Posts

Emotional First Aid ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ เวลาที่เราเจ็บปวดทางกาย ไม่สบายเรามักรู้อาการ

 

รู้วิธีรักษาว่าเราจะบรรเทายังไง กินยาอะไรถึงหายดี แต่ถ้าเราเจ็บปวดทางใจละ

 

คนอื่นก็รักษาเราไม่ได้ นอกจากตัวเราเองที่จะเยียวยา . . .


Emotional First Aid

 

Emotional First Aid

‘ชุดปฐมพยาบาลทางอารมณ์เบื้องต้น เพื่อบรรเทาอาการแตกสลาย และป้องกันใจที่อักเสบลุกลาม

 

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย คุณ Guy Winch (กาย วินซ์) นักจิตวิทยา แปลโดยคุณลลิตา ผลผลา

 

หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์คนไข้ของ คุณ กาย วินซ์ อีกด้วย

 

หนังสือเล่มนี้จะมี 7 ความรู้สึกที่เรารู้สึกกันอยู่เป็นบ่อยครั้ง

ทั้ง 7 ความรู้สึกทุกคนน่าจะเคยเผชิญและบางครั้งเราก็หาวิธีรักษาความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้ หรือวิธีการรักษาที่เราทำกันเป็นประจำอาจจะยังไม่มากพอให้มันจางลงไป

 

เลยเลือกที่จะหยิบ 1 ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งมาแบ่งปันเรื่องราวกัน 🙂

 

“การครุ่นคิด”

1. การครุ่นคิดทำให้ความทุกข์ของเราใหญ่มากขึ้น ยิ่งเราคิดถึงสิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีและเจ็บปวด ก็เหมือนกับเราได้เปิดแผลของตัวเองไปเรื่อย ๆ

 

กลายเป็นความบั่นทอนในชีวิต พัฒนาไปเป็นความเสี่ยงของ ‘โรคซึมเศร้า’ ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ชีวิตเราจะไม่มีอะไร อาจจะไม่ได้ดีมาก แต่เรายังนึกถึงประสบการณ์ที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นอาจจะบั่นทอนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

 

2. ความโกรธ เป็นการเติมไฟของการครุ่นคิด ยิ่งเราโกรธเรายิ่งคิด และเมื่อเราคิดที่ระบายไม่ได้เราจึงเลือกระบายความโกรธ ความหงุดหงิดใส่คนรอบตัว

 

3. การครุ่นคิดเป็นบ่อนทำลายสติปัญญาและเผาพลาญเวลาที่มีค่าของเรา เคยครุ่นคิดวนไปจนเวลาในชีวิตของเรามันหมดไปกับห้วงความคิดเหล่านั้น

 

พอเรารู้ตัวอีกทีเราก็รู้สึกเสียเวลาและเสียดายช่วงเวลาที่เราน่าจะพาตัวของเราออกไปหาสิ่งใหม่ ๆ สิ่งที่เป็นแง่บวกมากกว่าการที่เรามาจมกับสิ่งที่เราครุ่นคิดอยู่

 

4. คนที่เรารักได้รับผลกระทบจากการครุ่นคิด เวลาที่เราครุ่นคิดอะไรบางอย่างเรามักจะระบายกับคนที่อยู่ข้าง ๆ เราและการระบายแต่ละครั้งก็เหมือนเรากดเล่นอะไรซ้ำ ๆ

 

ในห้วงความคิดและบทสนทนาให้คนอื่นด้วย เวลาที่เราระบายไปแน่นอนว่าคนที่เรารักมักจะเสนอตัวช่วยวิธีแก้ไข แต่เรามักจะรับฟังแต่ไม่ค่อยได้เอาไปใช้เท่าไหร่

 

และเมื่อเรายังครุ่นคิดเราก็จะเล่าเรื่องซ้ำ ๆ ระบายเรื่องซ้ำ ๆ ให้กับคนที่เรารัก จนพวกเขารู้สึกว่าไม่ไหวแล้วไม่อยากฟังแล้วแล้วค่อย ๆ ถอยห่างจากเราออกไป

 

เมื่อเราพอรู้แล้วว่าการครุ่นคิดทำให้เราเกิดบาดแผลได้ยังไงบ้าง เรามาดูชุดปฐมพยาบาลที่หนังสือเล่มนี้ได้บอกให้เราทำกัน

เปลี่ยนมุมมอง

จากที่เราเป็นมุมมองผู้ครุ่นคิดเราลองเปลี่ยนมุมมองมาเป็นคนนอกในเรื่องที่เราครุ่นคิดอยู่ เวลาใครมาปรึกษาเรา เราสามารถหาวิธีแก้ไขให้พวกเขาได้

 

ให้คำแนะนำต่าง ๆ เราลองเอาวิธีเหล่านั้นในการเป็นมุมมองคนนอกที่กำลังมองเรื่องของเราอยู่ เราอาจจะเจจอวิธีแก้ไขเหล่านั้น และเข้าใจตัวของเราเองมากขึ้น

เบี่ยงเบนความสนใจ

การเบี่ยงเบนความสนใจไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำเวลาที่เรารู้สึกครุ่นคิด คิดมากในเรื่องนั้น ลองออกกำลังกาย เข้าสังคม ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม

 

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเบี่ยงเบนความคิดนั้นในช่วงเวลาที่สั้น ๆ ไม่ได้หายไป แต่มันก็ยังดีที่เราไม่ต้องคิดถึงเรื่องราวนั้นในขณะนั้น

 

 

ตีกรอบความโกรธใหม่

มีการศึกษาหลายอย่างพบว่า การที่เราระบายอารมณ์กับสิ่งของ จะช่วยให้ความโกรธหายลงไป แต่จริงแล้ว กลับทำให้เป็นแรงขับความโกรธได้มากกว่าเดิม

 

วิธีปฐมบาลคือเราต้องตีความความโกรธใหม่ ให้เราเปลี่ยนเจตนาความโกรธเป็นเจตนาที่ไปในทางบวก เหมือนเวลาที่เราครุ่นคิดว่าทำไมคนนั้นถึงเลือกที่จะทำแย่ ๆ ใส่เรา

 

พูดจาไม่ดี หรือทำให้เรารู้สึกไม่ดี คนนั้นอาจจะมีประสบการณ์หรือเจออะไรแย่ ๆ มา เลยเลือกที่จะทำแบบนั้นใส่เราหรือเปล่า

 

ความโกรธที่เรามีอาจะเปลี่ยนเป็นความเข้าใจว่า อ่อเพราะเขาคงผ่านเรื่องอะไรแบบนั้นมาสินะ

จัดการมิตรภาพ

เราต้องประเมินว่าเรากำลังสร้างภาระให้กับมิตรภาพของเราอยู่หรือป่าว

เช่น การที่เราเลิกกับใครสักคน เราควรที่จะฟื้นตัวภายในระยะเวลาหนึ่งไม่เกิน 3-4 เดือน ฟื้นตัวจากการครุ่นคิดถึงสิ่งนั้น

 

เมื่อเลือกระบายกับเพื่อนคนนี้กับเรื่องนี้บ่อยครั้ง ‘เกินไป’ ไหม คนที่เป็นผู้รับฟังแน่นอนว่าเขาจะอ่อนล้ากับสิ่งที่เราได้พูดออกไป

 

บางทีเราอาจจะต้องลองเกลี่ยเรื่องนี้ให้ผ้รับฟังคนอื่นบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความอ่อนล้าจนความสัมพันธ์เริ่มห่างหาย

 

เวลาที่เรารู้สึกไม่สบายใจ แน่นอนว่าเรามักจะระบายสิ่งที่อยู่ในใจของเรา แต่การที่เราไม่ถามอีกฝ่ายเลยว่าสะดวกใจฟังไหม

 

หรือแบ่งพื้นที่ให้อีกฝ่ายแชร์เรื่องของตัวเองบ้าง ตัวของเราเองกำลังเสี่ยงที่จะทำให้มิตรภาพนี้ตกอยู่ในอันตราย ไม่มีใครที่อยากรับฟังไปตลอดทุกบทสนทนา อย่าลืมที่จะถามไถ่อีกฝ่ายบ้าง

 

ลองสังเกตว่าในเวลาสนทนาเราปล่อยให้ความครุ่นคิดทางอารมณ์ ความรู้สึกคิดมาก ความหดหู่ มาปะปนกับความสนุก การที่ได้ใช้เวลากับเพื่อน ๆ มากเกินไป

 

จนทำให้บรรยากาศมันตึงเครียดไปด้วยไหม แน่นอนว่าตอนที่เรายังเป็นเหยื่อทางอารมณ์ของการครุ่นคิดจะมีเงาเทา ๆ หรือความคิดของเราที่ไม่ได้ Positive ขนาดนั้น

 

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเราได้ออกมาเจอเพื่อน ๆ แล้วพยายามเก็บเกี่ยวรอยยิ้มของคนตรงหน้าให้มากที่สุดลืมเรื่องราวครุ่นคิดไปสักพักแล้วมีความสุขกับช่วงเวลานี้

 

สุดท้ายแล้วถ้าการปฐมพยาบาลเบื้องต้น 4 วิธี ลองทำแล้วไม่ดีขึ้นหรือเรายังมอยู่กับความครุ่นคิดนานเกินไป ความครุ่นคิดเหล่านั้นบั่นทอนกินเวลาชีวิตของเราเหลือเกิน

 

