปลี่ยนแปลงสารเคมีในร่างกายก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่นอนว่าความรู้สึกที่กระปรี้ดนะเปร่าตกลุมรักไม่ได้อยู่ตลอดไป
เพราะการที่มีคอร์ติซอลสูง เซโรโนนีนต่ำนั้นไม่ดีต่อร่างกายของเรา ร่างกายเลยจำเป็นที่ต้องกลับสู่อารมณ์พื้นฐาน
เพื่อเปลี่ยนทิศทางให้ร่างการได้ใช้พลังงานที่ถูกต้อง เมื่อโดปามีนลงลด ความตาบอดของเราก็จะค่อยๆ หายไป
เริ่มมีการคิดถึงเหตุผลมากขึ้น วงจรการ คิดวิเคราะห์แยกแยะ ก็จะเริ่มกลับมาปกติ เลยอาจเป็นที่มาของคำว่าหมดโปรโมชั่นเหมือนกัน
เห็นไหมคะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา บางอย่างที่เราทำ ที่เราเลือก ไม่ใช่แค่ตัวเราที่ควบคุมเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีพลังของวิทยาศาสตร์ในตัวเราที่คอยควบคุมเราอีกทีเหมือนกัน
สำหรับหนังสือเล่มนี้ ทำให้เห็นความแตกต่างของคน เข้าใจถึงการกระทำที่มีอะไรอยู่เบื้องหลัง คิดอยากเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น
และนอกจากจะเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้ว ยังทำให้อยากพยายามทำความเข้าใจคนอื่นเหมือนกัน
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้จะมาบอกให้เราทำใจยอมรับว่าร่างกายของเรานั้นถูกกำหนดไว้ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่เขากำลังบอกเราว่าเราควรที่จะรู้จักกับร่างกายของเราให้ดีมากพอเพื่อที่จะควบคุมมันได้อีกทีมากกว่า
ทุกคนอาจเคยมีเรื่องราว ความกังวล ก่อนอนกันใช่ไหม หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนหลับสนิทมากขึ้นได้นะ ..
ความวิตกกังวล
ความวิตกกังวล คือ ความกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและความคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
บางครั้งความวิตกกังวลก็เป็นสารตั้งต้นของความรู้สึกเชิงลบได้หลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นรู้สึกยังดีไม่พอ ไม่มีใครรัก รู้สึกไม่ปลอดภัย คิดวน ๆ ถึงสถานการณ์ในแง่ลบ
ใครเป็นคนที่ชอบวิตกกังวลไหม กังวลทั้งเรื่องในใจและก็กังวลเกี่ยวกับความคิดด้วย กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้างบ่อย ๆ
กังวลถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น ใครจะคิดยังไงกับเรา ถ้าเราเลือกสิ่งนี้จะดีไหม ทำดีหรือไม่ดี หลายอย่างมาก ๆ ที่ความว้าวุ่นเกิดขึ้น
เวลาที่เกิดความวิตกกังวล บางครั้งก็ไม่ได้แสดงออกแค่ทางอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก
แต่ความวิตกกังวลก็เชื่อมโยงไปแสดงออกทางกายด้วยเหมือนกับ เช่น น้องไรลีย์ในหนัง Inside out 2
ที่มีอาการหัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก ตัวสั่น พูดวนไปวนมา พอเรารู้สึกแบบนี้แล้วใคร ๆ ก็คงไม่อยากให้ความวิตกกังวลเกิดขึ้นกันใช่ไหม
ในตัวของหนังเรื่อง Inside out 2 ช่วงแรกเริ่มก็เปรียบเจ้าว้าวุ่น Anxiety เหมือนตัวร้ายที่ขัดขวางอารมณ์อื่น ๆ เหมือนกัน
แต่เป็นการเป็นการขัดขวางเพราะจุดประสงค์ดีแต่ก็ไม่ได้เกิดผลดีอย่างที่คิด….
