Posts
ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ “โลกซึมเศร้า” เมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เป็น โรคซึมเศร้า หรือเป็นคนในครอบครัวเรา เราจะทำยังไงดี?
วันนี้เรามาร่วมพูดคุยกันในรายการ “โลกซึมเศร้า” กับหัวข้อ คนใกล้ตัวเป็นซึมเศร้า ทำยังไงดี ?
ในขณะที่เป็น ซึมเศร้า อยากให้คนอื่นเข้าใจไหม?
ในคนที่เป็นโรคซึมเศร้า อาจจะมีความคาดหวังและความต้องการ “ความเข้าใจ” จากคนอื่น แต่ในอีกมุมหนึ่ง มิ้นว่าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นโรคซึมเศร้าต่างต้องการความเข้าใจกันทั้งนั้น
การรับฟังและปฏิบัติต่อกันโดยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ตัดสินด้วยอคติส่วนตัว จึงเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่ากับใคร
รู้สึกอย่างไร เวลาคนถามเกี่ยวกับโรค ซึมเศร้า ? เป็นซึมเศร้าหรอ? พอเป็นแล้วเป็นยังไง?
ในบางครั้งก็รู้สึก รำคาญใจ บางครั้งก็อยากตอบ เนื่องจากจะมีคนเข้ามาถามใน 2 รูปแบบ คืออยากรู้ไว้เป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ เพื่อเอาไปปรับใช้ในชีวิต กับบางคนที่ถามไปเพียงแค่อยากรู้เฉย ๆ
คนรอบข้างไม่มีความรู้เรื่อง โรคซึมเศร้า รับมือยังไงในมุมมองของเรา?
จริง ๆ แล้ว ในช่วงแรกคือ ไม่ชอบมาก ๆ ทำไมเขาต้องไม่เข้าใจ ,เขาจะคิดว่าเราบ้าไหม ,ทำไมเขาต้องตัดสินเราด้วย แต่ผ่านไปซักระยะ จะค่อย ๆ มีความคิดว่า ไม่เป็นไรหรอก
บางวันเราก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยเหมือนกัน แล้วเขาจะมาเข้าใจเราคงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขาเช่นกันนะ
เนื่องด้วยในทุกวันนี้มีคอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพจิตและ โรคทางอารมณ์ต่าง ๆ ให้ดูและฟังเยอะมากขึ้น หลายคนน่าจะพอเข้าใจโรคนี้ในระดับหนึ่ง
แต่ไม่ได้หมายความว่าการสื่อสารโดยตรงไม่สำคัญ หลาย ๆ ครั้ง ถ้าเราไม่บอกเขาก็ไม่รู้ ถ้าเราไม่บอกเขาก็ไม่เข้าใจ
หากเราไม่มีคนรอบข้างเลยจริง ๆ จะผ่านไปยังไง?
ก่อนอื่น สิ่งสำคัญคือต้องถามตัวเองให้แน่ใจว่า “ไม่มีใครซัพพอร์ตหรือไม่ยอมให้ใครซัพพอร์ต?” ในกรณี ไม่ยอมให้ใครซัพพอร์ตเกิดขึ้นได้
ด้วยความที่คนเป็นโรคซึมเศร้าจะมีการโทษตัวเอง มีความกลัวว่าตัวเองจะเป็นภาระ ทำให้ไม่กล้าเอื้อมมือไปขอความช่วยเหลือจากใคร
จนบางครั้งสายไป… เช่น อาการรุนแรงจนรักษาได้ยาก ทำร้ายตัวเอง หรือถึงขั้นฆ่าตัวตาย สิ่งสำคัญคือการสำรวจตัวเองและสื่อสารให้คนรอบข้างรับรู้
แต่ถ้าในกรณีที่รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างจริง ๆ เราสามารถใช้วิธีอื่น ๆ ได้ เช่น
1. รับสัตว์เลี้ยง
2. ใช้บริการอาสาสมัครรับฟัง
3. พบผู้เชี่ยวชาญ
ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับคนที่เป็น โรคซึมเศร้า มีอะไรบ้าง?
1. ความรู้เรื่องโรคซึมเศร้า
การที่เรามีความรู้เรื่องโรคซึมเศร้ามากขึ้นทำให้เราเข้าใจเขาได้มากขึ้นจริง เพราะเราจะรู้ได้ว่า ที่เขาเป็นแบบนี้ตอนนี้เพราะอาการของโรค
2. การสื่อสาร
เราได้พยายามเข้าหาเขาไหม? เราเข้าหาเขาในแบบที่เขาสบายใจหรือเปล่า? ปัจจัยพวกนี้มีผลหมด ว่าจะทำให้คนที่เป็นโรคซึมเศร้าอยากจะสื่อสารกับเราแค่ไหน?
รับมืออย่างไร? เมื่อต้องดูแลคนเป็น โรคซึมเศร้า
1. เป็นผู้รับฟังที่ดี คอยอยู่เคียงข้าง
คนที่เป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเรามากมาย เขาเพียงแค่ต้องการคนรับฟัง คนที่คอยอยู่เคียงข้างเท่านั้นเอง
2. แยกแยะตัวตนและตัวโรค
จากพี่อีฟ นักจิตวิทยาคิลนิกบอกว่า ต้องแยกแยะตัวตนและตัวโรค แยกนิสัยของคนนั้นกับนิสัยของโรคซึมเศร้า ซึ่งส่วนใหญ่ “นิสัยที่เปลี่ยนไป”
มักจะเป็นนิสัยของโรคซึมเศร้าถ้าเราเข้าใจว่าที่เขาเป็นแบบนี้ตอนนี้เพราะอาการของโรค เราจะเข้าใจเขาและโรคนี้มากขึ้น
3.รู้ทันอคติของตัวเอง
เมื่อไหร่ที่มีอคติเกิดขึ้น ลองหยุดพัก เพื่อถามตัวเองและรีเช็คกับตัวเองดู ว่าเรากำลังตัดสินเขาบนฐานความคิดของเราอยู่หรือเปล่า
อย่าลืมว่าทุกคนมีเงื่อนไข ปัญหา และภูมิต้านทานที่แตกต่างกัน ถ้ารู้ทันอคติตัวเองได้ เราจะเข้าใจเขาได้
4.หมั่นดูแลตัวเอง
จากหนังสือชื่อ “เหตุเกิดจากความเหงา” หมอปีย์บอกว่า ความรู้สึกเป็นโรคติดต่อ ทุกคนส่งผ่านความรู้สึกต่อกันได้โดยง่าย โดยที่ไม่ต้องพูดคุยกันด้วยซ้ำ
ความเศร้าเป็นความรู้สึกหนึ่งเหมือนกัน จึงเป็นไปได้ที่ครอบครัว เพื่อน คนรอบข้างจะรู้สึกเศร้าไปด้วยเมื่ออยู่กับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า เพราะฉะนั้น
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การดูแลคนที่เรารักคือ อย่าลืมหมั่นที่จะดูแลร่างกายและจิตใจตัวเองไปพร้อมกัน
ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ “โลกซึมเศร้า” ถ้าใครกำลังเครียดหรือเศร้า จนตัวเองรู้สึกไม่ไหวแล้วอยากลองไปพบหมอ
วันนี้เรามาร่วมพูดคุยกันในรายการ “โลกซึมเศร้า” กับหัวข้อ เมื่อสงสัยว่าเป็นซึมเศร้า พบ จิตแพทย์ ที่ไหนดี ?
สัญญาณเตือนที่ต้องมาพบ จิตแพทย์
1. พฤติกรรมเราเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึก ความคิดและพฤติกรรม
2. เริ่มทุกข์ใจกับอาการที่เป็น
3. อาการที่เป็นกระทบกับการใช้ชีวิต
4. หรือแค่ไม่สบายใจก็มาพบจิตแพทย์ได้แล้ว
เตรียมตัวมาพบ จิตแพทย์
1. ศึกษาข้อมูลของสถานพยาบาลที่จะเข้ารับคำปรึกษา
เช่น ต้องไปประมาณกี่โมง เราว่างช่วงไหนในวันนั้น เพราะบางสถานพยาบารับคนไข้น้อย ต้องไปจองคิว หรือบางสถานพยาบาลรับคนไข้ค่อนข้างเยอะ ก็จะทำให้การเข้ารับการรักษาค่อนข้างช้า
2. เตรียมบัตรประชาชนหรือเอกสารที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์
3. เตรียมตัว เตรียมใจ ไปให้พร้อม
อาจจะมีการจดบันทึกสิ่งที่เราอยากบอกกับหมอ อาการ ความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์ชีวิต หรือความเจ็บปวดที่เจอ การเขียนจะทำให้ความรู้สึกที่อยู่ข้างในเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
ขั้นตอนการเข้ารับคำปรึกษา
- ลงทะเบียนคัดกรอง
- ซักประวัติกับพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่รับคิว
- เข้าพูดคุยกับนักจิตวิทยา
- เข้าพบจิตเเพทย์
- นัดครั้งถัดไป รับยา
ไปพบ จิตเเพทย์ =เป็นโรคซึมเศร้าเสมอไปไหม?
ไม่เสมอไป เพราะอาการทางจิตเวช หรือภาวะต่าง ๆ เกี่ยวกับจิตใจ มีอีกเยอะมาก ๆ หรือบางทีแค่เครียด เราก็สามารถเข้าไปพบกับนักจิตวิทยาได้แล้ว
ทำไมเป็นเบาหวานหาหมอได้ ?
แล้วทำไมคิดมากจนนอนไม่หลับถึงไปหาหมอไม่ได้?
ความแตกต่างของสถานพยาบาล
โรงพยาบาลรัฐ
ราคา : ถูกที่สุด(ตามระเบียบของกระทรวง)
ความสะดวก : การนัดพบอาจจะมีระยะ 1 เดือนขึ้นไป เนื่องจากมีคนเข้าใช้บริการเยอะ
การใช้สิทธิ : บัตรทอง ประกันสังคม ข้าราชการและอื่นๆ
โรงพยาบาลเอกชน
ราคา : ราคาสูง (แต่ละที่จะมีการกำหนดราคาต่างกัน)
ความสะดวก : รวดเร็วที่สุด (เลือกหมอเองได้)
การใช้สิทธิ : ประกันไม่ครอบคลุม
คลินิกจิตเวช
ราคา : ราคาสูง(อาจจะมีการคิดราคายาต่อเม็ด)
ความสะดวก : รวดเร็ว(สามารถไปหานอกเวลาราชการได้)
การใช้สิทธิ : ประกันไม่ครอบคลุม
*ควรเลือกโรงพยาบาลที่สามารถไปพบแพทย์ได้สะดวก เพราะกระบวนการการรักษาต้องอาศัยความต่อเนื่อง
อายุต่ำกว่า 18 ไปพบจิตแพทย์เองได้ไหม
หากเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี Walk in เข้าหาจิตแพทย์โดยไม่มีผู้ปกครอง จะถือว่ายังไม่เป็นผู้ป่วย ดังนั้น จะได้รับบริการให้คำปรึกษา ได้รับการดูแลเบื้องต้น และสามารถตรวจสุขภาพจิตได้
คุณหมอจะต้องให้บริการทั้ง inform และ consent มีการคัดกรองผู้ป่วย และจำแนกเป็นแต่ละประเภท ประเมินในส่วนของภาวะอันตรายและเร่งด่วนในการบำบัดรักษา และประเมินความปลอดภัยของเด็ก
หากเป็นเคสฉุกเฉิน ส่งผลต่อชีวิตของตนเองและผู้อื่น มีพฤติกรรมทำร้ายตนเอง มีบาดเเผล แม้มากหรือเล็กน้อย จิตแพทย์สามารถให้การรักษาได้ทันที ตามหลัก ” จรรยาบรรณแพทย์ ”
“โดยยึดถือประโยชน์และสิทธิของเด็กเป็นอันดับ 1”
หากเป็นเคสไม่ฉุกเฉิน (ถ้าเป็นซึมเศร้า จะเป็นภาวะซึมเศร้า ไม่ถึงขั้นเป็นโรค ) ผู้ให้บริการจะให้คำปรึกษา ช่วยเหลือเบื้องต้น พูดคุยในเคสคลายความกังวล
และสอบถามความสมัครใจว่าสามารถที่จะพูดคุยกับผู้ปกครองได้ไหม ให้หมอหรือนักสังคมสงเคราะห์ช่วยไหม และจะดำเนินการช่วยเหลือต่อไป
ปลายทางของ 2 เคสนี้คือ “ เด็กได้รับการรักษาและหายจากโรคจิตเวช “
นักจิตวิทยา VS จิตแพทย์ บทบาทที่ต่างกัน
จิตแพทย์ ทำหน้าที่วินิจฉัยโรค ให้คำแนะนำ และสั่งยา
นักจิตวิทยา จิตบำบัด เน้นพูดคุย รับฟังทุกอย่าง ให้กำลังใจ และสะท้อนให้เราเห็นอีกมุม
ไม่สบายใจเฉย ๆ ไปพบจิตแพทย์ได้ไหม
การพบจิตแพทย์ในวันที่เรารู้สึกไม่มั่นคงทางความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องน่าอาย เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่หันมาใส่ใจเรื่องของสุขภาพจิตกันมากขึ้น จึงทำให้การมาพบจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติ
และการมาพบจิตแพทย์ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด เมื่อเราสังเกตเห็นว่าคนรอบข้างหรือตนเองเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ก็ควรมาพบจิตแพทย์ เพื่อประเมินอาการและรักษา
ที่มา:
เพราะชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือ เมื่อเจอกับปัญหาเรามีความเข้มงวดหรือยืดหยุ่นในการตัดสิน วันนี้มาทำความรู้จักกับ ความยืดหยุ่นทางใจ สิ่งที่จะช่วยลดความกดดันภายในใจของเรา
เคยรู้สึกกดดันเพราะเข้มงวดหรือยืดหยุ่นเกินไปไหม
เข้มงวด & ยืดหยุ่น คืออะไร?
เข้มงวด ( Rigid )
เข้มงวด ยึดมั่น ไม่ยืดหยุ่น ไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม ความคิดเห็น และทัศนคติของตัวเองง่าย ๆ คนที่เข้มงวดมักจะต้องแบกความรู้สึกทางลบและจัดการกับปัญหาโดยกดดันตัวเอง บังคับตัวเอง
ยืดหยุ่น ( Resilient )
ยืดหยุ่น คือ สามารถปรับตัวปรับใจได้ดีต่อสถานการณ์ต่าง ๆ Dr. Sood กล่าวว่า มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ ความรู้สึกขอบคุณ, ความเห็นอกเห็นใจ, การยอมรับ, การให้ความหมายต่อสิ่งต่าง ๆ และการให้อภัย
ความยืดหยุ่นทางใจ (Resilience) คืออะไรในทางจิตวิทยา?
เว็ปไซต์ APA กล่าวว่า ความยืดหยุ่นทางใจเป็นกระบวนการในการปรับตัวปรับใจกับสถานการณ์ที่ยากลำบากและความท้าทายในชีวิต
ทฤษฎีกล่าวว่าความยืดหยุ่นทางใจไม่ใช่ลักษณะนิสัยที่คงทนถาวร เราสามารถปรับเปลี่ยนหรือฝึกฝนได้
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารปี 2022 พบว่า คนที่มีความยืดหยุ่นทางใจ จะมีความสามารถในการจัดการกับปัญหาได้ดี มี EQ สูง มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนเข้มงวด รวมถึงมีความพึงพอใจในชีวิตที่มากกว่าด้วย
ความยืดหยุ่นทางจิตใจ หมายถึง ความสามารถของ บุคคลในการปรับตัวให้คืนสู่สภาพเดิม ภายหลังเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคสำคัญในชีวิต ทั้งปัญหา ด้านสุขภาพ ด้านเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว และภาวะวิกฤตต่างๆ ของชีวิต
ความยืดหยุ่นทางใจ ขึ้นอยู่กับอะไร?
