ดีสำหรับเรา อาจไม่ใช่สำหรับคนอื่น

คิดถึงใจคนอื่น โดย ‘ไม่คิดแทน’

เรื่องAdminAlljitblog

 

การคิดแทน

 

การเอาความคิดตนเป็นหลัก คาดเดาแทนคนอื่นในบางเรื่อง เช่น เขาจะรู้สึกอย่างไร หรือเขาต้องการอะไร

 

บางครั้งก็อาจทำให้เราเข้าใจคนอื่นได้ไม่ร้อยเปอร์เซนต์ เพราะเราใช้มุมมองของตัวเองเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ

 

และส่วนใหญ่เรามักจะด่วนสรุปในความคิดเชิงลบซะมากกว่า คนนี้ต้องไม่ชอบเราแน่ ๆ เลย/ คนนั้นดูหยิ่ง ดูแรงจัง

 

แต่พอได้คุยแล้วกลับไม่มีพิษภัยอะไรเลยนี่นา/ เขาต้องไม่ชอบของขวัญที่เราเตรียมมาให้แน่ ๆ … ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นและถูกตีความด้วยมุมมองของเราเอง

 

และอาจส่งผลให้เราทำตัวไม่น่ารักด้วยคำพูดหรือการกระทำต่าง ๆ ที่สื่อออกไปโดยถูกความคิดแทนนั้นนำทาง 

 

การคิดถึงใจคนอื่น คือ การพยายามทำความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ โดยไม่ได้ไปตัดสินหรือเปลี่ยนแปลงความคิดหรือความรู้สึกของเขา

 

เราแค่เข้าใจและใส่ใจในสิ่งที่เขาอาจรู้สึกหรือประสบอยู่เพียงเท่านั้น ซึ่งทำได้โดยสังเกตภาษากายและฟังความรู้สึกเขาอย่างตั้งใจ

 

ระมัดระวังการตัดสินหรือวิจารณ์ และให้เวลาเขาได้แสดงความคิดความรู้สึกออกมา อีกทั้ง เราสามารถจินตนาการว่าเราเป็นเขาได้

 

ด้วยการมองสถานการณ์จากมุมของคนนั้น ซึ่งมันจะช่วยให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าเขารู้สึกหรือคิดอย่างไรในสถานการณ์นั้น ๆ

 

โดยการทำแบบนี้จะเน้นที่การเข้าใจและเห็นอกเห็นใจเขาอย่างแท้จริง เช่น เข้าใจว่าที่เพื่อนเงียบเป็นเพราะเสียใจเรื่องเกรดตกเลยให้เวลาส่วนตัวกับเพื่อนที่กำลังรู้สึกแย่ 

 

แต่ถ้าเราเห็นเพื่อนเงียบ ๆ เลยคิดว่าเพื่อนโกรธตัวเอง ก็เลยเลือกที่จะไม่คุยกับเพื่อน นี่คือ การคิดแทน 

 

เพราะเราตัดสินเขาผ่านการคาดเดาโดยอิงจากประสบการณ์หรือตัดสินโดยใช้มุมมองของตัวเราเอง ซึ่งอาจทำให้เราไม่เข้าใจความรู้สึกจริง ๆ ของเขาได้ 

 

เหตุผลในการคิดแทน

สาเหตุที่ทำให้คนเราเกิดพฤติกรรมการคิดแทนคนอื่นก็มีได้มากมายไม่ว่าจะเป็นความต้องการ

 

  • เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องคนอื่นมากเกินไป ด้วยความคาดหวังว่าเราจะช่วยเหลือเขาได้ ตามทฤษฎีการรับรู้ (Theory of Mind) ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ความตั้งใจ และความรู้สึก เช่น คิดแทนว่าเขาต้องการคำแนะนำหรือคำปลอบโยน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง แต่บางครั้งคนอื่นอาจไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น

 