คุณ กาย วินซ์ ก็ได้แนะนำให้เราไปพบผู้เชี่ยวชาญ นักบำบัด นักจิตวิทยา เพราะถ้าเราครุ่นคิดบ่อยครั้งบ่อย เราก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ และภาวะซึมเศร้า

 

ประโยคจากที่อยากบอกเล่าจากคนอ่าน

ไม่มีอะไรที่ทำให้เราคิดถึงบางสิ่งได้เท่ากับการพยายามเต็มที่ไม่ให้คิดถึงมัน เป็นข้อคิดที่ได้จาก การครุ่นคิด

 

เชื่อว่าหลายคนคงเคยพยายามที่จะลืมอะไรบางอย่างลืมเรื่องที่สร้างความจุกจิกในใจของเราแต่ยิ่งอยากลืมยิ่งคิดถึงมัน

 

เพราะฉะนั้นแล้วเราลองไม่รีบลืมแต่หาวิธีอยู่กับสิ่งนั้นให้ได้โดยไม่ให้มันมารบกวนจิตใจกันดีกว่า

 

สิ่งที่ทำให้เราอยู่กับมันได้ที่เราอยู่เหนือความคิดที่เข้ามารบกวนเหล่านั้น  🙂

แมวยิ้มง่าย ใช่ว่า . . . แตกสลายไม่เป็น บทสนทนาว่าด้วยรอยขีดข่วนแห่งยุคสมัย

 

แมวยิ้มง่าย

 

หนังสือ หน้าปกเล่มสีขาว มีน้องเงาแมวดำ เขียนโด คุณใบพัด นบน้อม

 

หนังสือที่เราได้อ่านแล้วเหมือนเราอ่านสิ่งที่เราคุยกับเพื่อน เป็นหนังสือที่มีบทสนทนาระหว่างคนกับแมว และแมวกับคน ที่เต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วนของยุคสมัย

 

เราจะเห็นได้ว่าเนื้อหาในหนังสือมีการพูดถึงสิ่งที่คนทั่วไปเจอกันใยุคนสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Beauty standard,ความเจ็บปวดของการที่ต้องไล่หาความสำเร็จ

 

หรือ การที่เราอยากเป็นคนกลาง ๆ ไม่ขวนขวายอะไรกับสังคม 

 

A Chapter ที่ชอบ

คนกลาง ๆ 

 

การเป็นคนกลาง ๆ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่มีแพชชั่นอะไรรุนแรง เอาตัวรอดไปเรื่อย ๆ ให้พอมีความสุขไปวัน ๆ จะสามารถอยู่รอดได้ไหมนะ .. ?

 

แต่ทั้งหมดที่พูดมาก็ต้องใช้เงิน อยากเป็นกลาง ๆ ที่ร่ำรวยจัง อยากเป็นกลาง ๆ ที่ทำงานเหมือนกับการไปเข้าสังคม

 

แต่ความเป็นจริงเราจะทำได้ไหม คงอยู่ที่เราพอใจ เราคงสามารถเปนคนกลาง ๆ ได้โดยที่ไม่เอาเสียงขของคนรอบข้างมากดดันตัวเอง 

 

พอได้อ่านจบแล้ว มีใครอยากเปนคนกลาง ๆ เหมือนกันไหม คนกลาง ๆ ของแต่ละคนอาจนิยามไม่เหมือนกัน การใช้ชีวิตมันเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องไล่ตามสิ่งต่าง ๆในโลกใบนี้

 

เพราะฉะนั้นแล้วอย่าฝืนมากเกินไปถ้าไม่เป็นตัวของตัวเอง และการฝืนมันไม่ได้ทำให้เรามีความสุข ขอให้ทุกคนได้พบเจอนิยามการเป็นคนกลาง ๆ ที่เรามีความสุขไปกับมัน

 

 

วิ่ง

สไลด์จอมือถือก็เจอแต่คนมีชีวิตดี ๆ ขึ้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง ใช้ชีวิตท่ามกลางการแผดเผาความสำเร็จของคนอื่น จมอยู่กับความรู้สึกเราเก่งไม่พอ สวยไม่พอ ตัวเล็กลีบไปวันทุกวัน 

 

วิ่งช้าบ้างก็ได้ อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย อนุญาตให้ตัวเองผิดพลาดตัวเองบ้างก็ได้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่พอเราอยากวิ่งให้ช้าลง

 

ก็กลัวตกขบวนเหมือนโดนหลอกให้หยุดพักชื่นชมข้างทาง แล้วโดนคนอื่นแซงไประหว่างทาง เลยได้ค้นพบว่าการที่เราจะวิ่งลองฟังเสียงในตัวเราดูไหม ?

 

แรงจูงของเรามีอยู่ 2 แบบ

 

การทำอะไรหวังผล ทำเพื่อที่จะได้รับอะไรบางอย่างตอบแทนจากภายนอก เงิน ชื่อเสียง การยอมรับ

 

ทำอะไรเพราะเรารู้สึกชอบ และมาจากใจจริง ๆ ลองหาสิ่งที่ตัวเราเองชอบ โดยท่่ไม่ต้องนึกถึงว่าสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับ ถึงแม้จะเป็นเรื่องไร้สาระก็ตาม 🙂

 

 

ประโยคที่อยากบอกเล่าจากคนอ่าน

“ชอบแบบไหน ก็ทำแบบนั้น มีความสุขในแบบของตัวเอง และเคารพความรู้สึกของคนอื่นแค่นั้นเอง”

 

บางครั้งถ้าเราลองหยุดคิด หยุดเปรียบเทียบ หยุดประเมินตัวเองบ้าง ชอบอะไร มีความสุขกับอะไรก็ทำไป ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เดือดร้อนใคร

 

ไม่ได้หมายความว่าการประเมินตัวเองไม่ได้ไม่ดีไปสะทุกด้านบางทีการประเมินตัวเองจะทำให้เราเจอว่าเราควรปรับจุดไหน ความ ‘พอดี’ ในการใช้ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ

 

 

 

พอพูดถึง ‘ความรัก’ การที่เราเป็นแฟนกัน ต้องอยู่ใกล้ชิดกันสิ การอยู่ด้วยกัน ตัวติดกัน มันเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ เลย แต่ ความใกล้ชิด ที่มากเกินอาจจะ ‘ทำร้าย’ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ก็ได้

 

ความใกล้ชิด

 

เพราะ ความรักคือการต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่
ความรักคือการที่ “มีพื้นที่” ส่วนตัวของกันและกัน ใช่

 

พื้นที่ส่วนตัว กับ ความสัมพันธ์ สำคัญอย่าไร?

Terri Orbuch นักจิตวิทยา ศาสตราจารย์ด้านการวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคมแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน และผู้แต่ง Finding Love Again: 6 Simple

 

กล่าวว่า “การมีพื้นที่ว่างหรือความเป็นส่วนตัวเพียงพอในความสัมพันธ์ มีความสำคัญต่อความสุขของคู่รักมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์ที่ดี” และการให้พื้นที่ส่วนตัว ช่วยยืดความสัมพันธ์ได้

 

ในการวิจัยนี้ Orbuch ศึกษาเกี่ยวกับการแต่งงานและการหย่าร้าง ตั้งแต่ปี 1990 และมีส่วนร่วมในการศึกษาเรื่องการแต่งงานระยะยาวในสหรัฐอเมริกา

 

ที่เรียกว่า The Early Years of Marriage Project ซึ่งในโปรเจกต์นี้ ได้ติดตามคู่แต่งงาน 373 คู่มานานกว่า 25 ปี พบว่าคู่รักกว่า 46% ในโปรเจกต์นี้ ได้หย่าร้างกัน

 

ในระหว่างการวิจัยค้นคว้า พบว่าคู่สมรส 29% กล่าวว่าพวกเขามี “ความเป็นส่วนตัวหรือเวลาสำหรับตนเอง ไม่เพียงพอในความสัมพันธ์”

 

โดยฝ่ายที่เป็นภรรยากว่า 31% บอกว่ามีพื้นที่ส่วนตัวไม่เพียงพอ และ 11.5% บอกว่า เหตุผลที่ไม่มีความสุขในชีวิตคู่ เพราะขาดความเป็นส่วนตัวหรือไม่มีเวลาให้ตัวเอง

 

 

ดร.Orbuch ก็สรุปเอาไว้ว่า การให้พื้นที่ส่วนตัว ช่วยยืดความสัมพันธ์ได้ เนื่องจาก การให้พื้นที่ส่วนตัวนั้น ทำให้มีความสุขมากขึ้น และรู้สึกเบื่อน้อยลง

 

เพราะเวลาส่วนตัวได้เอาไปประมวลผลความคิด ไปทำงานอดิเรก และผ่อนคลายตัวเอง โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้อื่น ช่วยปลดปล่อยความเครียด และช่วยลดความกดดันในชีวิตคู่ลงได้ 

 

 

John Aiken นักจิตวิทยาด้านความสัมพันธ์และนักประพันธ์ก็รู้สึกเห็นด้วย เพราะการมีระยะห่างในความสัมพันธ์ จะกระตุ้นให้แต่ละฝ่ายไปรักษาความรู้สึกของตัวเอง

 

และรักษาตัวตนของตัวเองได้ในขณะที่ยังเป็นคู่รักกันอยู่ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมความเป็นอิสระ และทำให้ความสัมพันธ์เหนียวแน่นมากกว่าการเกาะติดกันตลอดเวลาอีกด้วย

 

 

