เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน จริงไหม?
เวลา
คือ มาตรวัดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตัวแปรที่ต่อเนื่อง (Continuous Variable)
เวลา มี 2 ประเภท
1. เวลาทางกายภาพ (Physical Time) เป็นเวลาในเชิงสมมติใช้หน่วยเป็น ปี เดือน สัปดาห์ วัน ชั่วโมง นาที และวินาที
2. เวลาทางจิตใจ (Psychological Time) เป็นเวลาตามความรู้สึกตามแต่การรับรู้ของบุคคลแต่ละคนซึ่งจะแตกต่างกันไป เป็นเวลาที่มีความรู้สึกบางอย่างของเราผูกโยงอยู่ด้วย
โดยแต่ละคนจะรับรู้และแปลความหมายของเวลาแตกต่างกันออกไปตามความรู้สึกส่วนตัวในขณะนั้น หมายความว่าถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านไปเท่ากัน คนหนึ่งอาจรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้นทันใจ แต่อีกคนหนึ่งกลับรู้สึกว่ายาวนาน
เวลาเปลี่ยน เราเปลี่ยนอะไรบ้าง
1.ร่างกาย-ที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัย เช่น วัยเด็กที่เริ่มวางรากฐานการพัฒนาทางร่างกาย ,วัยรุ่นที่ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและมีพัฒนาทางเพศ หรือวัยกลางคนที่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมีความเสื่อมถอยชัดเจน
2.จิตใจ- ทัศนคติ ความคิด มุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัยของการใช้ชีวิต
7 Year Cycles วงจรชีวิต 7 ปี
7 Year Cycles หรือวงจรชีวิต 7 ปี มาจาก รูดอล์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชาวออสเตรีย เขาได้เสนอแนวคิดที่ว่าร่างกายและจิตใจของคนเราจะเปลี่ยนไปทุก ๆ 7 ปี ได้อธิบายความเปลี่ยนแปลของคนเราในทุก ๆ 7 ปีไว้
ช่วงแรกเกิด-7 ขวบ: จากความเป็นหนึ่งเดียวกับแม่สู่ความเป็นอิสระ
ในช่วงปีแรกๆ ของชีวิต โดยเฉพาะแรกเกิดถึงสองขวบ เด็กแทบจะไม่สามารถแยกแยะระหว่างตัวเองกับแม่ได้ แต่เมื่อเด็กเริ่มคลาน แล้วลุกขึ้นเดิน เขาจะสัมผัสได้ถึงอำนาจส่วนบุคคล (Personal Power)
และอิสรภาพจากแม่ที่มากขึ้น แล้วค่อยๆพัฒนาขึ้น เริ่มหย่านม เริ่มมีฟันน้ำนมขึ้น พออายุ 4-5 ขวบ เด็กไปโรงเรียน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของการแยกจากแม่ และเริ่มเข้าสังคมกับเด็กคนอื่น ๆ
ประสบการณ์นี้จะดึงความเป็นตัวตนของเด็กออกมา ได้เริ่มเส้นทางค้นหาว่าเขาเป็นใคร
ช่วงวัย 8-14ปี : ต่อสู้และมุ่งมั่นในการใช้ชีวิต
เป็นช่วงเวลาของทดสอบการอยากมีชีวิตอยู่ ความเจ็บป่วยจะเกิดขึ้น เช่น อีสุกอีใส หัด คางทูม ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานเพื่อต่อสู้กับมันเมื่อโรคเหล่านี้หายไปก็จะมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มสาว
ช่วงวัย 14-21ปี : อารมณ์ร้าย,ฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปและเริ่มมีความสนใจทางเพศ
เข้ามัธยม เริ่มโต สภาพเเวดล้อมเปลี่ยนไป
ช่วงวัย 21-28ปี : ช่วงเวลาแห่งการรับผิดชอบ
เริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เปลี่ยนทัศนคติ มีพลังสูง รับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆ
ช่วงวัย 28-35 ปี : ร่างกายพัฒนาเต็มที่
เมื่ออายุได้ 35 ปี โครงกระดูกก็มีมวลกระดูกและความหนาแน่นมากที่สุด ทุกคนสูญเสียมวลกระดูกประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ร่างกายจะเริ่มถดถอยลงหลังจากอายุ 35 ปี
ช่วงเวลานี้ หลายๆคนมักค้นพบศักยภาพในตัวเองและมีความมุ่งมั่นมากที่สุด ทะเยอทะยานมากที่สุด Steiner เขายังบอกไว้ด้วยอีกว่าเรามักจะเจออัศวินขี่ม้าขาวในช่วงวัยนี้
ช่วงวัย 35-42ปี : วิกฤตและการตั้งคำถาม
หลายคนจะประสบกับเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา และในกระบวนการนี้ เราประสบกับความผิดหวังและความรู้สึกล้มเหลว ความผิดหวังที่พบบ่อยที่สุดคือการหย่าร้าง การล่มสลายของธุรกิจ
หรือความขัดแย้งทางการเงิน หรือประสบวิกฤตสุขภาพไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เกิดคำถามขึ้นกับตัวเอง อะไรคือที่มาของความสุขที่แท้จริงของตัวเองและทั้งหมดนั้นฉันต้องการในชีวิตหรือเปล่า