  • หรือด้วยความรู้สึกใกล้ชิดและเป็นห่วง อยากให้เขารู้สึกดีขึ้น จึงทำลงไปโดยไม่ถามถึงความต้องการของเขา แม้ว่าจะมีเจตนาดีที่อยากเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น แต่เราก็ยังใช้ความคิดตัวเองคิดแทนมากกว่าการเลือกที่จะรับฟังหรือถามเขาโดยตรง

  • อีกทั้ง การคิดแทนก็อาจเกิดจากความสะดวกในการตัดสินใจแทนคนอื่น รู้สึกว่าวิธีนี้ช่วยให้ทุกอย่างผ่านไปได้เร็วขึ้น จบไวขึ้น เหมือนกับทฤษฎีการตัดสินใจ (Decision-Making Theory) ว่าด้วยความที่เราไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะสามารถตัดสินใจหรือจัดการสถานการณ์ได้ดีเท่าที่เราคิด เราจึงจัดการด้วยตัวเองแทนการให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจ

 

  • ซึ่งมันก็อาจมาควบคู่กับความเข้าใจผิดได้ – ตามทฤษฎีของความโน้มเอียงทางจิตใจ (Cognitive Bias Theory)  เราอาจคิดว่าเรารู้ดีที่สุดหรือคิดว่ารู้ว่าเขาต้องการอะไร จึงใช้ความเข้าใจที่มีอยู่ในตัวเอง หรือจากข้อมูล มุมมองที่เราคุ้นเคย คาดเดาความรู้สึกของผู้อื่น  

 

  • ตลอดจนคิดแทนเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง – หรือสถานการณ์ที่ไม่สบายใจ คิดแทนว่าเราควรทำอะไรเพื่อทำให้คนอื่นพอใจ เพื่อลดความเครียดในสถานการณ์นั้น หรือเพื่อต้องการรักษาความสัมพันธ์ ตามทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Relationship Theory) ซึ่งอาจทำให้เราพลาดการเข้าใจจริง ๆ ว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร และอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ในระยะยาวได้

 

มุมมองของคนที่ถูกคิดแทน

ถึงแม้ว่าการคิดแทนอาจมีเจตนาที่ดีในบางครั้ง แต่ถ้าเกิดขึ้นบ่อย ๆ นอกจากเราจะไม่เข้าใจผู้อื่นแล้ว

 

ก็อาจทำให้คนที่เราไปคิดแทนรู้สึกไม่ได้รับความเคารพในความคิดเห็นหรือความรู้สึกของเขาอย่างแท้จริงด้วย

 

สำหรับคนที่ถูกคิดแทน…มุมมองและความรู้สึกจะขึ้นอยู่กับบริบทของสถานการณ์และลักษณะของความสัมพันธ์ที่มีอยู่

 

ทำให้บางครั้งก็สามารถทำความเข้าใจได้ว่า สิ่งที่คนใกล้ชิดเราทำลงไปนั้น เขาทำไปเพื่ออะไร หากเป็นความหวังดีที่เข้าใจได้

 

มันก็คงไม่เสียความรู้สึกเท่าไร อาจรู้สึกขอบคุณที่ช่วยคิดหรือทำการตัดสินใจแทนด้วยซ้ำ

 

เพราะการถูกคิดแทนสามารถช่วยลดภาระหรือความกดดันจากการต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญได้ในเวลานั้น

 

ซึ่งเหตุผลนี้คงทำให้ใครหลายคนที่มีความคิดแทนเกิดความคิดว่า ‘ก็นี่ไง เราทำเพื่อเขา เขาจะต้องขอบคุณเราแน่นอน’ 

 

บางครั้งด้วยภาระหน้าที่ทำให้เรายุ่งจนไม่มีเวลามาคิดตัดสินใจ หากมีใครทำหน้าที่ตัดสินใจแทนเราได้อย่างนี้ก็คงดี

 

แต่บางจังหวะหรือแม้กระทั่งบางวัน เราอาจลืมไปว่าความต้องการย่อมเปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป

 