เมื่อความกังวลเกิดขึ้น ความสุขที่เคยมีก็สุขไม่สุด เศร้าไม่สุด โมโหก็ไม่รู้ควรโมโหไหม หลากหลายอย่างที่ตีกันในหัวของเรา
แต่ว่าความกังวล จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ …
ความวิตกกังวลเกิดจากความไม่รู้…ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะดีหรือไม่ดี
สถานการณ์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ พื้นฐานของความวิตกกังวลมาจาก ความกลัวหรือกังวล และทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์
ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงขณะของการใช้ชีวิต เราทุกคนต่างมีความรู้สึกวิตกกังวลได้แบบไม่เลือกเวลา
แต่สัญญาณที่เราเริ่มรู้สึกกังวล เราจะเริ่มคิดวนจากเรื่อง 1 ไป 2 ไป 3 แล้วก็กลับมา 1 ใหม่ / ใจไม่สงบ / สมาธิสั้นลง / พฤติกรรมที่ออกจากทางร่างกาย ประหม่า ตัวสั่นท้องปั่นป่วน ใจเต้นแรงมากขึ้น รู้สึกวอกแวก มีเหงื่อออก รู้สึกควบคุมสติไม่ค่อยอยู่ หายใจเร็ว เกิดความเครียด อยากจะถอยกลับหรือหาทางหนีออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้น
แต่ความ วิตกกังวล ก็ไม่ใช่ตัวร้าย
ความวิตกกังวลก็มีข้อดีเหมือนกัน ความวิตกกังวลจะช่วยกระตุ้นให้เราเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์สำคัญ ๆ
หรือช่วยให้เราตื่นตัวในสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายได้ หรือเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกกังวล
แปลว่าเรากำลังประเมินความเสี่ยงหรือข้อผิดพลาดในสถานการณ์นั้นอยู่
เพื่อให้ตัวเราเองได้หลีกเลี่ยงหรือมีความระมัดระวังกับเหตุการณ์นั้น เช่น เวลาที่เราต้องไปในสถานที่ใหม่ พอเรากังวลเราก็จะวางแพลนว่าเราจะทำยังไงดี 1234
แต่ในข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียหากเราควบคุมความวิตกกังวลไม่ได้ เราอาจจะกลายเป็นคนคิดมากเกินไป
หรืออาจจะทำให้เราไม่อยากทำอะไรเลยซึ่งจริง ๆ เป็นธรรมดาที่เราจะเกิดความกังวลในสิ่งที่เราไม่รู้
จะทำให้เราคิดไปต่าง ๆ นานาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าตัวเราไม่สามารถควบคุมความคิดมากนั้นหรือรู้เท่าทันความรู้สึกกังวลของตัวเองได้
ความกังวลใจในความคิดของเราอาจจะพาเราดำดิ่ง ตกลงไปอยู่ในห้วงอารมณ์ที่สับสน
ทำตัวไม่ถูกจนอาจเกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และอาจย้อนกลับมาทำร้ายสุขภาพกายและใจเราได้
ไม่ว่าจะเกิดการนอนไม่หลับ ความมั่นใจในตัวเองลดลง การเริ่มที่จะไม่เป็นตัวของตัวเอง
ความกังวลที่ไม่มีที่มา
เราพูดถึงความกังวลกันไปแล้ว แต่รู้ไหมว่าความกังวลมีทั้งแบบมีสาเหตุแล้วก็ไม่มีสาเหตุ ความกังวลแบบไม่มีที่มา มีชื่อว่า free floating anxiety
เป็นความกังวลที่ล่องลอย ไม่มีที่มา เหนือเหตุการณ์ที่เกิดในชีวิตซึ่งพอมานั่งคิดจริง ๆ มันก็อาจจะไม่มีะไรก็ได้
แต่เราก็ไม่สามารถสลัดความกังวลนั้นออกไปได้ ซึ่งความกังวลแบบไม่มีที่มาสามารถพัฒนาไปเป็นความเครียด ภาวะซึมซึมเศร้า
ซึ่งเราต้องคอยสังเกตตัวเองว่าเรากำลังกังวลแบบไหน มีสาเหตุ หรือ ไม่มีสาเหตุ โดยเราต้องห้ามปฏิเสธความกังวลที่เกิดขึ้น
ยอมรับความกังวลแล้วตกตะกอนหาสาเหตุให้พบเพื่อหาวิธีแก้ไขกัน
ควบคุมความว้าวุ่นในจิตใจ
ความกังวลที่เรารู้สาเหตุมีที่มาที่ไป เมื่อเราหาจุดที่ทำให้เรากังวลเราลองดูว่ามีอะไรที่เราควบคุมได้บ้าง
อะไรที่ควบคุมไม่ได้ก็คือควบคุมไม่ได้ เขียนสิ่งที่กังวลออกมา โดยเขียนแบบเฉพาะเจาะจงมาเลย
แล้วลองดูว่าเราจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหานั้นได้บ้าง มีทางออกอย่างไรบ้าง เรื่องไหนที่เกินความสามารถเราก็ต้องปล่อย
รับรู้ถึงความกังวลที่เกิดขึ้นพยายามไม่ให้ความกังวลเดินนนำหน้าเรา เพื่อเราจะได้มีพื้นที่เดินต่อไปได้
สุดท้ายแล้วขอให้ทุกคนโอบกอดความรู้สึกทุกความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เศร้าใจ ดีใจ
ย่อมมีวันที่ความรู้สึกเหล่าลั้นเลือนลางหายไปเหมือนกัน และเมื่อมีความกังวลเกิดขึ้นให้เราคิดว่า
ความกังวลคือเพื่อนที่คอยช่วยเตือนสติเราไม่ให้เราถลำลึกกับอะไรบ้างอย่าง
แต่อย่าให้เพื่อนคนนี้มารบกวนเราเกินไป ขีดเส้นกั้นของเรากับความกังวลให้ชัดเจน 🙂
ภาวะที่ตั้งใจเก็บเงินจนเครียด มีเงินก็ไม่กล้าใช้เงิน เก็บเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ
Money Dysmorphia
“เกิดขึ้นกับผู้ที่มีเงินเก็บเพียงพออยู่แล้ว แต่กลับไม่ยอมใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุข”
สาเหตุ
- กังวลสถานะทางการเงินในอนาคตของตัวเองมากเกินไป กลัวจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในอนาคต
- กดดันตัวเองมากเกินไป เพราะว่าด้วยคอนเทนต์ที่หลากหลายที่ทุกวันนี้เกี่ยวกับการเก็บเงินหลังเกษียณ การมีเงินเก็บเยอะ ๆ หรือการมีเงินลงทุนทำให้เรากดดันตัวเองกับเรื่องการเงินมากขึ้นด้วย
- มีประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีตเกี่ยวกับการเงิน เช่น เป็นหนี้
ภาวะ “สุขภาพจิต” ที่เกี่ยวกับ “การเงิน”
นอกจากภาวะ Money Dysmorphia ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในทางอ้อมเนื่องจากกดดันตัวเองจนเครียดแล้ว
ยังมีภาวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินและอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
- โกหกหรือปกปิดเรื่องเงินกับคนในบ้าน
พฤติกรรมนี้อาจนำมาซึ่งปัญหาครอบครัวได้ในอนาคต เนื่องจากคู่รักหลายคู่มักปกปิดปัญหาด้านการเงินกับอีกฝ่าย
และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ไม่สามารถแก้ไขได้เนื่องจากปัญหามีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้มีปัญหาครอบครัวตามมา โดยเฉพาะการหย่าร้าง
- พยายามลืมปัญหาทางการเงิน
คนที่มีอาการนี้มักจะเป็นคนที่กำลังมีปัญหาด้านการเงิน แต่พยายามหลอกตัวเองว่ายังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้
แม้จะมีเงินสำรองจ่ายน้อยหรืออาจจะไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ ทำให้คนเหล่านี้มักจะชำระหนี้ช้ากว่ากำหนด หรือมีเงินไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ทำให้ตัวเองมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น
- เสพติดการใช้เงิน
เทรนด์ No Buy month
No buy month คือเทรนด์การหยุดซื้อ ของไม่จำเป็น ทั้งเดือน เพื่อฝึกวินัยการเงิน
ช่วงเวลาต้นเดือนที่เงินเดือนเข้าเราจะก็วางแพลนว่าเราจะเอาเงินไปทำไรบ้าง กินบุฟเฟต์ เที่ยว ซื้อของ
ความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้น ก็อาจจะอยู่กับเราได้ไม่นาน ถ้าหากใช้จ่ายเพลิน จนเริ่มมีเงินไม่เพียงพอ ที่จะใช้ไปทั้งเดือน
ซึ่งถ้าหากเราไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในเดือนต่อ ๆ ไป เราก็สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้จ่าย ด้วยการทดลองทำ No Buy Month
No Buy Month หรือถ้าแปลเป็นไทยได้ง่าย ๆ ว่า “เดือนนี้ไม่มีการใช้จ่าย”
ฟังดูแล้ว เหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคนเราต้องกินต้องใช้ แถมยังต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าห้อง
การทำ No Buy Month นั้น ไม่ใช่การห้ามไม่ให้เราใช้เงินแม้แต่บาทเดียวไปทั้งเดือน แต่คือการที่ในเดือนนั้น เราจะไม่ใช้จ่ายกับสิ่งที่ไม่จำเป็น
เช่น การซื้อเสื้อผ้าใหม่ กินร้านอาหารแพง ๆ หรือออกไปเดินช็อปปิ้งในห้าง เป็นต้น
โดยประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำ No Spend Month อย่างแรกก็คือ การที่เราจะสามารถเก็บเงินได้ หรือมีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น จากการไม่ซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็น
ประโยชน์อย่างที่สองก็คือ การที่เราได้รู้จักควบคุมตัวเอง อีกทั้งยังเป็นเหมือนการถอยออกมามองพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ผ่านมาของตัวเราเอง
ซึ่งในบางครั้งอาจทำให้เราเห็นว่า สิ่งที่คิดว่าจำเป็นในวันนั้น จริง ๆ แล้ว มันอาจจะไม่ได้จำเป็นมากเท่าที่คิดก็ได้
นอกจากการควบคุมตัวเองแล้ว ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทำ No Buy Month ก็คือการเปิดโอกาส ให้เราได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่
การทำ No Buy Month ก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะในบางครั้งการที่เราข่มใจตัวเองมาก ๆ ก็อาจทำให้ในเดือนต่อมา
เราจะระบายความอัดอั้น ด้วยการใช้เงินอย่างสิ้นเปลือง มากกว่าเดิมก็เป็นได้
นอกจากนี้ ในบางครั้งเราอาจจะมีความจำเป็น ที่ต้องใช้เงินฟุ่มเฟือยอยู่บ้าง เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
เช่น ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน หรือออกไปเที่ยวกับสมาชิกครอบครัว ในวันหยุดยาว
ทำให้การจะประหยัดอดออมทั้งเดือน กลายเป็นเรื่องที่ยากจนเกินไป
ถ้าเป็นอย่างนั้น เราอาจลองลดความเข้มข้นลง จากการทำ No Buy Month เป็นการทำ No Buy Week แทนก็ได้
เพื่อปรับตัวจากตรงนี้เองจะเห็นได้ว่า การทำ No Spend Month จะช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง
แถมยังได้กลับมาสำรวจ พฤติกรรมการใช้จ่ายของตนเอง ว่าที่ผ่านมาเราใช้เงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นมากน้อยแค่ไหน
เพราะฉะนั้น ถ้าหากในเดือนนี้เรารู้สึกว่า อยากจะมีเงินเก็บเพิ่ม หรืออยากจะเลิกซื้อของตามใจตัวเอง จนมากเกินไป
การเริ่มทำ No Spend Month ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ก็ดูจะเป็นทางเลือก ที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน . .
ที่มา :
ภาวะ ‘Money Dysmorphia’ ตั้งหน้าตั้งตา ‘เก็บเงิน’ จนเครียด มีเงินก็ไม่ยอมใช้
สเปคหรือไทป์ของมาจากไหน ทำไมบางคนเวลามีแฟนแล้วตัวติดแฟนมาาก มีความขี้หึง ขี้กังวล
ขณะที่บางคนบอกว่าอยากมีแฟนแต่พอมีคนมาจีบก็ปัดหนีตลอด สงสัยไหมว่าทำไมบางคนรีแอคกับความรักแตกต่างกัน
Attachment Theory
ทฤษดี Attachment Theory ที่บอกว่าโดยทั่วไปแล้วคนเราจะมีรูปแบบความสัมพันธ์อยู่ 4 แบบ มนุษย์โดยส่วนใหญ่มีรูปแบบความสัมพันธ์เป็นหนึ่งในสี่แบบนี้
Attachment Theory หรือทฤษฎีรูปแบบความสัมพันธ์ กำเนิดมาจากนักจิตวิทยา John Baldwin ซึ่งเป็นคนริเริ่มคำว่า Attachment
และเชื่อว่าความสัมพันธ์ในช่วงแรก ๆ ของชีวิตเรา (เรากับผู้เลี้ยงดู) เป็นเหมือนแม่แบบที่เราใช้ในการสร้างความสัมพันธ์อื่นๆ ในอนาคตด้วย
นักจิตวิทยา Marry Ainsworth เอาแนวคิดของ John มาศึกษาต่อ
Secure Attachment
ตอนเป็นทารก ผู้เลี้ยงดูค่อนข้างใส่ใจ ถ้าเราร้องแล้วพ่อแม่มาดูเพื่อปลอบเราและพยายามจะให้สิ่งที่เราต้องการ
สมองของเราจะเรียนรู้ว่า มันปลอดภัยที่จะแสดงอารมณ์ของเราออกมา มันปลอดภัยที่เราจะแสดงความต้องการออกมา มันปลอดภัยที่จะพึ่งคนอื่น แล้วก็รู้สึกได้รับความรัก
เรียนรู้ว่า “ฉันคู่ควรที่จะได้รับความรัก”
อีกลักษณะที่เห็นได้ชัดเลยคือ คนประเภทนี้จะเห็นคุณค่าในตัวเองและมองโลกในแง่ดี กล้าเป็นตัวของตัวเองในความสัมพันธ์
เพราะพอเราแสดงออกได้รับการตอบสนอง มันก็เหมือนกับทำให้เรามั่นใจและรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงออก
Anxious Attachment
กลุ่มนี้ในวัยเด็กได้รับความรักแต่ไม่สม่ำเสมอ เช่น พ่อแม่ติดงานนาน ๆ มาอยู่ด้วยบ้างแต่ก็ต้องไปอยู่กับยายกับญาติบ้าง
มีความไม่สม่ำเสมอในการได้รับความรัก สมองเรียนรู้ตั้งแต่เด็กว่า ความรักมันชั่วคราว เราได้รับความรักแต่มันได้แล้วก็โดนพรากจากไปเสมอ
นักจิตวิทยาเปรียบไว้ว่า อยากได้ความรักมาก แต่ก็เหมือนโกยทราย กำแน่นมากทรายก็ไหลออกไปหมดเสมอ
กลายเป็นคนที่ไม่เคยรู้สึกเติมเต็ม รู้สึกว่าความรักเป็นอะไรที่ชั่วครั้งชั่วคราว
แผลใจของคนกลุ่มนี้ก็คือ กลัวการถูกทอดทิ้ง กลัวการอยู่คนเดียว
Avoidant Attachment
เป็นทารกที่โดนละเลยทางอารมณ์ จริง ๆ มีสองกรณี คือ ผู้เลี้ยงดูไม่อยู่เลย ไม่มาดูแล ไม่ใส่ใจ
อีกแบบคืออยู่แต่จะละเลยเวลาที่เด็กแสดงอารมณ์ไม่ว่าจะบวกหรือลบ เช่น ร้องก็ปล่อยให้ร้องอย่าโอ๋ ไม่ถามอารมณ์ว่าลูกรู้สึกยังไง
หรือเป็นพ่อแม่ที่เย็นชาไม่ตอบสนองทางอารมณ์ใด ๆ เลย เด็กจะโตมาโดยที่ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนดี/ไม่ดี
เกิดความรู้สึกละอายหรือไม่เป็นที่ต้องการ แล้วก็ค่อย ๆ สร้างเกราะป้องกันตัว เพื่อพยายามแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็ง แข็งแรง ไม่ต้องพึ่งใคร
คนประเภทนี้จะโฟกัสความรู้สึก ตัวเองมากเพราะเขาได้รับความรักและการดูแลมาไม่สม่ำเสมอหรืออาจจะไม่เคยได้รับเลย
เป็นธรรมดาที่จะเกิดความรู้กลัว กังวลในการสานสัมพันธ์ มีแฟนได้นะ แต่ถ้าคนที่เข้ามาดันใกล้ชิดเขามากเกินจนเขารู้สึกอึดอัด
เขาจะตีตัวออกห่างทันทีถึงจะชอบก็เถอะ เลยอาจทำให้คนประเภทนี้มักจะมีความสัมพันธ์ระยะสั้น
Fearful Attachment
เป็นทารกที่เจอหนักที่สุด โตมาในความวุ่นวาย เช่น พ่อแม่ที่ติดเหล้า หรือกำลังจะหย่า (ทะเลาะกัน) คือ บางวันพ่อแม่อาจจะใจดี อีกวันโกรธ
โตมาในความสัมพันธ์ที่ไม่มีอะไรแน่นอน สะเปะสะปะไปหมด
และโตมากับความรู้สึกที่ว่ารักก็ดีแต่ก็น่ากลัว อยากได้ความใกล้ชิดแต่ก็กลัว เพราะไม่เข้าใจด้วยว่าความสัมพันธ์จริง ๆ หน้าตาเป็นแบบไหน
รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ความรักความสัมพันธ์เป็นเรื่องน่าสับสน อยากได้ความรักความใกล้ชิดแต่ก็ไม่เข้าใจ
ทุกอย่างของจิตวิทยา มีชื่อเพื่อให้รู้ว่ามันคืออะไรและรับมือยังไง แต่ไม่ได้เอาไว้แปะป้าย หรือจัดประเภทใคร
Attachment สามารถเปลี่ยนได้ผ่านการไปพบจิตแพทย์ การรักษาแผลใจของเรา หรือการทำงานกับตัวเอง
ถ้าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อตัวเอง ก็ช่วยได้เหมือนกัน มันไม่ใช้อะไรที่ถาวรซะทีเดียว