ความใกล้ชิด ในความสัมพันธ์บางทีก็สะท้อนถึงมุมสุขภาพจิต

 

Separation Anxiety โรควิตกกังวลจากการแยกจาก

 

อาการที่พบบ่อยในวัยเด็ก แต่ วัยผู้ใหญ่ก็สามารถเป็นได้เหมือนกัน 

 

หากตอนเด็กเราถูกละเลยหรือถูกทอดทิ้งบ่อย ๆ จะทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือเกิดความไม่ไว้วางใจในตัวพ่อแม่หรือผู้ปกครองคนอื่น ๆ ของเรา

 

ก็จะนำไปสู่ “Anxious Attachment” หรือ “ความผูกพันแบบกังวล” พอโตขึ้นและมีความรักความสัมพันธ์เป็นของตัวเอง ก็อาจจะกลายเป็นคนขี้กังวลในความสัมพันธ์ได้ เช่น

 

 

 

Dependent Personality Disorder (DPD)

พฤติกรรมพึ่งพาคนอื่นมากเกินไป ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองได้ กลัวการแยกจาก ถ้าอีกฝ่ายต้องจากหรือห่างไปจะรู้สึกไม่สบายใจ

 

ต้องการการสนับสนุนทางจิตใจ ร่างกาย อยากให้อีกฝ่ายมาซัพพอร์ตไม่มั่นใจในตัวเอง 

 

 

สามารถกระทบกับความสัมพันธ์ได้อย่างไร . .

เช่น พอเรามีแฟนแฟนขอไปเที่ยวกับเพื่อน เราให้แฟนไปแต่ก็ขอไปกับแฟนด้วย ในครั้งแรกแฟนก็ให้ไปด้วย แต่ในความรู้สึกจริง ๆ เขาจะมีความพะวงว่าเราจะเบื่อไหม

 

เราจะสนุกไหม หรือจริง ๆ แล้ว แฟนขอไปกับเพื่อนเพราะว่าแฟนอยากไปใช้เวลาอยู่กับเพื่อนจริง ๆ ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ การที่พึ่งพาแฟนมากเกินไป

 

โดยที่ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวให้เขา พื้นที่สังคมให้กับเขาเลยอาจจะส่งผลให้กลายเป็น Toxic Relationship ได้ ลองนึกภาพว่าความสัมพันธ์เป็นวงกลมซ้อนทับกัน

 

วงกลมที่ซ้อนทับคือสิ่งที่เรามีเวลาร่วมกัน และก็ยังมีเสี้ยววงกลมของตัวเองทั้งคู่ พยายามอย่าให้วงกลมมันทับสวมรอยกัน เพราะนั้นอาจจะเป็นอะไรที่มากเกินไปของทั้งสองฝ่าย

 

 

ห่างแบบไหนถึงไม่ห่างเหิน

เราจะมีพื้นที่ส่วนตัวยังไงให้เรารักตัวเองไปด้วยและรักคนของเราไปด้วย 

 

 

 

 

สุดท้ายมันเป็นคุณค่าของแต่ละคนที่ให้กับสิ่งหนึ่ง มันไม่มีผิดหรือถูก มันอาจจะเป็นแค่ว่าคุณค่าของเรามันตรงกับคุณค่าของอีกคนหรือเปล่า

 

อีกคนยอมรับได้กับคุณค่าที่เราให้หรือเปล่า ถ้าเห็นไม่ตรงกันก็อาจจะทำให้อึดอัด แต่ถ้าเห็นตรงกันต่างคนมันก็ต่างยอมรับได้และอยู่ด้วยกันได้ 😀

 

 

ที่มา :

 Separation Anxiety

Staying Compatible by Staying Yourself

 

 

 

 

 

 

 

 

สมาธิสั้น เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตมากขึ้นจริงไหม สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียทำให้หลายคนจดจ่อกับอะไรได้ยากขึ้นหรือเปล่า

 

ในมุมมองทางการแพทย์ สมาธิและสติสำคัญอย่างไร ถ้าอยากพัฒนาตัวเองให้มีสมาธิและสติมากขึ้นจะทำอย่างไรได้บ้าง ร่วมพูดคุย Alljit X คุณ ณัฏฐชัย รำเพย จิตแพทย์ 🙂

 

Social Media ทำให้สมาธิสั้น จริงหรือไม่

ค่าเฉลี่ยนสมาธิของผู้คนลดลงจริง อาจเป็นไปได้ทั้ง ปัจจัยภายใน – ภายนอก  และเนื่องด้วยปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปเยอะ เช่น โลกในยุคปัจจุบันมีสิ่งที่ Distract เรามากมาย ทุกอย่างเข้าถึงเร็วและง่ายไปหมด 

 

 

สมาธิสำคัญอย่างไร

ถ้าหากเรามีสมาธิ โฟกัส ก็จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ 

 

 

สาเหตุที่ทำให้ สมาธิสั้น คืออะไร

ภายนอก 

1. สิ่งแวดล้อมที่จะดึงความสนใจของเรา เช่น เสียงดังรบกวน สภาพอากาศ  

ภายใน 

1. ความเหนื่อยล้า

2. ความเครียดและ วิตกกังวล

3. ความชอบ และความสนใจส่วนตัว

 

 

ไม่มีสมาธิ กับสมาธิสั้น แตกต่างกันหรือไม่

 

สมาธิสั้น เป็นโรคชนิดหนึ่ง ที่ทางการเเพทย์ เรียกว่า “โรคสมาธิสั้น”  ซึ่งโรคนี้ติดตัวมาแต่กำเนิดอาจเกิดจากปัจจัยทางชีวภาพต่าง ๆ 

 

ในส่วนของการ ไม่มีสมาธิ อาจเป็นแค่ภาวะที่เกิดได้ในคนทั่วไป และในบางครั้งอาจมีคนที่อาการคล้าย ๆ โรคสมาธิสั้นเป็นช่วง ๆ เพราะปัจจัยภายนอกและภายในต่าง ๆ 

 

 

สังเกตสมาธิตัวเองอย่างไร

 

เทียบกับตัวเองในก่อนหน้านี้ ถ้าหากเรารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนเดิม โฟกัสอะไรได้น้อยลง โฟกัสไม่ได้ ค่อย ๆ หันมาดูแลตัวเอง แต่หากวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่นั้น ต้องพบผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

 

 

อยากมี สมาธิ มากขึ้นทำอย่างไร 

 

1. ฝึกฝนอยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง จนเกิดความสม่ำเสมอ ความเคยชินของสมอง  ช่วงแรก ๆ อาจจะเหนื่อย แต่ต้องค่อย ๆ ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ 

 

2. ลองสาเหตุที่กวนใจ และเคลียร์ความกังวลนั้นออกไปก่อน 

 

3. การฝึกสติให้ตระหนักรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เช่น ตอนนี้กำลังกังวล ตอนนี้กำลังไม่มีสมาธิ สิ่งรอบข้างเกิดอะไรขึ้นบ้าง 

 

การฝึกสติทำได้โดยการหายใจเข้า- ออก ลึก ๆ และรู้ลมหายใจตัวเอง เป็นการฝึกให้ตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเราเริ่มนิ่ง สมาธิจะเกิดขึ้นตามมา 

 

4. จำกัดปัจจัยภายที่รบกวนเรา เช่น เสียงรบกวน หรือ มือถือ เป็นต้น 

 

 

บทความที่น่าสนใจอื่น ๆ คลิก

ความเปลี่ยนแปลง เกิดได้ทุกวัน ทุกเวลา แต่ไม่ง่ายที่จะยอมรับ เพราะเราไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

 

จะรับมือกับความกลัวอย่างไร มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂

 

ความเปลี่ยนแปลง

 

 

ความเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นทุกวันไหม ..

เราไม่เหมือนเดิมสักวัน ตอนเช้าเราอาจเป็นคนที่อารมณ์ดี แต่ระหว่างวันถ้าเราได้เจอเรื่องที่ติดขัด หรือเจอเรื่องที่เข้ามากระทบกับความรู้สึกของเรา

 

ในตอนเช้าที่เรารู้สึกอารมณ์ดีอาจเปลี่ยนเป็นตอนเย็นที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วคนเราคงไม่ใช่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงทุกวัน แต่สามารถเปลี่ยนได้เป็นทุกชั่วโมง ทุกนาที

 

 

จะรับมือกับความกลัวการเริ่มต้นใหม่อย่างไร?

