กฎแรงดึงดูด

กฎแรงดึงดูด คืออะไรกฎแรงดึงดูดมีจริงไหม

เรื่องAdminAlljitblog

กฎแรงดึงดูด หรือ Law of Attraction ซึ่งกฏของแรงดึงดูด คือ แนวคิดที่เชื่อว่าจิตของมนุษย์เรามีพลังที่จะสามารถดึงดูดทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีเข้ามาในชีวิตของเราได้

 

ผ่านเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เราจะดึงดูดสิ่งที่เราคิดเข้ามาในชีวิตเสมอ เช่นเดียวกันกับประโยคที่ว่า “แม่เหล็กย่อมดึงดูดแม่เหล็ก แม่เหล็กย่อมไม่ดึงดูดไม้”

กฎแรงดึงดูด Law of Attraction

กฏของแรงดึงดูด เป็นหลักปรัชญาที่ได้รับการพูดถึงตั้งแต่ปี 1887 และได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากคุณ Rhonda Byrne ได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า The Secret 2016 

 

มีเนื้อหาอ้างอิงถึงกฏของแรงดึงดูดและได้รับความนิยมอย่างมาก และสำหรับกฎของแรงดึงดูดจะประกอบไปด้วย 3 กฎดังต่อไปนี้

1. เหมือนดึงดูดเหมือน 

สิ่งที่เหมือนหรือคล้ายกันมักจะดึงดูดกันและกัน เช่น คนเก่ง คนขยัน ก็จะดึงดูดคนที่ขยันและเก่งเหมือนกัน หรือ คนที่มีความคิดแง่ลบก็จะดึงดูดความล้มเหลวเข้ามาในชีวิตเราได้เช่นเดียวกัน

 

ยกตัวอย่าง เมื่อสมัยตอนเรียนถ้าเราไม่ได้เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน ชอบหลับ ชอบแอบกินขนม รวมถึงโดดเรียนด้วยเหมือนกัน เราก็จะมีเพื่อนที่เป็นแบบเดียวกันกับเรา เพื่อนที่เป็นเด็กตั้งใจเรียนอาจจะไม่มีในกลุ่มเลย 

 

ซึ่งเหมือนจะดึงดูดเหมือน สามารถดึงดูดได้ทั้งความคิด ทัศนคติ คำพูด การกระทำ และวิธีการใช้ชีวิตของเราก็จะดึงดูดคนที่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันกับตัวเราเข้ามาในชีวิตมากกว่าคนไม่เหมือน

 

เช่น ดึงดูดเรื่องการงาน ดึงดูดเรื่องการเงิน ดึงดึงเรื่องความรัก ดึงดูดความชอบแบบเดียวกัน จะเห็นได้ว่าเดี๋ยวนี้มีกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่มเฉพาะเจาะจงในโซเชียลมีเดียมากมาย

 

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนชอบท่องเที่ยวธรรมชาติ กลุ่มคนชอบตั้งแคมป์ กลุ่มส่งต่อเสื้อผ้า ก็ทำให้คนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กันได้มีโอกาสเจอคนชอบแนวเดียวกัน ดึงดูดกันและกัน ได้ทำกิจกรรมที่ชอบร่วมกัน

2. ธรรมชาติรังเกียจสูญญากาศ 

สมองของคนเรามีพื้นที่จำกัด แต่มักเสียพื้นที่ไปกับการคิดอะไรที่ฟุ้งซ่านหรือคิดเรื่องที่ไม่จำเป็นอยู่ตลอดเวลา หรือบางคนชอบคิดอะไรที่เป็นไปไม่ได้ อย่างคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง

 

รวมถึงเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอย่างของคนบางคน ซึ่งจริง ๆ แล้วเราแทบจะไม่สามารถทำได้เลย เหมือนกับที่เราต่างคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า “การเปลี่ยนคนอื่นนั้นยาก เปลี่ยนตัวเราเองนั้นง่ายยิ่งกว่า” 

3. ปัจจุบันสมบูรณ์แบบเสมอ

เราทุกคนสามารถพัฒนาปัจจุบันได้เสมอ แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตหรือรู้อนาคตได้ ไม่ว่าปัจจุบันเราจะผิดหวังและไม่สมบูรณ์แบบหรือไม่ก็ตาม เราก็ควรที่จะโฟกัสที่ปัจจุบันและทำให้เต็มที่

 

ในหนังสือ The secret กล่าวไว้ว่า อะไรก็ตามที่คุณคิดและรู้สึกในวันนี้ คือสิ่งที่สร้างอนาคตของคุณนั่นเอง ดังนั้นอย่าลืมกลับมาโฟกัสที่ปัจุบันของเราและเต็มที่กับสิ่ง ๆ นั้น

 

เพราะสิ่งที่เราทำในปัจจุบันจะดึงดูดสิ่งต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตของเราในอนาคตที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