เพราะทฤษฎีถูกสร้างมาเพื่ออธิบายสาเหตุของคนแต่ละประเภท ซึ่งจริง ๆ การเลี้ยงดูเป็นส่วนสำคัญในการที่จะพิสูจน์
เพราะเราโตมาแบบนั้นเราถึงเป็นคนแบบนี้ แต่อีกครึ่งหนึ่ง พี่คิดว่ามันมาจากประสบการณ์ที่เราเจอ
บางคนโตมาดีแต่เจอความสัมพันธ์อะไรก็ไม่รู้ เขาก็อาจจะเกิด trust issue หรืออะไรอื่น ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อตัวตนหรือความรักครั้งหน้าได้
ที่มา :
เมื่อการเลี้ยงดูในวัยเด็ก ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในวันที่เติบโต
Attachment Styles: How They Affect Adult Relationships
Attachment style – รูปแบบความผูกพัน
ดราม่า ควีน/คิง “นักสร้างสถานการณ์ให้ตัวเองมีปัญหากับคนรอบข้าง”
ดราม่าควีน/คิง คำนี้ก็ถ้าให้แปลตรงตัว หมายถึง “ละครชีวิต”
มีคนบัญญัติคำว่า Drama Queen/King ขึ้นมา ใช้ตามเพศ ผู้หญิงคือ Queen ผู้ชายคือ King
เพื่ออธิบายคนที่ชอบทำให้ชีวิตตัวเองเหมือนกำลังเล่นบทนางเอกหรือพระเอกในละคร หรือ หรือคนที่ชอบแตกตื่นไปกับสถานการณ์บางอย่าง
Drama Queen/King จะต้องทำเรื่องบางเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ดูเหมือนว่ามีผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตมาก ๆ
จนถึงขั้นบีบน้ำตาเรียกคะแนนความสงสารเลยก็มี แต่ขอย้ำไว้ก่อนว่า คนอ่อนไหวง่าย ไม่เท่ากับ เป็นคนที่ชอบดราม่า
พวกเขาแค่อ่อนไหว และมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อการรับรู้เท่านั้นเอง
หรือ ความหมายสั้น ๆ ตามที่ Cambridge dictionary คนที่อารมณ์เสียหรือโกรธเกินไปกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ
แต่ Drama Queen ไม่จำเป็นต้อง ขี้แง ร้องไห้ ปาดน้ำตา เสียใจ หรือไม่ใช่คนอ่อนไหว เพราะเขามีจุดประสงค์ในการเรียกความดราม่า
สาเหตุ เหตุผล ทำไมพวกเขาถึงดราม่า
หลัก ๆ คือ ‘ต้องการให้คนอื่นสนใจ’ เนื่องจากรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว ซึ่งอาจเกิดหลายอย่างในชีวิตที่กระทบทั้งจิตใจ
การมีปฏิสัมพันธ์ รวมถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เลยทำให้มีนิสัยพฤติกรรมดราม่าออกมา และพวกเขาจะแสดงออก…
- พวกเขาจะรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องเจอกับความลำบากเหนือคนอื่นเสมอ รับบทเหยื่อ คิดว่าคนรับบทเหยื่อก็มีพฤติกรรมดราม่า เหมือนกัน คนอื่นจะได้รู้สึกว่าชีวิตของดราม่าควีนช่างน่าเห็นใจ
- ตัดพ้อชีวิต โดยที่พวกเขาจะคิดว่าตัวเองคือ นักแสดงนำ เพราะอยากได้รับความสำคัญ และหวังว่าผู้คนรอบข้างจะเป็นไปตามบทที่เขาวางเอาไว้
- เลือกใช้คำที่ขยายให้รู้สึกน่าสงสาร หรือรู้สึกว่าที่ชั้นเจอมามันหนักมากกก เช่น ช่วงนี้ชีวิตเหมือนเจอมรสุมแย่มากทุกทาง ไม่มีใครเห็นใจเลยสักคน ซึ่งสถานการณ์จริง ๆ อาจมีคนสนใจเขาก็ได้เช่นคนฟังแต่เขาก็พูดไปแล้วว่าไม่มีคนสนใจเขาเลย
- เล่าเรื่องเดิมแต่เพิ่มอารมณ์ให้เรื่องดูเข้มขึ้น บางทีอาจผสมเรื่องไม่จริงลงไปบ้างเพื่อให้ดูเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิม ให้ดูคนอื่นสนใจ และรู้สึกเห็นใจในเรื่องของตัวเองเจอ
- สำหรับดราม่าควีนบางคนด้วยความที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ พวกเขาเลยให้ความสนใจกับปัญหาและความท้าทายในชีวิตคนอื่นอยู่เสมอ อาจเป็นการเก็บข้อมูล หรือเพื่อเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเองก็เป็นได้
วิธีแก้ไข
- ถ้าต้องการ Emotional Support มีวิธีอื่นที่สื่อสารโดยไม่ต้อง Drama Queen การสื่อสารด้วย I Message บอกว่าเรารู้สึกอะไร ต้องการอะไร โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดหรือรู้สึกเหนื่อยที่ต้องอยู่ด้วยกัน
- การที่อยู่กับคนที่นิสัยพฤติกรรมไม่เท่ากัน เช่น เราที่ดราม่าควีนชอบเล่นใหญ่ แต่แฟนเราเป็นคนนิ่ง ๆ เฉย ๆ เพราะฉะนั้นการพูดคุยกันสำคัญมาก ๆ
ที่มา :
รับมืออย่างไรกับคนที่ชอบหาแต่เรื่องดราม่า เพื่อเรียกร้องความสนใจ
7 toxic signs of someone who is ‘addicted to drama,’ according to a psychologist—and how to respond
