Posts
” กำลังใจ ” คืออะไร? กำลังใจจากตัวเองหรือจากคนอื่นสำคัญกว่า? ถ้าไม่มีใครกำลังใจเลย… จะเริ่มต้นให้กำลังใจตัวเองยังไงดี? มาร่วมพูดคุยและแชร์เกี่ยวกับการให้กำลังใจตัวเอง
ในมุมมองจิตวิทยา กำลังใจ คืออะไร?
กำลังใจคืออะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่ามี energy ที่จะทำบางอย่างต่อไป คืออะไรที่ทำให้เรารู้สึกดี เราอยากจะฮึดสู้อีกครั้ง
กำลังใจ จากตัวเองหรือคนอื่นสำคัญกว่า?
ตอบยากมาก มองว่าขึ้นอยู่กับความต้องการของบุคคล สำหรับบางคน การสร้างกำลังใจให้ตัวเองนั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้รู้สึกว่าอยากทำสิ่งต่าง ๆ
การให้รางวัลเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ทำให้เราอยากกลับไปสู้กับปัญหา แต่สำหรับบางคนการให้กำลังใจตัวเองอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการได้
กำลังใจจากคนอื่นเลยอาจจะเป็นตัวช่วยชาร์จพลังให้เขาไปต่อได้มากขึ้น ทั้งสองอย่างคงสำคัญพอ ๆ กัน แต่ละคนคงมีความต้องการที่แตกต่างกัน
กำลังใจ มีข้อเสียไหม?
ถ้าต้องการกำลังใจมาก ๆ บ่อย ๆ โดยที่ไม่รู้สึกว่าเติมเต็มสักที รวมถึงต้องใช้กำลังใจในการสร้างแรงจูงใจอยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้
เลยอาจจะเกิดเป็น ‘ภาวะพึ่งพิง’ มากเกินไป เราจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีกำลังใจ แปลว่าเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้กับปัญหาแล้ว คงไม่ดีกับเรามากนัก
อะไรบ้างที่ทำให้หมด กำลังใจ ได้ง่ายๆ?
ตัวเราเอง ตัวเราเองนั่นแหละที่เป็นคนสร้างเงื่อนไขเหล่านั้นที่ทำให้หมดกำลังใจ ตัวเราเองคงเป็นปัจจัยหลักและปัจจัยเดียวที่ถูกแปรผัน ที่ทำให้รู้สึกว่า ไม่อยากทำอะไรแล้ว
ไปต่อไม่ได้แล้ว ถ้าลองนึกภาพตามว่า เราลองไม่ต้องการกำลังใจจากคนอื่น แล้วเราอยู่ได้ ไปต่อได้ ถ้าแค่นี้โอเคแล้วและไปต่อในรูปแบบนี้คงดีกว่า ถ้าไม่สร้างเงื่อนไขให้ว่า
ต้องหมดกำลังใจหรือต้องมีกำลังใจอยู่ตลอด สำคัญที่เราจะสร้างเงื่อนไขแบบไหน คนอื่นอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่เข้ามาทำให้ท้อแท้ แต่ถ้าเราไม่รับ สิ่งนั้นคงทำอะไรเราไม่ได้
ทำได้ดีแล้วแต่ไม่เคยได้รับคำชม รับมืออย่างไร?
แปลว่าเรามีความคาดหวังว่าสิ่งที่เราทำ ทุกคนจะต้องชื่นชม เราทำสิ่งเหล่านั้นบนพื้นฐานของความต้องการการยอมรับจากคนอื่นหรือเปล่า เราถึงต้องรอคำชื่นชมจากคนอื่น
เพื่อเข้ามาเติมเต็มความรู้สึกของตัวเองให้มีกำลังใจต่อ คงต้องมองว่าเราต้องการกำลังใจเพราะอะไร วันหนึ่งที่เราทำแล้วไม่ได้กำลังใจ ทำให้เราบั่นทอนอย่างไร?
เรารู้สึกอย่างไรกับตัวเองในวันแบบนั้น? อาจจะต้องกลับไปมองว่า เป็นเรื่องจริงหรอ ว่าเราทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องได้รับคำชม? เราชื่นชมตัวเองได้ไหม?
เราบอกกับตัวเองได้ไหม? ว่าเราเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดแล้วเราเต็มที่กับสิ่งที่ทำแล้ว รวมไปถึง… เราให้กำลังใจตัวเองในวันที่ไม่ได้กำลังใจจากใครได้หรือเปล่า?
คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าจะรับมืออย่างไร แต่ลองคุยกับตัวเองดีกว่า ว่าจำเป็นแค่ไหน? เพราะอะไรเราถึงอยากได้กำลังใจ?
สร้างกำลังใจให้ตัวเองอย่างไรให้ก้าวผ่านวันยาก ๆ ไปได้?
ต้องถามตัวเองก่อนว่า กำลังใจของเราหน้าตาเป็นแบบไหน? เพราะว่าหน้าตาของคำว่ากำลังใจสำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเป็นคำพูดคำชม บางคนเป็นพฤติกรรมที่ได้รับมา
เช่น การกอด การหอม บางคน… กำลังใจมาจากการได้รับรางวัล ถึงจะทำให้เรามีกำลังใจในการทำอะไรต่อ บางคนเป็นวัตถุที่ได้มาแล้วรู้สึกว่านี่คือกำลังใจ ลองหาให้เจอว่ากำลังใจคืออะไร
แล้วอยากได้มาเพื่อตอบโจทย์ความรู้สึกอะไรของตัวเอง? บางทีเราได้คำพูดคำชมมาแล้วไม่ได้ตอบโจทย์ความรู้สึก ดังนั้น คำชมอาจจะไม่ได้ผลักดันทำให้อยากทำอะไรต่อ
ต้องคุยกับตัวเองก่อนว่าหน้าตาของคำว่ากำลังใจเป็นแบบไหน ถ้าเราเริ่มเห็นว่ากำลังใจหน้าตาประมาณนี้แหละ เรารู้สึกว่าถ้าทำบางอย่างแล้วได้ซื้อลิปให้ตัวเองสักแท่งเพื่อเป็นกำลังใจ
เมื่อไหร่ก็ตามที่ไปถึงตรงนั้นก็แค่ซื้อลิปให้ตัวเองแท่งหนึ่ง เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเองไปต่อ เพราะเราเรียกชื่อได้แล้ว ว่าสิ่งนี้คือการเติมพลังให้เรา ถ้าเราเริ่มรู้ว่าหน้าตาของกำลังใจ
น่าจะมาในรูปแบบไหนที่เติมเต็มความรู้สึกเรา จะไปถึงตรงนั้นง่ายขึ้น อีกอันหนึ่งคือ ลองมองว่าอะไรคือความสุขและความต้องการของเรา? เพราะเวลาทำอะไรที่มีความสุข สิ่งนั้นอาจเป็นกำลังใจได้
บางทีการที่เราจะให้กำลังใจตัวเองได้ แปลว่า เราต้องมองเห็นตัวเองและเติมเต็มตัวเองให้ได้ด้วย ลองมองเรื่องเล็ก ๆ ในตัวเอง มองข้อดีในตัวเองบ้าง บางทีการชื่นชมตัวเองในเรื่องของรูปลักษณ์
หน้าตา พฤติกรรม คำพูด กิจกรรมที่ได้ทำ พอได้เติมเต็มสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง จะสร้างกำลังใจได้ด้วยตัวเอง
ให้ กำลังใจ อย่างไรไม่ให้หลอกตัวเอง?
หลอกตัวเองก็คือหลอกตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองเป็นการพูดถึงตัวเองตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การสร้างคำพูดบางอย่างเพื่อปลอบใจตัวเอง
เช่น วันนี้เราได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น ‘ทำไมเราใจดีจังเลย’ หรือ วันนี้ตื่นเช้ามาแล้วทำทุกอย่างได้ตามเป้าหมาย ตามเวลาที่วางแผนไว้
‘เรารับผิดชอบตัวเองดีเหมือนกันนะ’ คือเราไม่ได้สร้างคำพูดเพื่อหลอกตัวเองแล้วนำมาปลอบใจตัวเอง สองอย่างนี้คงแตกต่างกัน
เราจะให้ กำลังใจ คนรอบข้างอย่างไรดี?
คิดว่าง่ายกว่าการให้กำลังใจตัวเอง เราอยากให้อะไรเราก็ให้ เราอยากทำอะไรก็ทำ แต่ว่าการกระทำนั้นหรือคำพูดนั้นควรอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราจริงใจ เราอยากให้กำลังใจ การกระทำของเรา คำพูดของเรา จะออกมาโดยที่ไม่ดูเสแสร้ง ออกมาเป็นธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การซื้อของให้ หรือพฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อให้กำลังใจจะง่ายมากขึ้น คิดว่าง่ายกว่าการให้กำลัวใจตัวเองจริง ๆ
ส่งท้าย.. จากนักจิตวิทยาคลินิก
ถ้าเรามีความสุขกับทุก moment ในชีวิตของตัวเองคงดีมาก ๆ ในช่วงเวลาที่เรากำลังเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่แย่ รวมถึงอะไรก็ตามที่เข้ามาเป็นวิกฤติ ยังเป็นคนที่เชื่อเสมอว่า
เวลามีอะไรเข้ามา วิกฤติย่อมตามมาด้วยโอกาสบางอย่าง อยากให้มองว่าทุก moment ที่เกิดขึ้นคงแย่แหละ แต่มีอะไรดี ๆ ที่สามารถมองหาได้ไหม? ลอง enjoy กับ moment เล็ก ๆ
อย่างน้อย… สมมติว่า โควิดมาต้อง Work from home คงแย่ที่รายได้ลดลง แต่อย่างน้อยเรามีเวลาได้อยู่บ้านแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ลองมองอีกมุมว่าเราได้อยู่กับคนในครอบครัว
อยากบอกว่า ในวันที่แย่ที่สุด ลอง enjoy กับ moment เล็ก ๆ ในชีวิตว่าคงมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ 🙂
ทำยังไงดี? ในวันที่มี ” ความกังวล ” เพราะอะไรเราถึงไม่สบายใจ หวาดหวั่น และตึงเครียดในเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนที่กำลังจะเกิดขึ้น? หรือเพราะเรากำลังมีความกังวลเกินไปนะ?