และหากตอนนี้เรากำลังคิดหรือมีความรู้สึกกับอะไรบางอย่างอยู่ เราควรที่จะรีบลงมือทำสิ่งนั้นในทันที เพราะบางครั้งเรามัวแต่คิด แต่ไม่ได้ลงมือทำหรือมัวแต่คิดถึงอนาคตจนลืมลงมือทำปัจจุบันให้ดีก่อน

 

สุดท้ายปัจจุบันจะไม่นำส่งไปยังอนาคต เช่น ถ้าหากวันนี้เรามีเป้าหมายที่อยากจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เราก็ควรเริ่มสร้างตั้งแต่วันนี้ ขยัน อดทน สม่ำเสมอ 3 คำนี้จะเป็นตัวเสริมให้กับเรา

 

และดึงดูดความสำเร็จเข้ามาในชีวิต การที่เราเลือกที่จะลงมือทำปัจจุบันให้เต็มที่ ต่อให้ผลลัพธ์จะออกมาดีหรือไม่ดีมากน้อยแค่ไหน สุดท้ายเราจะไม่มีทางนึกย้อนกลับไปเสียใจหรือโทษตัวเองในวันนั้นอย่างแน่นอน

เกลียดอะไรมักได้สิ่งนั้น

กฏแรงดึงดูดเขาบอกว่า ความคิดหรือจิตของคนเรามีพลังที่จะดึงดูดสิ่งต่าง ๆ มาได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ลองนึกถึงว่าเราเคยไหมกับการที่รู้สึกเกลียดใครคนหนึ่งมาก ๆ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก ๆ

 

แล้วรู้สึกไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา ไม่ชอบคนบุคลิกแบบนี้ นิสัยแบบนี้ แต่เรากลับยิ่งเจอกับคนแบบนี้ มันเป็นเพราะจิตใจของเรามัวแต่จดจ่ออยู่กับความเกลียดความไม่ชอบนั่นเอง

 

เราก็เลยยิ่งเจอหรือยิ่งรู้สึกจดจ่อกับสิ่งนั้นมากกว่าสิ่งอื่นแทน หรือคนในแบบที่เราชอบที่เราอยากเจอ เพราะฉะนั้นลองกลับมาโฟกัสสิ่งที่เราชอบ ลองนึกถึงว่าเราชอบอะไร ชอบแบบไหน

 

ความชอบนั้นก็มีพลังไม่แพ้กับความเกลียดหรือความไม่ชอบเช่นกัน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะแบกอะไรไว้มากกว่ากันนั่นเอง

กระบวนการสร้าง กฎแรงดึงดูด สิ่งดี ๆ  จากหนังสือ The Secret

1. คิดเชิงบวก

ความคิดของเรามีพลังในการดึงดูด เมื่อเรามีความคิดหรือกังวลกับเรื่องไหนบ่อย ๆ เรื่องนั้นก็จะเกิดขึ้นจริง เช่น หากตื่นนอนตอนเช้าวันไหนแล้วคิดเอาไว้ว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่ดี

 

ตอนอาบน้ำล้างหน้าพยายามคิดถึงเรื่องที่ดีหรือเรื่องตลก ๆ ที่เคยพูดเล่นกับเพื่อน ๆ วันนั้นก็จะอารมณ์ดีไปตลอดวัน รวมถึงเจอกับเรื่องที่ดี ถึงจะไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้เราเกิดเป็นความเครียดได้

 

แล้วถ้าวันไหนตื่นมาแล้วคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเรื่องที่เป็นกังวล วันนั้นทั้งวันก็จะเครียดไปกับเรื่องเงินแทบจะตลอดทั้งวัน ถึงเราจะหวังว่าขอให้เราเจอเรื่องที่ดีบ้างเถอะวันนี้

 

เพราะเจอแต่เรื่องเครียดมาทั้งวัน พยายามให้ใครสักคนสร้างความสุขให้กับเรา สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้เราเจอกับเรื่องดี ๆ นั้นขึ้นมาได้เลย หรือทำให้เรามีความสุขขึ้นมาได้

 

เพราะสิ่งที่จะสร้างความสุขหรือสิ่งที่ดีให้กับตัวเราได้ คือใจของเราและความคิดของเราเองมากกว่า

2. รู้เท่าทันความคิดตัวเอง 

การรู้เท่าทันความคิดของตัวเองเหมือนเป็นการที่เรามีสติอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าเรากำลังคิดอะไร มีความคิดด้านไหนดีหรือไม่ดี พอเรารู้ทันความคิดตัวเองก็ช่วยให้เราคัดแยกความคิดที่ไม่ดี

 

หรือความคิดที่จะส่งผลให้อารมณ์ของเราไม่ดีได้เช่นกัน เพราะส่วนหนึ่งคิดว่าอารมณ์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้เกิดเป็นการกระทำอีกรูปแบบหนึ่งขึ้นได้ อย่างที่ได้ยกตัวอย่างไปเมื่อหัวข้อที่แล้ว

 