การเตรียมตัว วางแผน พูดคุยกันไว้ก่อน เป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าเราตกลงกันไว้
คนใกล้ชิด ที่จะต้องตัดสินใจบางอย่างในอนาคตจะได้ไม่ต้องเครียดจนเกินไป หาทางออกไม่ได้
หรือรู้สึกผิดที่จะต้องตัดสินใจบางอย่าง หรือต้องแบกความรู้สึกไว้คนเดียวเรื่องการรักษาเหล่านี้กลายเป็นหน้าที่ของครอบครัว
ลูกหลานของคนไข้หลาย ๆ คนบอกว่ารู้สึกลำบากใจ บางคนรู้สึกผิดหลังจากเลือกการรักษาต่าง ๆ
ซึ่งเอาจริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร…
ชวนตั้งคำถามเรื่องความตาย
- รู้ใช่ไหมว่าคนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย แล้วเคยคิดถึงความตายของตัวเองบ้างหรือเปล่า?
- ถ้าวันหนึ่งสุขภาพแย่ลง สภาพแบบไหนที่ไม่ต้องการ หรือ ยอมรับไม่ได้?
- ถ้าวันหนึ่งเจ็บป่วยหนัก อยากใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอย่างไร?
การวางแผนดูแลล่วงหน้า หรือ Advance Care Planning คือ กระบวนการวางแผนดูและสุขภาพที่ทำไว้
ก่อนที่ผู้ป่วยจะหมดความสามารถในการตัดสินใจ หรือเข้าสู่ระยะท้ายของชีวิต อาจจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้
กระบวนการวางแผนดูแลล่วงหน้า จะใช้กระบวนการสนทนาพูดคุยแบบใดก็ได้ระหว่าง
- ผู้ป่วยกับครอบครัวและทีมบุคลากรสุขภาพ
- ผู้ป่วยอาจทำด้วยตนเอง
- ผู้ป่วยปรึกษาสมาชิกในครอบครัว
- ผู้ป่วยปรึกษาบุคลากรสุขภาพ
การดูแลแบบประคับประคองคืออะไร ?
การดูแลแบบประคับประคอง หรือ Palliative Care คือ การดูแลที่มีมุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และครอบครัว
โดยลดความทุกข์ทรมานทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ เป็นการดูแลควบคู่กับการรักษาหลักที่มุ่งหวังกำจัดตัวโรค
การดูแลแบบประคับประคองจะคำนึงถึงความต้องการและความปรารถนาของผู้ป่วยและครอบครัวร่วมด้วย
เป้าหมายของการดูแลแบบประคับประคอง คือ การมุ่งหวังให้ผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัวสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข
มีความสัมพันธ์ที่ดีในวาระสุดท้าย มีความสุขสบายทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ครอบคลุมถึงการลดความทุกข์ทรมานจากการยื้อชีวิต เนื่องจากการรักษาบางอย่างในห้อง ICU
Stages of Grief ทฤษฎีระยะเวลาของการก้าวผ่านความสูญเสีย
ทฤษฎีระยะเวลาของการก้าวผ่านความสูญเสีย ต้องบอกก่อนว่าทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่ครอบคลุมการสูญเสียทุกรูปแบบ
การเสียชีวิต การเลิกรา การตกงาน เพราะฉะนั้นทฤษฎีนี้อาจจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปทางความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
ทฤษฎีนี้จะแบ่งความรู้สึกออกเป็น 5 ระยะ
- Stage 1 : Denial ปฏิเสธ
สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเจอความสูญเสียหรือผิดหวังตัวเราจะปฏิเสธและไม่ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริง ๆ อาจจะมีความคิดว่ามันคือความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง
- Stage 2 : Anger โกรธ
ระยะนี้เราจะเริ่มได้สติ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง เริ่มรู้ตัวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เริ่มโกรธ
อาจจะตีโพยตีพาย โทษคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่นอนว่าภายใต้ความโกรธจะมีอารมณ์อื่นปะปนอยู่ด้วย เช่น ความกลัว ความเศร้า รู้สึกผิด เสียใจ
- Stage 3 : Bargaining ต่อรอง
เป็นระยะที่เราไม่มั่นคงในจิตใจมากที่สุด คือ หลังจากโกรธน้อยลง เราจะเริ่มอยากกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด เช่น ขอโอกาส ถ้าย้อนกลับไปได้จะแก้ไขให้ดีขึ้น
- Stage 4 : Depression เศร้าเสียใจ
หลังจากที่ผ่านทั้งสามระยะมาเราจะเริ่มรู้ตัวเองอย่างชัดเจนแล้วว่าเราต้องยอมรับและคงเปลี่ยนผลลัพธ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น บางคนก็เศร้าเสียใจมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ บางคนสามารถพัฒนาระยะนี้เป็นภาวะซึมเศร้าได้