จาก APA กล่าวว่า ความยืดหยุ่นทางใจขึ้นอยู่กับว่า คน ๆ นั้นสามารถปรับตัวปรับใจกับความทุกข์ยากที่พบเจอได้มากน้อยแค่ไหน มีปัจจัย 3 อย่างหลัก ๆ คือ
1.มุมมองที่มีต่อโลก
2.คุณภาพของความสัมพันธ์ที่มี
3.วิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะตัว
ความยืดหยุ่นทางใจ สำคัญยังไง?
หลาย ๆ คนบอกว่า Resilience skill นี่ สำคัญมากในยุคนี้ เพราะเป็นทักษะความยืดหยุ่นทางจิตใจ มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบัน เนื่องจากความยืดหยุ่นทางใจจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับภาวะวิกฤตต่าง ๆ ของชีวิต
ซึ่งบางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน โดยสามารถกลับมาดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขได้อย่างรวดเร็ว ภายหลังเผชิญกับภาวะวิกฤติในชีวิต
ความยึดหยุ่นช่วยให้เราให้มีวุฒิภาวะมากขึ้น ช่วยให้บุคคลมีความอดทนต่อความยากลำบาก ในช่วงที่กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติของชีวิต และช่วยสร้างกำลังใจให้ลุกขึ้นสู้และลงมือแก้ไขปัญหา
คุณลักษณะสำคัญของผู้ที่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจ
เดวิส (Davis 1999) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะสำคัญของผู้ที่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจ โดยสรุปว่า ผู้ที่มีความยืดหยุ่นทางใจ จะต้องประกอบด้วยความสามารถ 6 ประการ ดังต่อไปนี้
1. ความสามารถทางด้านร่างกาย (Physical competence)
ได้แก่ การมีสุขภาพที่ดี มีอารมณ์ราบรื่น สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม มีปฏิกิริยาสนองตอบทางอารมณ์เพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆ
2. ความสามารถทางด้านสังคมและสัมพันธภาพ (Social and relation competence)
ได้แก่ ความสามารถในการพัฒนาและรักษาไว้ มีความไว้วางใจ มีความสามารถและมีโอกาสในการ ช่วยเหลือบุคคลที่สามารถให้ความช่วยเหลือตนเอง มีความสามารถในการตระหนักรู้ และแสดงบทบาทที่ มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
3. ความสามารถทางด้านการรู้คิด (Cognitive competence)
ได้แก่ ความสามารถในการวางแผน การแก้ไขปัญหา มองอนาคตอย่างมีความหวัง มองโลกในแง่ดี มีความเชื่อในการควบคุมตนเอง มีความเชื่อว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จ
และมีความสามารถในการประเมินการรู้คิดที่เพียงพอและตรงตามความเป็นจริง
4. ความสามารถทางด้านอารมณ์ (Emotional competence)
ได้แก่ ความสามารถในการคบคุมอารมณ์ มีความอดทนพร้อมที่จะรอคอยโอกาส มองเห็นคุณค่าในตนเองตามความเป็นจริง และมีความสามารถในการสร้างอารมณ์ขัน
5. ความสามารถทางด้านคุณธรรม (Moral competence)
ได้แก่ การช่วยเหลือบุคคลอื่น มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น มีความผูกพันและมีส่วนร่วมในสังคม
6. ความสามารถทางด้านจิตวิญญาณ (Spiritualcompetence)
ได้แก่ การมีศรัทธา มีศีลธรรม เช่น ความซื่อสัตย์ มองเห็นความหมายในชีวิต มีความยุติธรรม นับถือตนเอง และการมองเห็นคุณค่าในตนเอง
สรุปได้ว่า ผู้ที่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจ มีคุณลักษณะสำคัญ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ด้านอารมณ์ การรู้คิด และด้านจิตวิญญาณ
เช่น มีสุขภาพดี มีอารมณ์มั่นคง มีอารมณ์ขันเห็นคุณค่าในตนเอง มีเป้าหมายในชีวิต มีความกระตือรือร้น มีทักษะในการแก้ปัญหา และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น ได้อย่างเหมาะสม เป็นต้น
ยืดหยุ่นมากไปมีข้อเสียไหม?
1. อาจจะทำให้ใจอ่อนกับตัวเอง ละเลยเป้าหมายที่ตั้งไว้
2. อาจเกิดการซุกปัญหาไว้ใต้พรม ไม่แก้ปัญหาที่ควรแก้และ ปัญหาอาจจะบานปลายได้
3. อาจเกิดการผัดวันประกันพรุ่งขึ้นได้
อยากมี ความยืดหยุ่นทางใจ ต้องทำยังไง?
1. ผ่อนปรนให้กับเรื่องต่าง ๆ
บางทีชีวิตจะนำพาปัญหามาให้ การเข้มงวด ตำหนิ กดดัน ตัวเองเพื่อให้ก้าวผ่านเรื่องราวต่าง ๆ นั้นไปได้ไม่ใช่ได้ดีต่อการแก้ไขปัญหาเสมอไป ลอง Easy on yourself ลองให้เวลาตัวเองบ้าง
2. พูดคุยกับคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว เพราะการแลกเปลี่ยนกับคนรอบข้าง จะช่วยให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้น การเปิดรับความคิดเห็นของคนอื่นอาจจะทำให้ความยืดมั่นในบางสิ่งบางอย่างลดลงได้
3. ฝึกฝนการจัดการอารมณ์ตัวเอง
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ลง Frontiers ปี 2017 กล่าวว่า การจัดการอารมณ์ตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้เราสามารถจดจ่อกับการทำสิ่งที่ท้าทายต่าง ๆ ได้ รวมถึงจะช่วยให้เรามีความยืดหยุ่นพอสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นด้วย
4. สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ตัวเอง
ถ้าพยายามยืดหยุ่นแล้วแต่ไม่ได้จริง ๆ ลองสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ตัวเอง ต้องเป็นที่ที่เราจะปล่อยวาง ไม่ต้องเครียดไม่ต้องคิดมาก เช่น ห้องนอนของตัวเอง ตั้งไว้ว่าจะเป็นที่ที่เราจะให้ตัวเองเป็นอิสระ
เทคนิคล้มแล้วลุกได้เร็ว
1.ยอมรับความจริง โดยอิงกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
2.ค้นหาความหมาย กล้าทบทวนตนเอง
3.ต่อสู้ในทุกสิ่งที่ตัวเองมี แล้วพัฒนาไปกับมัน
ที่มา :
10 tips to build skills on bouncing back from rough times
ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่โลกซึมเศร้า เชื่อว่าใครหลายๆคนคงเคยได้ลองเข้าไปทำแบบทดสอบเกี่ยวกับโรค ซึมเศร้า กันมาบ้างแล้ว ในตอนที่เราเครียด หรือดิ่งมาก ๆ
บทความนี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ของทีมงาน Alljit ที่เคยตกอยู่ในโลกซึมเศร้าเพียงเท่านั้น อาจจะมีบางมุมมองที่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนและเป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะทำให้เราเช็คตัวเราเองได้
ก้าวผ่านโรค ซึมเศร้า มานานแค่ไหน
หายแบบที่ไม่ต้องกินยาก็ใกล้เคียง 2 ปี ตอนนี้คงเหลือแค่ความเศร้าที่เข้ามามาปกติ
ซึมบ้างเศร้าบ้าง เป็น ซึมเศร้า ไหม
เรารู้สึกว่าโรคซึมเศร้าเป็นกันง่าย แต่เข้าถึงยากหลาย ๆ คนรู้จักโรคนี้เข้าใจบางส่วน หลาย ๆ คนก็เข้าใจผิดแล้วนำไปพูดทำร้ายจิตใจกัน
สิ่งที่สำคัญความซึมเศร้านั้นเป็นอารมณ์ซึมเศร้าปกติ หรือ ความซึมเศร้านั้นได้กลายเป็น โรคซึมเศร้า ไปแล้ว …
อารมณ์ซึมเศร้า เป็นอาการทางใจ เมื่อมีเหตุไม่สมหวังมากระทบใจ เลิกกับแฟน ทะเลาะกับเพื่อน งานไม่เป็นไปตามหวัง เงินไม่พอใช้
จะหวั่นไหว ผิดหวัง เจ็บปวด รู้สึกซึมเศร้า พอเวลาผ่านไปหมดไปปรับตัวได้ความซึมเศร้าก็จะค่อย ๆ ลดลงไป
หากเป็นโรคซึมเศร้า จากข้อมูลของเว็ปไซต์มหิดล กล่าวว่า
โรคซึมเศร้า เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งคือ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีความผิดปกติที่มีอารมณ์ซึมเศร้านานต่อเนื่อง ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์
ผู้ที่ป่วยจะมีอาการเศร้าอย่างมากจนไม่มีความสนใจในกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยทำให้กลับมามีความสุขสดชื่นเหมือนเดิม เบื่อหน่ายไปในทุก ๆ สิ่ง
เกิดการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิตต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรืออยากนอนทั้งวัน ไม่อยากทำอะไร รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง มองตัวเองไม่ดี และอาจมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย
แต่สำหรับตัวเราเองแล้วจากประสบการณ์ที่ผ่านมา โรคซึมเศร้าสำหรับเรา คือความเศร้ามาก ๆ จนเราไม่สามารถใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม เศร้าจนไม่สามารถอธิบายได้เลย
คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นซึมเศร้าแล้ว เป็นเพราะอะไร
- เสียงสะท้อนจากคนรอบตัว
- ความรู้สึกของตัวเองหนักขึ้นทุกวัน
- ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำเป็นประจำก็ไม่อยากทำ
- ตอนเย็นคือช่วงเวลาที่แย่ที่สุด แต่คำตอบคือเราไม่มีทางรู้ว่าเราเป็นซึมเศร้าไหม จนเราไปหาหมอ
เปรียบเทียบอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นกับหนึ่งสิ่งจะเปรียบเทียบกับอะไร
ขอเปรียบมันเหมือนกระถางต้นไม้ที่ตายแล้ว ตอนเราซึมเศร้ามันเป็นแบบนั้น คือ ต้นไม้ต้นนี้เคยสวยงาม แล้ววันหนึ่งมันก็เหี่ยวเฉาลง ด้วยสภาพแวดล้อม หรือเพราะตัวต้นไม้เองก็ไม่ทราบ
มันเหี่ยวลงแต่ยังไม่ตายแต่สุดท้ายต้นไม้ ต้นนั้นก็ยังคงจะกลับมาเติบโตสวยงามได้อีกครั้ง ด้วยการดูแลเอาในใส่ ลดน้ำ ให้ปุ๋ย ให้ยา และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
และจริง ๆ ต้นไม้ที่เหี่ยว ไม่สามารถกลับมาสวยงามได้ในชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลา
ต้องเจอกับเรื่องร้ายแรงแค่ไหนถึงเป็นโรคซึมเศร้า
สำหรับเราหมอบอกว่าเป็นความรู้สึกช็อค เพราะมีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่ทำให้รู้สึกผิดหวังเข้ามาในคราวเดียวกัน จนเริ่มเศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นปัญหาในการใช้ชีวิต
ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการรีเช็คตัวเอง
1. ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องมากระทบจิตใจใหญ่ ๆ เสียใจหนัก ๆ แล้วจะเป็นซึมเศร้าเพียงอย่างเดียว บางคนสะสมความเศร้า ความเครียด หมดแพชชั่นมาเป็นช่วงระยะเวลาก็เป็นได้
2. สำคัญมากเลย การเข้าทำแบบทดสอบไม่ได้บอกว่าคุณเป็นโรคซึมเศร้า
สำรวจตัวเองว่ากำลังเป็น ซึมเศร้า หรือเปล่า
- เศร้า อ่อนไหวง่าย เบื่อ ท้อแท้ บางทีก็หงุดหงิดแบบหาสาเหตุไม่ได้
- ความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ ลดลง อาจจะเป็นสิ่งที่เคยชอบทำก็ไม่อยากทำแล้ว
- เกิดความผิดปกติเรื่องการกิน กินมากเกิน กินน้อยเกิน
- หลับยาก จากปกติที่นอนหลับได้ง่ายก็อาจจะยากขึ้นหรือนอนมากเกิน
- ไร้เรี่ยวแรง ไม่มีพลัง ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
- รู้สึกไร้ค่า โทษตัวเอง โรคซึมเศร้าจะดึงความคิดแง่ลบ มุมมองแง่ลบต่อสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะกับตัวเอง เขาจะมุมมองต่อตัวเองว่าไร้ค่า โทษตัวเองในทุกๆเรื่อง ยิ่งกับบางเรื่องที่เขาเคยทำพลาด เขาจะโทษตัวเองและจมกับความผิดพลาดนั้น
- ไม่มีสมาธิ มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ น้อยลง ระบบประมวลผลทางความคิดช้ากว่าปกติ
- คิดถึงความตาย คิดจะฆ่าตัวตาย มีความคิดเกี่ยวกับความตายเกิดขึ้นซ้ำๆ บางทีอาจจะมีการวางแผนฆ่าตัวตาย
นอกจากอาการต่าง ๆ ที่ข้างต้น อาจจะยังมีอาการอื่น ๆ อีก ซึ่งเป็น case by case แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการเบื้องต้นนี้ไม่สามารถ การันตีด้วยตัวเองว่าเรากำลังตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าหรือไม่
เพราะการที่เราจะสามารถรับรู้ได้ว่าเราตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าหรือสภาวะอื่น ๆ ได้นั้น ต้องมาจากการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกซึมเศร้า ที่จะพาทุกคนร่วมเดินทางไปในโลกซึมเศร้าเรื่องของ ยา และโรคซึมเศร้า อย่างที่รู้กันว่าวิธีการรักษาหลักของโรคซึมเศร้า
คือ การพูดคุยให้คำปรึกษา จิตบำบัดและยา หลาย ๆ คนมักจะมีคำถามเกี่ยวกับการรักษาด้วยยาซะส่วนใหญ่ เช่น ทำไมต้องกินยาด้วย ทานยาแล้วเสพติดจริงไหม ทานยาแล้วหยุดเองได้ไหม
วันนี้เรามาร่วมพูดคุยกันในรายการ “โลกซึมเศร้า” กับหัวข้อ “ยา” ช่วยได้จริงไหม ?