รู้จักกับความกังวล
ความกังวล คืออะไร?
จาก APA ความกังวลเป็นอารมณ์หนึ่งที่มีความเข้มข้น ประกอบไปด้วยความคิดและความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น แรงดันโลหิตสูงขึ้น ความกังวลเชื่อมโยงกับ ‘การคิดถึงอนาคต’
เป็นปฏิกิริยาระยะยาวต่อสิ่งที่น่าจะเป็นอันตราย แตกต่างจากความกลัวที่จะเป็นปฏิกิริยาระยะสั้น เป็นความรู้สึกรุนแรงที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น เช่น มีหมาเห่า ทำท่าเหมือนจะเข้ามากัด
เราคงกลัวแล้วตอบสนองออกไป เช่น กลัวจนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูก อย่างที่บอกไปว่า ความกังวล เป็นปฏิกิริยายะยาวต่อสิ่งที่น่าจะเป็นอันตราย ซึ่งคำว่าอันตราย มีหลากหลายแง่มุมมาก
ไม่ใช่แค่อันตรายอย่าง รถชน หกล้ม แต่เป็นในส่วนของเรื่องทั่วไปได้ด้วย เช่น เรื่องงาน จะสัมภาษณ์งานพรุ่งนี้แล้ว จะเป็นยังไงนะ? จะเจอกรรมการแบบไหนนะ? เขาจะโอเคกับเราไหม?
ความกังวล มีแบบไหนบ้าง?
ความกังวลมีทั้งแบบที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ นักจิตวิทยามักแบ่งแยกออกเป็น
1. ความกังวลที่มาจาก “ปัญหาจริง ๆ”
คือ ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเราในขณะนี้ ปัญหาซึ่งจำเป็นต้องมีการจัดการทันที
2. ความกังวลที่มาจาก “ปัญหาที่คิดล่วงหน้า”
คือ สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นในอนาคต เช่น ต้องขึ้นเครื่องบินแล้วกลัวเครื่องบินตก
ความแตกต่างระหว่าง ความเครียด และ ความกังวล
ความเครียดและความกังวลมีความแตกต่างอยู่ที่ช่วงเวลาของเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยประสบ โดยความเครียดจะเป็นภาวะทางจิตใจที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ตัวเองกำลังประสบอยู่
ในขณะที่ความวิตกกังวลจะเป็นภาวะความไม่สบายใจ หวาดหวั่นและตึงเครียด เมื่อได้รับรู้หรือคาดการณ์ความเลวร้าย รวมถึงความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
คุณหมอนัท อธิบายเสริมไว้ว่า ความเครียดจะเกิดความร้อนเกิดขึ้นกับร่างกาย แต่ความกังวลจะเกิดอาการมือเท้าเย็น ช่วงท้องหวิว ๆ เย็น ๆ ปวดฉี่บ่อย เช่น กลัวไปทำงานไม่ทัน
ลักษณะเฉพาะของ ความกังวล
1. เกิดขึ้นกับความคิดเพียงอย่างเดียว
2. คิดถึงผลลัพธ์ของสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
3. กลับมาคิดใหม่ในเรื่องเดิมได้ซ้ำไปมา
4. ไม่มีผลกับทางด้านร่างกายอย่างชัดเจน
ภาวะทางจิตที่เกี่ยวข้องกับความกังวล
อย่างหนึ่งคือ ‘โรควิตกกังวล’ หรือที่เรียกว่า Anxiety disorder คนที่เป็นโรคนี้จะมีความคิดวนในเรื่องที่กังวล ทำให้พยายามหลีกเลี่ยงบางสถานการณ์ มีอาการต่าง ๆ เช่น เหงื่อออก มือสั่น เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก WebMD ยังบอกไว้ด้วยว่า โรคและภาวะอื่น ๆ ทางจิตที่เกี่ยวข้อง คือ
1. Panic (แพนิค)
2. Phobic disorders (โรคกลัว)
3. Stress disorders (โรคเครียด)
4. Social anxiety disorder (โรคกลัวสังคม)
5. Illness anxiety disorder (โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย)
6. Separation anxiety disorder (โรควิตกกังวลต่อการแยกจาก)
เหตุผลของความกังวล
เกิดได้จากหลายสาเหตุ
1. สภาวะร่างกาย
2. สภาวะจิตใจ
3. ผลกระทบจากยา สารเสพติด
4. สถานการณ์ที่สร้างความเครียดในชีวิต
เมื่อพูดถึงสถาการณ์จะแบ่างปะเภทได้ 3 รูปแบบ
1. สถานการณ์ที่คลุมเครือ : สามารถตีความได้หลากหลาย
2. สถานการณ์ที่แปลกใหม่ : ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
3. สถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ : ไม่รู้แน่ชัดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
สัญญาณเตือน ความกังวล ที่มากเกินไป
1. มีความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นมากเกินกว่าที่จะอธิบายได้ด้วยความเครียดที่มากระตุ้น
2. ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นมีอาการรุนแรงมาก จนร่างกายแสดงอาการ เช่น ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ รู้สึกเสียว ชา ไม่สบายตัว จุกเสียด แน่นท้อง
3. ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นยังคงอยู่ต่อเนื่อง แม้สิ่งกระตุ้นจะหมดไปแล้ว
4. มีความวิตกกังวลเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทั้ง ๆ
5. ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นทำให้รบกวนกิจวัตรประจำวันและหน้าที่การงาน
ข้อดีของ ความกังวล
1. ทำให้ระมัดระวัง
เตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้รอบคอบมากขึ้น
2. เป็นแรงกระตุ้น
เป็นแรงกระตุ้นในการทำสิ่งต่าง ๆ
3. ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทำให้สามารถแสดงสมรรถนะออกมาได้มากขึ้น
ข้อเสียของ ความกังวล
1. จำกัดเราไม่ให้ไปถึงเป้าหมาย
ความกังวลที่เกินเหตุจะจำกัดเราไม่ให้ไปถึงเป้าหมาย เพราะเราจะมัวแต่คิดว่า ทำอย่างนี้ดีไหมนะ? หรือแบบนั้นดีนะ?
2. ใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง
ความหวาดระแวงที่มากเกินไปจะทำให้เราไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต จะทำอะไรก็กังวลไปหมด
รับมือกับความกังวลอย่างไร
1. ทำทุกอย่างอย่างดีที่สุด
นอกจากจะลดความกังวลได้แล้ว ยังลดความเสียดายได้ด้วย เพราะเรารู้ว่าเราทำเต็มที่แล้ว จะเป็นยังไงไม่ต้องคิดถึงตรงนั้น หันโฟกัสมาอยู่กับสิ่งตรงหน้าดีกว่า
2. ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ แล้วเอาชนะมัน
การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ จะทำให้เรามีรางวัลกระตุ้นไปตามทาง ซึ่งจะช่วยพาเราไปสู่ความสำเร็จ อย่าเพิ่งยอมแพ้ให้กับความกังวล
3. ฝึกแยกแยะว่าเป็นความกังวลจาก ‘ปัญหาจริง ๆ’ หรือ ‘ปัญหาทีคิดล่วงหน้าไปเอง’
ความกังวลของเราเป็นแบบใด หากความกังวลโดยส่วนใหญ่เป็นการคิดล่วงหน้าไป สำคัญมากที่จะต้องเตือนตัวเอง
4. หาวิธีที่จะปล่อยวางความกังวลและมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เราจัดการได้
บางครั้งถ้าความกังวลไม่หายไป สิ่งสำคัญคือการปล่อยวางและทำสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุด
5. รักษาสมดุลในชีวิต
นักจิตวิทยาหลายคนเห็นตรงกันว่าคุณภาพชวิตที่ดีนั้นมาจากการใช้ชีวิตให้สมดุล ระหว่างความพึงพอใจ ความสำเร็จ และความสัมพันธ์
ที่มา :
7 Surprising Ways Anxiety Benefits You
การสังเกตและรับมือกับภาวะวิตกกังวล
ความเครียด vs วิตกกังวล ต่างกันอย่างไร?