ระยะนี้ต้องมีคนคอยดูแลพราะถ้าไม่มีคนไว้คอยรับฟัง
- Stage 5 : Acceptance ยอมรับ
เป็นระยะที่อาการเศร้าเสียใจต่าง ๆ ดีขึ้น สามารถยอมรับการการจากลา การสูญเสียได้
แต่ก็อาจจะไม่ได้ถึงขั้นว่ามีความสุข หัวเราะร่าเริง แต่เริ่มอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น
ถึงแม้เราจะรู้ว่าเจ็บป่วย การจากลาเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอแต่ระยะที่กว่าจะผ่านและยอมรับได้ก็มี Step
และขั้นตอนของความรู้สึกเหล่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าลืมให้เวลาและพื้นที่ในการดูแลฟื้นฟูตัวเอง
อย่าลืมขอบคุณตัวเอง และอย่าลืมให้อภัยตัวเอง ณ ปัจจุบันนี้ด้วย จนกว่าใจจะค่อย ๆ ยอมรับและผ่านพ้นไปได้
อาจเป็นการรักษาที่สร้างความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดโดยที่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ
ที่มา :
Stages of Grief 5 ระยะ ก้าวผ่านความสูญเสีย
It’s Good to Feel Sad Sometimes: Here’s Why
“ความสุขมีจริงไหม หรือแค่เพราะเราไม่ทุกข์ เราเลยเรียกว่านั่นคือความสุข” และคำถามนี้ยังคงติดถึงในใจทุกวันนี้
นิยามความสุข
แต่ก่อนที่จะหาความหมายของความสุข ในช่วงชีวิตต้องมีหลายครั้งที่ชอบเกิดคำถามกับตัวเองว่า “ชีวิตคืออะไร”
ดูเป็นคำถามที่ธรรมดาแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ตายตัวสักที …
ถ้าตอบในมุมของธรรมะ ชีวิต คือ การประกอบขึ้นจากร่างกาย (รูปธรรม) และจิตใจ (นามธรรม) เพื่อนำไปสู่การหาทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์
ในมุมของวิทยาศาสตร์ ชีวิต คือ สถานะที่ช่วยให้แยกออกจากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว และเกิดจากการสืบพันธุ์ ปรับตัวเมื่อเติบโตให้ใช้ชีวิตในโลกต่อได้
ส่วนในมุมของจิตวิทยา ชีวิต คือ การรับรู้ถึงเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของตนเองผ่านการทบทวนและค้นหาสิ่งที่ตนเองชอบ เพื่อมีแรงกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อ
ความหมายของ ‘ชีวิต’ ก็คงแตกต่างกันไปในแต่ละคนไม่ต่างกับการมองตามความหมายของศาสตร์ต่าง ๆ
แต่สิ่งสำคัญ คือ เมื่อมีชีวิต เราก็ต้องใช้ชีวิต จะใช้ยังไงก็ขึ้นอยู่กับเราอีกเช่นกัน
ถ้าเราอยากนิยามว่า การใช้ชีวิต คือ การเลี้ยงหมาแมวอยู่บ้าน ไม่ต้องวุ่นวายกับใครแบบนี้ก็ได้ แค่เราทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข
หัวเราะให้กับอะไรโก๊ะ ๆ ที่ผ่านมาให้เห็น ยังไงก็ตาม เราในวันนี้อาจจะยังหาความหมายของชีวิตไม่เจอ แต่ก็ไม่เป็นไร
เพราะสุดท้ายเราจะเข้าใจชีวิตผ่านการออกแบบชีวิตที่เราต้องการได้ด้วยความคิดเราเอง ไม่ใช่คำพูดคนอื่น
นักจิตวิทยาชาวเนเธอร์แลนด์ ชื่อ Veenhoven เคยให้นิยามความสุขไว้ว่า ความสุขคือการที่เรารู้สึกชอบหรือพึงพอใจกับชีวิตของเรา
ถ้าประเมินแล้วว่าชอบชีวิตตัวเองนะ นั่นก็คือความสุขในชีวิต ซึ่งคนที่มีความสุขส่วนใหญ่จะมีบุคลิกลักษณะชอบความสนุกสนาน
กล้าลองอะไรใหม่ ๆ อารมณ์มั่นคง มองเห็นข้อดีในเรื่องต่าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น แม้ความสุขจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีพลังบวกมากมาย
บุคลิกของคนที่มีความสุข
- เป็นคนที่มี Self Esteem สูง ก็คือเป็นคนที่เห็นและนับถือคุณค่าในตัวเองสูง อะไรที่ toxic เข้ามาก็จะตัดทิ้งไปทันที มักจะมองตัวเองในแง่บวก เห็นข้อดีและยอมรับข้อเสียของตัวเองได้ทำให้เข้ากับคนอื่นได้ดี คนอื่นก็จะมองว่าเราเป็นคนมีสเน่ห์
- มองโลกในแง่ดี มีพลังบวกในตัวเอง สามารถให้กำลังใจหรือหาแง่มุมที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นจากเรื่องที่เลวร้ายได้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีสุขภาพจิตดี จะต่างกับโลกสวย โลกสวยคือการพยายามมองว่าทุกเรื่องมันดีจนมองข้ามความเป็นจริงและจะยอมรับเมื่อเกิดความผิดพลาดได้ยากกว่าคนที่มองโลกในแง่ดีที่จะมองและยอมรับสิ่งต่าง ๆ ตามความจริงได้อย่างเข้าใจ