ยา ช่วยอะไร
โรคซึมเศร้าเกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุล เพราะฉะนั้น ยารักษาโรคซึมเศร้าหรือยาต้านเศร้า (antidepressants) จะช่วยแก้ไขสมดุลของสารเคมีในสมอง
หรือสารสื่อประสาทในสมอง คือ เซโรโทนิน , โดพามีน และ นอร์อิพิเนฟรีน
- โดปามีน : มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ แรงจูงใจ การปลุกเร้า การตื่นตัว และการความสุข
- นอร์อิพิเนฟริน : มีอิทธิพลต่อความตื่นตัว ช่วยควบคุมความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพื่อตอบสนองต่อความเครียด
- เซโรโทนิน : ควบคุมอารมณ์ ความอยากอาหาร การนอนหลับ ความจำ พฤติกรรมทางสังคมและความต้องการทางเพศ
เศร้า กับ โรคซึมเศร้า แตกต่างกัน ถ้าเป็นโรคซึมเศร้าต้องรับประทานยาเพราะภาวะนี้เกิดขึ้นเป็นระยะ ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งแก้ไขลำบากแถมยังสร้างความเสียหายให้กับสมองด้วย
คนที่ไม่ทานยาแล้วสามารถหายได้ไหม? ซึ่งคำตอบจากคนที่ไม่ทานบาเขาบอกว่า ‘ หายแต่ใช้เวลานาน ‘ การที่เป็นก็ทรมานมาก ๆ อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เราต้องเจอมันเหนื่อยมาก
เขาเน้นย้ำเลยว่าหายอะหายได้แต่ใช้เวลานานกินเวลากับความเศร้านาน นอกจากตัวเราก็ส่งผลกับคนรอบข้าง และสนับสนุนให้ไปพบผู้เชี่ยวชาญ+บำบัด+ทานยาดีกว่า
และมีความคิดเห็นนึงว่าอย่าให้ใครมาเสี่ยงด้วยด้วยการที่ไม่ทานยาเลย เพราะบางคนรับมือปัญหาโดยการที่ไม่ทานยาได้ไม่เท่ากัน
หยุดยาเเล้วกลับมากินต่อได้ไหม
ถึงจะรู้สึกว่าอาการที่เคยเป็นเบาลงเเล้วหรือหายดีแล้วก็ตาม เพราะกิน ๆ หยุด กินเกินขนาน กินน้อย จะทำให้การรักษายากขึ้น ระยะเวลาการรักษายาวนานกว่าเดิมและอาการกำเริบได้
จากที่เคยสอบถามคุณหมอ คุณหมอบอกว่าไม่สามารถหยุดเองได้ การทานยาต้องทานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ อย่างน้อย 6 เดือน เพราะร่างกายช่วงแรกที่ทานต้องปรับยา
และ 6 เดือนคือช่วงที่เซลล์ในสมองเราดูดซึบซับปรับฮอร์โมน เคมีในสมองของเรา คุณหมอคอยถามตลอดว่าเราโอเคกับยานี้ไหม หากอยากหยุดยาต้องบอกแพทย์ ค่อย ๆ ลดลงตามลำดับขั้นของการรักษาของคุณหมอ
ยา ต้านเศร้าอันตรายไหม
บางคนกลัวว่าการกินยาต้านเศร้าจะทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น มึนงง เบลอ หรือคิดยา จนทำให้ไม่ทานยาหรือทานยาไม่ครบ จริง ๆ แล้วยาต้านเศร้าไม่อันตรายและไม่เกิดอาการติดยา
สามารถทานได้ตามคำสั่งของแพทย์ แต่ทุกยาย่อมมีผลข้างเคียง สิ่งนี้เราต้องยอมรับเพราะไม่ว่าจะยาอะไรย่อมมีผลข้างเคียง แต่ผลข้างเคียงนั้นถ้าเราปรับกับยาได้ก็จะเบาขึ้น
หรือถ้ายานั้นเอฟเฟคกับเราเกินไปเราสามารถไปหาหมอเพื่อให้เขาปรับลดยาได้ หรือบางคนที่ไปทานยามาแล้ว เกิน 2-3 อาทิตย์แล้วไม่ดีขึ้นเลย เราก็สามารถบอกให้หมอเพิ่มยา/ปรับเปลี่ยนได้เหมือนกัน
กินยาแล้วหายทันทีเลยไหม
แน่นอนว่ายาต้านเศร้าไม่ได้ออกฤทธิ์ทันทีเหมือนยาแก้ปวด เราต้องมีความอดทนเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ จากเว็บไซต์ของโรงพยาบาลมนารมย์ เขียนโดย วรวัฒน์ บานชื่นวิจิตร เภสัชกร โรงพยาบาลมนารมย์
“อาการของโรคไม่ได้หายทันทีที่กินยา ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ขึ้นไปอาการจะดีขึ้นอย่างเห็นชัด ยามีส่วนช่วยในระยะแรก ๆ ทำให้ผู้ป่วยหลับได้ดี เจริญอาหารขึ้น มีเรี่ยวแรงทำอะไรมากขึ้น ความรู้สึกกลัดกลุ้มหรือกระสับกระส่ายเริ่มลดลง” เราต้องมีความอดทน
และช่วงแรกอาจจะดิ่งดาวน์กว่าปกติจนเราไม่อยากกินต่อ เพราะอย่างที่บอกว่าต้องใช้เวลาในการปรับตัวเราให้เข้ากับยา ช่วงแรกของการกินทั้งปากแห้ง หาว เพลีย ไม่มีสมาธิ ไม่อยากกินอะไร แต่พอปรับตัวได้ก็เริ่มโอเค ต้องใช้เวลาและใจเย็นในการทานยา
เป็นซึมเศร้าเหมือนกัน แพทย์จ่ายยาเหมือนกันหรือเปล่า
ไม่เหมือนกัน ยาต้านเศร้ามีหลายกลุ่ม โดยตัวยาแต่ละกลุ่มมีประโยชน์ ความเสี่ยง และการใช้งานที่เหมาะสม การเลือกใช้ยาอาจแตกต่างกันไปตามอาการประวัติการรักษา
และความผิดปกติทางอารมณ์ จิตใจ แพทย์จะพิจารณาการใช้ยาให้เหมาะกับตัวผู้ป่วยแต่ละคน ว่าคนไหนถูกกับยาตัวไหน รวมถึงพิจารณาร่วมกับยาอื่นๆหรือโรคทางร่างกายที่ผู้ป่วยกำลังรักษา
อย่างเราเป็นโรคซึมเศร้าแต่เราอาการแตกต่างกันคนนั้นเป็นมากกว่าเรา เราเป็นคนน้อยกว่าเขา ก็ได้ยาแตกต่างกัน บางคนน้ำหนักลด ได้วิตามินมากินด้วย แต่กลับบางคนไม่มีผลกับน้ำหนักก็จะไม่ได้วิตามิน
ผลข้างเคียงจากยามีอะไรบ้าง
กลุ่มยา มี 5 กลุ่มหลัก
กลุ่มที่ 1 Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) ผลข้างเคียง คือ คลื่นไส้ นอนไม่หลับ หงุดหงิด ปวดศีรษะและความต้องการทางเพศลดลง
กลุ่มที่ 2 Serotonin and norepinephrine reuptake inhibitors (SNRIs) นอร์อิพิเนฟริน ผลข้างเคียง คือ คลื่นไส้ ง่วงซึม อ่อนเพลีย ท้องผูก และปากแห้ง
กลุ่มที่ 3 Tricyclic antidepressants ไทรซีคลิก (TCAs) ผลข้างเคียง คือ ท้องผูก ปากแห้ง ตาพร่า ง่วงซึม เวียนศีรษะ และน้ำหนักขึ้น ในบางกรณี อาจเกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตต่ำ และอาการชักได้
กลุ่มที่ 4 Monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) ผลข้างเคียงคือ คลื่นไส้ วิงเวียน ง่วงนอน กระสับกระส่าย และนอนไม่หลับ
กลุ่มที่ 5 Atypical antidepressants เอทิพิคอล เป็นกลุ่มยาต้านเศร้าประเภทใหม่ที่ไม่จัดอยู่ในประเภทใด ๆ ที่ระบุไว้ข้างต้น ผลข้างเคียงอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของยา
แต่อาจรวมถึงอาการวิงเวียนศีรษะ ปากแห้ง นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ตาพร่ามัว น้ำหนักขึ้น และความต้องการทางเพศลดลง
ถ้ายาส่งผลกระทบเยอะหรือไม่ได้ผล ขอลดยาหรือเพิ่มยาได้ไหม
ประมาณ 60% ของผู้ที่ทานยาต้านเศร้าจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้รับยาตัวแรก หากยาต้านเศร้าตัวแรกไม่ได้ผล ก็เป็นไปได้ว่ายาต้านเศร้าตัวอื่นจะได้ผล หรือการที่ผู้ป่วยทานยาเเล้วรู้สึกว่าไม่ได้ผลในระยะแรก
เป็นเพราะยังปรับยาไม่ได้ขนาดหรือยายังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ หากทำการรักษาไประยะหนึ่งแล้วเห็นว่าการให้ยาในขนาดที่พอเพียงแล้วแต่ผู้ป่วยอาการดีขึ้นไม่มาก ก็อาจพิจารณาใช้ยาตัวอื่นต่อไป
หรือถ้าหากว่าเรารู้สึกว่ายาที่ทานอยู่ส่งผลกระทบที่กระทบต่อการใช้ชีวิต เช่น การทำงาน การเรียน ควรแจ้งเเพทย์ทุกครั้ง และควรทานยาตามขนาดที่แพทย์สั่งเท่านั้น ไม่ควรปรับลดเอง
ยา ส่งผลกระทบเยอะ ดูแลตัวอย่างไร
ผู้ป่วยต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของยา ต้องรู้ว่าเรากำลังใช้ยาต้านเศร้าตัวไหน รวมถึงวิธีการรับมือ ด้วยความที่ผลข้างเคียงของยาจะแตกต่างกันไป
หากรู้สึกว่ารุนแรงเกินไป ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อการปรับลดยาต่อไป
ควรปฏิบัติตัวดังนี้เมื่อเกิดอาการข้างเคียงของยา
- ง่วงซึม ง่วงนอนมาก : ไม่ควรขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรอาจเกิดอันตรายได้ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อลดหรือเปลี่ยนยา
- ปากแห้ง : ควรบ้วนปาก จิบน้ำ ทาลิปบาร์มลิปมัน หรือน้ำมะนาวบ่อย ๆ เพื่อให้ปากชุ่มชื่น
- ท้องผูก : ควรรับประทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำมากๆ พยายายามเพิ่มการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายทุกวัน
- คลื่นไส้ : ควรทำความสะอาดปากและฟัน ดื่มน้ำผลไม้รสเปรี้ยวหรืออมลูกอมที่มีรสชาติให้ลดความคลื่นไส้
- พฤติกรรมเชื่องช้าลง : ระมัดระวังการหกล้มหรือการเกิดอุบัติเหตุ
- ลิ้นคับปาก น้ำลายไหล : ดูแลเรื่องความสะอาด พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้หงุดหงิด เวลาสื่อสารกับผู้อื่นควรพูดช้า ๆ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ
ทานยาอย่างเดียวเลยได้ไหม
ไม่ควรใช้ยาต้านเศร้าเพียงอย่างเดียวในการรักษาโรคซึมเศร้า แต่ควรใช้ร่วมกับจิตบำบัด เพราะหากเราคิดว่าโรคซึมเศร้าเป็นเรื่องของสารเคมีในสมองอย่างเดียวเราก็จะกินยาโดยลืมเรื่องของจิตใจไป
การปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตหรือวิธีคิดก็สำคัญในการรักษาภาวะซึมเศร้า เช่น สร้างสมดุลให้กับชีวิต หาเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย ดูแลเรื่องโภชนาการอาหารและใช้เวลากับธรรมชาติ ก็เป็นวิธีที่สามารถทำเพื่อให้รู้สึกดีขึ้นได้
ถ้าพอไหว พยายามทำกิจวัตรประจำวันให้ใกล้เคียงกับที่เราทำให้มากที่สุด อาจจะต้องฝืนไปบ้าง จากเดิมที่เราชอบเจอเพื่อน คุยกับเพื่อน ชอบออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่ตอนนี้เหนื่อยมากเลยเหมือนโดนดูดพลังงานไปทั้งหมด
อีกอย่างหนึ่งที่ Alljit พูดบ่อย ๆ เสมอว่า มนุษย์มีพื้นฐานความต้องการความผูกพันกับผู้อื่น อยากให้ลองพยายามที่จะเข้าหาเพื่อนหรือว่าคนที่เราคุ้นเคย ไว้วางใจ แล้วก็อาจจะพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ปัญหาต่าง ๆ
บางทีปัญหาของคนที่เป็นโรคซึมเศร้าอาจจะไม่เยอะนัก แต่ว่าพอเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว จะทำให้เรามองว่ามันคงจะแย่ไปกว่าเดิม แต่ว่าถ้ามีคนอื่นที่เขาคอยให้คำปรึกษาและคอยรับฟังเรา บางทีเขาอาจจะมีมุมมองใหม่ ๆ ให้เราก็ได้ 😀
ที่มา
The 5 Types of Antidepressants
ยาต้านเศร้ารักษาโรคซึมเศร้าได้อย่างไร
ข้อควรรู้เกี่ยวกับยารักษาโรคจิตเวช
How Your Depression Medicine Can Affect Your Life
ประโยคที่ว่า ‘ยิ่งโต ยิ่งรับมือกับปัญหาได้ดี’ จริงแค่ไหน? ” ปัญหารุมล้อม ” 8 ด้าน หาทางออกไม่เจอ มองไปทางไหนไม่มีใครอยู่เคียงข้าง รับมือเบื้องต้นอย่างไรดี?
ปัญหารุมล้อม 8 ด้าน รับมืออย่างไรดี?
ช่วงวัยไหนที่เจอปัญหามากที่สุด?
เคยมีวิจัยเกี่ยวกับ Quality of life ช่วงวัยที่ว่ากันว่าปัญหาเยอะที่สุดคือ ช่วง 40-50 ปี วัยผู้ใหญ่ตอนปลาย เพราะเป็นช่วงที่ต้องลงหลักปักฐาน เป็นช่วงที่ต้องสร้างเนื้อสร้างตัว
บางคนเริ่มมีครอบครัว ลูกกำลังเรียนหนังสือและเติบโต ลูกโตมีทั้งแบบดื้อ เกเร ปัญหาครอบครัว ปัญหาชีวิตตัวเอง ไม่พอ ยังเป็นช่วงที่จะต้องเจอกับการสูญเสียเยอะ เช่น สูญเสียพ่อแม่
“วัยเรียนไม่น่าจะมีปัญหาเยอะนะ” จริงไหม?
ไม่จริงเสมอไป ค่อนข้างเห็นต่าง เพราะในแต่ละช่วงวัยจะเจอปัญหาไม่เหมือนกัน จะแน่ใจได้อย่างไรว่าวัยเรียนจะไม่เจอปัญหาอะไร แต่แค่เป็นช่วงวัยที่เขาใช้ชีวิตสนุกและมีวุฒิภาวะที่ยังไม่มากพอ
เลยอาจจะทำให้เขาไม่ได้คิดมากหรือจะมองอะไรให้รอบด้าน เด็ก ๆ อนุบาล เรื่องยากที่สุดคือการแยกกับพ่อแม่ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขามาก จะต้องอยู่โรงเรียนยังไงโดยที่ไม่มีพ่อแม่
ประถม จะเป็นเรื่องการอ่านการเขียน เด็กบางคนเจอปัญหาการเรียนหนัก การปรับตัวเข้ากับเพื่อน การต้องอยู่ในสังคมที่ไม่ใช่ครอบครัวแล้วเจอคนมากหน้าหลายตามาก มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเด็ก
ในวัยนั้นได้เหมือนกัน หรือถ้าเราโตมาหน่อยเป็นวัยรุ่น การได้รับการยอมรับจากเพื่อน การอยู่กับคนอื่น เป็นเรื่องที่ปัญหาใหญ่มากนะ ถ้าเราทำมันไม่ได้ หลายคนจะเริ่มเหนื่อย ท้อ หมดแรง
เพราะฉะนั้นวัยเรียนอาจจะไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเขาไม่ได้เจอปัญหาอะไรเท่ากับวัยผู้ใหญ่
“ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่” นักจิตวิทยาคิดเห็นอย่างไร?
จะบอกว่าเล็กหรือใหญ่ไม่ได้ เพราะมันคือทัศนคติที่เรามีต่อเรื่องนั้น ๆ มองว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ต้องไปเจอเอง เราไม่ใช่เจ้าของปัญหานั้น เราจะรู้สึกว่าทำแบบนั้นสิ มันง่ายนิดเดียว
มันเกิดขึ้นแบบนั้นเพราะเราไม่ได้อยู่ในจุดที่จะต้องเผชิญกับมัน แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองว่า มันควรจะผ่านไปได้ง่าย ๆ แต่เราไม่รู้หรอกว่าคนที่เขากำลังเผชิญอยู่เขาต้องรับมือกับอะไรบ้าง
เขาต้องรู้สึกอย่างไรบ้าง เล็กของเราอาจจะใหญ่ของเขา ใหญ่ของเราอาจจะเล็กของเขาได้เหมือนกัน ค่อนข้างมองต่างมากว่า แค่นี้เอง แค่นี้มันแค่ไหน
เอาตรงไหนมาเป็นตัววัดดีว่าอันนี้เรียกเล็กหรือใหญ่ สุดท้ายมันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคนที่เจอปัญหา
รับมืออย่างไรกับคำพูดคนอื่น?