ความเปลี่ยนแปลงมาพร้อมกับความกลัว ความกังวล เราไม่รู้ว่าสถานที่ใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่เราต้องพบเจอกับอะไรบ้าง

 

เพราะฉะนั้นแล้วเราควรเข้าใจสิ่งที่ต้องเผชิญว่า นี่คือสิ่งที่เราต้องเผชิญหลังจากนี้นะ เตรียมใจรับสิ่งใหม่ ๆ ถึงแม้ว่าช่วงแรกจะมาพร้อมกับหลากหลายความรู้สึกก็ตาม

 

 

เผชิญหน้ากับ ความเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงน่ากลัวเสมอในการเริ่มต้น การเริ่มต้นใหม่มาพร้อมกับความไม่รู้ เมื่อเราไม่รู้เราก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัย

 

ลองก้าวออกมาจากความกลัวอะไรบางอย่างของตัวเราเอง ถ้าเราก้าวข้ามก้าวแรกออกไปเราจะได้เรียนรู้ว่าทั้งหมดที่เรากลัวคืออะไร 

 

ความกลัวที่กับดักของเราที่ไม่อยากเริ่มอะไรใหม่ ๆ กับดักทางความคิดว่าเราทำได้แค่นี้ ข้างนอกมันน่ากลัวจังเลย

 

 

ข้อดี ความเปลี่ยนแปลง

ความเปลี่ยนแปลงทำให้เราเติบโต ทำให้เรามีโอกาสในการพัฒนาตัวเอง มองเห็นโลกได้หลากหลายมากขึ้น

 

ถ้าเรายังอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเราจะมองเห็นแค่โลกของเรา เปลี่ยนจากความกลัวเป็นความท้าทายเราจะได้มีความกล้ามากขึ้น

 

 

ในวันที่มีเรื่องแย่ ๆ เข้ามา สิ่งแรกที่เราจะทำหลังจากเกิดเรื่องที่ไม่ดีคืออะไรกัน . . คำตอบส่วนใหญ่แล้วคงเลือกที่จะ ระบายความในใจ กับใครสักคน

 

อาจเป็นคนที่สนิทใจหรือเป็นการโพสระบายผ่านโซเชียลก็ตาม แต่การระบายที่เราทำอาจจะเป็นพิษกับคนอื่นได้เหมือนกัน

 

 

 

Trauma Dumping

การระบายที่เป็นพิษหรือ Trauma Dumping คิอการที่ใครสักคนพยายามที่จะระบายความทุกข์ของตัวเองให้คนรอบข้างฟัง ‘มากเกินไป’

 

จนทำให้อีกฝ่ายเหมือนเป็นที่รองรับเกิดความลำบากใจ หรืออาจจะไปถึงเกิดความทุกข์ใจเสียเอง

 

Carlar Manly นักจิตวิทยาได้อธิบายไว้ว่า แม้ว่าการ Trauma Dumping นั้นจะทำให้ผู้ระบายรู้สึกโล่งใจหรือสบายใจขึ้นมา

 

แต่ก็อาจทำให้ผู้รับสารเกิดความรู้สึก เหน็ดเหนื่อย ดาวน์ อึดอัด โกรธ รู้สึกกำลังโดนเอาเปรียบ เมื่อต้องรับฟังมันมากเกินไป

 

โดยอย่างแย่ที่สุดก็คือไปกระตุ้นเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีตที่เลวร้ายของตัวเองขึ้นมาอีกรอบ

 

แต่อย่างไรก็ตาม การระบาย ก็เป็นทางออกที่ดีในวันที่เจอเรื่องแย่ ๆ เพราะฉะนั้นแล้วการระบายที่พอดีคืออะไร?

 

 

การระบายที่ดี Healthy Venting

การระบายความทุกข์ใจ ที่อีกฝ่ายเต็มใจที่จะรับฟังและสนับสนุนความรู้สึกของเราอย่างเต็มที่ โดยไม่รู้สึกอึดอัด หรือเราสอบถามความสะดวกของเขาก่อนที่เราจะระบาย

 

จะมีความแตกต่างกับการระบายที่เป็นพิษหรือ Trauma Dumping เช่น จะไม่มีการนินทาคนอื่น มีหัวข้อการคุยที่ชัดเจน มีเวลาในการคุยที่พอเหมาะ เปิดรับความคิดเห็นที่ หรือแนวทางแก้ไข 

 

 

เรากำลัง Trauma dumping ใส่คนอื่นอยู่หรือเปล่า?

 

 

พอได้ลองตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้แล้ว เราอาจจะคิดว่าตัวเราต้องเคยทำแบบนี้แน่ ๆ เลย แต่ว่าถ้าเรารู้ว่าเราเคยแล้วก็อย่าเลิกที่จะระบายแล้วเก็บไว้คนเดียวเลยนะ

 

เพราะยังไงการที่เราระบาย มีคนที่อยู่ข้าง ๆ คอยเป็น Social support ก็สำคัญและดีกับสุขภาพจิตของเราเหมือนกัน 🙂

 

เพราะฉะนั้นเลยต้องตั้งคำถามกับตัวเองโดยคำถามเหล่านี้ ขอบคุณข้อมูลจาก mission to the moon 

 

  1. การระบายของเราจะส่งผลกระทบกับคนอื่นไหม เช่น ตอนนี้ เราอยากระบายเรื่องานกับเพื่อนคนนี้มาก แต่เพื่อนคนนี้เขาก็กำลังเครียดเรื่องงานเหมือนกัน เราอาจจะต้องหาคนอื่นที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราสบายจะได้ไม่สร้างบาดแผลให้คนอื่น
  2. ทำไมเราถึงอยากระบายเรื่องนี้ เพราะเราไว้ใจคนนี้ หรือเพียงแคว่ามันรู้สึกดีที่ได้พูดออกไป
  3. เราได้ให้โอกาสคนที่รับฟังเรา ได้ระบายความในใจกลับมาด้วยหรือไม่
  4. คนอื่นจะสบายใจไหม ที่จะรับฟังเรื่องของเรา
  5. เราเคยระบายเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังไปแล้วหรือยัง

 

ผลกระทบของ Trauma Dumping

 

อาจมีบางครั้งที่ Trauma Dumping จะกลายเป็นมากกว่าแค่ความอึดอัด แต่บางครั้งก็สามารถทำให้บางความสัมพันธ์ค่อย ๆ ห่างหายกันไป

 

ความรู้สึกของผู้ที่ถูกได้รับผลกระทบใส่ เวลาที่ได้รับความคิด อารมณ์ จะรู้สึกหนักใจและทำอะไรไม่ถูก

 

เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองหรือ หรือบางทีก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ตอบสนองเลย 

 

ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับการระบายความรู้สึก 

 

 

ที่มา :

When Venting Turns Toxic: What Is Trauma Dumping?

The Difference Between Venting and Dumping

 

 

หลุมพรางทางความคิด เมื่อรู้สึกสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือคลั่งไคล้อะไรบางอย่างจนมองข้ามสิ่งที่ไม่ดี สิ่งนั้นเรียกว่า Halo Effect เพราะคนที่ถูกใจ ทำอะไรก็ถูกต้อง

halo effect

 

Halo Effect

 

การรับรู้ทางบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยที่ตัวของเราจะสรุปนิสัยคน ๆ นั้นด้วยความรู้สึกแรก ซึ่งการรับรู้ทางความคิดนี้เกิดขึ้นได้เป็นอัตโนมัติ

 

อาจจะเกิดขึ้นแบบที่เรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ ดังกล่าวคือ มนุษย์มีแนวโน้มจะหาอะไรมา ‘ยืนยัน’ หรือมองหาสิ่งที่ ‘สอดคล้อง’ กับความเชื่อหรือความคิดเดิมของตัวเอง

 

มากกว่าสิ่งที่ขัดแย้งกับเรื่องที่ ‘ปักใจ’ เชื่อไปแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกตึงเครียด อึดอัด หรือไม่สบายใจ 

 

 

ประวัติความเป็นมาของ Halo Effect

คำว่า Halo แปลตรงตัวหมายความว่า รัศมีวงกลมที่อยู่บนหัวของเทวดานางฟ้า ซึ่ง Halo Effect จะใช้เรียก ภาวะการรับรู้ที่เรามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งและประเมินสิ่งนั้นดีเกินจริง

 

ราวกับเราเห็นรัศมีนางฟ้าอยู่บนสิ่งนั้น ๆ ต้นกำเนิด ในปี 1920 นักจิตวิทยา นามว่า ‘เอ็ดเวิร์ด ธอร์นไดค์’ (Edward Thorndike) ได้ตั้งคำถาม จึงทำการทดลอง

 

พร้อมอธิบายปรากฏการณ์ที่เข้าข่าย ‘คนที่ใช่ ทำอะไรก็ไม่ผิด’ นี้ด้วยคำว่า ‘Halo Effect’ พบว่า หากมนุษย์รับรู้ถึงคุณสมบัติเพียงข้อเดียวของคนคนหนึ่ง

 

จะทำให้เกิดอคติในอื่น ๆ ตามไปด้วย ธอร์นไดค์ ทำการทดลองทางสถิติโดยให้นายทหาร 2 คน ประเมินทหารผู้ใต้บังคับบัญชาในด้านกายภาพ

 

ด้านลักษณะภายนอก เช่น เสียง พละกำลัง ความอดทน และด้านคุณสมบัติส่วนบุคคล เช่น ความภักดี ความไม่เห็นแก่ตัว ความร่วมมือ โดยห้ามพูดคุยกับทหารแต่ละคนที่ถูกประเมิน

 

ความน่าสนใจคือ ธอร์นไดค์ พบว่า ความดึงดูดใจและลักษณะภายนอกของบุคคลนั้น ๆ เช่น ความสูง มีอิทธิพลต่อการประเมินด้านอื่น ๆ ไปในทิศทางเดียวกัน

 

เรียกง่าย ๆ ว่า คนที่มีคะแนนคุณลักษณะภายนอกสูงก็จะมีคะแนนในด้านอื่น ๆ เช่น สติปัญญา ความเป็นผู้นำ สูงตามไปด้วย

 

แสดงว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะนำลักษณะเด่นอย่างหนึ่งมาสร้างมุมมองต่อบุคลิกภาพหรือลักษณะโดยรวมของบุคคลนั้น ซึ่ง ธอร์นไดค์ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Halo Effect’

 

 