จะแยกความกังวล เครียด ตื่นตระหนกยังไง มาทำเช็คลิสต์กัน
อีกตั้งหลายวัน เดี๋ยวค่อยทำก็ได้ เคยไหม? เลื่อนนัด เลื่อนงาน เลื่อนหนังซีรี่ส์ที่อยากดูแต่ไม่ดูสักที ในทางจิตวิทยาว่าอย่างไร เพราะอะไรเราถึง ” ผัดวันประกันพรุ่ง ”
เหตุผลของคนชอบ ผัดวันประกันพรุ่ง
ผัด ไม่ใช่ ผลัด
ใช้คำว่า “ผัด” ไม่ใช่ “ผลัด” คำว่า ผัด จะใช้ทำอาหารแล้ว ยังมีความหมายว่า เลื่อนออกไปก่อน เช่น ผัดหนี้ ผัดผ่อน จึงกลายเป็นสุภาษิตไทย ที่ว่า “ผัดวันประกันพรุ่ง”
ผัดวันประกันพรุ่ง เกิดขึ้นกับใครบ้าง
นักวิจัยกล่าวว่า การผัดวันประกันพรุ่ง เกิดขึ้นเด่นชัดในหมู่นักเรียน การวิเคราะห์สถิติในปี 2550 ที่เผยแพร่ใน Psychological Bulletin พบว่า 80% ถึง 95% ของนักศึกษาวิทยาลัย
ผัดวันประกันพรุ่งเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทำการบ้านและงานในรายวิชาให้เสร็จ Joseph Ferrari ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย DePaul ใน ชิคาโก
และผู้เขียนหนังสือ “Still Procrastinating: The No Regret Guide to Getting It Done” กล่าวว่า ประมาณ 20% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เป็นคนผัดวันประกันพรุ่งเรื้อรัง จากนบทสัมภาษณ์ของ
ดร. Ferrari กล่าวว่า เขาชอบคำพูดที่ว่า “ใคร ๆ ก็ผัดวันประกันพรุ่งกันนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นนักผัดวันประกันพรุ่ง” เพราะผัดวันประกันพรุ่งเป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้ทั่วไป แต่จะเริ่มเป็นปัญหา
ถ้าผัดวันประกันพรุ่งในทุก ๆ ด้านของชีวิต อย่างแรกเลยคือเราจะทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง จากการศึกษาพบด้วยว่า ผัดวันประกันพรุ่ง เชื่อมโยงกับ ภาวะผัดวันประกันพรุ่งเรื้อรัง บุคลิกภาพปกติ
ผัดวันประกันพรุ่ง เป็นเรื่องการจัดการ “อารมณ์” ไม่ใช่ “เวลา”
นักวิจัยแผยแพร่งานวิจัยในวารสาร Psychological Science ศึกษาเรื่องนี้ โดยการใช้แบบสำรวจและสแกนสมอง คน จำนวน 264 คน เพื่อดูว่า คนมีแนวโน้มจะรีบจัดการกับภารกิจตรงหน้าอย่างรวดเร็วแค่ไหน
นักวิจัยพบว่า มีสมองอยู่สองส่วนที่เป็นตัวกำหนดว่าเราจะลงมือทำภารกิจตรงหน้าให้เสร็จ หรือเลื่อนเวลาออกไปเรื่อย ๆ งานวิจัยพบว่าคนที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งนั้น มีสมองส่วนที่เรียกว่า อมิกดาลา (Amygdala)
ซึ่งมีลักษณะคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ ทำหน้าที่ควบคุมเหตุผลและอารมณ์ ใหญ่กว่า และการเชื่อมต่อของสมองส่วนที่เรียกว่า อมิกดาลา กับส่วนล่างของสมองบริเวณที่เรียกว่า Anterior Cingulate Cortex
ไม่ดีเท่าคนอื่น ซึ่งจะมีผลให้สามารถจัดการกับอารมณ์และสิ่งเร้าที่เข้ามารบกวนน้อยกว่า อันจะส่งผลต่อความแน่วแน่ในการจัดการกับภารกิจตรงหน้า
คน 6 ประเภทที่จะผัดวันประกันพรุ่งบ่อยที่สุด
1. Perfectionist
กลุ่มนี้จะใช้พลังงานและเวลาที่มากเกินไป เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ทำจะออกมาสมบูรณ์แบบ
2. Dreamer
กลุ่มนี้จะหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามที่ยากและเครียด รวมถึงไม่ค่อยใ่ส่ใจรายละเอียดมากนัก
3. Worrier
กลุ่มนี้จะมีความวิตกกังวลสูงจะมัวแต่ลังเล ไม่ยอมทำสักที เพราะไม่มั่นใจ
4. Defier
กลุ่มนี้จะมีความต่อต้าน จะมองโลกในแง่ร้าย จะผัดวันประกันพรุ่งเพื่อต่อต้านคนที่มีอำนาจมากกว่า เพราะมองว่าเขากำลังสั่ง ไม่ใช่กำลังขอร้องให้ทำบางสิ่งบางอย่าง
5. Crisis-Maker
กลุ่มนี้จะไม่ยอมทำอะไรที่ยาก จะทำให้ทุกอย่างเป็นปัญหา ดราม่าเกินจริงเพื่อเรียกร้องความสนใจ
6. Over- doer
กลุ่มนี้จะมี Low self-esteem ปฏิเสธไ่ม่เป็น ทำให้รับภาระมาเยอะ แต่ไม่มีวินัยในการจัดการให้ดี
ประเภทของผัดวันประกันพรุ่ง
นักวิจัยแบ่งประเภท คนผัดวันประกันพรุ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ คนผัดวันประกันพรุ่งแบบเรื่อยเปื่อยและแบบแอคทีฟ
1. ผัดวันประกันพรุ่ง Passive เรื่อยเปื่อย
ทำให้งานล่าช้าเพราะพวกเขามีปัญหาในการตัดสินใจและลงมือทำ
2. ผัดวันประกันพรุ่ง Active แบบกระตือรือร้น
ชะลองานไว้ รอก่อน เพราะการทำงานภายใต้ความกดดันทำให้พวกเขา รู้สึกท้าทายและมีแรงบันดาลใจ
ผัดวันประกันพรุ่ง มักมาจากสาเหตุใดบ้าง?
1. รออารมณ์
2. ขี้เกียจ
3. รอ deadline
4. ไม่มีวินัย
5. จัดตารางเวลาการทำงานไม่ดี
6. ปุ่ม snooze
ผัดวันประกันพรุ่ง มักเกิดกับเรื่องใดบ้าง?
1.ใช้หนี้
2.ออกกำลังกาย
3. การทำงาน
4. การตื่นนอน
5. รู้ว่าสิ่งที่ต้องทำเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก
แก้ไขการ ผัดวันประกันพรุ่ง ได้อย่างไรบ้าง?
ศาสตราจารย์ Timothy Pychyl ซึ่งสอน วิชาจิตวิทยาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Carleton ในกรุง Ottawa ประเทศแคนาดา ให้คำแนะนำเพื่อแก้นิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ไว้เป็นขั้นตอนดังนี้
ขั้นแรก
แบ่งโครงการหรือ งานที่จะต้องทำออกเป็นส่วน ๆ โดยกำหนดเป้าหมายของงานแต่ละส่วนไว้
ขั้นที่สอง
เริ่มต้นทำงาน
ขั้นที่สาม
เตือนใจตนเองเสมอว่า การทำงานเสร็จจะเป็นประโยชน์กับตนเองในอนาคต และการเลื่อนการทำงานออกไปในตอนนี้ จะไม่ทำให้งานชิ้นนี้สนุกน่าทำงานมากขึ้นในอนาคต
ขั้นที่สี่
กำหนดการลงโทษตนเองถ้าเลื่อนเวลาเริ่มทำงานออกไป โดยไม่ต้องเป็นโทษหนักหนาอะไร เช่นถ้าอยากจะเล่นวิดีโอเกมแทนการทำงาน ก็ต้องไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งต่างหาก
ขั้นสุดท้าย
ให้รางวัลตนเองเมื่อทำงานเสร็จทั้งหมด โดยจะให้รางวัลเล็ก ๆ เป็นระยะเมื่อทำงานตามเป้าหมายย่อยเสร็จด้วยก็ได้
ที่มา :
Psychology of Procrastination: Why People Put Off Important Tasks Until the Last Minute
ผลวิจัยชี้ การผัดวันประกันพรุ่งเป็นเรื่องของการจัดการอารมณ์ไม่ใช่เวลา
เราทุกคนจะมีขอบเขตของตัวเอง เรากินอิ่มแค่ไหน ? เราทนเรื่องบางเรื่องได้แค่ไหน ? บางคนกลับล้ำเส้นตัวเองจนรู้สึกแย่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแค่ไหนควรพอ ? แค่ไหนคือถึง ” ขีดจำกัด ” แล้ว
สร้างขอบเขตให้ตัวเอง เพราะทุกคนมีขีดจำกัด
“ Boundaries & Limit” ขีดจำกัด และ ขอบเขต
ก่อนอื่นเลยอยากให้ลองนึกถึงเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกใช้งานเป็นเวลานานแล้วไม่ได้พัก ถูกใช้งานจนเครื่องร้อน จนเครื่องกระตุก
ตัวของเราเหมือนกันที่เกิดมาพร้อมกับขอบเขตและขีดจำกัด จริง ๆ ทุกคนมักจะมีขอบเขตของตัวเอง เรากินอิ่มแค่ไหน เราทนเรื่องบางเรื่องได้แค่ไหน
ถ้าให้ลองนึกถึง boundaries หรือ ขอบเขต สิ่งที่เป็นกายภาพ สัมผัสได้ คือ กำแพง ที่กั้น รั้ว แต่ในทางชีวภาพ เช่น ความรู้สึก ความสัมพันธ์ การทำงาน
เรามีขอบเขตให้กับสิ่ง ๆ นั้นพอดีหรือยัง? หรือเราปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามารบกวนและล้ำเส้นในชีวิตของเรามากเกินไปอยู่หรือเปล่า? อยากชวนสำรวจ
ขีดจำกัด และ ขอบเขต ในการทำงาน
work-life balance เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องคำพูด บางองค์กรหัวหน้าเลือกใช้คำพูดที่ไม่ดี ทำให้พนักงานรู้สึกแย่ อาจทำให้เกิดเป็นการฝังใจหรือการรับรู้คุณค่าในตัวเองต่ำได้