อาจจะต้องมาตั้งต้นที่ตัวเอง เหมือนสร้างตัวกรองให้ตัวเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะอนุญาตให้เข้ามาแม้กระทั่งในความคิด มันจะไม่มีผลกับความรู้สึกเลย
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดไหนก็ตาม มันจะไม่ต้องมาผ่านการตีความว่าอันนี้เขาปลอบใจเราหรือเขากำลังตำหนิเรา เพียงแต่เรากลับมาตั้งต้นที่ตัวเองและรู้จักตัวเองว่าเราเป็นแบบไหน
แล้วเรากำลังเผชิญอยู่กับอะไร สร้างตัวกรองให้ตัวเองกับเรื่องที่เข้ามา คิดก่อน หยุดมองก่อน ว่าอันนั้นมันดีมันแย่ไม่รู้หรอก แต่เรากำลังเผชิญอยู่กับอะไรแล้วเราเป็นยังไง
มันคงจะเป็นบางอย่างที่ช่วยให้เราไม่ต้องมาแบกรับกับทุก ๆ คำพูด หรือไม่ต้องแบกรับกับทุก ๆ สิ่งที่คนอื่นให้เรามา
ปัญหารุมล้อม หาทางออกไม่ได้ ทำอย่างไรดี?
สมมติว่ามีหลาย ๆ อย่างเข้ามา แล้วเราควรจะทำอย่างไรได้บ้าง มันมีอะไรบ้าง ตอบตัวเองให้ได้ เวลาที่เราพูดถึงปัญหารุมเร้า เราจะรู้สึกว่ามันแย่ มันทุกข์ มันเหนื่อย
แต่เราลืมมานึกต่อว่า เรากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาที่มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง หรือหน้าตาของปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่มันมีอะไรบ้าง ปัญหาโดนเพื่อนแกล้ง เรียนหนังสือไม่ได้
โดนตำหนิ หรืออะไร มันมีชื่อเรียก ลองดึงและค่อย ๆ เอาออกมาให้มันชัดขึ้น เพราะถ้าเราปล่อยตัวเองจมอยู่ในความรู้สึกที่ว่า มันแย่จังเลย มันก็จะแย่อยู่อย่างนั้น ออกมาไม่ได้
แต่พอเราเห็นแล้วว่า 1 2 3 4 มีอะไร ลองดูว่าเราทำอะไรกับแต่ละปัญหาของตัวเองได้บ้าง แล้วก็ลองทำดู แต่หลาย ๆ คนเวลาที่เจอหลาย ๆ อย่าง มันยากที่จะทำแบบนี้
กลับไปที่การมีสติของตัวเองก่อนก็ได้ มันจะจมอยู่กับความรู้สึกให้พอดี แล้วก็กลับมามีสติและบอกตัวเองว่า ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น คุยกับตัวเองแล้วดึงมันออกมาทีละอย่าง
จัดการไปทีละอย่าง 10 อย่างมันอาจจะไม่ได้ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน มันอาจจะต้องมีเวลาของมันด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ดึงตัวเองออกมา เราไม่ทำอะไรกับมันเลย ปัญหาจะอยู่แบบนั้น
ปัญหารุมล้อม นำไปสู่ภาวะทางจิตได้ไหม?
จริง ๆ แค่ปัญหาเดียวไม่ต้องรุมเรา แต่เรามี 1 ปัญหาแต่ว่ามันหนักหน่วง สุขภาพจิตเราก็แย่ได้เหมือนกัน แล้วถ้ามองว่า มันมี 8 ปัญหา 8 ด้าน แล้วมารุมเรา มันแย่เหมือนกันนะ
คนหนึ่งคนต้องรับ 8 อย่าง มันคงตามมาด้วยสุขภาพจิตที่มันแย่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะประกอบไปด้วยกี่ปัญหา แต่ถ้ามันหนักหน่วงกับเรามาก แล้วเรารู้สึกกับมันมาก ๆ
แล้วเราไม่รู้ว่าจะเดินยังไง หาทางจัดการกับมันไม่ได้ แล้วเราก็จมอยู่กับปัญหาตรงนั้น สุขภาพจิตเราก็แย่อยู่แล้ว แน่นอนว่าพอสุขภาพจิตแย่ ทุก ๆ อย่างมันก็จะแย่ตามไปด้วย
สุดท้ายแล้วมันคงนำไปสู่โลกหรือสภาวะทางจิตใจบางอย่างที่มันไม่เหมือนเดิมได้เหมือนกัน
สัญญาณเตือน ตอนไหนควรไปหาหมอ? ไม่กล้าพบผู้เชี่ยวชาญทำอย่างไรดี?
อาจจะเริ่มต้นจากการที่เราเห็นตัวเองเปลี่ยนไป พอเราเริ่มมีการเปลี่ยนไปหรือเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึก ให้เราตระหนักกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่นั้น
แค่เรารู้สึกเริ่มสงสัยในตัวเอง เกิดอะไรขึ้นกับเรานะ แค่นั้นคงเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่า หรือว่าเราจะต้องหาตัวช่วยแล้ว อาจจะไม่ต้องรอวันที่ปัญหามันลึกมาก ๆ มันหนักมาก ๆ
แล้วค่อยขอตัวช่วยหรือไปหาผู้เชี่ยวชาญ เพียงแค่เราเริ่มรู้สึกไม่สุขสบายกับตัวเอง ฟังก์ชันบางอย่างค่อย ๆ แย่ลง อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะลองเข้าไปขอตัวช่วยหรือผู้เชี่ยวชาญได้
ดึงความกล้า ลดความกลัว อย่างไรก่อนไปหาหมอ?
คิดว่าเหมือนไปตรวจร่างกาย เพียงแต่ว่าเราไม่สุขสบายทางด้านจิตใจ มันจะใช้วิธีการเดียวกันในการที่เราจะเข้าไปเจอกับผู้เชี่ยวชาญ เหมือนกันกับที่เราบอกว่า รู้สึกปวดท้อง
สงสัยว่าจะเป็นนั่นเป็นนี่ไหม เราก็ไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านท้อง เหมือนกันกับสุขภาพจิต มันก็เป็นเพียงการที่เราเข้าไปดูแลจิตใจของตัวเอง คล้าย ๆ กับการดูแลร่างกายตัวเอง
มันอาจจะบอกได้ว่า ไม่กังวลได้ไหม คงยากมาก เพราะสุดท้ายอะไรที่เป็นเรื่องใหม่ ๆ หรือเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำ ความกล้าอาจจะมาไม่เต็มร้อย หรือเราจะคิดกังวลกับสิ่งเหล่านั้นได้
อยากให้ลองทำอย่างที่อยากจะทำก่อน ถ้าครั้งที่ 1 ผ่านไป เราจะเริ่มรู้ว่า pattern ของการไปเจอผู้เชี่ยวชาญเป็นแบบไหน เราจะเริ่มลดความกังวลลงได้ ความกล้าจะค่อย ๆ ตามมาด้วย
แล้วในยุคนี้ข้อมูลเข้าถึงได้ง่ายมาก เราลองทำการบ้านกับตรงนั้นก่อนก็ได้ ว่าเวลาไปเจอจิตแพทย์ ไปเจอนักจิตวิทยา เขาทำกันอย่างไร ไปเจออะไรบ้าง ลองอ่านข้อมูลจากคนอื่น ๆ ก่อน
เอาที่มันพอดี แล้วพอเห็น guide ว่าจะต้องมี 1 2 3 4 ก็ลองไปทำตาม 1 2 3 4 ตรงนั้น มันคงจะช่วยลดความกังวลบางอย่างในตัวเองลงได้
ปัญหารุมล้อม ฝึกใจอย่างไรให้พร้อมรับมือ?
ถ้าจิตใจเรามั่นคงมากพอ คงจะไม่มีอะไรมาทำร้ายเราได้ สำคัญที่สุดคือหมั่นสำรวจความรู้สึกของตัวเองเวลาที่มันเข้ามา แล้วเราก็เปิดสวิตช์ให้มันรู้สึกอย่างที่มันควรจะเป็น
ไม่ควรไปปิดกั้นว่า ไม่ควรเศร้า ไม่ควรเสียใจ ไม่ควรโกรธ คือสิ่งเหล่านี้มันคือเรา ถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับอารมณ์เหล่านั้นได้มากพอ ปัญหาอะไรเข้ามาก็คงไม่กระทบเราได้แรงมาก
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่เรียนรู้ที่จะรู้จัก แม้กระทั่งอารมณ์ของตัวเอง ความมั่นคงในจิตใจเราก็จะไม่เกิดขึ้น สำคัญคือการฝึก พอเราพูดถึงความแข็งแรง
มันคือสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องฝึกฝนกับตัวเองอย่างสม่ำเสมอ คล้าย ๆ กับการที่เราออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ถ้าเราอยากจิตใจแข็งแรงมากขึ้น เราก็ต้องฝึกรู้จักตัวเอง
รู้จักที่จะเห็นข้อดีของตัวเอง พูดกับตัวเองในทิศทางที่ดีบ้าง สำคัญมากไปกว่านั้นคือการฝึกแล้วต้องรู้จักและบันทึกกับตัวเองได้ บางทีหลาย ๆ คนชอบปล่อยมันออกไป
ลองจดบันทึกความคิด ความรู้สึกของตัวเอง แล้วลองหาวิธี exercise กับตัวเองก็ได้ ถ้าเราจดบันทึกแล้วเรารู้สึกว่า 1 วันเราคิดดีไม่ได้เลย เรามีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ moody อยู่ตลอดเวลา
แล้วพรุ่งนี้เราไม่อยาก moody แล้วเราทำอะไรกับตัวเองได้บ้าง แล้วก็ฝึกซ้ำ ๆ สักพักหนึ่งเราจะเริ่มแข็งแรงในเรื่องของการจัดการกับความ moody ของตัวเองได้ มันอาจจะต้องอาศัยเรื่องการฝึกฝน
อย่าลืมให้เวลาตัวเองได้ทำความเข้าใจตัวเองและปัญหา สุดท้ายแล้วจะมีวันที่ผ่านไปได้แน่นอน 🙂
เคยไหม ? ” ยอมโดนกด ” เพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม.. ผลกระทบที่ตามมาจากการโดนกดร้ายแรงแค่ไหน ? เบื้องหลังของการโดนกดในทางจิตวิทยาคืออะไร ?
ยอมโดนกดเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
การกดในสังคมมีลักษณะไหนบ้าง
1. ออกคำสั่ง บังคับ
2. พูดไม่ดี ดูถูก
3. เอาเปรียบ
4. กลั่นแกล้ง
5. การตั้งมาตรฐานทางสังคม
การกดรูปแบบต่าง ๆ นี้ อาจจะส่งผลดีได้บ้าง เช่น ทำให้เราเกิดการพัฒนาตัวเอง ทำให้เราพอใจในชีวิตตัวเองที่เป็นไปตามสังคม แต่อาจจะมีผลเสียเหมือนกันว่า ถ้าสิ่งที่เราพยายามเป็นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ อาจจะเกิดความรู้สึกว่างเปล่าได้ ประมาณว่า นี่เรากำลังทำอะไรอยู่? เพื่อใคร?
ทำไมคนคนนึงยอมโดนกด
1. กลัวแปลกแยก ไม่มีตัวตน
2. กลัวรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่ง
3. อยากเข้าสังคม ที่ไม่เหมาะกับตัวเรา
เบื้องหลังของการ ยอมโดนกด ทางจิตวิทยา
1.การคล้อยตาม
ในทางจิตวิทยามีทฤษฎีที่เรียกว่า Conformity จากเว็บไซต์ explore psychology นิยามไว้ว่า การคล้อยตาม คือ แนวโน้มที่คน ๆ หนึ่งจะเปลี่ยนพฤติกรรม ความเชื่อ หรือทัศนคติ เพื่อให้เข้ากับสังคมได้ มี 3 รูปแบบ
1.1 Compliance คือ เปลี่ยนพตกตัวเองเพื่อให้ได้รางวัลหรือหลีกเลี่ยงการลงโทษ
1.2 Identification คือ เปลี่ยนพตกตัวเอง เพื่อให้ตัวตนเป็นไปในทางเดียวกับกลุ่ม
1.3 Internalization คือ เปลี่ยนความเชื่อหรือทัศนคติ เพราะอยากที่จะเป็นเหมือนคนอื่น
จากการทดลองของโซโลมอน แอช พบว่า การจะคล้อยตามคนอื่นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย คือ ลักษณะของกลุ่ม สถานการณ์ที่บุคคลต้องตอบสนอง ประเภทของงาน และความเป็นเอกฉันท์ของกลุ่ม
2. เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเข้าสังคม
ในการเข้าสังคม มาตรฐานสังคมจะถูกปลูกฝังจนเกิดเป็นบุคลิกภาพ เพราะงั้นถ้าเกิดความขัดแย้งกับมาตรฐานสังคมนั้น หมายความว่าเรากำลังเบี่ยงเบน ทำให้ยอมโดนกด
3. เพื่อเติมเต็มความต้องการพื้นฐาน
1 ในความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ คือ Love and belonging มนุษย์ต้องการความสัมพันธ์ การยอมโดนกดบ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ อาจจะช่วยเติมเต็มความรู้สึกของหลาย ๆ คนได้
4. เพื่อให้ได้รับการยอมรับ
จากเว็บไซต์ Psychcentral บอกไว้ว่า การที่เราต้องการการยอมรับเกี่ยวข้องกับการวางเงื่อนไขมาตั้งแต่เด็ก พอเป็นเด็กดีเราจะได้ในสิ่งที่ต้องการ พอเติบโตการพยายามควานหาการยอมรับจากคนอื่นเลยเกิดขึ้นตามมา
เมื่อการ ยอมโดนกด เป็นการปรับตัว?
จะแยกความแตกต่าง จะต้องสังเกตตัวเองดูว่า ข้างในเรามีจุดยืนไหม มีชุดความคิดเป็นของตัวเองไหม การปรับตัวคือการที่เรายอมละบางส่วนที่เรายึดถือ เพื่อให้ไม่เกิดความขัดแย้ง
เพื่อให้ความสัมพันธ์ราบรื่นหรือพัฒนาขึ้นหรือเพื่อให้เราอยู่ในสังคมได้ แต่ถ้าอะไรที่มากไป เช่น มีพฤติกรรมแย่ ๆ ที่เจตนาทำร้ายความรู้สึกเรา เรายังสามารถที่จะไม่ยอมรับและปฏิเสธได้
แต่การยอมโดนกด คือ ยอมทุกอย่าง อาจจะทำให้อยู่ในสังคมนั้นได้จริง ๆ แต่ต้องทุกข์ใจจากการละเลยตัวเองและทุกข์ใจจากการกระทำที่ไม่ให้เกียรติของคนอื่น อาจจะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย
การพยายามเข้าสังคมให้ได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เรายังเป็นตัวของตัวเองได้ถึงแม้จะต้องปรับอะไรบางอย่าง ถ้าเรารู้ว่าเรามีจุดยืนยังไง ด้วยความที่ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เราต้องการ
ถ้าเรายอมบ้าง ปรับตัวให้เป็นไปตามนั้นบ้าง แล้วสิ่งนั้นช่วยลดความขัดแย้งระหว่างเรากับเขาได้ คงเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ
อยู่ในสังคมที่ต้อง ยอมโดนกด กระทบใจยังไงได้บ้าง?
1.Low self-esteem
2.เครียด กังวล ซึมเศร้า
3.หลงลืมตัวตน
4.ขัดขวางการพัฒนา
สังคมแบบไหนที่เหมาะกับเรา?