คนที่ถูกใจ ทำอะไรก็ถูกต้อง

พอพูดถึงคำว่า Halo Effect พอได้รู้ความหมายคร่าว ๆ แล้วทำให้นึกถึงคำที่ว่า ‘คนที่ถูกใจ’ ทำอะไรก็ถูกต้อง เช่น กรณีที่เราชอบคนนึงมาก แต่เขาทำผิด ทำไม่ดี

 

เราก็มองข้ามความผิดนั้นไป และบางทีเราอาจจะหาข้อดีมาปกปิดข้อด้อยอีก หรือบางทีก็เกิดความลำเอียงในสังคมหรือที่เราเรียกกันว่า Beauty Standard

 

การที่คนนึงเกิดมาหน้าตาดี รูปลักษณ์ดี ตามมาตรฐานของสังคมที่ได้เซตเอาไว้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนกลุ่มคนนั้นจะถูกมีโอกาสเลือกมากกว่า

 

 

Halo Effect กระทบในด้านต่าง ๆ 

 

ในด้านการศึกษา

งานวิจัยเก่า ๆ พบว่าครูมีความคาดหวังที่ดีกว่าต่อเด็กโดยที่พวกเขาให้คะแนนว่ามีเสน่ห์ 

 

หรือเด็กที่เขารู้สึกเอ็นดู หรือที่เขาชอบเป็นพิเศษมากกว่าตามเกณฑ์วัดของความเป็นจริง

 

ในที่ทำงาน 

อคติที่พบบ่อยที่สุดที่ส่งผลต่อการประเมินและการทบทวนประสิทธิภาพ หัวหน้าอาจให้คะแนนลูกน้อง

 

โดยพิจารณาจากการรับรู้ถึงคุณลักษณะเฉพาะเพียงอย่างเดียว มากกว่าที่จะประเมินผลงานและการมีส่วนร่วมทั้งหมดของพวกเขา

 

นอกจากนี้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Economic Psychology พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว

 

ผู้เสิร์ฟอาหารที่น่าดึงดูดใจจะได้รับทิปมากกว่าผู้ให้บริการที่ไม่น่าดึงดูดโดยเฉลี่ยประมาณ 1,200 เหรียญต่อปี

 

การใช้ชีวิตประจำวัน

สินค้าในตลาด การทำโฆษณาต่าง ๆ บางทีก็มี Halo Effect มาคอยบังตาของเราให้เรายึดถือ ยึดติดกับสิ่งที่เขาว่าดี แต่จริง ๆ มันก็คงไม่ได้ดีแบบที่เราต้องการแบบนั้น

 

แต่เป็นเพราะเพียงเสียงส่วนมาก คำเชิญชวนของอินฟลู ที่ทำให้เราเอนเอียงไป

 

จัดการกับ Halo Effect และฝึกฝนตัวเองไม่ให้ตัดสินคนอื่่น

 

การตระหนักรู้เป็นก้าวแรกในการเอาชนะข้อผิดพลาดในการตัดสินหนังสือจากปก  

 

การจงใจชะลอการตัดสินใจและการตัดสินใจใด ๆ ในภายหลัง อย่าตัดสินใจเลือกการรับสมัครทันทีหลังการสัมภาษณ์,การออกเดต

 

โดยทั่วไปการใช้เวลาทำความรู้จักกับอีกฝ่าย ไปเดตหลายๆ ครั้งก่อนที่จะพัฒนาไปอีกขั้น

 

 

เราล้วนแต่เป็นทาสของ Halo Effect  กันเกือบทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้ารู้แบบนี้เเล้ว เรามาทำให้ตัวเองดูดีในแบบของเรากันเถอะ

 

เช่น การเตรียมตัวเตรียมความพร้อมสำหรับการไปสมัครงาน เลือกลองชุดที่เหมาะสมกับเรา เลือกทำผมที่เข้ากับเราที่สุด

 

เลือกสีลิปสติกที่มันสวยเมื่ออยู่กับเรา นี่อาจจะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งก็ได้ ถ้าเรารู้จักการตระหนักรู้ของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เราใช้สิ่งนี้ทำร้ายคนอื่นเหมือนกัน

 

เราไม่สามารถสรุป หรือ เคาะ อะไรเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เหมือนที่เราชอบพูดกันว่าทุกคนเป็นมนุษย์ไม่มีใครดีทุกอย่างและก็ทางกลับกันก็คงไม่มีใครที่แย่ทุกอย่างเหมือนกัน 

 

ที่มา :

Halo Effect

Halo Effect หลุมพรางความคิด

What Is the Halo Effect?

The Halo Effect: What It Is and How to Beat It

 

 

 

 

อารมณ์ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องรับมือ เพราะในแต่ละวันอารมณ์เกิดขึ้นได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางลบหรือทางบวก

 

ในทางจิตวิทยา การเก็บอารมณ์หรือการแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสมทำอย่างไร  รวมพูดคุยกับ คุณ รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂

 

อารมณ์ หลากหลายเป็นเรื่องปกติหรือไม่ ?

มนุษย์มีหลากหลายอารมณ์เป็นเรื่องธรรมชาติ และอารมณ์ของเราสามารถเกิดทับซ้อนกันได้ ตัวอย่างเช่น เวลาเราเหนื่อย เราก็อาจจะหิว เมื่อเรากินเราก็อิ่ม ก็จะรู้สึกสบายใจขึ้น 

 

เพียงแต่ว่าเมื่อหลาย ๆ อารมณ์ซ้อนอารมณ์ อาจจะทำให้เรารู้สึกหนักบ้าง แต่อารมณ์ของเราเปลี่ยนแปลงตามตัวกระตุ้นไม่ได้เป็นเรื่องแปลก

 

 

การเก็บอารมณ์เป็นเรื่องปกติหรือไม่ ?

การเก็บความรู้สึกเป็นสิ่งที่มนุษย์เราทำเป็นธรรมชาติ เพราะเรานั้นต้องประเมินสถานการณ์ก่อนว่า เราสามารถแสดดงออกได้ไหม อย่างเช่น เวลาที่เราโกรธ แล้วเราอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่

 

เราจึงประเมินแล้วว่าไม่เหมาะสม หากจะแสดงความโกรธออกมา แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราอยู่กับเพื่อน และประเมินว่า พูดได้ เหมาะสม ไม่ได้ส่งผลกระทบคนอื่น เราก็จะแสดงความโกรธออกมา

 

 

การเก็บ อารมณ์ อย่างเหมาะสม ทำอย่างไร ?

เรียนรู้ที่จะควบคุม และแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม โดยประเมินได้ด้วยตนเองว่า เราเก็บอารมณ์ไว้เท่านี้ แล้วแสดงออกไปเท่านี้

 

เรายังคงสุขสบายใจ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเราในระยะยาว และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนอื่นนั่นเรียกได้ว่าเหมาะสมกับเรา

 

 

การเก็บและการแสดงออกอารมณ์มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

การแสดงออกของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แบ่งออกตามหลักจิตวิทยาดังนี้

 

Passive แปลว่า ไม่ตอบโต้ นิ่ง คล้าย ๆ สมยอม

 

Aggression แปลว่า แสดงทุกอย่างออกมาชัดเจน เก็บอารมณ์ได้ค่อนข้างน้อย

 

Passive-Aggression  นิ่งเงียบแต่ในใจต่อต้าน

 

ซึ่งทุกคนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนเป็นของตัวเอง ถ้าหากในสังคมไทยเชื่อมโยงกันก็มักจะพบ คนที่เป็นลักษณะ Passive หรือ Passive – Aggression

 

แต่ถ้าในบริบทของต่างชาติ ฏ็มักจะพบ Aggression เขาเรียนรู้ที่จะแสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา และสามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้

 

 

เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ควรเก็บหรือแสดงออก ?

เราควรมีวิธีจัดการอารมณ์ตามสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม คววใช้ได้อย่างหลากหลายตามสถานการณ์เช่น บางสถานการณ์ไม่ยุติธรรมกับเรา

 

การที่เราแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง ไม่ให้ใครคุกคามเรา หรือในบางสถานการณ์หากยอมได้ก็ยอมได้ เราก็ใช้การเก็บอารมณ์ของเราบ้าง 

 

 

รีเช็คตัวเองอย่างไร ?

นอกจากการจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว เรายังควรสร้างพฤติกรรมทางบวกให้ตัวเองด้วย ถ้าเรามองในมุมกว้างขึ้น เราจะสามารถเข้าใจอารมณ์ว่าไม่มีผิดหรือ ถูกเพราะเราเป็น Human Being เราแค่มนุษย์คนหนึ่ง

 

เมื่อเราเชื่อมโยงอารมณ์ของตัวเองได้ เราก็จะเริ่มเข้าใจว่าอะไรทำให้เราเกิดอารมณ์นี้ ความคิด และจิตใจ และจัดการได้อย่างเหมาะสม 

 

ไม่ใช่เพียงแค่จะพูดว่า ไม่เป็นไรหรอก ช่างมันเถอะ นั่นคือาการที่เราปฎิเสธ และไม่อนุญาติให้ตัวเองได้รู้สึกกับความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้น

 

เหมือนเรากำลังถอยออกมาจากความรู้สึกและความต้องการจริง ๆ ของตัวเอง จึงไม่นำไปสู่วิธีการจัดการอารมณ์ของตัวเอง ตราบใดที่เราคิดว่าไม่เป็นไร ปิดกั้นความรู้สึกตัวเองบ่อย ๆ  ก็อาจนำไปสู่ความไม่สุขใจได้

 

 

ดูแลอารมณ์อย่างไรไม่ให้กระทบคนรอบข้าง ?