วัฒนธรรมองค์กรและเนื้องานอาจจะแตกต่างกันไป บางบริษัทอาจจะมีรีเช็คงาน คุยงาน หลังเลิกงานหรือวันหยุด บางบริษัทอาจจะแบ่งเวลางานกับเวลาพักชัดเจน ต้องเลือกให้เหมาะสมกับตัวเอง
ความสัมพันธ์ที่ล้ำเส้นเกิน ขีดจำกัด และ ขอบเขต
การรับมืออาจจะต้อง balance ระหว่าง การให้เวลาตัวเองและการประนีประนอมกับคนรอบข้าง
1. ปฏิเสธ
เพราะการบอกหรือแสดงออกให้อีกฝ่ายรับรู้สำคัญมาก เพราะเราเติบโตมาแตกต่างกัน อยู่ในสังคมที่แตกต่างกัน ถ้าไม่สื่อสาร คนอื่นอาจจะล้ำเส้น ซึ่งกระทบความสัมพันธ์ได้
2. หลีกเลี่ยง
ในกรณีที่เราสื่อสารแล้ว บอกแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจ เรามีสิทธิ์เลือกว่าจะสนิทกับคนนี้มากน้อยแค่ไหน ไม่ผิดที่จะหลีกเลี่ยง ไม่อยู่กับคนที่ทำให้เราไม่สบายใจ ไม่เป็นตัวเอง
3. สำรวจตัวเอง
อาจจะเป็นการลองบันทึกโน้ตไว้ว่าเราจะให้ boundaries และ limits อยู่ตรงไหน เรื่องไหนคือฟางเส้นสุดท้ายสำหรับเรา ให้ลองระลึกไว้เสมอและอย่าใจร้ายกับตัวเอง
ต้องอดทนจนเกิน ขีดจำกัด ล้ำเส้นตัวเอง
คำถามที่น่าสนใจคือ ฝืนแล้วเกิดผลดีเรียกว่าล้ำเส้นไหม? ถ้าฝืนแล้วคุ้มค่าคงไม่แย่ แต่ฝืนแล้วไม่คุ้มค่าเหนื่อย ต้องรู้สึกแย่ ต้องรู้สึกทุกข์ คงต้องพอ เพราะเป็นการล้ำเส้นตัวเอง
หรือบางคนอาจจะใจอ่อนกับตัวเองจนมีความสุขบนความทุกข์ เพราะเกินขีดจำกัดและขอบเขตเราตั้งไว้ การไม่เคารพตัวเองทุกรูปแบบ อาจเรียกได้ว่าเป็นการล้ำเส้นตัวเองเช่นกัน
บ่อยครั้งมากที่เราล้ำเส้นตัวเอง โดยการกดดันตัวเอง ตำหนิตัวเอง ไม่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น จนสุดท้าย ทุกอย่างที่อดทนมาอาจจะพังทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนี้ อาจจะถึงจุดแล้วไหม
ที่ต้องเริ่มถามตัวเองในแต่ละวันว่า เราเป็นไงบ้าง? เลิกเกลียดตัวเองจากการทำอะไรไม่สำเร็จ เพื่อให้เหลือความรู้สึกแย่จากเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีความรู้สึกแย่ที่เกิดจากการล้ำเส้นตัวเอง
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น
บางทีเราไม่ลิมิตตัวเอง แต่ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อาจจะลิมิตเรา ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับ แต่ถ้าเรารู้ว่าเราทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ตอนนั้นแล้ว คงไม่มีอะไรน่าเสียดาย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้ง ” ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น ” เป็นเรื่องจริง ถ้าอย่างอื่นไม่เอื้อ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มีคุณค่าโอกาสอื่น ๆ ยังมีให้ลอง
อย่าล้ำเส้นตัวเอง โดยการปล่อยเบลอ พยายามแบบไม่ลืมหูลืมตาจนไม่มีความสุขหรือต่อว่าตัวเองจนจมอยู่กับความผิดหวัง อีกอย่างที่สำคัญคือ การพยายามคนเดียวนั้นเหนื่อย
การหาคนช่วยอยู่และทำเคียงข้างกันไปไม่ใช่เรื่องผิด พยายามกันให้จนถึงที่สุด ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรจะได้ไม่เสียดาย ถึงแม้จะไม่สำเร็จแต่เราและอีกคนได้เต็มที่กับสิ่งนั้นแล้ว
Will power แรงใจที่จะควบคุมตัวเอง
Will power คือ แรงใจที่จะควบคุมตัวเอง ความสามารถในการควบคุมใจตัวเอง การมีวินัยและความตั้งใจในตัวเอง จะนำเราไปสู่ความสำเร็จ อ้างอิงจาก Cambridge Dictionary
คำว่า อดทน คำว่าพยายาม มีทั้งผลดีและผลเสีย ถ้าเราทนแล้วสิ่งนั้นเกิดผลตอบแทนที่ดี การอดทนคงคุ้มค่า แต่ถ้าเราทนกับสิ่งที่ไม่ได้เกิดผลดี เดินออกมาคือคำตอบที่ดีกว่า อดทนในแง่ดี
จะรู้ได้ไงว่าแค่ไหนถึงควรพอ?
ถ้าไม่มีความสุขในการทำสิ่งนั้นแล้วคงพอ ใช้ความสุขนี่แหละเป็นตัววัด คิดว่าเราพยายามได้ แต่หันกลับมาถามตัวเองบ้าง ว่ายังไหวไหม? ยังมีความสุขอยู่ไหม?
ถ้าเราเริ่มรู้สึกเอ๊ะหรือเริ่มตั้งคำถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าเรากำลังฝืนอยู่ไหมนะ? เราเหนื่อยไหม? แล้วถ้าเราทำต่อจะส่งผลอะไรมากกว่านั้นไหม? คงเป็นสัญญาณเตือน
รับมืออย่างไรกับความผิดหวัง?
1. ถามตัวเอง
เราพยายามได้ แต่รีเช็คตัวเองสักหน่อยระหว่างทาง ว่ายังไหวไหม ยังมีความสุขอยู่ไหม
2. ตัดสินใจ
มีแค่สองทาง คำถามที่ว่า ควรไปต่อหรือพอแค่นี้ ไหวก็ไปต่อ ไม่ไหวก็พอ บางทีคำตอบเรียบง่ายแค่นั้นจริง ๆ
3. ยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง
ไม่ไหวก็คือไม่ไหว ทนจนไม่มีความสุข ก็ปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากสิ่งนั้นเถอะ ยอมรับความจริง อยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด
Keystone Habits สร้างนิสัยพื้นฐานใหม่
จะห้ามไม่ให้ความผิดหวังเกิดขึ้นคงจะยากมากเลย เลยอยากแชร์ถึง Keystone habits การสร้างนิสัยพื้นฐานที่จะทำให้เรากลายเป็นคน best version กว่าเดิม ถ้าให้เลือกแก้นิสัย 1 อย่างที่เราอยากแก้ไข
หลายคนคงมีหลายอย่าง เวลาที่เราจะแก้ไขนิสัยของเรา เรามักจะทำพร้อม ๆ กัน พอทำหลายอย่างพร้อมกันทำให้เหนื่อยที่จะฝืน แต่หากเราเริ่มเปลี่ยนจากนิสัยพื้นฐานเราก่อนอาจจะดีกับตัวเองมากกว่า
Keystone Habits คือ “นิสัยพื้นฐาน” ของเราที่เป็นตัวยึดเหนี่ยวและเป็นพื้นฐานของนิสัยอื่น ๆ ที่จะตามมาภายหลัง ประกอบออกมาเป็น “ตัวเรา” ในทุกวันนี้ จุดเด่น คือ ต้องง่าย ต้องเป็นสิ่งที่ชอบทำ
เป็นสิ่งที่อยากทำ ไม่กดดัน ไม่ล้ำเส้นขอบเขตการเปลี่ยนแปลงของตัวเองมากเกินไป จากนั้นค่อยทำไปทีละ step ให้สำเร็จและเห็นผลไปเรื่อย ๆ และอย่าลืมกำหนดเวลาให้พอเหมาะเพื่อให้ทำได้เรื่อย ๆ
ผลกระทบถ้าเราไม่มี ขีดจำกัด และ ขอบเขต ให้ตัวเอง
1. กำหนดทิศทางในชีวิตได้ยาก
เราจะกำหนดทิศทางในชีวิตได้ดีกว่า ถ้าเรารู้ว่าขอบเขตของเราอยู่ตรงไหน จะไม่เสียพลังงานไปกับเป้าหมายที่เราไม่สามารถเอื้อมถึงหรือสิ่งที่เราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้
2. ขาดความเคารพตัวเอง
อาจกลายเป็น people pleaser ในที่สุด หากปล่อยให้คนอื่นล้ำเส้น สุดท้ายแล้วการที่เราฝืน “โอเค” “ไม่เป็นไร” ร้ายแรงที่สุดคือ เราจะกลายเป็นคนสูญเสียจุดยืนและตัวตน
3. Low self-esteem
คุณค่าในตัวเองจะแกว่ง จะเว้าแหว่ง เมื่อเราล้ำเส้นตัวเองหรือปล่อยให้คนอื่นล้ำเส้นไปเรื่อย ๆ
4. เกิดภาวะทางอารมณ์
เวลาที่เราปล่อยให้ความรู้สึกแย่ที่เกิดขึ้นจากการล้ำเส้นที่มาจากการไม่มีขีดจำกัดและขอบเขตให้ตัวเอง ถ้าไม่จัดการอย่างเหมาะสมจะสามารถนำไปสู่ภาวะทางอารมณ์ได้ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล
ที่มา :
รู้จัก Keystone Habits เพราะการพัฒนาตัวเองเริ่มได้ด้วย “นิสัย” พื้นฐานที่ดี
New Year’s resolution หรือ การตั้ง เป้าหมาย ในปีใหม่ ปีใหม่แล้วก็อยากเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เป็นเราในแบบที่ดีขึ้น แต่จะทำอย่างไรให้ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป? มาหาคำตอบกันในบทความนี้
Alljit X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂
วาง เป้าหมาย แล้วกดดันตัวเอง
ความรู้สึกกดดันที่มาจากการตั้งเป้าหมาย อาจจะมาจาก “ความคาดหวัง” ส่วนหนึ่งด้วย เราอยากจะทำตรงนั้นมาก ๆ อยากให้มันเกิดขึ้นจริง จนเกิดเป็นความรู้สึกกดดัน
ทำไมต้องรอปีใหม่เพื่อตั้ง เป้าหมาย ?