จะต้องค้นหา ลองผิดลองถูก แต่เราจะไปลองผิดลองถูกไม่ได้ถ้ายังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นยังไง เพราะงั้นลองค้นหาตัวเองก่อนที่จะค้นหาสังคมที่น่าจะเข้ากับเราได้
เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าคนนี้เข้ากับเรา กลุ่มนี้โอเคได้ภายในวันเดียว อาทิตย์เดียว เดือนเดียว เราต้องใช้เวลาในการศึกษาและจูนเข้าหากัน ลองรีเช็คตัวเองว่า เราเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ไหมเวลาอยู่กับเขา
เช่น เราสามารถอยู่เฉยๆแบบเงียบๆ กับเขาได้ สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้แบบไม่กดดันหรืออึดอัดว่าต้องคุยนะ ต้องชวนทำนู่นทำนี่นะ เพราะทุกคนมีช่วงเวลาที่ต้องการชาร์จแบต
ถ้าเราสามารถใช้เวลาร่วมกันได้ในช่วงเวลาชาร์จพลังงานนั้นได้ เเสดงว่าเราอาจจะเจอเพื่อนที่เหมาะกับเราและคลิกกับเราแล้วก็ได้
ไม่อยาก ยอมโดนกด ทำอย่างไรดี?
1. ยึดมั่นในตัวตนของตัวเอง
สิ่งที่สำคัญคือตัวตนของเรา บางครั้งเราไปโฟกัสที่ว่าเราต้องมีเพื่อน มีสังคม จนเปลี่ยนตัวตนของตัวเอง เเน่นอนว่าเราจะไม่มีความสุข เช่น เราเป็นคนที่ชอบเที่ยว ชอบปาร์ตี้แต่เรายอมไปเข้าห้องสมุด
อ่านหนังสือ ทุกวัน มันก็มีข้อดีแหละแต่นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เเล้วไปทุกวัน แน่นอนว่าเราคงอึดอัดใจแน่ๆ หรือกลับกันเราไม่ชอบปาร์ตี้เลย แต่ยอมไปกับเพื่อนที่ชอบ ตัวตนที่แท้จริงของเราก็จะค่อยๆจางลง
เราอาจจะทึกทักไปเองว่าสิ่งนี้คือตัวตนของเรา แต่ลึกๆ เเล้วเราไม่ชอบเลย ไม่มีความสุขเลย
2. เช็คก่อนว่าเรา Toxic ไหม หรือกลุ่มนี้ไม่เหมาะกับเรา
บ่อยครั้งเราพุ่งโฟกัสไปที่คนอื่นจนลืมโฟกัสตัวเอง บางทีในจุดบางจุดของเราเพื่อนอาจจะไม่ชอบ มันอาจจะ Toxic ก็ได้ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้นะ ไม่ผิดเลย ถ้าเรารับรู้ได้มันก็จะดีต่อตัวเราและความสัมพันธ์ระยะยาว
แต่เราเช็คแล้วมันไม่ใช่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าสังคมนี้ไม่คลิกกับเรา
3. ให้คิดว่าในวันนึงเราจะเจอเพื่อนที่ดีของเราเอง
เราเจอคนที่หลากหลายมากๆในชีวิต มีเข้ามาเเล้วก็ออกไป ถ้าเราเจอคนที่ไม่ใช่ หรือคนนี้เคยสนิทมากๆ วันนี้ไม่ใช่แล้ว ให้คิดว่า ไม่เป็นไร ในชีวิตเราจะเจอคนอีกเยอะมากเลย
ถือว่าเป็นการเรียนรู้คนว่าคนนี้เป็นยังไง เพื่อนเป็นเเบบไหน เมื่อยังไม่เจอคนที่ใช่ก็อย่าพึ่งปิดตัวเอง เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทำความรู้จักคนใหม่ๆ เวลาที่เราทำความรู้จักกับใครสักคน
อย่าเพิ่งรีบเร่งว่าจะต้องเป็นเพื่อนสนิท ค่อยๆศึกษาเรียนรู้ ไม่แน่ว่า ในวันหนึ่งเราอาจจะเจอกับเพื่อนซี้ที่เราแปลกใจว่าเราสนิทใจกับเขาได้ขนาดนี้เลยเหรอก็ได้นะ
4. สังคมเป็นแค่ส่วนหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
ถึงแม้มนุษย์จะเป็นสัตว์สังคม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกนี้ ยังมีอะไรอีกเยอะให้ได้เรียนรู้ เรื่องสังคมก็เช่นกัน ค่อย ๆ เรียนรู้และปรับตัวไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์
5. กล้าที่จะสื่อสารขอความช่วยเหลือ
เพราะหลาย ๆ ครั้งการโดนกด เป็นการถูกกระทำแย่ ๆ ไม่ให้เกียรติ ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังเผชิญอยู่กับสิ่งนี้และไม่สามารถจัดการได้ การสื่อสารขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิด
รับมืออย่างไร? กับความรู้สึกแปลกแยก ถ้าเราไม่ ยอมโดนกด
1. ทบทวนตัวเอง
ถามตัวเองว่าว่าสังคมที่อยู่ตอนนี้ใช่สำหรับเราไหม? ถ้าเราแน่ใจแล้วว่าการเป็นตัวของตัวเองของเราไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรที่เดือดร้อนคนอื่น การโทษตัวเองอย่างเดียวว่าเราไม่ใช่กับสังคมนี้เพราะเราผิดปกติ อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป
2. เพิ่มทางเลือกในการหาข้อสรุปให้ตัวเอง
บางครั้งเราอาจจะเชื่อไปว่า เราแปลกแยกแบบนี้อยู่คนเดียว ทั้งที่ความรู้สึกนี้อาจไม่ใช่เรื่องจริง อาจจะมีคนที่เป็นแบบเราอีกมากมายแต่เขาแค่ไม่พูดออกมาหรือเราไม่ได้มีโอกาสไปทำความรู้จักเขา เราเลยไม่รู้ เพราะงั้น การเพิ่มทางเลือกในการหาข้อสรุปให้ตัวเองอาจจะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นได้เยอะเลย
ที่มา :
Conformity: Why Do People Conform?
Approval-Seeking Behavior: Signs, Causes, and How to Heal
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่เกิดก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ความหมายชีวิต เราคืออะไรกัน ?
คนเราเกิดมาเพื่ออะไร ในทางจิตวิทยา?
คำตอบเยอะ เราเลยต้องคัดสรรว่าจะเลือกคำตอบไหน บางทีเราอาจจะเกิดมาเพื่อหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง
ความหมายของผมคือการได้ทำงานเป็นนักจิตวิทยา เป็นประสบการณ์ดี ๆ ให้กับใครหลาย ๆ คนหรือใครบางคนที่เข้ามาพูดคุยกับเรา
ของผมเป็นคำตอบเดิมว่า การที่ผมเกิดมา สิ่งที่เป็นความหมายที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การที่เราเข้าใจชีวิตและมนุษย์ได้มากขึ้นในทุก ๆ วัน
เพราะรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นความรู้ที่ต้องหา แต่ไม่มีตำราให้ เราเลยต้องไปเก็บเล็กผสมน้อยจากสิ่งต่าง ๆ ต้องตกตะกอนและสกัดออกมาเป็นคำตอบ
รู้ขนาดไหนชีวิตถึงจะมีความสุข มั่นคง และรับมือกับความทุกข์ได้ เพราะงั้นความหมายของชีวิตพี่เลยเป็นการหาคำตอบให้กับเรื่องต่าง ๆ และทำให้คนอื่นหาคำตอบให้ตัวเองได้ด้วย
การหาความหมายชีวิต จำเป็นแค่ไหน?
จำเป็น แต่อย่าทำให้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เกินไป บางทีตอบตัวเองง่าย ๆ ก็ได้ จากประสบการณ์ชีวิต ทำให้เข้าใจว่าการตั้งเป้าหมายหรือการค้นหาบางอย่าง
คำตอบไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียวของชีวิต แต่มีหลายมิติและหลายรูปแบบ ชีวิตคนเราเหมือนวงกลม มี 360 องศา คุณจะต้องเจออย่างน้อย 360 ความหมาย
การตัดสินใจเล็ก ๆ ต่อจะดูงี่เง่า ไร้สาระ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเป็นตัวของตัวเอง จะสามารถสร้างเรื่องดี ๆ ให้ตัวเองได้
การคิดอะไรด้วยตัวเอง การเจอคำตอบของตัวเอง เป็นเรื่องที่มีความหมายและมีคุณค่ามาก ถึงเราจะตัดสินใจแล้วมีคนไม่ชอบ
แต่สุดท้ายการตัดสินใจด้วยตัวเอง การที่เรายืนหยัดในสิ่งนี้ เพราะเราได้ตัดสินใจแล้วในวันนั้น ไม่งั้นเราคงฟังคนอื่นแล้วใช้ชีวิตตามที่คนอื่นบอก ไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
ความหมายชีวิต และ เป้าหมายชีวิต แตกต่างกันไหม?
ถ้าเรามีเป้าหมาย เราจะเข้าใจความหมายชีวิต จะว่าเหมือนก็เหมือน จะว่าต่างก็ต่าง แต่ถ้าพูดถึงความแตกต่าง เป้าหมายชีวิตคือสิ่งที่ต้องไปให้ถึง
นั่นหมายความว่าเป้าหมายมีหลาย ๆ อย่างได้ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว และเปลี่ยนแปลงได้ ความหมายชีวิตเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
จากการที่เราตกตะกอนและค้นพบ แต่ความหมายไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปให้ถึง แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเราจะตื่นมาเพื่อทำอะไรต่อไปให้ชีวิต
แต่เป้าหมายคือสิ่งที่กำหนดทิศและทาง เหมือนการวิ่ง เส้นชัยคือเป้าหมาย ความหมายคือสิ่งที่บอกกับเราว่าทำไมเราถึงมาวิ่ง
ไม่ได้อยากรวย ไม่ได้อยากประสบความสำเร็จ ได้ไหม?
ผมมองว่า เราต้องตอบตัวเองให้ได้และต้องเชื่อตัวเองบ้าง บางทีเราไม่กล้าเชื่อตัวเองเพราะเรากลัวว่าเราจะคิดผิด ทั้งที่จริง ๆ แล้วคิดผิดเป็นเรื่องปกติ
ถ้าเชื่อตัวเอง สิ่งที่ตามมาคือ ต้องรับผิดชอบในการตัดสินใจนั้นให้ได้ ลองทบทวนตัวเองก่อน ถ้าทบทวนแล้วรู้สึกว่าน่าเชื่อถือ อยากเชื่อก็เชื่อ
ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ความผิดพลาดทำให้รู้ว่าคุณได้อะไร ไม่ได้อะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร บางทีความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องจะสะท้อนสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้
พยายามแล้วแต่หา ความหมายชีวิตไม่เจอ ทำยังไง?
คิดว่าเป็นสัญญาณเตือนถึง existential issue ถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้น อาจจะมีเรื่องของบุคลิกภาพที่ผิดปกติหรือแปรปรวน
เช่น borderline personality disorder หรือ narcissistic personality disorder บางคนอาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่เป็นแค่คุณลักษณะเด่นทางด้านบุคลิกภาพ
แต่เป็นสัญญาณหนึ่งที่มีความสำคัญ รวมถึงเป็นจุดเตือนว่า เราอาจจะต้องพบนักวิชาชีพที่มีความชำนาญด้านนี้
ไม่รู้ความหมายชีวิต ใช้ชีวิตยังไงให้มีความสุข?