เท่าทันความรู็สึกและความคิดของเรา โดยการฝึกจาก 4 คำถามดังนี้ 

 

1. ฉันรู้สึกอย่างไร ?

 

2. รู้สึกแบบนี้แล้วต้องการอะไร ?

 

3. เราจะตอบสนองอย่างไร ? เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้น และทำให้ความรู้สึกลดลง 

 

4. ตั้งคำถามว่าการตอบสนองอย่างนั้นมีประโยชน์จริง ๆ หรือไม่ 

 

เมื่อเราฝึกบ่อย ๆ เราจะชิน และเราจะเข้าใจคนที่อยู่ตรงหน้าได้จริง ๆ ไม่ใช่การไม่อนุญาติให้รู้สึก

 

 

ควรรับมือกับ อารมณ์ ทางลบและบวกอย่างไร?

อารมณ์ทางบวกเป็นเรื่องดี เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้มันสวยงาม ดีต่อร่างกายและจิตใจ แต่เราอย่าลืมว่า การที่เราให้คุณค่ากับอารมณ์ทางบวกมาก ๆ มันจะทำให้เราหลงลืมความรู้สึกทางด้านลบของตัวเอง

 

หรืออาจะหลงลืมความรู็สึกอีกฝั่งหนึ่ง ที่ทำใหเรารู้สึกแย่ ซึ่งเราพยายามเก็บไว้โดยไม่โกรธ ไม่เสียใจ  ไม่เศร้า รู้สึกแค่ด้านบวก ก็อาจจะทำให้ขาดชัั้นกรอง ภายใรความรู้สึกจริง อาจจะโกรธ

 

คงจะดีกว่าถ้าเราวสามารถสัมผัสได้ทั้งอารมณ์ทั้งทางบวก และทางลบของตัวเอง และรู้เท่าทัน สุขก็สุข ทุกข์ก็ทุกขื ไม่เห็นเป็นไร สำคัญคือต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองจึงจะมองเห็นความต้องการลึก ๆ ของตัวเอง

 

 

เริ่มต้นจดบันทึก อารมณ์ อย่างไร ?

จดบันทึกโดยการเชื่อมโยง และตั้งคำถามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะทำให้เราเข้าใจอะไรที่เกิดขึ้นกับตัวงเองมากยิ่งขึ้น เช่น เวลาที่เราเจอสถานการณ์หนึ่ง เรารู้สึกอย่างไร

 

โดยตั้งชื่ออารมณ์ของตัวเองที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น โกรธ เศร้า รู้สึกผิด จากนั้นคิดต่อว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น แล้วทำอย่างไรต่อได้ โดยสังเกตการตอบสนองทางทางร่างกายของตัวเอง 

 

ถ้าเราฝึกเชื่อมโยง ความรู้สึก ความคิด พฤติกรรม และร่างกายที่ตอบสนองของตัวเอง เราจะคุ้นชินกับอารมรณ์ต่างๆ ของเราได้มากขึ้น ช่วงแรก ๆ อาจจะต้องจด แต่หากเราเก่งขึ้นเราก็เชื่อมโยงเก่งขึ้นผ่านการฝึกฝนบ่อย ๆ 

 

 

บทความอื่น ๆ 

 

ทฤษฎีของ ความอ่อนไหว (ง่ายเป็นพิเศษ)

 

เพราะ การเป็นคนอ่อนไหวไม่ได้ทำให้เราอ่อนแอ . .

 

 

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย เมล คอลลินส์ เป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาบำบัด คุณคอลลินส์มีความเชี่ยวชาญกับคนที่เป็น Highly Sensitive Person เก็บเกี่ยวประสบกาณ์มาเรื่อย ๆ

 

จนเกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ซึ่งตัวคุณคอลลินส์เองก็เป็น Highly Sensitive Person มาตั้งแต่กำเนิดเหมือนกัน

 

ใครอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.melcollins.co.uk

 

ความอ่อนไหงง่ายแก้ด้วยการ “รักตัวเอง”

 

Chapter ที่น่าสนใจที่อยากนำมาแบ่งปันคือ “การแก้ด้วยการรักตัวเอง” ขอหยิบยก 5 ขั้นตอนที่อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นขั้นตอนที่สามารถนำมาปรับใช้ได้โดยง่ายไหม?

 

ก็ไม่ง่าย แต่สามารถฝึกฝนและสามารถทำได้ การรักตัวเองคือสภาวะชื่นชมยินดีกับตัวเองจากการกระทำต่าง ๆ ทางร่างกาย อารมณ์ จิตวิทยา จิตวิญญาณ

 

การรักตัวเองคือการยอมเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดต่าง ๆ ความเชื่อ ความคิดในแง่ลบที่จะเปลี่ยนไปทางแง่บวก พอได้อ่านแล้วก็รู้ว่าจากลบจะเปลี่ยนไปบวกได้อย่างไรบ้าง

 

การรักตัวเองพูดง่ายแต่ทำยาก จะมีทั้งช่วงที่เรารักตัวเองมาก หวงแหนตัวเองกับบางช่วงที่เราไม่รักและไม่เห็นคุณค่าตัวเองขนาดนั้นเลยก็มี เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มจาก . . .

 

 

ขั้นตอนที่ 1 การหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

บางครั้งการที่เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นก็เป็นแรงผลักดันเชิงบวกที่ดี แต่การเปรียบเทียบหลาย ๆ สิ่ง ไม่ว่าจะหน้าตา ฐานะการงาน ความฉลาด ประสบความสำเร็จ

 

จะส่งผลให้เรารู้สึกดีไม่พอ คือไม่ว่ายังไงก็จะต้องมีคนที่เรามองว่า ‘เขาดีกว่าเรา’ อยู่เสมอ และการที่เราคิดแบบนี้จะเป็นบ่อนการทำร้ายตัวเองเรื่อย ๆ

 

ทางที่ดีคือการที่เรายอมรับความเป็นตัวเรา การรักตัวเองไม่ได้อยู่ดีรูปลักษณ์ภายนอก ความสำเร็จภายนอกแต่สิ่งที่รักตัวเองคือการยอมรับตัวตนของเราเองจากภายใน

 

ถ้าให้เปรียบคนที่เป็น Highly Sensitive Person จะเบลมว่าเพราะเราเป็นคนอ่อนไหวง่ายไงเลยรู้สึกอ่อนแอ แต่เพราะความอ่อนไหวง่ายไงเราเลยรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้

 

รับรู้สถานการณ์อะไรที่ควรหรือไม่ควรคำพูดที่ถนอมจิตใจคน นั้นคือข้อดี

 

 

ขั้นตอนที่ 2 เลิกวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง

การที่เราด่าทอตัวเอง วิจารณ์ตัวเองจะทำให้เราหมดกำลังใจ และทำลายความรู้สึกที่ตัวเองมีคุณค่า ไม่แปลกเลยที่เรามีนักวิจารณ์เกิดขึ้นกับตัวเรา

 

บางคนก็เลือกวิธีมองว่ามันคือศัตรูจึงพยายามมองข้ามมัน บางคนก็เลือกกดทับมันแล้วแล้วคิดถึงแต่สิ่งดี ๆ แต่วิธีเหล่านั้นเหมือนเป็นการปิดเสียงนักวิจารณ์เพียงชั่วคราว

 

คุณคอลลินส์ก็เลยมีแบบฝึกหัดที่ให้เราได้ผูกมิตรกับนักวิจารณ์ ให้เรานึกถึงนักวิจารณ์ในตัวเราเองแล้วตั้งชื่อให้มัน เช่น เอนักตัดสิน แล้วเออัดเสียงช่วงเวลาที่เราตัดสินตัวเอง

 

ตำหนิตัวเองลงไป ที่นี้กลับไปฟังเสียงที่อัดแล้วดูว่าสิ่งที่เราตัดสินตัวเอง ตำหนิตัวเอง มีใครเคยบอกเราอย่างนี้รึป่าว พ่อแม่ ครู แฟน เพื่อนรึป่าว

 

ถ้าเราฟังแล้วเรารู้ว่ามันเริ่มจากไหนเราจะเริ่มแยกแยะได้ ต่อไปก็ต้องตั้งข้อสงสัยว่า ความคิดแง่ลบที่เราตัดสินตัวเองตำหนิตัวเอง มันจริงหรือเปล่า ทำไมเราถึงได้รับคำชมว่าทำงานเก่ง

 

เป็นเพื่อนที่น่ารัก เป็นคนที่นิสัยดี แล้วเราจะตำหนิตัวเองด่าทอตัวเองหนักให้เจ็บปวดทำไม เมื่อเรารับรู้ถึงความรู้สึกนี้แล้วเราเปลี่ยนจากการด่าทอเป็นการสวมกอด เอนักตัดสิน

 

และบอกเอนักตัดสินว่า เอจะได้รับการเยียวยานะ ความเห็นอกเห็นใจ การเห็นคุณค่าในตัวของเอเองกำลังจะเริ่มขึ้น ไม่จำเป็นต้องด่าทอตัวเองให้เจ็บปวดแล้วนะ 

 

 

ขั้นตอนที่ 3 พัฒนาความเห็นอกเห็นใจของตัวเอง

คนเป็น Highly Sensitive Person จำนวนมาก จะมอบความเห็นอกเห็นใจให้คนอื่นอย่างมหาศาล แต่กลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้กับตับเอง โทษตัวเอง วิจารณ์ตัวเอง ปฏิเสธตัวเอง

 

ดังนั้นการฝึกการรัก การเห็นใจตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมาก คำถามที่ดีที่เหมาะที่จะถามตัวเองก็คือ “เราจะทำกับพ่อแม่ ลูก ๆ เพื่อน ๆ หรือคนที่เรารักเหมือนที่เราทำกับตัวเองหรือเปล่า”

 

ถ้าคำตอบคือไม่ ก็ให้สัญญากับตัวเองว่าจะปฏิบัติกับตัวเองด้วยความเมตตามากกว่านี้ เหมือนกับที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ การรักตัวเองถ้าทำไม่เป็นลองดูว่าเรารักคนอื่น

 

ปฏิบัติกับคนอื่นยังไงเราลองเริ่มทำจากสิ่งนั้นไหม?