เพราะปีใหม่เป็นเหมือน “จุดเริ่มต้นที่เป็นจุดเปลี่ยน” ทุกคนมองเห็นพร้อมกันว่า โอเค เปลี่ยนพ.ศ. ก็มาลองเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนไลฟ์สไตล์บ้างดีกว่า
มากไปกว่านั้น ช่วงสิ้นปีเรามีโอกาสได้รีวิวชีวิตตัวเอง แล้วนำมารีแคปสั้น ๆ กับตัวเองว่าในปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร จะทำให้เห็นภาพว่า ทำอะไรไปบ้างเเล้ว
ยังทำอะไรไม่ได้หรือทำไปแล้วเเต่ยังไม่เป็นในแบบที่อยากจะให้มันเป็น เราจะได้เห็นภาพตัวเองในปีนั้นและวางแผนภาพตัวเองในปีหน้า
และที่สำคัญเลย คือ ปีใหม่พอได้ตั้งเป้าหมายใหม่ เราจะมีแรงจูงใจในการอยากทำตามเป้าหมายมากขึ้น
ตั้ง เป้าหมาย ให้สำเร็จ ตามนักจิตวิทยา
1. เป้าหมายนั้นเราต้องรู้สึกดีที่ได้ทำ
ต้องเริ่มจากสารตั้งต้นที่อยากให้ตัวเราดีขึ้น ทำแล้วรู้สึกดีกับตัวเอง เริ่มจากตรงนั้นได้เลย
2. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
ต้องมีแรงจูงใจ ต้องชัดเจนกับตัวเอง ว่าทำตามนี้เเล้วดีอย่างไร ทำให้เราดีขึ้นอย่างไร เช่น จะออกกำลัง 3 ครั้ง/สัปดาห์ เเล้วมันจะทำให้น้ำหนักลดลง
เราก็จะรู้สึกว่า จะผอมแล้วนะ! พอรู้สึกว่ามันเริ่มจะมีอะไรดี ๆ กลับมาก็จะพยายามมากขึ้น
3. เป้าหมายนั้นสามารถวัดผลได้
นอกจากการตั้งเป้าหมายต้องชัดเจนแล้ว มันต้องสามารถวัดผลได้ หาตัวที่บ่งบอกได้ว่า ไปถึงเป้าหมายนั้นแล้วและสามารถทำมันได้ อาจจะไม่ 100%
แต่เราก็เดินทางมาได้ประมาณนี้แหละ 30 – 40 % แล้ว จะทำให้ไม่ท้อกับเป้าหมายที่ตั้งและไม่กดดันตัวเอง ทุก ๆ เป้าหมาย ควรมีขั้นบันไดให้ตัวเองได้เดินขึ้นไปด้วย
ใช้ชีวิตแบบไม่ตั้งเป้าหมายได้ไหม ?
คงได้ แต่มันจะอยู่กับเราได้อย่างคงทนไหม เราใช้ชีวิตแบบ ตื่นตอนไหนก็ได้ กินตอนไหนก็ได้ หลับตอนไหนก็ได้ ในระยะสั้นคงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นแบบนี้ไปสัก 1 เดือน
อาจจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเรา และแน่นอนว่า อาจจะขาดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต อาจจะตั้ง To do list ในแต่ละวัน ว่าจะทำอะไรบ้าง อาจจะทำให้รู้สึกดีกับตัวเองมากกว่า
จะรับมือกับอุปสรรคยังไงดี ?
- มีสติ
ไม่ว่าอะไรจะเข้ามา อย่างแรกก็คือ “สติ” เราสามารถจินตนาการกับมันได้ว่า มันควรจะเป็นยังไงเพื่อให้ตัวเองรู้สึกมันมีความหวัง’
แต่มันไม่ได้หมายความว่า ความเป็นจริงจะต้องเป็นแบบนั้น ถ้ามันไปถึงตรงนั้นเเล้วไม่ตรงกับที่วาดไว้ อันดับแรกคือต้องมีสติกับตัวเองก่อน
เพราะมันทำให้สามารถคิด ทบทวน อย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น
- ทบทวน : หลังจากมีสติ ต้อง “ทบทวน”
1.เราตั้งเป้าหมายไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
2.สิ่งที่เกิดขึ้นเราอาจจะมองอุปสรรคได้ไม่รอบด้านหรือเปล่า
- ลองใหม่
ถ้าเดือนนี้ไม่ได้ มันไม่ได้หมายความว่าเดือนหน้าจะไม่ได้ เเล้วจะเลิกไป เราอาจจะมีแรงจูงใจไม่มากพอ จึงไม่ไปถึงเป้าหมาย
อาจจะต้องมีบันไดให้กับตัวเอง มันจะทำให้ง่ายขึ้นและภาพที่เกิดขึ้นจะไม่ใหญ่เกินกำลัง
เมื่อรู้สึกเศร้าทุกเทศกาล
ถามตัวเองว่า “เกิดอะไรขึ้น”
คนทุกคนไม่ได้เอนจอยหรืออินกับทุก ๆ เทศกาลขนาดนั้น เขาก็อาจจะแค่รู้สึกว่ามันแค่วันหนึ่งวัน ที่เกิดขึ้นแล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป แต่ถ้ามีเทศกาลแล้วทำให้เรารู้สึกทุกข์
เรากำลังเอาตัวเองไปเชื่อมโยงกับอะไร มันก็เป็นวันที่มี 24 ชั่วโมงเหมือนกัน ลองค้นหาและถามตัวเองว่า ที่กำลังทุกข์อยู่ เรากำลังเอาความรู้สึกไปผูกกับเทศกาลเพราะอะไร…
อะไรที่ผ่านมาได้ หลังจากนี้เราก็จะผ่านไปได้เหมือนกัน:)
เคยไหม? ที่รู้สึกไม่กล้าทำอะไร กลัวสายตาคนนอกที่มองมา ไม่มั่นใจ ความมั่นใจคืออะไร มาช่วยกันค้นหา ความมั่นใจ ที่ซ่อนอยู่ในตัวของเรา
ความมั่นใจ คืออะไร
ความมั่นใจใน คือ ทัศนคติ ที่มีต่อทักษะและความสามารถของตัวเราเอง รู้สึกว่าเราจัดการชีวิตของเราได้ รู้จักจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองดี และมองตัวเองในแง่บวก
ตั้งความคาดหวังและเป้าหมายที่เป็นจริง สื่อสารอย่างมั่นใจ และสามารถรับมือกับคำวิจารณ์ได้ เป็นความหมายของความมั่นใจ กล่าวง่าย ๆ คือ ความรู้สึกเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองในการจัดการกับปัญหา
“ความมั่นใจไม่ใช่ เราเก่งหรือไม่เก่ง เรากล้าแสดงออกหรือไม่กล้าแสดงออก”
ในทางกลับกัน ความมั่นใจในตนเองต่ำอาจทำให้ เรารู้สึกสงสัยในตัวเอง มีปัญหาในการไว้วางใจผู้อื่น รู้สึกต่ำต้อย ขาดความรัก หรืออ่อนไหวต่อคำวิจารณ์
การรู้สึกมั่นใจในตัวเองอาจขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถรู้สึกมั่นใจมากในบางด้าน เช่น วิชาการ แต่ขาดความมั่นใจในด้านอื่น ๆ เช่น ความสัมพันธ์ เป็นต้น
ส่วนความหมาย ที่ APA ระบุไว้ มี 2 ความหมาย คือ
1. เชื่อมั่นในความสามารถและวิจารณญาณของตนเอง
2. ความเชื่อที่ว่าเราสามารถ เรามีศักยภาพที่จะทำงานได้สำเร็จ
ความมั่นใจ ในตัวเองในด้านต่าง ๆ
1. ความมั่นใจในตัวเองในลักษณะภายนอก
เช่น รูปร่าง หน้าตา การแต่งตัว เพราะเวลาเราดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน อาจจะออกกำลังกาย แต่งหน้า แต่งตัว หรือการทำหัตถการ ศัลยกรรม พอลักษณะภายนอกของเราเป็นไปในทางที่เราชอบ จะช่วยเสริมความมั่นใจให้ได้เช่นกัน
2. ความมั่นใจในการมีปฏิสัมพันธ์ และการเข้าสังคม
การที่เราจะพาตัวเองไปรู้จักกับใครสักคน สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง มักไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องอาศัยความมั่นใจมากเช่นกัน
3. ความมั่นใจด้านความรัก
หากเรามั่นใจในตัวเอง เราจะไม่ยอมตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่ toxic เราจะรู้ว่าตัวเองดีพอที่จะหาความสัมพันธ์ใหม่ได้ ซึ่งความมั่นใจนี้แหละเป็นประตูไปสู่โอกาสได้พบเจอสิ่งที่ดี
เราจะไม่ลดมาตรฐานของตัวเอง เราจะไม่เลือกใครก็ได้เข้ามา เพราะคนที่ความมั่นใจต่ำ มีแนวโน้มสูงมากที่จะไม่เลือก เพราะคิดว่าเราไม่คู่ควรกับสิ่งดี ๆ
ความแตกต่างกันของคนที่มีความมั่นใจและขาดความมั่นใจ
เพื่อเข้าใจว่า ความมั่นใจ (self-confidence) ว่าคืออะไรได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
มั่นใจ
- ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าถูกต้อง แม้ว่าคนอื่นจะเย้ยหรือวิพากษ์วิจารณ์คุณในเรื่องนั้น
- เต็มใจที่จะเสี่ยงและก้าวไปอีกขั้นเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
- ยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน
- รอคนอื่นมาแสดงความยินดีกับคุณในความสำเร็จของคุณ
- น้อมรับคำชมอย่างสุภาพ
ขาดความมั่นใจ
- ทำตามสิ่งที่คนอื่นคิด
- อยู่ใน comfort zone ตัวเอง กลัวความล้มเหลวและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
- ทำบางอย่างเพื่อปกปิดข้อผิดพลาดและหวังว่าเราจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่ใครจะสังเกตเห็น
- ยกย่องตนเองให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือ โทษตัวเอง ตำหนิตัวเอง ไม่ยอมรับและไม่เชื่อคำชื่นชมจากคนอื่น
- ละเว้นการชมเชยโดยไม่ตั้งใจ
ความมั่นใจ vs. การหลงตัวเอง ต่างกันอย่างไร?