มีความสุขผ่านความผิดพลาด เราทำเต็มที่ตลอด เอนจอยกับความสุข ศรัทธากับอะไรเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ คุณค่าที่ได้รับนั้นพอ ๆ กันเลย
ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร มีความหมายยังไง แต่ถ้าคุณยังสามารถใช้ชีวิตให้มีความสุขได้ อาจจะไม่ต้องไปซีเรียสมาก
บางทีจะมีแนวคิดแบบ Positive thinking หรือ Productive guideline คุณต้องรู้นู่นรู้นี่ ต้องมีเป้าหมาย บางทีเราไม่ต้องรู้ก็ได้
ถ้ายังมีความสุขอยู่และไม่เดือดร้อนใคร ต่อให้คุณไม่ใช่คำตอบที่ดีของแนวคิดคนอื่น คุณก็ไม่ต้องเดือดร้อนตัวเอง
แต่ถ้าชีวิตไม่มีความสุข ทำอะไรก็ไม่ดี พอลองฟังพอดแคสต์นี้แล้วยังไม่เจอคำตอบ ขอกลับมาที่จุดเดิมว่าลองไปพบนักวิชาชีพที่ชำนาญด้านนี้ดู
ด้วยความชำนาญที่มี ประสบการณ์ และศักยภาพ ชีวิตคุณจะดีขึ้นได้ ทุกคนเกิดมาได้ทั้งดีและแย่ แต่โอกาสที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นไม่เคยเป็นศูนย์ แต่ต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ
งาน “Turn Your Scars into Stars” “แม้จะเจ็บปวดแต่คุณก็งดงาม” นิทรรศการที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนที่เจอกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สวยงามผ่านผลงานศิลปะ ทางทีมงาน Alljit ได้มีโอกาสพบกับ
คุณแป้ง-มณิษษา มณีรัตน์ เจ้าของนามปากกา Queen B และแมนดี้ ปัจจุบันทำอาชีพอิสระเกี่ยวกับงานเขียน งานบันเทิงทั่วไป และเป็นผู้จัดงานนิทรรศการนี้ด้วย
ย้อนกลับไปตอนเป็นนักเขียน อะไรคือสิ่งที่จุดประกาย
: แป้งอ่านเยอะค่ะ ตอนเด็ก ๆ มีหนังสือเป็นเพื่อน มันเลยกลายเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตเรามานาน ก็คิดตั้งแต่เด็กว่าหากวันนึงมีหนังสือเป็นของตัวเองสักเล่ม
มีคนอ่านแล้วประทับใจแบบที่เราอ่านของนักเขียนคนอื่นคงเท่น่าดูเลย มันเลยเป็นสิ่งแป้งอยากลองทำแล้วก็ลงมือทำเลยค่ะ
จุดเปลี่ยน จากวงการนักเขียน สู่ วงการอีเวนต์
: จริง ๆ แป้งทำงานอีเว้นท์มาเยอะตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ตอนนั้นเรามีทีมที่เข้าขา มีรุ่นพี่เทรนมาก่อนแล้วแนะนำ ก่อนที่จะปล่อยให้ทีมเราเป็นพ่องานแม่งานจริง ๆ
นอกจากนั้นแป้งรับงานพิธีกรต่าง ๆ ก็เลยเข้าใจ Flow งานอีเวนต์ ส่วนนึงก็เรียนมาด้วยจากตอนปริญญาโทที่อเมริกา จริง ๆ จุดเปลี่ยนไม่มีอะไรมาก แป้งเป็นคนชอบลอง ชอบอะไรใหม่ ๆ
อีเวนต์ไม่ได้ไกลตัวมาก เมื่ออิ่มตัวจากงานเขียนแล้วเลยอยากท้าทายตัวเองลองทำอะไรใหม่ ๆ ดูค่ะ
“มนุษย์เป็ด” บินไม่ไกล ว่ายไม่สุด แต่ก็มีความสุขนะ:)
: แป้งเองก็เป็นเป็ดค่ะ ถามว่าทำอะไรสุดสักทางรึเปล่าก็ไม่ อย่างเช่นใกล้ตัวสุดเลยคืองานเขียน หนังสือของแป้งไม่ได้ดังเปรี้ยงเมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ในสำนักพิมพ์คนอื่นเพราะแป้งขาย niche
ซึ่งตรงนี้ยอมรับแล้วว่าเป็นแบบนั้นแทนที่จะเขียนแบบ mass เพราะเราอยากเขียนสิ่งที่อยากทำเพื่อรักษาตัวตนเราไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ได้ตามใจตลาดเสียทีเดียว แป้งให้ค่ากับความรู้สึกส่วนนั้นมากกว่า
มันก็เลยกลายเป็นว่า fiction เราสุดแค่ตรงนี้แล้วก็โอเคนะคะ ทำมาตั้งแต่ปี 2011 อยู่ได้เพราะมีคนเฉพาะกลุ่มที่ชอบ ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ดังที่สุด แต่เรามีความสุขค่ะ:)
ด้วยความเป็นเป็ดแป้งก็ไม่ได้เขียนนิยายได้อย่างเดียว แป้งเขียนแนว Self-help ได้อีก ทุกคนน่าจะเคยผ่านตา Depression Diary #มันไม่ได้เศร้าอย่างที่คิดหรอกนะ มาแล้ว เป็น Best Seller เลยค่ะ
นอกจากนั้นแป้งก็อยู่เบื้องหลังทำ Content ให้เพจดัง ๆ หลายเพจ รับเขียน SEO หรือบทความทั่วไป ทั้งไทยและอังกฤษ เคยเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยให้เด็กอินเตอร์และชาวต่างชาติด้วย
ที่สถาบัน EPA รับงานได้เกือบทุกสายเลยที่ใช้ภาษา แป้งเขียนการ์ตูนด้วย ได้ออกผลงานกับ Line Webtoon เรื่องนึงแต่ยังเป็นงาน niche
จบแฟชั่นมาเคยเปิดร้านขายแบรนด์ชุดชั้นในตัวเองช่วงนึงด้วย แต่รู้สึกว่าชอบครีเอทแบบตัวอักษรมากกว่าเลยไม่ได้ทำต่อค่ะ
ในส่วนที่เยื้อง ๆ กับ Event มาหน่อยก็คืองานพิธีกร แป้งรับงานจากช่องสายใจไทย ช่องของคนไทยที่อเมริกาไว้อัปเดตข่าวสารในประเทศ เขียนสคริปต์เองทำไรเอง วางแผน พิธีกรงานแต่งงานก็ทำหลายงาน
รวมไปถึงเคยเป็นพิธีกรงานนางสาวไทยชลบุรี เป็ดไหมคะ แล้วก็รับถ่ายแบบอีกค่ะ เริ่มจากไปช่วยเป็นแบบให้นักศึกษาสเก็ต นู้ดเลย จากนั้นก็รับเป็นแบบถ่ายให้คนเรียนโฟโต้ เก็บพอร์ตมาเรื่อย ๆ จนทำ Freelance
ในส่วนนี้ด้วยทั้งแบบทั่วไปจนนู้ด แป้งมองว่าไม่ได้อนาจารแต่เป็นศิลปะตราบใดที่มันไม่ได้ส่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศหรือเราทำไปเพราะมันเป็นงานแฟชั่นหรือโปรเจคของลูกค้า
มนุษย์เป็ด ไปทางไหนก็ไม่ตาย เพียงแค่เราต้องขยันหาเส้นทางหน่อย
: นี่ค่ะมนุษย์เป็ด ไปทางไหนก็ไม่ตายเพียงแค่เราต้องขยันหาเส้นทางหน่อย จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากเป็นเป็ดนะคะ แต่แป้งเป็นคนชอบทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ ชอบค้นหา มันเป็นเหมือนความท้าทายตัวเองด้วยว่าเราทำอะไรได้บ้าง
เหมือนการเล่น Surf กีฬาโปรดของแป้งค่ะ การที่เราจะว่ายทวนกระแสคลื่น มองหาคลื่นที่รู้ว่าเราจะโต้ได้ กระโจนขึ้นไปทรงตัวยืนให้ถูกท่า ความรู้สึกเมื่อสามารถยืนได้นั้นมันคือความภูมิใจที่เรากว่าจะฝ่าคลื่นมาได้
ตกบ้าง เจ็บบ้าง หินบาดบ้าง กลับมารู้ว่าต้องปวดร่างกายเพราะปะทะกับคลื่น แต่โมเมนต์ที่เราทำได้มันคือความภูมิใจอย่างอธิบายไม่ถูก
แล้วก็สุดท้ายมาจบที่ผู้จัดนิทรรศการก็ทำได้ค่ะ แม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่โตก็ตาม แต่คนกลับจากงานเราไปได้ความสุข ได้กำลังใจกลับไปตามที่เราตั้งใจไว้ก็แฮปปี้แล้วค่ะ
เป็ดและคอนเนคชั่น
: อย่างเช่นงานนี้ จากการที่เป็นนางแบบ ตอนหาตากล้อง เรารู้จักเยอะ มีพี่ชูกับน้องบูมที่เข้ามาช่วยเก็บภาพให้ฟรีเลยค่ะ แลกกับการที่เดี๋ยวเราไปเป็นแบบให้เขาต่อถ้าเขาต้องการพอร์ต นี่แหละค่ะ คอนเนคชั่นของเป็ด
หรือไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์นิทรรศการนี้ สื่อต่าง ๆ ที่แป้งเคยเขียนคอนเทนต์ให้ แป้งก็ติดต่อไปได้สะดวกรวดเร็ว จนมีคนสนใจงานที่ทำเป็นครั้งแรก ในเวลาอันจำกัดมากเลย
ตอนพีอาร์ แล้วจากสายเขียน ตอนทำคอนเทนต์ในเพจงานก็ฝากแชร์ไปมากเหมือนกัน ถ้าทำอยู่อย่างเดียวคงไม่มีงานนี้ค่ะ
แล้วก็เคยเขียน SEO ให้ลูกค้าญี่ปุ่นพอเราบอกว่าจะทำงานนี้เขาก็ช่วยติดต่อ NipponTV ให้เลย แป้งลองส่งโครงการให้ สรุปว่า NipponTV โอเค นิทรรศการเราจะได้ออกสกู๊ปไปญี่ปุ่นด้วยค่ะ
ข้อดีที่สุดของเป็ดคือคอนเนคชั่นค่ะ เพราะทำได้หลายอย่างเราได้พบคนหลายสาขาอาชีพ ทุกคนพอใจกับงานที่เคยจ้างเรา เมื่อเราทำบ้างต่างก็ยินดีช่วยเหลือกัน ถ้าไม่เป็ดก็ไม่ได้ตรงนี้จริง ๆ ค่ะ
มนุษย์เป็ด ลองออกเดินทาง อยากทำอะไร “ลอง” การลองทำให้ได้ประสบการณ์และขัดเกลาตัวเอง จนวันนี้แป้งก็ได้เพื่อนใหม่ที่น่ารักอีกคนก็คือ Alljit ค่ะ ❤️
ไม่เพียงแค่ในส่วนสื่อ ตั้งแต่สมัยเรียนจุฬาฯ แป้งเป็นสายกิจกรรมได้เจอเพื่อน ๆ พี่ ๆ จากหลายคณะ เช่น Ophtus, Kobe, Salee, Heartmade by kigcpn เราเคยทำงานช่วยเหลือกัน
พอเราหาสปอนเซอร์เขาก็กลับมาเป็นสปอนเรา Dek-D ก็เช่นกันค่ะ แป้งเริ่มเขียนนิยายลงในนั้นเลยได้เจอพี่อติน เห็นกันมาเป็นสิบปีพอเราเลือกมาตรงนี้ก็เป็นสื่อแรกที่เข้ามาอาสาจะช่วยประชาสัมพันธ์
ในส่วนของวิทยากรแพนิคที่รักก็รู้จักกันผ่านการแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับโรคจิตเวช พอเราหากิจกรรมฮีลใจเลยได้โอกาสมาช่วยเป็นวิทยากร Memosmile แอ้เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยประถม เห็นเขาทำ Workshop ด้านนี้เลยชวนมา
แอ้ไปช่วยหามาเพิ่มคือในส่วนของแคท Design Message นี่ค่ะ ความต่อยอดของเป็ด เราบินไปเจอคนนั้นคนนี้สาขานี้ ว่ายน้ำไปพบคนอีกสาขา เลยได้เป็นงานที่เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจกันอย่างที่เห็น
ให้กำลังใจมนุษย์เป็ดที่กำลังมองว่าตัวเองไม่เก่ง ทำอะไรหลายอย่างแต่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
: อยากฝากบอกมนุษย์เป็ดว่าการที่เราไม่สุดสักทางเป็นเรื่องที่ดี มันเปิดโอกาสให้เราได้ลงสนามหลาย ๆ รูปแบบ สั่งสมประสบการณ์ ได้พบเจอผู้คนหลายแบบ ต่อยอดเป็นคอนเนคชั่นในการทำอะไรอื่น ๆ ในอนาคต
ฝึกทักษะที่มีให้เก่งขึ้นแม้จะเล็กน้อย แต่เราก็นำไปใช้พลิกแพลงกับงานอื่น ๆ ในอนาคตได้แบบแป้งค่ะ เพราะงั้นสู้ ๆ ค่ะเป็ดทุกท่าน บินไม่ไกล ว่ายไม่สุด แต่เราทำได้ทุกอย่างเลย สุดยอดแล้วว
Turn Yours Scars into Stars ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไหน?
: แป้งได้แรงบันดาลใจมาจาก Vincent Van Gogh ศิลปินที่แป้งชอบมากที่สุด คนที่พยายามในสิ่งที่ตัวเองรักแต่ไม่เคยได้มีโอกาสชื่นชมสิ่งที่ตัวเองสร้างสรรค์ให้โลก
เพราะกรอบสังคมและค่านิยมในศิลปะยุคนั้น จนกระทั่งเขาฆ่าตัวตายไปภาพของเขาจึงขายได้ภาพแรก ส่วนนึงก็มาจากตัวเองด้วยค่ะที่ผ่านมาชีวิตแป้งเจอเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้ปวดใจมากมาย
แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่ามันโอเค มันผ่านไปได้ อดทน จนผ่านไปทีละเรื่อง แล้วพอมองย้อนกลับมามันไม่ได้สวยงาม มันก็ยังติดคำถามว่าทำไมต้องเกิดขึ้นกับเรา
แต่ในระหว่างที่เราเจ็บปวดอยู่นั้น ใครต่างหากล่ะที่คอยอยู่กับเรา คอยโอบอุ้มเป็นห่วง เราจะไม่มีวันได้สัมผัสความใจดีของคนรอบข้างได้เลยถ้าเราไม่ตกที่นั่งลำบาก
นั่นคือความสวยงามเมื่อคนเรารู้สึกเข้าใจและเห็นใจกัน การที่มีคนยังแคร์เราแม้แค่ไม่กี่คนมันกลายเป็นเชื้อไฟมหาศาลเพราะมันทำให้เรารู้ว่าใครกันที่รักเราจริง ๆ
ถ้าให้แทนความเจ็บปวดที่เคยเจอเป็นภาพ 1 ภาพ จะแทนเป็นภาพอะไร
: “Starry Night”
สำหรับแป้งคงไม่พ้นรูปนี้ รูปที่เป็นธีมของนิทรรศการ เป็นเคสมือถือ เป็นหน้าจอโทรศัพท์ ถ้าเรามองภาพนี้โดยไม่รู้เรื่องราวก็คงเป็นภาพท้องฟ้ายามราตรีทั่วไป แต่พอเรารู้ว่าภาพนี้มีสตอรี่ยังไง
มันทำให้รู้สึกเจ็บปวด เรามองเห็นรายละเอียดมากขึ้น long stroke ของแวนโก้ะสีสันฉูดฉาดเกินจริงตัดกับฟ้าเหลือง รอยพู่กันที่ถูกขีดแรงมาก มันรับรู้สึกถึงอารมณ์ของเขาตอนที่กำลังวาดอยู่
ว่าคงกำลังสับสนและทรมานน่าดู แต่มันก็สวยงามมากสำหรับแป้งแม้ภาพนี้จะเกิดขึ้นจากความเศร้าและความผิดหวัง ศิลปินก็ยังสามารถวาดชิ้นงานที่มองแล้วสงบได้ผิดกับสิ่งที่เขากำลังรู้สึก
ความเจ็บปวดที่เคยเจอ ผ่านมาได้อย่างไร
: เมื่อความเข้มแข็งเป็นตัวเลือกสุดท้าย แป้งผ่านมาได้ด้วยความจำเป็นเช่นนั้น
ได้เรียนรู้อะไรจาก ความเจ็บปวดที่เคยเจอ
: หลายอย่างค่ะ ทั้งรับรู้ถึงความรู้สึกทรมาน รับรู้ถึงความปวดร้าวของคนที่เรารัก คนที่รักเรา หลัก ๆ เลยคือทำให้เราเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้นและเติบโตเมื่อเราไม่มีทางเลือกอื่น
ปล่อยวางแทนที่จะจมปลัก และไม่หันกลับไปมอง ไม่ให้ค่าใครหรืออะไรที่ทำให้เราเจ็บปวด รู้จักการยอมรับผิดและให้อภัยเมื่อเราเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่นทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
รวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การให้อภัยตัวเอง”
หลังผ่านความเจ็บปวดมาได้ อยากบอกอะไรกับตัวเอง
: หลังจากผ่านเรื่องราวแย่ ๆ มาได้เมื่อก่อนแป้งได้แค่ภาวนาว่าอย่าเกิดขึ้นอีก ไม่เอาแล้ว ไม่ไหว แต่พอมาตอนนี้เราเติบโตขึ้น มุมมองของแป้งเปลี่ยนไปกลายเป็นว่า… มาเถอะ ฉันจะรับมือให้ได้
เข้ามาสอนให้เก่งกว่านี้อีก ครั้งหน้าถ้าเจอเรื่องใหญ่กว่านี้จะได้รู้ว่ารับมือยังไง ตั้งสติให้ได้ แล้วทุกอย่างจะคลี่คลายไปตามเวลา ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไปค่ะ สุขทุกข์ คู่กันแบบนั้น ทำใจให้ชินกับความจริงของโลกค่ะ
กล่างถึงผลงานหรือศิลปินที่ประทับใจเป็นพิเศษ
: แป้งไม่มีศิลปินคนอื่นหรอกค่ะนอกจาก Vincent Van Gogh แต่ตอนนี้ขอปันใจให้ศิลปินรับเชิญในงานด้วย 3 เดือนที่ได้ร่วมงานกัน พวกเขาสอนแป้งหลายอย่าง เป็นทั้งแรงซัพพอร์ต
เป็นทั้งคนพิเศษที่เราต้องดูแล และทุกคนมีมุมมอง ความสามารถสมกับที่มีชื่อเสียงแต่ไว้ใจมาร่วมงานกับเรา มันเป็นโอกาสให้คน ๆ คนนี้ได้รู้ว่าเราเองก็มีค่าพอนะ
มีอุปสรรคที่พบเจอระหว่างการจัดนิทรรศการบ้างไหม
: เยอะมาก ตั้งแต่การสื่อสาร สถานการณ์รอบตัว ผู้ไม่หวังดี….. และแย่ที่สุดคือไฟไหม้ค่ะ
เบื้องหลังและชิ้นส่วนของความประทับใจ
: ขอบคุณในส่วนของสตาร์รี่ทีมและสตาฟ คุณชูกับพี่รักเพิ่งรู้จักกันพอเรามาทำสายงานวาดกับไลน์เว็บตูน ส่วนปอรู้จักกันมาเป็นสิบปีตอนลงแข่งเขียนนิยายด้วยกันก่อนแป้งจะมีชื่อเสียง
นกก็เป็นแฟนเก่าน้องรหัสมาช่วยในส่วนของเลขา สตาฟในงาน น้องนิชชี่มาจากคุณหยกศิลปินทางบ้านที่เพิ่งรู้จักมาเป็นพิธีกรแทนแป้ง พี่หมีจากคลับเฮ้าส์ น้องชายชู และน้องแตมมาช่วยทำทะเบียน