 

ขั้นตอนที่ 4 เรียนรู้ที่จะปฏิเสธโดยที่ไม่รู้สึกผิด

การที่เราเป็น Highly Sensitive Person จะมีปัญหากับการบอกปฏิเสธคนอื่น ๆ ยิ่งถ้าเป็นสถานการณ์ที่ถูกกดดัน จนลำบากใจ หรือสถานการณ์ที่เราคิดว่าต้องแย่แน่ ๆ เลยถ้าเราปฏิเสธคนนี้

 

คนนี้ต้องไม่โอเค จึงมักจะรู้สึกผิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวถ้าไม่ช่วยเหลือคนอื่น จึงตอบตกลงไปถึงแม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตาม เมื่อตอบตกลงไปเรากลับรู้สึกถูกฉวยโอกาสจากความใจดี

 

พอมาถึงตรงนี้เราจะฝึกปฏิเสธอย่างไรดี เริ่มแรก ลองพูดก่อนว่า “ฉันจะให้คำตอบคุณเร็วๆนี้” , “ฉันจะติดต่อกลับไปนะ” เวลามีคนขอให้เราทำอะไรจนกว่าเราจะมีความมั่นใจในการปฏิเสธ

 

หรือการถามตัวเองว่า เรา ‘อยาก’ จะทำไหม หรือ มีความรู้สึกว่า ‘เราควร’ หรือ ‘สมควรต้อง’ ทำ ถ้ามันเป็นความรู้สึก ควร สมควรต้อง

 

ส่วนใหญ่มันมักจะเป็นสารหรือความคาดหวังของคนอื่น ๆ ที่เรารับมาแบกไว้ และมันก็ ok นะถ้าเราจะปฏิเสธ

 

 

ขั้นตอนที่ 5 แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเรา

ใครเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น อารมณ์ ความรู้สึก ของตัวเองบ้างราวกับว่าเรามีสิ่งคำพูดในหัวมากมายแต่ไม่กล้าที่จะพูดออกไป ไม่รู้ว่าควรพูดไหม

 

ถ้าพูดไปแล้วมันแย่กว่าเดิมละ จนละเลยความรู้สึกตัวเองบ่อย ๆ การที่เราเป็นตัวเราเป็นเจ้าของความรู้สึกของเรา เราควรยอมรับและแสดงมันออก ด้วยวิธีการที่เหมาะสมและปลอดภัย

 

การบอกความต้องการของตัวเองให้คนอื่นรู้ เช่น เราเจอคนที่พูดไม่ดีกับเรา นิสัยไม่ดีใส่เรา เรารู้สึกแบบนั้นเราจะแสดงออกบอกไปยังไงดี

 

คุณคอลลินส์บอกว่า เราสามารถบอกด้วย เรารู้สึกแย่เวลาที่เธอแสดงความคิดเห็นแบบนี้กับเรา มันทำให้เราเจ็บปวด เราสามารถพูดประโยคนี้ได้ ถึงแม้ว่าจริง ๆ เราจะพูดว่า

 

เรารู้สึกแย่ที่เธอแสดงความคิดเห็นแบบนี้ เธอนิสัยไม่ดี เธอทำให้ฉันรู้สึกแย่ แสดงความเห็นของตัวเอง ครส ความต้องการ และไม่โทษคนอื่น แค่พูดความจริงเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง

 

ประโยคที่อยากบอกเล่าจากคนอ่าน

จงให้สัญญาว่าจะทำสิ่งที่อ่อนโยนใจดีต่อตัวเองทุก ๆ วัน แม้ว่ามันจะเป็นแค่การใช้เวลาทำอาหารอร่อย ๆ ให้ตัวเอง

 

ฟังเพลงที่ชอบ และซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตัวเองหรือออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะก็ตาม 🙂

 

 

 

 

หนังสือ ‘ แล้วค่ำคืนยาวนานจะผ่านไป ‘

 

เขียนโดย ลูลี กับ  A chapter

 

 

หนังสือเล่มนี้ เป็นหมวด วรรณกรรมแปล เน้นอ่านเพลิน ๆ อ่านสนุก ๆ แฝงไปด้วยข้อคิดต่าง ๆ เขียนโดย คุณ ลูลี เป็นนักเขียนเกาหลี และแปลโดย คุณอภิชญา บุญริน

 

เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของ  แรดหินขาวตัวสุดท้ายของโลก ที่ชื่อว่า นอร์เทิร์น และ ซีคู ที่เป็นเพนกวิน เป็นความสัมพันธ์ที่ดูแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย

 

สายพันธุ์ต่างกัน การกิน สภาพแวดล้อมแตกต่างกัน แต่มาพบกันและร่วมเดินทางไปที่มหาสมุทร

 

เหตุผลที่พวกเขาอยากไปมหามสุทร เพราะว่าซีคูอยากพาลูกของตัวเองไปมหาสมุทร ก่อนที่ชีวิตของเขาจะจบลง เลยเกิดเป็นการเดินทางขึ้นในระยะที่เขาเดินทางกันมาเรื่อย ๆ

 

ตัวของซีคูก็ได้สิ้นลมหายใจไปก่อน เลยเหลือแค่ นอเทิน และ ลูกของซีคู

 

แล้วค่ำคืนอันยาวนานจะผ่านไป

 

ผลของมะม่วงสุก

 

 “ผลของมะม่วงสุก”

บทสนทนาของลูกเพนกวินกับนอเทิร์นที่แหงนมองฟ้าสีชมพู หรือ Vanilla Sky ในภาษาเรา ๆ แต่พวกเขาสองคนนิยามกันว่า “ผลของมะม่วงสุก”

 

ลูกของเพนกวินได้ถามกับนอร์เทินว่า “หนูคือใคร” ถ้าวันนึงตัวของหนูได้ไปที่มหาสมุทรแล้วเพนกวินตัวอื่น ๆ จะชอบหนูไหม? หนูจะเข้ากันได้กับเพนกวินตัวอื่นไหม?

 

แล้วท่ามกลางนกเพนกวินมากมายหลายตัวนอร์เทินจะจำหนูได้รึป่าว จึงอยากให้นอร์เทินตั้งชื่อให้

 

แต่นอร์เทินกลับปฏิเสธแล้วบอกว่า ตอนที่ตัวของเขาเองไม่มีชื่อเขามีความสุขกว่าตอนที่มีชื่ออีกนะ การมีชื่อไม่ได้มีข้อดีอะไร แรดที่เลี้ยงเพนกวิน ไม่มีทางที่จะหาไม่เจอหรอก

 

กลิ่นของเธอ ลักษณะการพูดของเธอ ท่าทางการเดิน แค่นั้นก็ทำให้รู้ทันทีได้ว่าเป็นเธอ

 

ลูกเพนกวินจึงถามอีกว่า แล้วเพนกวินตัวอื่น ๆ จะรับรู้ได้เหมือนกับที่นอร์เทินรับรู้ไหม

 

นอร์เทินเลยบอกว่า ใครก็ตามที่ชอบเธอ จะรับรู้ได้ว่าเธอคือใคร ในตอนแรกเขาอาจจะจับตาดูเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

แต่เมื่อเขาเริ่มชอบเธอเรื่อย ๆ เขาก็จะคอยเฝ้ามองเธอ เวลาที่อยู่ใกล้เธอเขาจะรู้ว่าเธอมีกลิ่นแบบไหน เวลาที่เธอเดินเขาจะเงี่ยหูฟังว่าเสียงฝีเท้าของเธอเป็นยังไง แล้วเขาจะรับรู้ได้ว่านั่นคือเธอ

 

ลูกเพนกวินเลยคิดกับตัวเองว่า พอมองย้อนกลับไปแล้วถึงจะเกิดมาจากไข่ที่โชคร้ายแต่ก็ได้รับความรักมากมาย และเติบโตมาเป็นเพนกวินที่มีความสุขมากจริง ๆ 

 

 

เป็นพาร์ทที่อยากแชร์ให้ได้อ่านกันค่ะ 😀 พอฟังแล้วมันจะออกแนวดูความรัก และแอบนึกถึงคนที่เรารักว่ามันเป็นจริง ๆ แบบที่นอร์เทินได้บอกกับลูกของเพนกวินเลย

 

 

และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ได้จากพาร์ทนี้ เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ใครทุกคนบนโลกพอใจ ถ้ามีคนที่เขารักและหวังดีกับเรา

 

เราไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกมารักเราไม่ได้หรอกมันจะเหนื่อยเกินไป เราแค่เคารพรักตัวเอง และรู้สึกขอบคุณคนที่คอยอยู่ข้างๆ ดูเราเติบโตและภูมิใจในตัวเราก็พอ

 

 

ประโยคที่อยากบอกเล่าจากคนอ่าน

หนังสือเล่มนี้จะเป็นการเล่าเรื่อง ของ แรด แพนกวิน ที่ค่อนข้างจะเป็นสัตว์ที่แตกต่างกันมาก ๆ ทำให้รู้สึกถึงแม้ว่าเราจะแตกต่างเราอยู่ร่วมกัน เราคอยอิงอาศัยกันได้

 

เราไม่จำเป็นต้องมองว่าคนที่แตกต่างนั้นแปลก ไม่น่าคบหา มองด้วยสายตาที่ไม่ดี การที่เขาไม่เหมือนเราไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่มีคนแบบเขา

 

หรือการที่เราเป็นแบบนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราไม่ดูแปลกในสายตาของคนอื่น โลกก็เป็นแบบนี้มีอะไรปะปนกันไป

 

การที่เราจะมีความสุขในฐานะมนุษย์คนนึงได้ก็คงจะเป็น be kind กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว 🙂

 

 

Life Changing Experience  ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมักจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านต่าง ๆ ของชีวิต

 

การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถแสดงให้เห็นในความเชื่อส่วนบุคคล ค่านิยม ลำดับความสำคัญ ความสัมพันธ์ การเลือกอาชีพ หรือไลฟ์สไตล์

 

Life Changing Experience 

 

ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต อาจเป็นเหตุการณ์สำคัญ หรือต่อเนื่องกันของเหตุการณ์ที่มีผลกระทบอย่างลึกซึ้ง และยั่งยืน ต่อความเชื่อ ค่านิยม พฤติกรรม

 

หรือมุมมองโดยรวมของชีวิต ประสบการณ์เหล่านี้อาจเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบ แต่มักจะส่งผลให้เกิดการเติบโต เกิดความเข้าใจตนเอง และโลกรอบตัวเราอย่างลึกซึ้งขึ้น

 

ตัวอย่างประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ได้แก่ การเจ็บป่วยร้ายแรง การเกิดของเด็ก อุบัติเหตุร้ายแรง การเสียชีวิตของผู้เป็นที่รัก การศึกษาศาสนา หรือความสำเร็จหรือความล้มเหลวครั้งใหญ่

 

คำว่า Life Changing Experience เราอาจมองว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ถึงทำให้เราเปลี่ยนไปอย่างยิ่งใหญ่ แต่อาจจะเป็นเรื่องราวเล็ก ๆ

 

ที่เราเจอในวันหนึ่ง แล้วเปลี่ยนแปลงนิสัย ความเข้าใจเล็ก ๆ ของเราไปบางอย่างก็ได้ อาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่สำคัญ แต่แล้วอยู่ ๆ ก็สำคัญขึ้นมาเฉย ๆ ก็ได้เลยนะ   

 

 

ทุกคนย่อมมีประสบการณ์ของตัวเอง 

พอพูดถึงคำว่า ประสบการณ์ เคยรู้สึกไหมว่าตัวเองไม่มี หรือไม่มั่นใจในประสบการณ์ของตัวเอง เวลาที่มีคนมาถามหรือเวลาคิดว่าจะไปสมัครงานใหม่ก็จะรู้สึกไม่มั่นใจ

 

จนเกิดความ suffer กับตัวเองบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับเพื่อน เราทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง หน้าพี่ของเราเพื่อนก็ทำแทนไม่ได้ จึงไม่ต้องคิดว่าไม่มีประสบการณ์

 

เพราะสิ่งที่พูดมาก็คือประสบการณ์ของตัวเองแล้ว อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในสิ่งที่ติดตัวเรามากัน

 

 

การเปลี่ยนแปลงทางด้านต่าง ๆ 

 

การเปลี่ยนแปลงมุมมอง : ประสบการณ์ดังกล่าวมีพลังในการเปลี่ยนมุมมองและท้าทายสมมติฐานหรือความเชื่อที่ยึดถืออาจกระตุ้นให้แต่ละคนตั้งคำถามต่อโลกทัศน์ที่มีอยู่และนำวิธีคิดใหม่ ๆ มาใช้

 

ผลกระทบทางอารมณ์ : ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมักจะเต็มไปด้วยอารมณ์ ต่าง ๆ ได้ เช่น ความสุข ความเศร้าโศก ความกลัว  การตอบสนองทางอารมณ์เหล่านี้ส่งผลต่อผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อแต่ละคน

 

การค้นพบตนเองและการเติบโตขึ้น : ประสบการณ์เหล่านี้สามารถใช้เป็นตัวเร่งให้เกิดการค้นพบตนเองและการเติบโต อาจเปิดเผยจุดแข็ง หรือบางอย่างในตัวเราที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งนำไปสู่การรู้จักตนเอง

 

ผลกระทบออกไปสู่รอบข้าง :  ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราสามารถขยายไปไกลกว่าเพียงแค่ตัวเอง และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ หรือแม้แต่สังคม สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ 

 

 

จุดประกายการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน

 

1. เปิดกว้าง 

 

เข้าถึงประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยใจที่เปิดกว้างและความเต็มใจที่จะเรียนรู้ การเปิดรับมุมมองและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ให้เกิดประโยชน์

 

2. ค้นหาความรู้

 

รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือประสบการณ์ที่คนอื่นหรือเราสนใจอยากทำ การรวบรวมข้อมูลก็เหมือนแต้มต่อที่จะทำให้เป้าหมายที่เราอยากทำ ประสบการณ์ที่เราอยากเผชิญได้สำเร็จมากขึ้น

 

3. ความยืดหยุ่นทางอารมณ์

 

เสริมสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์เป็นการพัฒนากลไกการรับมือที่ดี ฝึกฝนการดูแลตนเอง และขอความช่วยเหลือจากคนที่เรารัก หรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น

 

การสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์สามารถช่วยให้เราก้าวผ่านอารมณ์ดีและร้ายที่มักมาพร้อมกับประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตได้  

 

4. ฝึกการไตร่ตรองตนเอง

 

การไตร่ตรองตนเองเป็นประจำเพื่อรวบรวมความคิด อารมณ์ และประสบการณ์ ด้วยการจดบันทึก หรือการขอคำแนะนำจากนักบำบัดสามารถช่วยให้เรามีความชัดเจนและสร้างความหมายของประสบการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน 

 

คำจำกัดความของประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน สิ่งที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลหนึ่งอาจไม่ส่งผลกระทบแบบเดียวกันต่ออีกคนหนึ่ง

 

ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ส่วนบุคคล ค่านิยม และการตีความของแต่ละบุคคล เราสามารถใช้ชีวิตของเราไปเรื่อย ๆ ได้เลย จนวันหนึ่งอาจะเจอเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงก็ได้ 

 

ที่มา : 

A Life-Changing Experience

 

บทความอื่น ๆ 

 

 

 

 

 

ความกลัว มีหลากหลายรูปแบบ บางคนกลัวงู บางคนกลัวทะเล หรือบางคนกลัวในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กลัว เช่น กลัวผลไม้ ในมุมทางการแพทย์ ความกลัวคืออะไร

 

มีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง มาหาคำตอบกับรายการพูดคุย Alljit X คุณ ณัฏฐชัย รำเพย จิตแพทย์ 🙂

 

 

ความกลัว คืออะไร

ความกลัวเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ที่ปกป้องเราจากภัย ถ้ามนุษย์ไม่มีความกลัวจะทำให้เราไปเจอกับอันตราย

 

แต่ความกลัวในทางการแพทย์ที่เกินสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ ดูเป็นพิษใช้ชีวิตยากกับตัวเราเองจะเป็นโรคที่สัมพันธ์กับความกลัว หรือกลุ่มความวิตกกังวล

 

เช่น

 

 

กลัวอะไรแปลกๆ ?

ไม่ว่าจะกลัวอะไรที่ใครว่าแปลก มนุษย์ มีเหตุผล ในการกลัวเสมอ เพราะทุกคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป

 

เช่น การที่คนกลัวผลไม้ ตอนที่คน ๆ นั้นกินผลไม้แล้วเขากำลังโดนแม่ตีทำให้เขากลายเป็นคนกลัวผลไม้ได้ หรือการที่กลัวรถยนต์สีเขียว เพราะเคยประสบอุบัติเหตุกับรถยนต์สีเขียวก็ได้

 

 

รับมือ ความกลัว อย่างไร

สื่อสารให้คนอื่นเข้าใจอย่างไร

 

ควรเผชิญหน้ากับ ความกลัว หรือไม่

อยู่ที่ว่าเราอยากเผชิญไหมกับสิ่งที่เรากลัวอยู่ เช่น เรากลัวการที่จะออกไปพรีเซนต์หน้าห้องที่เป็นในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

 

อาจจะต้องลองขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่ให้เราได้เป็นจุดสายตา ที่เราหันไปมองคนนั้น ๆ แล้วรู้สึกผ่อนคลาย

 

ฝึกการท่องจำ เพื่อให้เราเพิ่มความมั่นใจมากยิ่งขึ้น หรือถ้ากลัวจนไม่อยากเผชิญจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะการที่เรารู้ว่าเรากำลังรู้สึกกลัวอะไร

 

เรากำลังตระหนักและเคารพตัวเองอยู่เช่นกัน