เลยอาจมองข้ามความจำเป็นของการสื่อสาร เพราะเราไม่สามารถรู้ใจคนข้าง ๆ หรือคนอื่นได้ทุกเรื่องตลอดเวลา

 

ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าถึงจะสนิทกันมากแค่ไหน แต่หากทำลงไปโดยไม่ถามความเห็นของเราก่อน

 

ก็เป็นธรรมดาที่บางครั้งจิตใจเราอาจเกิดความรู้สึกเปราะบาง และอ่อนไหวได้ทีละเล็กทีละน้อย

 

จากการถูกทำให้รู้สึกว่าเราไม่สามารถเป็นเจ้าของความคิดหรือการกระทำของตัวเองได้ และสิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือ การเกิดความห่างเหินในความสัมพันธ์มากขึ้นตามมา

 

ดังนั้นทางที่ดี ควรถามความเห็นหรือความรู้สึกของคนที่จะต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนั้นด้วยก่อนเสมอดีกว่า เพราะการสื่อสารสามารถมอบความรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างให้เกียรติกันและกัน

 

 

ปรับความคิด

จนถึงตอนนี้ การที่จะไม่คิดแทนคนอื่นเลย บางครั้งก็ทำได้ยาก เพราะมนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับการใช้สัญชาตญาณทั้งความคิดและการกระทำ

 

แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังคิดแทนคนอื่นจากการคาดเดาของตัวเองอยู่ ให้ลองนับ 1 ถึง 3 แล้วหยุดคิด และไปหาอะไรอย่างอื่นทำแทนก่อนก็ได้ จากนั้นถ้าความสงสัยมันยังค้างคา

 

ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากคิดเอง เป็นเริ่มเอ่ยปากถามเขาดู ต่อจากนั้นเขาจะตอบความจริงหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา บนโลกเรา มุมมองความคิดแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน

 

ไม่มีทางเหมือนกันไปหมด ขอให้เรากล้าหาญพอที่จะสื่อสารเพื่อความเข้าใจ แทนการดันทุรังพยายามหาคำตอบด้วยวิธีการของตัวเองซึ่งอาจได้คำตอบที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง

 

หรือไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์กับความสงสัยเหล่านั้น หากเขาต้องการแค่คนรับฟัง ก็นั่งรับฟังเขาอยู่ข้าง ๆ ด้วยใจจริง

 

หากเขาต้องการคำปลอบโยน ก็แค่มอบความอ่อนโยนนั้นให้กับเขา สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ อาจเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่คาดไม่ถึงสำหรับเรา

 

หรืออาจเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ทั้งนั้น เชื่อว่าตลอดชีวิตที่เราได้เรียนรู้กันมา คงมีหลายช่วงเวลาที่เราต่างเป็นคนที่ทั้งคิดแทนคนอื่น

 

และตกที่นั่งเป็นคนที่ถูกคิดแทนสลับกันไป บางเหตุการณ์กว่าจะผ่านมันมาได้ ก็อาจสาหัสหรือบอบช้ำบ้างไม่น้อย

 

แต่ขอให้เชื่อมั่นว่าเราจะผ่านมันมาได้และมันจะดีขึ้นทุกครั้ง ทุกฝ่ายต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเองในความคิดและการกระทำ

 

แต่ถ้าเริ่มมีการตัดสินอีกฝ่ายเมื่อไร เมื่อนั้นก็ควรลองถามตัวเองดูว่า เรากำลังคิดแทนเขามากไปอยู่รึเปล่า เพราะถึงแม้การคิดแทนจะไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแร

 

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้ และเราก็คงห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้เช่นกัน

 

สุดท้ายนี้ คนเดียวที่เราสามารถคุมความคิดและการกระทำได้มากที่สุดก็คือ ตัวเราเอง ถ้าความคิดเชิงลบมาครอบงำเราเมื่อไร ขอให้เรารู้ตัวโดยไว

 

และอย่าต่อว่าตัวเองเมื่อเกิดข้อผิดพลาดหรือมีอะไรไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา 

Related Posts