ช่วงวัย70 ปีขึ้น : เป็นช่วงเวลาแห่งการสะท้อนเรื่องราวในอดีตและเตรียมตัวสำหรับการผจญภัยในโลกต่อไป
Chronophobia (โรคกลัวการพัดผ่านของเวลา)
เป็นภาษากรีก Chrono แปลว่า เวลา Phobia แปลว่า กลัว Phronophobia โรคกลัวเวลาหรือการผ่านไปของเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้เหตุผล ( ดูเหมือนว่าจะเร็วขึ้นหรือช้าลง)
อาการ
- กลัวอย่างมาก วิตกกังวลและแพนิก
- รู้สึกว่าความกลัวของเรานั้นไม่สมเหตุสมผลและไม่สามารถจัดการกับมันได้
- มีปัญหาในการใช้ชีวิตเพราะความกลัว
- หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก หายใจลำบาก
เหตุการณ์ที่กระตุ้น Chronophobia
- วันจบการศึกษา
- วันครบรอบแต่งงาน
- วันเกิด
- เหตุการณ์สำคัญ
- วันหยุด
บุคคลที่เสี่ยงต่อภาวะ Chronophobia
ตามรายงานของสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health)ประมาณร้อยละ 12.5 ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน บางครั้งในชีวิตพวกเขาจะมีอาการกลัวบางอย่าง เนื่องจาก Chronophobia เชื่อมโยงกับเวลา จึงมีเหตุผลว่าจะพบ Chronophobia ใน..
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่เผชิญกับการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย ทั้งสองแบบนี้จะกังวลเกี่ยวกับเวลาที่พวกเขาเหลืออยู่
- ผู้ต้องขัง ในเรือนจำ โรคโครโนโฟเบียบางครั้งเกิดขึ้นเมื่อผู้ต้องขังใคร่ครวญถึงระยะเวลาของการถูกจองจำโดยทั่วไปเรียกว่าโรคประสาทในเรือนจำหรือเป็นโรคประสาท
- ผู้ประสบภัยธรรมชาติเมื่อเขาอยู่ในความวิตกกังวลเป็นเวลานานโดยไม่รู้เวลา
การรักษา
- แผนการรักษาตามที่จิตเเพทย์แนะนำ จิตบำบัดหรือจ่ายยา
- การรักษาเสริม เช่น ฝึกสมาธิและการหายใจ โยคะ หรือ แอโรบิค
ทำไมมนุษย์ถึงกลัวการเปลี่ยนแปลง จากหนังสือ ทำไมมนุษย์จึงกลัวการเปลี่ยนแปลง กล่าวไว้ว่า
1. ความเคยชินหรือคุ้นเคย
2. ขาดความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง
3. ความกลัวที่จะต้องทำงานหนักขึ้น
4. ความวิตกกังวลถึงอนาคตมากเกินไป
จัดการกับความกลัวการเปลี่ยนแปลง
1. ดูแลและปรับทัคนคติต่อการเปลี่ยนแปลง
ดูแลและเข้าใจไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นคือเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ ตลอดเวลา
2. ระบายความรู้สึกของตัวสเองออกมา
Jennifer Weaver – Breitenbecher นักจิตวิทยาคลินิกใน Rhode Island กล่าวว่า ความรู้สึกและการแสดงอารมณ์ เป็นส่วนสำคัญของการรักษา “นี่ไม่ใช่เวลามาพยายามเข้มแข็ง ปล่อยให้ตัวเองเสียใจ โกรธ ไม่พอใจ แล้วจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
3. ปล่อยทิ้งความพยายามในการควบคุมลง
ไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจเราไปหมดทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นอย่าคิดจะควบคุมอะไรไม่ให้เปลี่ยนไป
4. ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างบ้างก็ได้
5. อยู่กับปัจจุบัน
6. มองไปที่อนาคต มากว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
7.เข้ารับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับคนที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น แต่วันนี้ยังรู้สึกว่าทำไม่ได้ซักที่ มีกฎของการเปลี่ยนแปลง 3 ข้อมาฝาก จากหนังสือ แต่คุณที่กลัวการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต
1.ไม่ต้องใช้สมอง
เรามักตั้งคำถาม คิดวนไปมาว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว เราสามารถลงมือทำได้เลย
2. ไม่ต้องหาข้ออ้าง
ความเปลี่ยนแปลงทำให้เรารู้สึกกลัวและกังวล และมีความรู้สึกอยากหนีสิ่งนั้นไป เราจึงหาข้ออ้าเพื่อยังไม่เปลี่ยนตัวเอง
3. ไม่ต้องมีความหวัง
บางคนคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ก็ดูไม่มีความหวังเลย หากแต่การได้ลงมือทำก็ทำให้ความหวังเกิดขึ้นแล้ว
อ้างอิง :
The 7-Year Cycles of Life
Chronophobia
10 Ways to Help You Get Through Tough Times
เวลา..
Post Views: 2,917