หากตื่นมาเรามัวแต่คิดถึงเรื่องเครียด ๆ อย่างค่าใช้จ่าย วันนั้นทั้งวันก็จะเครียดและทำให้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดทั้งวันได้ เช่น หงุดหงิด โกรธง่าย แล้วอารมณ์นั้นมักถูกถ่ายทอดผ่านสีหน้าและน้ำเสียง

 

หน้าตาบึ้งตึงตลอดทั้งวัน ส่งผลทำให้คนรอบข้างก็สะท้อนกลับมาแบบนั้น ซึ่งความเป็นจริงคนรอบข้างเขาไม่ได้รู้และเข้าใจว่าเราเป็นอะไร แต่พอเขาเจอสีหน้าน้ำเสียงที่ไม่ดีของเราไป

 

เขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี หรือใส่อารมณ์กลับมา และอาจถูกต่อว่าได้ ว่าทำไมเราต้องพูดเสียงแข็ง ทำไมทำหน้าไม่พอใจ ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีทั้งกับตัวเราและคนรอบข้างเลย

 

ดังนั้นหากเรารู้เท่าทันความคิดของตัวเรา เราก็จะสามารถระงับความคิดและอารมณ์เหล่านั้นไว้ได้  

กฎแห่งขั้วตรงข้าม Law of Polarity

นอกจากกฎแรงดึงดูดที่เราได้พูดถึงกันไปแล้ว ยังมีอีก 1 กฎที่หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกันมากนัก คือ กฎแห่งขั้วตรงข้าม ซึ่งเป็นหนึ่งในกฎแห่งจักรวาล

 

หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่บ้างแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มีเป็นคู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมีตรงข้าม และทุกสิ่งทุกอย่างมี 2 ขั้ว

 

ในตัวด้วยกัน เช่น บวกลบ ขาวดำ ร้อนเย็น อาทิ น้ำแข็งกับน้ำร้อนมีความแตกต่างกันแต่เริ่มต้นที่มาก็คือเป็นน้ำเหมือนกัน ในความมืดก็มีแสงสว่างและในแสงสว่างก็มีความมืดปะปนอยู่

 

ซึ่งเราเรียกว่า “กฎแห่งขั้วตรงข้าม” นั่นเอง

“ คุณไม่มีทางที่จะคิดบวกได้ ในขณะที่คุณกำลังคิดลบ

คุณไม่มีทางที่จะร่ำรวยมั่งคั่งได้ ในขณะที่คุณยังคิดถึงแต่เรื่องความยากจน

เมื่อไหร่ที่คุณตัดความกังวล คุณจะหาหนทางสำเร็จ ”

 

ขอบคุณบทความสั้น ๆ จากเว็บของครูอลิซ ที่ชี้ให้เรามองเห็นและเข้าใจได้มากขึ้นกับคำว่า กฎแห่งขั้วตรงข้ามที่ทำงานกับความคิดแล้วก็จิตใจ ทำให้เรารู้ได้เลยว่า อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรคือสิ่งที่เราชอบ

 

แล้วอะไรคือสิ่งที่เราไม่ชอบ เพื่อที่เราจะได้เลือกในสิ่งที่เราชอบใจมากที่สุด

 

ยกตัวอย่างจาก นักธุรกิจผู้ใฝ่ในธรรม คุณวีรณัฐ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านอารีย์ และเจ้าของโครงการบานาน่า แฟมิลี่ปาร์ค จากหนังสือ “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” ผลงานของ ดร.เมล กิลล์

 

เขาเผยว่า เมื่อสมัยตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาเป็นคนขวางโลก และมักคิดอะไรตรงข้ามกับคนอื่นอยู่เสมอ โดยส่วนหนึ่งได้รับความคิดเหล่านั้นมาจากคุณพ่อที่เป็นนักธุรกิจ จึงมีวิธีการมองตลาด มองสินค้า

 

รวมถึงมองการทำประชาสัมพันธ์ที่แหวกแนวกว่าคนอื่น หลังจากที่เขามีวิธีการมองแบบนั้นมาตลอด ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับการมองว่า ทุกเรื่องมีสิ่งที่ตรงข้ามกันเสมอ เพียงแต่เราจะมองออกหรือไม่

 

และเมื่อเขาเรียนจบ ความไฟแรงของตัวเราที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็ได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ แล้วบอกกับตัวเขาว่า “ให้เลือกทำสิ่งที่เขารัก” ซึ่งคุณวีรณัฐเองก็ใช้กฎขั้วตรงข้ามทันทีนั่นก็คือ “รักในสิ่งที่ทำ”

 

ดังนั้น หากเราอยากเป็นคนแบบไหนจงพาตัวเองไปอยู่ใกล้กับคนแบบนั้น เพราะกฎของแรงดึงดูดมักจะดึงดูดคนที่มีความเหมือนกันเข้าหากัน ส่วนกฎแห่งขั้วตรงข้ามก็สามารถทำให้เรามีมุมมองอีก 1 มุมได้จาก

 

“เลือกทำในสิ่งที่รัก” ให้ “เป็นรักในสิ่งที่ทำ”