ความเป็ด ทำให้เราเจอคนมากมาย และเป็ดคนนี้จะทำงานนี้ไม่ได้เลยถ้าขาดทีมงานที่เข้มแข็งและเชื่อใจ ขอบคุณที่ไว้ใจ อดทน เคียงข้างกันนะ สตาร์รี่ทีม ⭐️
จะไม่มีตลาดให้คนชอปปิ้งถ้าขาดคุณชู
จะไม่มีคอนเทนต์ในเพจเรื่อย ๆ ถ้าขาดปอรวมถึงการช่วยประสานงานต่าง ๆ ที่มาแบ่งเบางานในส่วนแม่งาน
อาร์ตเวิคออนไลน์อัพเกรดขึ้นได้ ทอยที่ส่งให้ศิลปินและสื่อจะไม่มีถ้าไม่ได้พี่รัก
น้องนก ทำให้แป้งได้มีเวลานอนเพิ่มขึ้นค่ะ ขอบคุณมากๆๆๆ จากใจ
และสุดท้าย พี่ปั้ม คิ้วต่ำ ที่สนับสนุนแป้งมาเป็นศิลปินรับเชิญคนแรกทั้ง ๆ ที่รู้จักกันไม่นาน แต่พี่ปั้มคือคนที่อยู้เบื้องหลัง เป็นคนที่อ่อนโยน ให้กำลังใจน้องทุกอย่าง ถ้าไม่มีคนนี้ก็อาจจะไม่ได้รับความเชื่อใจจากศิลปินคนอื่นที่แป้งไปเรียนเชิญ
แต่เพราะพี่ชายคนนี้ของแป้ง ทั้งบทบาทศิลปินรับเชิญทำงานส่ง ร่วมกิจกรรมกับเพจ ประชาสัมพันธ์ เป็นที่พึ่งทางใจมาตลอดแล้วก็วาดรูปมาให้เป็นของขวัญ ถึงได้เลือกรูปนี้ให้ออจิตค่ะ
งานจบไปกำไรต่าง ๆ แป้งแบ่งให้ทีมและบริจาค แต่แป้งรับ 0 บาทค่ะ แค่ได้รูปนี้ แป้งถือว่าแป้งได้รางวัลชีวิตแล้ว since first day มาก ๆ คน ๆ นี้คือผู้ที่ทำให้แป้งลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งจากปัญหาต่าง ๆ และอุปสรรคมากมายที่เจอในชีวิต
ขอบคุณพี่ปั้มคิ้วต่ำสำหรับทั้งแรงใจ แรงกาย ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมชาวเน็ตถึงเทใจให้เพจคิ้วต่ำและได้รับพลังจากเขา พอแป้งมาสัมผัสเองใกล้ชิดเองถึงได้เข้าใจ พี่คนนี้คือคนที่ทำให้แม่งานเข้มแข็งและทำงานนี้จนสำเร็จได้ค่ะ
ให้กำลังใจถึงคนที่กำลังเจอกับความเจ็บปวด
: อยากให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่าเราเก่ง… เราเก่งพอที่จะจัดการกับสิ่งที่ผ่านมาที่เป็นแบบทดสอบให้เราเก่งขึ้นอีก เหมือนเกมที่เพิ่มเลเวลให้ยากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันสกิลเราก็เพิ่มตาม
เอาชนะไปทีละด่าน ๆ จนจบเกม มันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เจ็บปวดแค่คนละหัวข้อ คนละสถานการณ์ สุดท้ายเราก็ต้องเผชิญหน้ากับมันค่ะ come rain come shine ปล่อยให้เข้ามาแล้วเรียนรู้จากมันเพื่อเป็นคนที่ดีขึ้น
เพื่อตัวเองและสังคม อย่าหนี อย่ากลัว ความเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ต้องเจอกันทุกคน ก็แค่พายุลูกหนึ่งที่ผ่านเข้ามา แล้วมันก็จะผ่านไป ขอให้ใจเข้มแข็งและมั่นใจในตัวเองเข้าไว้เท่านั้นค่ะ
คุณไม่ได้เจ็บปวดคนเดียว มนุษย์เจ็บปวดกันทุกคน ขอให้เข้มแข็งนะคะ ไม่ว่าจะเจออะไรอยู่ มันก็บทหนึ่งของหนังสือของคุณค่ะ
ติดตามคุณแป้งได้ที่:
Instagram : mahnissa
Page : facebook.com/queenbxoxoxoxo
Twitter : @queenb_mandi
อาการ อยากนอนเฉย ๆ มาจากอะไรได้บ้าง เพราะขี้เกียจ หรือซึมเศร้า แล้วการที่เราอยากนอนเฉย ๆ ทั้งวันไม่ทำอะไรมีข้อเสียไหม
ถ้าเราทำแล้วมีความสุขมาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂
ไม่อยากทำอะไรเลย อยากนอนเฉย ๆ
แต่ละคนคงมีที่มาของการอยากนอน ไม่อยากทำอะไรเลยหลากหลายสาเหตุมาก ๆ อาจจะมาจากการทำงานเหนื่อยมาก ๆ จน Burnout พอมีวันหยุดแล้วอยากจะนอนพัก
บางคนอาจจะรู้สึกว่าชีวิตข้างนอกเหนื่อย การอยู่ในห้อง การได้นอนอยู่กับตัวเองทำให้ดีขึ้น หรือกับบางคนรู้สึกเหนื่อยจากข้างใน การนอนเลยทำให้เขารู้สีกได้ชาร์จพลังบางอย่างให้ตัวเอง
การนอนเลยเป็นอีกตัวช่วยนึงที่ทำให้เรา Reboot ตัวเองได้ แต่การนอนมากไปไม่ได้ส่งผลดีอย่างเดียว ยังมีผลเสียอื่น ๆ อีกด้วย
การนอนมากเกินไป
ถ้าหากพูดถึงการนอน การนอนเป็นเรื่องของความต้องการส่วนบุคคล ในหลักการนอนจะมีรูปแบบหรือแพทเทิร์นของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ Lifestyle หรือนาฬิกาชีวิตของแต่ละคน
จึงบอกไม่ได้ว่าการนอนครบ 8 ชั่วโมงจะรู้สึก fresh หรือ healthy เท่ากันไหม มีงานวิจัยที่บอกว่าช่วงวัยไหนควรนอนให้ได้กี่ชั่วโมง พอเรารู้แล้วว่าช่วงวัยเราควรนอนให้ได้ประมาณกี่ชั่วโมง
เราก็ต้องมาดูต่อว่า Lifestyle ของเราหรือนาฬิกาชีวิตของเรานั้นเป็นในรูปแบบไหน บางคนต้องทำงานแบบเข้าเวร กลางวัน กลางคืน แตกต่างกันออกไป ทำให้นอนได้ไม่เป็นเวลา
แม้ว่าจะนอนตามช่วงเวลาที่แต่ละช่วงวัยควรจะนอน แต่นาฬิกาชีวิตเขาเปลี่ยนอยู่ตลอดก็อาจจะทำให้สภาพร่างกายแย่ เราถูกสอนมาว่าต้องนอนตอนกลางคืน
แต่ในทางกลับกันบางคนต้องทำงานในช่วงเวลากลางคืน แต่ในตอนกลางวันเขานอนได้ตามชั่วโมงที่ร่างกายต้องการ ตื่นมารู้สึกสดชื่น ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจจะเป็นอะไรที่ healthy สำหรับเขาเช่นกัน
การนอนและโรคซึมเศร้า
จริง ๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้อยากนอนตลอดเวลา แต่เกิดจากการไม่มีแรงจูงใจในการออกไปใช้ชีวิต ไม่ได้อยากออกไปทำอะไร เขาเลยรู้สึกว่าอยู่นิ่ง ๆ หรือการได้นอนมันดีกว่า
มากไปกว่านั้นเลยคนที่มีสภาวะซึมเศร้าจะมีอาการเหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง เหนื่อยล้า เพราะฉะนั้นการนอนก็จะตอบโจทย์กับคนที่รู้สึกเหนื่อยล้ามาก ๆ
ไม่ใช่แค่คนที่มีสภาวะซึมเศร้า และมีหลาย ๆ อย่างสัมพันธ์กันเลยทำให้คนที่มีสภาวะซึมเศร้า อยากนอนอยู่ตลอดเวลา
อยากนอนเฉย ๆ VS ขี้เกียจ
มีเส้นบาง ๆ ที่จะเป็นตัวขีดไว้ แต่ในขณะเดียวกันมันกลับเชื่อมโยงกัน เพราะการอยากนอนและความขี้เกียจมีความสัมพันธ์กัน ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยากนอน แต่ก็อยากทำอย่างอื่นด้วย
หลาย ๆ คนก็เลือกที่จะไม่นอน แต่ออกไปทำอย่างอื่น แต่กลับบางคนอยากนอนมาก ๆ และก็อยากทำอย่างอื่นด้วย แต่รู้สึกขี้เกียจจัง ก็เลยเลือกที่จะนอน
แต่ก็ตัดสินไม่ได้ว่าคนที่อยากจะนอนหรือพักผ่อน เท่ากับคนขี้เกียจ หรือคนที่ออกไปทำอะไรข้างนอกเยอะ ๆ ไม่ได้เป็นคนขี้เกียจ
นอนมากเกินไป ..
การนอนเกินไปก็อาจจะทำให้เรา Overload เช่นเดียวกันกับการออกกำลังกายมากเกินไป ถ้าหากเรานอนเยอะมากกว่าที่ร่างกายจะต้องการ ก็จะส่งผลกระตบต่อร่างกายเราเอง
บางคนนอนเยอะเกินไปจนทำให้ปวดหัว เหนื่อยง่าย มากกว่านั้นคือเวลาที่เรานอนเยอะมาก ๆ เราก็จะกลายเป็นคนไม่มีแรง กล้ามเนื้อก็จะลีบ อ่อนแรง สุดท้ายแล้วอะไรที่มันเยอะเกินไป
ก็จะส่งผลกระทบต่อตัวเราอยู่ดี การนอนต้องมีตรงกลางและความพอดี เอาเท่าที่ร่างกายจำเป็น จะส่งผลดีต่อเรามากกว่า ถ้าหากอยากงีบหลับในระหว่างวัน การงีบหลับไม่ควรเกิน 20 นาที
ถ้าหากเกินกว่า 20 นาทีนั้นแปลว่าร่างกายเรากำลังเข้าสู่วงจรของการนอนหลับ หรือเข้าสู่ช่วงหลับลึก มันเกินกว่าร่างกายควรจะใช้ เวลาที่เราตื่นมาจะทำให้ปวดหัว หงุดหงิดได้
ชอบนอนมาก ๆ แต่อยากแอคทีฟ
ทำความรู้จักกับ Lifestyle และนาฬิกาชีวิตของตัวเอง รวมไปถึงความต้องการของตัวเอง ลองทำบันทึกการนอนหลับของตัวเองสัก 2 สัปดาห์ พอครบ 2 สัปดาห์ลองเอามานับดูว่า
วันไหนนอนไปกี่ชั่วโมง แบบไหนตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น หรือวันไหนไม่สดชื่น วันไหนนอนพอดีแปลว่าร่างกายของเราต้องการประมาณนี้ และจะไม่นับว่านอนดึกหรือนอนไม่ดึก
แต่จะนับชั่วโมงการนอนว่าพอดีหรือไม่พอดีกับร่างกายของเรา จะทำให้เราเข้าใจ Lifestyle ของตัวเองและนอนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
” Y2K ” คำที่ช่วงนี้หลาย ๆ คนอาจจะได้ยินอยู่บ่อย ๆ แฟชั่นสีสันสดใสที่มาพร้อมกับความมั่นใจ สงสัยกันไหมว่าการรีเทิร์นของแฟชั่นปี 2000 เพราะอะไรถึงกลับมาฮิต ? จิตวิทยาจะสามารถตอบคำถามในเรื่องนี้ได้ไหม?
จริง ๆ แล้ว Y2K อาจไม่ใช่แค่เรื่องเเฟชั่น
Y2K คืออะไร
Y2K มาจาก Y = Year , 2K = 2 Thaosand เป็นยุคของคนมีความฝัน มีความหวัง และให้ความสนใจกับโลกอนาคต เครื่องมือเครื่องใช้ดิจิตอลต่าง ๆ เริ่มบูม
ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ทำให้แฟชันและงานศิลปะในสมัยนั้นจะสนุกกับการจินตนาการว่า โลกยุคใหม่จะเป็นอย่างไร
ลักษณะเฉพาะคือจะมีความ มน ๆ ขาว ๆ เงิน ๆ อวกาศ ซึ่งต่อมาเริ่มมีปาปารัซซี่ เริ่มมีรูป street fashion ของดาราศิลปินเผยแพร่ออกไปตามสื่อ
รวมถึงการแต่งตัวของตัวละครในภาพยนตร์ ซีรีส์ ซิตคอม ต่าง ๆ ทำให้สังคมหันมาสนใจและใช้ไอเท็มต่าง ๆ ตามจนฮิตเป็นวงกว้าง เช่น tank top, เสื้อครอป, กางเกงเอวต่ำ, มินิสเกิร์ต
Y2K เป็นแฟชั่นที่มีความหลากหลายเพราะเป็นยุคแห่งการลองผิดลองถูก และปล่อยใจสนุก ๆ เนื่องจากข่าวลือว่าโลกจะแตกและคอมพิวเตอร์จะล่มสลายในปี 2000 นั่นเอง
เก่าไปใหม่ ใหม่ไปเก่า การรีเทิร์นของแฟชั่น
“Everything old is new again.” เสื้อผ้าบางแบบที่เราใส่ ณ ปัจจุบันก็มาจากแฟชั่นในยุคเก่า มันฝังลึกกลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้วโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว
เทรนด์มีการกลับไปกลับมาอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าอย่างเดียวด้วย ของใช้วินเทจ กล้องฟิล์ม หรือแม้กระทั่งเทรนด์ความงาม เช่น ครีมกวนอิม ผงพิเศษ แม่เลียบ
ทำไม Y2K ถึงกลับมาฮิต
การกลับมาของ Y2K แสดงให้เห็นถึง ‘ความยืดหยุ่นของเทรนด์’ เหตุผลที่กลับมาคือ
1.การย้อนกลับ
ตามธรรมชาติ ถ้าเราไม่ไปข้างหน้าเราจะถอยกลับหลัง หมายความว่า ไม่มีอะไรใหม่ ๆ เลยย้อนกลับไปหาอะไรเก่า ๆ อีกประเด็นหนึ่งคือ การกลับไปใช้สิ่งที่เคยเป็นกระแสในสมัยก่อน
เป็นการเปิดประสบการณ์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันยุคนั้นด้วย เลยลองค้นหาไอเท็มเก่า ๆ มาใช้ ลองเลียนแบบวิธีการแต่งตัวในแบบต่าง ๆ
2.การสร้างทางลัด
ทางลัดในที่นี้คือ ‘Mental Shortcut’ การตามเทรนด์ หรือ การทำอะไรตาม ๆ กันจะเป็นเหมือนทางลัด ทำให้ตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีของนักจิตวิทยา Bandura ที่บอกว่า
เป็นธรรมดาที่คนมักจะดูคนอื่นและเลียนแบบคนอื่น เพื่อสร้าง Mental Shortcut ในการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ
3.เทรนด์
เทรนด์แฟชั่นจะเปลี่ยนไปตามภาพสะท้อนของวัฒนธรรมจากคนดัง และ Influencer (ผู้มีอิทธิพลทางสังคม) อย่างน้อง ๆ New Jeans ก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้คนที่ติดตามอยากแต่งตาม
4.ต้องการปลดปล่อยความเครียด
จากความปั่นป่วนและความไม่แน่นอนในปีที่ผ่านมา บางทีการกลับมาของ Y2K ครั้งนี้เป็นการแสดงออกถึงการโหยหาความสบาย สีสัน และการแสดงออก การแต่งตัวเชื่อมโยงกับจิตใจและความรู้สึกของเราในวันนั้น
เช่น จากที่เรามักจะใส่กางเกงยีนส์เป็นประจำ อยู่ๆวันนึงเปลี่ยนมาใส่กางเกงวอร์มก็อาจจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ เราอาจจะรู้สึกไม่สบายใจ เลยอยากใส่อะไรสบาย ๆ ในวันนั้น
Enclothed Cognition
กับแนวคิดที่ว่า “เสื้อผ้าเชื่อมโยงกับความรู้สึก” Hajo Adam และ Adam d.Galinsky นักจิตวิทยาที่ร่วมกันทำวิจัยเกี่ยวกับเสื้อผ้าและความรู้สึก
งานวิจัยนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Journal of Experimental Social Psychology (2012)
ท่ามกลางการแพร่ระบาด อาจจะดูเป็นเรื่องแปลกที่จะเห็นคนใส่เสื้อผ้าสไตล์สดใสใช่มั้ย แต่บางทีอาจจะบ่งบอกถึงการโหยหาการมองโลกในแง่ของความสดใสมากขึ้น
เป็นวิธีที่เขาสามารถแสดงตัวตนให้คนอื่นรับรู้ถึงแม้ว่าจะอยู่บนหน้าจอโทรสัพท์หรือสวมแมสปิดไปครึ่งหนึ่งของหน้าก็ตาม
5.ความอิสระในการแต่งตัว
ยุคนี้คนเราเริ่มเปิดกว้างในการแต่งตัวมากขึ้น เมื่อก่อนการที่คนคนนึงใส่ชุดบิกีนีอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ในปัจจุบันคนเริ่ม Normalize กันมากขึ้นแล้ว การมีอิสระตรงนี้ ทำให้พวกเขากล้าที่จะครีเอทชุดมากขึ้น
จิตวิทยากับ Y2K
-Y2K Anxiety
จาก True center publishing
1. A fear of helplessness and loss of control
เทคโนโลยีอาจเข้ามามีผลกระทบจนไม่สามารถควบคุมได้
2. A fear of The End
ความกลัวเกี่ยวกับจุดจบ Y2K เป็นยุคที่ทุกคนต่างมีความกลัวเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต โลก ไปจนถึงจักรวาลต่างมีวันสิ้นหมดอายุขัย
3. A fear of change and the unknown
ความเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องปรับตัว คนส่วนใหญ่ต่างรับรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่อันตราย เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ว่า เทคโนโลยีจะพามนุษย์ไปในทิศทางไหน
4. A fear of interdependence
ในยุคใหม่ที่ทุกคนต้องพึ่งพาตัวเอง อยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะการอยู่คนเดียวในยุคสมัยนี้ไม่เหมือนยุคโบราณที่จะอยู่รอดได้โดยมีเผ่า
5. A fear of retribution
ความกลัวเรื่องกรรม เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจเป็นการ ‘เอาคืน’ หรือ payback มนุษย์คิดว่าตัวเองสามารถควบคุมเทคโนโลยีได้ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นจะนำพามาซึ่งสิ่งดี ๆ เสมอไป อาจจะเกิดผลกระทบที่ไม่คาดคิดได้
-Y2K influencer
อย่างที่บอกว่า Y2K เป็นยุคที่เริ่มมีอินเทอร์เน็ต ทำให้เทรนด์ในด้านต่าง ๆ ถูกแพร่กระจายไปได้ในวงกว้างมากขึ้น เพราะอะไรดาราศิลปินถึงมีอิทธิพลกับเรา? เพราะอะไรเราถึงซื้อของตาม แต่งตัวตาม?