- เชื่อว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นและสำเร็จได้ด้วยตัวเราเอง คิดและลงมือทำ ไม่รอโชคชะตา มีความมั่นใจในตัวเองซึ่งจะสามารถรับมือและจัดการกับความเครียดได้ดี รวมถึงคนที่มีความสุขเขา
- กล้าแสดงออกทางความรู้สึก เพื่อปกป้องความรู้สึกตัวเอง ซึ่งก็ย้อนไปสอดคล้องกับการเห็นคุณค่าในตัวเอง เพราะเราจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเราทั้งร่างกายและจิตใจได้ง่าย ๆ
แล้วเราจะตามหาความสุขได้จากที่ไหนบ้าง
ความสุขของบางคนอาจเกิดจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน การมีเงินพอใช้ไปทั้งชีวิต การมีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ในสังคมเรา แทบจะเป็นตัวการันตีว่า เราใช้ชีวิตได้ตามบรรทัดฐานสังคม ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ผิดที่เป้าหมายพวกนี้จะทำให้เรามีความสุข
เพราะมันคือพื้นฐานของความต้องการคนเราอยู่แล้ว ความสบายใจ ความมั่นคงนำไปสู่การมีความสุขได้ง่ายที่สุด
ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นที่สบายใจและมีความซื่อสัตย์ต่อกันซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ ความสุขในชีวิตคู่ก็จะเกิดขึ้นแล้ว
บางครั้งเราก็มองข้ามสิ่งเล็กน้อยในชีวิตไป
คนเคยบอกว่ามีเงินเยอะใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป คนที่มี ‘ทุกขลาภ’ มีเยอะแยะไป ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษานึงที่นักจิตวิทยาพบว่า…
ความร่ำรวยหรือการมีเงินเดือนสูงไม่ได้การันตีว่าจะมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย เขาก็อาจจะมีความเครียดจากเรื่องอื่นมาแทนก็ได้
จริงอยู่ว่าความยากจนทำให้เกิดทุกข์ แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าเศรษฐีหรือคนที่รวยล้นฟ้าจะมีความสุขเสมอไป
ดังนั้น ถ้าเรามองว่าความสุขของเรา คือ การมีเงิน การทะเยอะทะยานสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อตัวเอง ก็สามารถมีความสุขจากสิ่งนั้นได้ทุกคน
แต่อยากให้ตระหนักไว้เสมอว่าอย่ายกเรื่องเงินหรือยกใครมาเป็นก้อนความสุขของเราทั้งหมดก็พอ เพราะถ้าวันนึงเราไม่มีสิ่งนั้นแล้ว
มันจะกลายเป็นว่าเรามองหาความสุขไม่เจอ กลายเป็นคนไม่มีความสุข ลืมว่าความสุขหน้าตาเป็นยังไง จนถึงหลงลืมไปว่าความสุขมันสามารถหาใหม่ได้
อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทางที่เรามีตอนนี้ ก็เป็นความสุขให้เราได้เหมือนกัน
ออกแบบความสุขง่าย ๆ กัน
ถ้าพูดถึงการทำให้คนรอบข้างมีความสุข จะนึกถึงอะไรบ้าง…
เทคนิคอื่น ๆ ในการสร้างความสุขที่เราจะเห็นได้ทั่วไปและหลายคนมักจะแนะนำกัน ไม่ว่าจะออกกำลังกาย เพราะทำให้เรามั่นใจในบุคลิกตัวเองมากขึ้น
แล้วก็การทำในสิ่งที่ชอบ แน่นอนว่ามันคือความสุขของเราอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราอาจมองข้ามไป คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ
อาจจะทำได้ยากในบางอาชีพที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาเสมอ หรือมีตารางเวลางานและวันหยุดแบบไม่แน่นอน ลางานยาก เลิกงานดึก เข้างานเช้า
จะหาเวลามาพักผ่อนก็ทำได้ยาก เพราะการที่ได้พักอย่างเต็มที่ จะส่งผลต่อความสดชื่น ความพร้อมของร่างกายอย่างเห็นได้ชัด
และถ้ามองอีกมุม การที่เราสามารถควบคุมเวลาตัวเองได้ เราจะมีความสุขจริง ๆ เพราะเราสามารถจัดการตารางชีวิตได้ตามใจเลย
แต่เนื่องจากความสุขมันไม่มีสูตรสำเร็จ อยู่ที่แต่ละคนจะกำหน วิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างความสุขในวันที่ความสุขมันหายไป
อยากให้เพื่อน ๆ ลองเริ่มปรับความคิดจากเรื่องราวที่น่ายินดีใกล้ตัวก่อน เช่น แค่การที่เราได้มีโอกาสตื่นขึ้นมา ได้หายใจ ได้อาบน้ำ
ได้ทานของอร่อย ๆ ที่ชอบ ก็ถือว่าเราดูแลชีวิตได้เป็นอย่างดีแล้ว สำหรับเพื่อน ๆ ที่รู้สึกว่ามันยากจังเลยในการมองสิ่งใกล้ตัวเป็นความสุข
ค่อย ๆ ฝึกการคิด การมองเห็นอะไรน่ารัก ๆ รอบตัวไปเรื่อย ๆ ทุกการเรียนรู้ย่อมใช้เวลา 🙂