การหลงตัวเองอาจเกิดจากความไม่มั่นคงและกลไกการป้องกันตัวเองทางจิตใจ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น ในขณะที่ความมั่นใจมาจากการตระหนักรู้ในตนเอง
ความมั่นใจ (self-confidence) vs. การรับรู้คุณค่าของตัวเอง (self-esteem) ต่างกันอย่างไร?
ทั้งสองคำนี้แตกต่างกันตรงที่ใจความสำคัญ ความมั่นใจในตัวเอง self-confidence จะโฟกัสไปที่การที่เราเชื่อในความสามารถและศักยภาพของตัวเอง
ในขณะที่การรับรู้คุณค่าของตัวเอง self-esteem จะโฟกัสไปที่ การที่เรารับรู้และพึงพอใจในคุณค่าของตัวเอง
ทั้งสองอย่างมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตพอ ๆ กัน และเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันด้วย คือคนที่มั่นใจในตัวเองมีโอกาสสสูงจะรับรู้คุณค่าในตัวเอง และคนที่เห็นคุณค่าตัวเองก็อาจจะนำไปสู่ความมั่นใจในตัวเองได้เช่นกัน
ทำไมความมั่นใจจึงสำคัญกับเรา
1. สร้างแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่
เมื่อความมั่นใจของเราเพิ่มขึ้น เราจะพบว่าตัวเองมีแรงผลักดันมากขึ้นในการลงมือทำ รู้สึกมีพลังในการไล่ตามเป้าหมาย
2. สร้างความยืดหยุ่นในชีวิตมีมากขึ้น
ความมั่นใจช่วยให้เรามีทักษะและวิธีการรับมือในการจัดการกับความล้มเหลว ซึ่งความมั่นใจในตนเอง ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ล้มเหลว แต่จะเริ่มเข้าใจอย่างแท้จริงว่าความล้มเหลวและความผิดพลาดนำไปสู่การเติบโตได้อย่างไร
3. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
เมื่อเรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เราก็จะจดจ่อกับตัวเองน้อยลง เราจะคุยกับผู้คนรอบข้างด้วยความเป็นมิตร และธรรมชาติ
4. ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวเองและมีจุดยืน
ความมั่นใจสำคัญมากที่จะทำให้เราเชื่อและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น คิด และรู้สึก รวมถึงกล้าที่จะแสดงสิ่งเหล่านั้นออกไปให้คนอื่นรับรู้
สาเหตุใดได้บ้างที่นำไปสู่ขาดความมั่นใจ ?
1. การบาดเจ็บทางใจ การล่วงละเมิด ทางร่างกาย ทางเพศ และทางอารมณ์ล้วนส่งผลต่อความรู้สึกมั่นใจในตนเองของเราอย่างมาก
2. วิธีที่เราได้รับการปฏิบัติในครอบครัวของเราอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นตัวตนของเรา ตัวอย่างเช่น หากคุณมีพ่อแม่ที่ดูถูกตลอดเวลา เปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ บ่อย ๆ
3. การกลั่นแกล้ง ในวัยเด็กสามารถทิ้งร่องรอยไว้บนความมั่นใจของเรา ทั้งในด้านรูปลักษณ์ภายนอก ความสามารถทางสติปัญญา
4. เพศ เชื้อชาติ ผลการศึกษาจำนวนหนึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเข้าสังคมโดยต้องกังวลมากขึ้นว่าจะถูกมองอย่างไร
5. การถูกปฏิเสธ การถูกปฏิเสธทางสังคม โดยคนอื่นหรือคนใกล้ชิด จะทำให้เรามีความรู้สึกและมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปต่อศักยภาพของตัวเองได้
6. การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หากในแง่ที่ว่า คนอื่นดีกว่า เราด้อยกว่า จะทำให้เรามั่นใจน้อยลงหรือไม่มั่นใจไปเลยในความสามารถของตัวเอง
สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองได้อย่างไร
1. หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นลการศึกษาในปี 2018 ที่ตีพิมพ์ใน Personality and Individual Differences พบความเชื่อมโยง นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อผู้คนเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น พวกเขารู้สึกอิจฉา และยิ่งมีความอิจฉาริษยามากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
2. ล้อมรอบตัวเองกับคนที่เป็นบวก คนที่เราใช้เวลาด้วยสามารถมีอิทธิพลต่อความคิดและทัศนคติขอเราเกี่ยวกับตัวคุณเอง
3. ดูแลร่างกายของตัวเอง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
4. หาจุดยืนของตัวเองให้เจอ หากเรารู้ว่าเราเป็นยัอย่างไง เรามีทัศนคติต่อเรื่องต่าง ๆอย่างไร จะทำให้เราตัดสินใจได้ตรงกับสิ่งที่ตัวเองต้องการมากที่สุด
5. Positive self-talk คือ คำพูดคนอื่นไม่ได้มีผลมากเสมอไป ยกตัวอย่างบางคนที่เขามั่นใจ ไม่ว่าใครจะมาบอกว่า เขาแปลก เขาไม่สวย เขาไม่เก่ง มันไม่กระทบคน ๆ นั้นเสมอไปถ้าเขาตระหนักรู้ว่าตัวเองมีศักยภาพ
ผลกระทบจากการมั่นใจในตนเองมากเกินไป
Narcissism
จะพยายามหาลู่ทางที่จะรักษาคุณค่าของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลใด ๆ พวกเขาจะไปอยู่ในโลกส่วนตัวที่ยึดตรรกะของตนเองเป็นที่ตั้งโดยไม่สนความคิดของคนอื่น
สิ่งที่พวกเขาชอบทำคือการสร้างกลุ่มที่มีความเชื่อคล้ายๆกับตนเองขึ้นมา เพื่อทำให้ตรรกะที่ตัวเองได้สร้างไว้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและมองคนที่เห็นต่างจากกรอบความคิดของตนเองว่าเป็นพวกไร้สาระ ไร้ค่า คนละชั้น
Overconfidence Bias
ความมั่นใจในตัวเองเกินไป ก็คือ การที่เรามีแนวโน้มจะประเมินตัวเองสูงกว่า ปกติ ทั้งในด้าน ความฉลาด ความสามารถ และอื่นๆ หรือเรียกสั้นๆก็คือ การที่เรามีความั่นใจในตัวเองสูงเกินไป
คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อ ความมั่นหน้า BIAS ประเภทนี้จะพบเจอมากที่สุด เจอง่ายที่สุด ตัวอย่างเช่น คนเกิน 80% ในประเทศไทยบอกว่าตัวเองขับรถดีกว่ามาตรฐาน ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นไปไม่ได้ในเชิงสถิติ
สูญเสียความสัมพันธ์
การมั่นใจควร ถูกที่ ถูกเวลา โดยความมั่นใจของเราจะไม่ทำร้ายจิตใจของใคร
ที่มา
Overconfidence and Underconfidence
Why Self-Confidence Is More Important Than You Think
5 Reasons People Have Low Self-Confidence
ทฤษฎี สามเหลี่ยมความรัก (Triangular theory of love) ความรู้สึกมนุษย์เป็นเรื่องที่ซับซ้อน โดยเฉพาะความรู้สึกรัก เป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก
และยังมีคนที่ค้นหาถึงความรู้สึกรักแท้จริงแล้วมาจากอะไร เพราะเวลาที่เรารู้สึกรัก มักจะนำความรู้สึกอื่นพ่วงมาด้วย
ไม่ว่าจะเป็นความหลงใหล ชื่มชม เทิดทูน หึงหวง และแน่นอนว่า ความรักมีหลากหลายรูปแบบให้เราได้พบเจอ
ความรัก คือ . .