1.ความรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่ง
ในทางจิตวิทยา ข้อมูลจาก GRIN บอกว่า การที่เราได้รับอิทธิพลจากใคร หรือ การที่เรามีอิทธิพลต่อใครสักคน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ตัว เหตุผลเบื้องหลังคือ เราต้องการความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง เราจะรู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ถ้าสิ่งนั้นเป็นอะไรที่สังคมส่วนใหญ่หรือคนที่มีอิทธิพลทำ
2.การเสริมสร้างภาพลักษณ์ตัวเอง
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม in-group จะเป็นกลุ่มที่ตามเทรนด์และ out-group คือคนที่ไม่ตามเทรนด์ คนที่อยู่ใน in-group จะพยายามหาข้อเสียของ out-group เพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น รู้สึกดีขึ้น กับภาพลักษณ์ของตัวเอง
ตามแฟชั่นไม่ผิด
การที่เราจะตามแฟชั่นหรือไม่ตาม อยู่ที่ความชอบและความ ‘อยาก’ ส่วนบุคคล สไตล์ วิถีการใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่งแฟชันของแต่ละคน เราไม่ตามแต่เราก็สบายใจดี มีความสุขกับตัวเองก็ไม่เป็นไรเลย
หรือถ้าเราจะตามก็ไม่ผิดเช่นกัน แต่ต้องถามตัวเองก่อนว่า เรามีความสุขกับทางที่เลือกไหม เราตามเทรนลึก ๆ เเล้วเรามีความสุขจริงหรือเปล่า หรือแค่อยากได้รับการยอมรับ
และเรื่องที่สำคัญคือผลกระทบ ถ้าตามมากไปจะลำบากเรื่องเงิน แต่ถ้าไม่ตามมากไป จะรู้สึก insecure ได้ว่า เราแปลกแยกไหม เราไม่เข้าพวกไหม อาจจะต้องบาลานซ์ให้ดีและตั้งลิมิตไว้ให้ตัวเองบ้าง
ว่าเราไหวแค่ไหน อะไรได้อะไรไม่ได้
แต่งตัวให้เป็นตัวของตัวเองอย่างไรให้มีความสุข?
1.ทำในสิ่งที่ใจบอกว่าใช่
สารตั้งต้นตัวแรกเลยคือ ความสุขของเราเอง เรามีความสุขกับการเเต่งตัวเเบบไหน มั่นใจเวลาใส่เสื้อผ้าแบบไหน เราคงต้องเป็นคนตอบคำถามในข้อนี้
2.ชีวิตคือการลองผิดลองถูก
การแต่งตัวเป็นเรื่องที่สนุกเหมือนกับการสร้างผลงานศิลปะ ไม่มีคำว่าถูกผิด ตัวนี้ใส่แล้วไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไร ลองใหม่ เเนวนี้ใส่แล้วไม่มั่นใจ ก็ลองเเนวใหม่ เราไม่จำเป็นต้องจำกัดตัวเองให้อยู่ในกรอบของแนว ๆ เดียว
ที่มา :
why-the-return-to-y2k-fashion-is-psychological
unlockmen.com/virgil-abloh-jeweley
การพึ่งพาคนอื่นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่ถ้าเราพึ่งพาคนอื่นมากเกินไปจนเราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือถ้าคนที่เราพึ่งพาเขาเริ่มรู้สึกอึดอัดกับเรา เราจะทำอย่างไร ..
เพราะมนุษย์จำเป็นต้อง พึ่งพาคนอื่น
พออ่านจากหัวข้อแล้วเดี๋ยวจะเข้าใจกันผิดว่า เอ๊ะ การพึ่งพามันไม่ดีหรือ ใคร ๆ ก็ต้องพึ่งพากัน และใช่เลยการพึ่งพากันเป็นเรื่องปกติ เพราะ “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” แนวคิดดังกล่าวมาจาก อริสโตเติล
อริส โตเติล ให้แนวคิดไว้ว่า มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เพราะต่างคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ติดต่อสัมพันธ์กัน และทำกิจกรรมร่วมกันอยู่เสมอ เพื่อสร้างสรรค์พลังหรือผลงานอันยิ่งใหญ่ได้
เพราะเราไม่สามารถสร้างอาคารบ้านเรือน ส่งจรวดไปดาวอังคาร หรือเปิดร้านอาหารใหญ่โตได้ด้วยตัวคนเดียว การพึ่งพากันเป็นเรื่องปกติ แต่การพึ่งพาจนเกิดความไม่ปกติก็มีเหมือนกัน
Dependent Personality Disorder
เป็นโรคหนึงที่อยู่ในส่วนของโรค Personality Disorder หรือว่า ความผิกปกติทางบุคลิคภาพ ซึ่งก็จะแยกออกมาเป็น คลัสเตอร์ A B และ C อีก และแต่ละคลัสเตอร์ ก็จะแบ่งแยกออกมาอีกหลายตัวโรคอีก
ในส่วนของตัว Dependent Personality Disorder บุคลิกภาพแบบพึ่งพาผู้อื่น ถูกจัดอยู่ในคลัสเตอร์ C เป็นอาการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ปฏิเสธผู้อื่นไม่เป็น ไม่มีความมุ่งมั่น
กลัวการทะเลาะเบาะแว้ง ต้องการอยู่กับผู้อื่นตลอดเวลา กลัวการอยู่คนเดียว ยอมทำตามความต้องการผู้อื่นมากกว่าความต้องการของตน ไม่ชอบการเป็นผู้นำ มักเป็นผู้ตาม และพอมีคำว่า Disorder ห้อยท้ายแล้ว
จึงมีความไม่ปกติตามมา เป็นพฤติกรรมที่ยอมตามและยอมจำนนคนอื่น ต้องพึ่งพิงคนอื่นตลอดเวลา ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน พอรู้ถึงความหมายคร่าว ๆ
ก็รู้สึกว่าจุดประสงค์ของสิ่งนี้คือต้องพึ่งพาคนอื่นจนเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่กล้าตัดสินใจอะไร ทำอะไรตามคนอื่น โดยอาจจะไม่ได้ตรงตามความต้องการของตัวเอง
พฤติกรรมของกลุ่มคนที่เป็น Dependent Personality Disorder
- หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว
- หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบส่วนตัว
- เสียใจ รู้สึกแย่ ได้ง่ายจากการวิจารณ์หรือไม่ยอมรับ
- หมกมุ่นอยู่กับความกลัว การถูกทอดทิ้งมากเกินไป
- กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่โต้ตอบ
- รู้สึกเสียใจมากหรือ ทำอะไรไม่ถูก เมื่อความสัมพันธ์สิ้นสุดลง
- มีปัญหาในการตัดสินใจโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่น
- มีปัญหาในการแสดงความไม่เห็นด้วยกับผู้อื่น
- ยอมให้คนอื่นตัดสินใจในเรื่องของชีวิตของตัวเอง เช่น ตัดสินใจว่าเราไม่ควรคบกันคนนั้นคนนี้
- ไม่อยากเป็นผู้นำ สะดวกใจกับการเป็นผู้ตามมากกว่า เพราะไม่อยากรับผิดชอบความรู้สึกของคนหลาย ๆ คน
เปรียบเทียบ Attachment Anxious และ Dependent Personality Disorder
Attachment Theory หรือ ‘ทฤษฎีความผูกพัน’ คือทฤษฎีที่ว่าถ้าเราถูกเลี้ยงดู ถูกรัก มาแบบไหนในวัยเด็กมีแนวโน้มว่าเราจะเป็นแบบนั้นในตอนโต
ซึ่งทฤษฎีนี้จะมีอยู่ 4 อันแต่วันนี้เราจะมาพูดถึงรูปแบบของ Attachment Anxious รูปแบบความสัมพันธ์แบบวิตกกังวล คนที่มีรูปแบบความสัมพันธ์แบบวิตกกังวล
ในวัยเด็กมักจะไม่ได้รับความใส่ใจ ไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องอาจจะด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างส่งผลให้ตอนโตรู้สึกกังวล โหยหาความรัก อยากได้รับการเอาใจใส่ตลอดเวลา
เมื่อไม่ได้อยู่กับคนรักจะไม่มีความมั่นใจ เอาความสุขไปผูกกับคนรักมากเกินไป พอไม่ได้อยู่กับคนรักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า
จะเห็นได้ว่าระหว่าง Attachment Anxious และ Dependent Personality Disorder มีความคล้ายกัน ใกล้เคียงกันแต่ไม่ใช่แบบเดียวกัน
ถูกพึ่งพามากเดินไป จนทำให้รู้สึกอึดอัด
ความรู้สึกน่าอึดอันนี้บางครั้ง หรือในหลาย ๆ ครั้งก็มาในรูปแบบของความรัก คู่รัก หรือครอบครัว เรียกว่า Codependency หมายถึง บุคลิกภาพแบบที่พึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่งทางความรู้สึก
เกิดจากความรู้สึกไร้ตัวตนจึงทำพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการ หรือคุณค่าของตัวเองมากโดยที่มันเกินไป เหมือนเราเอาตัวเราไปพิงไว้ที่ใครอีกคน
ถ้าเขาล้ม หรือเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไป เราก็อาจจะล้มลงไปด้วย เพราะเราเอาความรู้สึกคนอื่นเป็นฐานยืนให้กับตัวเอง จึงนำไปสู่พฤติกรรมต่าง ๆ
ที่เราพยายามทำเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้ เช่น ตามใจคนแฟนมากไม่กล้าปฏิเสธ และมีความกังวลอย่างมากต่อการสูญเสียอีกฝ่าย ต้องการยอมรับจากผู้อื่นเพื่อที่ตัวเองจะได้มีความสุข
รวมไปถึงการพยายามเอาใจ คนรอบข้างตลอดเวลา ในทางกลับกัน ผู้ที่ต้องถูกพึ่งพิง และอยู่ในความสัมพันธ์ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ต้องตอบสนองความต้องการของคนอื่นตลอดเวลา
ส่งผลให้รู้สึกไม่สบายใจเวลาอยู่ร่วมกัน คนรัก และสุดท้ายความสัมพันธ์ก็ล้มเหลวในที่สุด
วิธีรักษาในทางการแพทย์
หากว่าเรารู้สึกว่ากำลังมีสภาวะ Dependent Personality Disorder มีความคิดลบกับตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่มั่นใจ ไม่กล้าตัดสินใจ ต้องให้คนอื่นนำจนรู้สึกไม่เป็นตัวเอง
การไปพบแพทย์ก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดีเพื่อตัวของเรา ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิด Dependent Personality Disorderได้ เช่น ถ้าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่วัยเด็ก กับเพื่อน ผู้ปกครอง หรือครู ก็สามารถช่วยป้องกันได้
การบำบัดด้วยการพูดคุยถือเป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด จุดมุ่งหมายคือเพื่อช่วยให้ผู้ที่มีภาวะนี้สามารถเลือกทางเลือกในชีวิตได้อย่างอิสระมากขึ้น ยา อาจช่วยรักษาอาการทางจิตอื่น ๆ เช่น ความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้า ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับความผิดปกตินี้
แนวทางการปรับตัวไม่ให้ พึ่งพาคนอื่น มากจนเกินไป
ถ้าเรามีความรู้สึกกังวลว่าเราพึ่งพิง พึ่งพาคนอื่นมากจนเกินไปไหมนะ แล้วรู้สึกว่าอยากปรับนิสัยก็มีวิธีง่าย ๆ จาก missiontothemoon
1.ดูแลตัวเอง คือสิ่งสำคัญที่สุด ดูแลตัวเองในที่นี้ คือทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ สุขภาพกาย สุขภาพใจ เมื่อเรามีพื้นฐานที่อยู่ในตัวเราที่ดี การพึ่งพาคนอื่นในแบบที่ทำให้ใจพัง น่าจะไม่เกิดขึ้น
2.มีขีดจำกัดที่ชัดเจน แน่นอนเราต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่แล้วในชีวิตของเรา แต่เราจะพึ่งพาเรื่องอะไรบ้าง เรื่องไหนจำเป็นบ้าง และพึงพาใครบ้าง ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำการบ้านกับตัวเอง
3.ยอมรับว่าบ้างเรื่อง เราก็ต้องพึ่งพากันและกัน เราขอความช่วยเหลือได้ มันเป็นเรื่องปกติ