เราคุ้นเคยกับคำว่า ‘รัก’ แต่กลับไม่เข้าใจคำ ๆ นี้ในบางมุม อาจเป็นเพราะแต่ละคนจะมีนิยามของคำนี้เเตกต่างกันไป ความรักเป็นความรู้สึกนึงที่ดี ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก
ความรู้สึกนี้ทำให้เกิดความรู้สึกอื่นตามมาด้วย อุ่นใจ ปลอดภัย มีความสุข แต่ขอคำนิยามคำว่ารักจากหนังสือ สัญญานะว่าจะยิ้มให้กับตัวเอง
เขียนไว้ว่า “จริงๆแล้ว ความรัก.. ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย ความรักคือ การที่เราพร้อมให้ใครอีกคน เข้ามาแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตของเรา เข้ามาเป็นกำลังใจและเติมเต็มส่วนที่ขาด พร้อมที่จะสนับสนุนและส่งเสริมกัน แต่ในขณะเดียวกัน เราต่างคนก็ยังต่างได้ใช้ชีวิตของตัวเอง”
อ้างอิงถึงวิจัยนึงกล่าวไว้ว่า ความรู้สึกรัก เป็นความรู้สึกที่เข้าใจยากที่สุด ไม่รู้ว่าที่มาของความรักมาจากอะไร คน ๆ นึงจะรู้สึกได้มากขนาดไหน ถ้าให้ตอบว่าความรักคืออะไรมันยากมากจริง ๆ
เพราะตั้งแต่เกิดมาเราก็มีความรักหลายรูปแบบ ครอบครัว เพื่อน แฟน สัตว์เลี้ยง ซึ่งแน่นอนแต่ละนิยามความรู้สึกที่มอบให้ไปกับแต่ละความสัมพันธ์มีความแตกต่างกัน
สามเหลี่ยมความรัก (Triangular theory of love)
นิยามของความรักจะแตกต่างกันไปตามศาสตร์ ความเชื่อ ทัศนคติของแต่ละบุคคล แต่ ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรักถือว่าเป็นคำนิยามความรักในความจิตวิทยาที่แพร่หลายและถูกยอมรับ
โดย apa : ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg) เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของความรักและความรักในความสัมพันธ์รูปแบบต่าง ๆ
มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ ความใกล้ชิด ความหลงใหลและความผูกมัด
1.ความใกล้ชิด (Intimacy) ความรู้สึกใกล้ชิด สนิทสนมและความผูกพัน ทั้งหมดนี้ทำเกิดความรู้สึกอบอุ่น ความเข้าใจกัน ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ระยะยาว
2.ความหลงใหล (Passion) แรงเสน่หา นำไปสู่ความโรแมนติก ความดึงดูดทางกาย และทางเพศ
3.ความผูกมัด (Commitment) หรือการตัดสินใจ ถ้าในระยะสั้น จะหมายถึง การตัดสินใจว่าจะเรารักกัน และในระยะยาวหมายถึง คำมั่นสัญญาที่จะรักษาความรักนั้นเอาไว้
ระดับและประเภทของความรักที่แต่ละคนได้รับขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งขององค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน เพราะมันมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
เช่น ถ้าเรามีความใกล้ชิดมากขึ้นอาจทำให้มีความหลงใหลและความผูกมัดที่มากขึ้น หรือถ้ามีความผูกมัดที่มากขึ้นอาจทำให้ความใกล้ชิดมากขึ้น หรือหรือมีความหลงใหลต่ออีกฝ่ายมากขึ้น
ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรักจะสามารถอธิบายถึงแง่มุมต่าง ๆ ของความรัก รวมถึงรูปแบบของความรักด้วย
รูปแบบของความรักมีอะไรบ้าง
1. การไม่มีความรัก Non-love/ไม่มีทั้งสามองค์ประกอบ
เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีความรู้สึกรักต่อกัน ไม่สามารถนับว่าเป็นความรักได้เลย เกิดกัยคนที่เราเพียงเเค่รู้จัก
2.ความชอบ Liking/ความใกล้ชิด
เป็นความรักที่เกิดจากความใกล้ชิดเท่านั้น เกิดขึ้นในความสัมพันธ์แบบเพื่อน
3.ความรักแบบหลงใหล Infatuated love/ความหลงใหล
เป็นความรักที่เกิดจากความหลงใหล พอใจกับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ใกล้ชิดสนิทสนม หรือมีข้อผูกมัดต่อกัน เช่น รักแรกพบ (Love at first sight) หรือ one night stand เป็นความรักที่ไม่มั่นคงแต่ก็สามารถสานต่อได้
4.ความรักแบบว่างเปล่า Empty love/ความผูกมัด
เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความผูกมัด ไม่มีความผูกพัน และความหลงใหล เช่น คู่รักที่ต้องแต่งงานกัน “คลุมถุงชน” หรือใช้ชีวิตร่วมกันมานาน จนหมดรักกัน แต่ยังอยู่ด้วยกัน
5.รักแบบโรแมนติก Romantic love/ความใกล้ชิด+ความหลงใหล
เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความใกล้ชิดและความหลงใหล มักเกิดในความสัมพันธ์ที่ได้รู้จัก ได้ใกล้ชิดกันและเกิดความชอบพอกัน โดยไม่มีความผูกมัด เช่น FWB
6.รักแบบเพื่อน Companionate love/ความใกล้ชิด+ความผูกมัด
เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความใกล้ชิดและความผูกมัด เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น ความสัมพันธ์แบบเพื่อน พี่น้อง คนในครอบครัว หรือคู่รักที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาอย่างยาวนาน
ไม่มีความชอบพอในเชิงเสน่หา แต่มีความมั่นคงสม่ำเสมอ ถือเป็นความรักที่ยั่งยืนและยาวนานที่สุด
7.รักลวง Fatuous love/ความหลงใหล+ความผูกมัด
เป็นความสัมพันธ์ที่มีเพียงความหลงใหลและความผูกมัด ความสัมพันธ์ประเภทนี้เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความพึงพอใจกันและตัดสินใจรักกันอย่างรวดเร็ว
อาจจะไม่รู้จักตัวตนของกันและกันจริงๆด้วยซ้ำ มักเกิดและจบอย่างรวดเร็ว
8.รักแท้ complete love มีทั้งสามองค์ประกอบ
เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่มีองค์ประกอบทั้ง 3 ถือว่าเป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ ที่เกิดขึ้นและรักษาเอาไว้ได้ยาก
ความรัก กับ ความผูกพัน
ไม่มีความรัก ผูกพันได้ไหม?
มีเส้นบาง ๆ ของสองคำนี้ อาจมองได้ 2 มุม ความผูกพันเกิดความรักเกิด ผูกพันเกิดความรักไม่เกิด ความผูกพัน เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดในระยะยาว
ซึ่งถูกกระตุ้นมาจากฮอร์โมน 2 ชนิด ออกซิโตซิน กับ วาโสเปรสซิน พอเป็นเรื่องของสารเคมีในสมองที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกผูกพัน ความรักต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ
ถ้าไม่มีความรักเกิดขึ้นความผูกพัน ก็จะไม่เกิด เพราะความรู้สึกผูกพันคือความรู้สึกที่มีปฏิสัมพันธ์ อยากใช้ชีวิตร่วมกัน
ความรักมาคู่กับความผูกพัน แต่ถ้าไม่เหลือความรักแล้วแต่ยังผูกพันอยู่ความผูกพันนั้นอาจจะมีความรู้สึกอื่นร่วมด้วย ความเป็นห่วง หรือมีอะไรที่ยังต้องรับผิดชอบร่วมกัน หรือความกลัวที่ไม่อยากให้อีกคนหนึ่งหายไป
เราจะได้ยินคำว่าอยู่กันไปแบบไม่รักแต่เพราะยังผูกพันบ่อย ๆ กับคนที่คบกันมานานแล้ว คนที่เป็นพ่อเป็นแม่หรือคนที่แต่งงานกันเเล้ว ที่อยู่กันมานานจนเริ่มหมดรักแต่สิ่งที่เหลืออยู่คือความผูกพัน
การที่ยังออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้ ไม่ได้เป็นเพราะความผูกพันอย่างเดียว แต่เป็นเพราะมันมีทั้งข้อผูกมัด มีความรับผิดชอบร่วมกัน อยู่ด้วยกันมานานจนเกิดความเคยชินและติดกับดัก Safe zone กลัวการเปลี่ยนแปลง
มีข้อมูลที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับความผูกพัน คือ ผูกพันโดยปราศจากความรู้สึก (Involvement Devoid of Feeling) คู่ที่ไม่มีความลึกซึ้งทางอารมณ์และความห่วงใยกันจริง ๆ
แต่ความสนใจที่มีต่ออีกฝ่ายเป็นไปเพราะความอยากรู้อยากเห็น อยากควบคุมหรือเป็นไปตามหน้าที่ เช่น สามีที่มีคนอื่น แต่ต้องมาแสดงความห่วงใยภรรยายามเจ็บไข้
กับอีกแบบนึง คือ ปราศจากความผูกพัน (Lack of Involvement) คู่รักไม่มีความสนใจใยดีกันเลย เป็นแบบต่างคนต่างอยู่ ชีวิตคู่มีความหมายเพียงแค่การอย่ร่วมกันเท่านั้น
แต่ความรู้สึกผูกพัน เป็น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเหมือนกัน ลองสังเกตว่า ตั้งแต่เด็กเราจะยึดติดกับของเล่น เสื้อผ้า ตุ๊กเน่าหรือผ้าเน่า หรือแม้กระทั่งเพื่อนเรา
ความรู้สึกผูกพันจะทำให้เราเกิดความรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง เลยไม่อยากที่จะเสียสิ่งนี้ไป ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าความผูกพันอาจะเกิดขึ้น แต่ความรักอาจไม่เกิด
ความผูกพันกลายเป็นความรักได้ไหม
ใครก็ได้ที่อยู่ในชีวิตเรามาสักระยะหนึ่ง แล้วอยู่ดี ๆ เราเห็นเขาในรูปแบบที่ไม่ใช่แค่คนสนิทอีกแล้ว เราอยากให้เขามาอยู่ข้าง ๆ เราอยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาไปเรื่อย ๆ
น่าจะเป็นเพราะมันเกิดความรู้สึกที่สะสมกลายเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่เราอยากดูแลเขา เรารักเขา
เรารู้สึกผูกพันกับคนที่ยังไม่เคยเจอได้ไหม
- แบ่งเป็นในมุมของศิลปินที่เป็นความรู้สึกที่เราปลื้ม เราไม่เคยเห็นตัวจริงเขา แต่เราตามผลงาน ฟังเพลง ตามไปเรื่อย ๆ จนเรารู้สึกผูกพัน เห็นเสต็ปการเติบโตในการใช้ชีวิตของเขาได้
- เป็นในด้านความสัมพันธ์ ที่คุยกันผ่านโลกออนไลน์ แบบเพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้า หรือคนคุยที่เราอาจจะบังเอิญเจอในออนไลน์ ก็ทำให้เราผูกพันได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลา ให้เรารู้จัก พูดคุย รู้วงจรการใช้ชีวิตในแต่ละวันจนเกิดเป็นความรู้สึกดี ๆ
ทฤษฎี 21 วันใช้กับความรักได้ไหม
ทฤษฎี 21 คือ ทฤษฎีที่อธิบายถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์จากหนังสือ Psycho-Cybernetics โดย ดร. แมคเวล มอลท์ (Dr.Maxwell Maltz) มีสาระสำคัญที่ว่า ‘การกระทำ’ จะตกผลึก กลายเป็น ‘นิสัย’
โดยทำต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน ซึ่งบางคนก็เอามาใช้ในด้านความรักเหมือนกัน จีบคน ๆ นึง 21 วัน เคยฟังของรายการพุธทอร์คพุธโธที่คนโทรมาเล่าว่าเขาลองใช้ทฤษฎี 21 วัน
แต่ผลก็คือฝ่ายที่ถูกชอบก็ไม่ได้ชอบเขากลับ ไม่มีคำตอบที่ตอบได้ว่าสามารถใช้ได้ไหมเพราะเป็นเรื่องของความรู้สึก ความรัก ต้องเป็นเรื่องของคนสองคนที่รู้สึกไปในทิศทางเดียวกัน อาจจะมีทั้งคนที่ใช้ได้ผล บางคนก็อาจจะไม่ได้
ความสัมพันธ์ประเภทต่าง ๆ
ความสัมพันธ์มีหลายหลายรูปแบบมากๆ บางความสัมพันธ์ที่ไม่เคยได้หรือรู้จัก ในปัจจุบันกลับมีการพูดถึงบ่อยจนเราสงสัยว่า มีจริง ๆ เหรอ? ความสัมพันธ์แบบนี้ มีจริง ๆ เหรอคนที่ยอมตกอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้
FWB /Friend with benefits
เป็นคำที่ใช้อ้างอิงถึงความสัมพันธ์ทางเพศที่ปราศจากความโรแมนติก โดยปกติแล้วความสัมพันธ์จะเป็นแบบระยะสั้นหรืออาจจะบางคู่อาจจะพัฒนาเป็นระยะยาว แต่มีกฎอยู่ว่า ต้องไม่มีฝ่ายไหนที่คิดเกินเลย จุดประสงค์ของความสัมพันธ์รูปแบบนี้ คือ
- เพศสัมพันธ์ เป็นแรงจูงใจทางเพศล้วน ๆ
- การเชื่อมต่อทางอารมณ์ อยากมีความใกล้ชิด
- ความเรียบง่ายของความสัมพันธ์ เป็นธรรมชาติ และปราศจากความเครียด
- การหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่จริงจัง ไม่ชอบการผูกมัดหรือมีสถานะที่โรแมนติกให้ใคร
Parasocial/ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม
รักเขาข้างเดียว Parasocial ใช้เรียกความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกิดขึ้นเพียงข้างเดียว ความสัมพันธ์นี้อาจจะอธิบายคำถามข้างต้นได้ดีว่าเราสามารถผูกพันกับคนที่ไม่เคยเจอหน้าได้ไหม
เพราะมันเกิดจากการที่เราสนใจอีกฝ่ายนึงมาก ๆ ชื่นชอบมาก ๆ จนเกิดเป็นความรู้สึกผูกพันและสนิทกับคนนั้น รู้สึกหวังดี ห่วงใย เหมือนว่าเขาเป็นคนที่มีตัวตนอยู่จริงในชีวิตเรา
แต่อีกฝ่ายอาจจะไม่รับรู้การมีอยู่ของตัวตนของเราด้วยซ้ำ เราจะเจอได้บ่อย ๆ กับ ศิลปิน/ตัวละคร กับ แฟนคลับ
Ghosting
นึกถึงเพลงอยู่ดี ๆ ก็หายไลน์ไม่ตอบ ใช้ในสถานการณ์ระหว่างคนรัก คู่รัก คนคุย เพื่อน ครอบครัว หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงานก็ได้ แต่อันนี้พูดถึงความรักเลยจะขอเน้นย้ำที่ความสัมพันธ์แบบคนรัก คนคุย
โดยคำนี้ มีที่มาจากการที่คนเราเจอกันได้ง่าย ๆ จากแอปแชท หรือแอปเดท เหมือนจะพัฒนาความสัมพันธ์กันได้ แต่สุดท้าย อยู่ดี ๆ ก็หาย ไลน์ไม่ตอบ ทิ้งให้เราเคว้ง อยู่กับความรู้สึกผิด
และคำถามคาใจว่า “ทำไม” ซึ่งเมื่อเกิดสถานการณ์นี้ถ้าเราเจอบ่อยครั้งจะทำให้เรา low selfesteem ได้นะ
ons/one night stand
ความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัด ไม่ผูกพัน เพียงคืนใดคืนนึงเรารู้สึกไปถูกตาต้องใจใครโดยต้องเป็นการ ยอมรับทั้ง 2 ฝ่าย
Complicated Relationship มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน?
วันนั้นมากับน้องคนนี้แล้ววันนี้เปลี่ยนอีกคนแล้ว? หรือแบบในเพลง ไม่รู้ว่าเราคบกันแบบไหนไม่ต้องหาคำ ๆ ไหนมาอธิบาย ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนั้นเองและแตกต่างกับ ons
อาจจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่คาดหวัง จากความสัมพันธ์นี้ หรือมีใครสักคนที่เราชอบที่จะอยู่ด้วยกันนะแต่เราไม่อยากเป็นไรกับเธอเรากลัวเป็นมากกว่านี้แล้วจะเสียเธอไป
คำถามที่สงสัย ถ้าเรามีแค่องค์ประกอบใดประกอบหนึ่งในสามเหลี่ยมนี้ ถือว่าเป็นความรักได้ไหม คำตอบของทฤษฎีนี้คือ ความรักไม่จำเป็นต้องมีส่วนประกอบทั้งหมด มีเพียงแค่หนึ่งหรือสอง
ก็ถือว่าเป็นความรักรูปแบบหนึ่งแล้ว ส่วนประกอบที่ต่างกันก็เป็นความรักในรูปแบบที่ต่างกัน คนคนเดียวมีความรักได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับว่าจะรักใคร
สามเหลี่ยมความรักไม่จำเป็นว่าเราต้องมีครบทุกองค์ประกอบ ขอยกตัวอย่าง Long-distance relationship รักทางไกลที่มีอุปสรรค เพราะไม่มีโอกาสได้ติดต่อหรือใช้เวลาร่วมกัน ขาดความสนิทชิดใกล้ (Intimacy)
ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ แต่บางคู่ก็สามารถคบกันได้ยาวนาน จะเห็นได้ว่าถึงแม้จะไม่มีความสนิทชิดใกล้ถ้าเรารักและมีความเข้าใจกัน ก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์ไปต่อได้
หรือบางคู่ที่อยู่ใกล้กัน เจอกันทุกวัน มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบของสามเหลี่ยมความรัก ถ้าขาดความรัก ความเข้าใจสักวันก็ต้องจบกันไปอยู่ดี
สามเหลี่ยมความรักของเราจะเปลี่ยนแปลงไหม เมื่อผ่านไปเวลานึง
ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เเน่นอนว่า ความรู้สึกเปลี่ยนไปได้เสมอ วันนึงเราอาจจะมีความรู้สึกรักเขามาก ๆ ผ่านไปเราอาจจะรักเขาน้อยลง
เหลือเพียงความหวังดีหรือความรู้สึกดี ๆ ให้กัน ก็เหมือนองค์ประกอบบนสามเปลี่ยมของความรักของเรา
วิธีดูแลความรักจากสามเหลี่ยมความรัก
ความรักเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยากให้เกิดเรื่องดี ๆ กับคู่ของเรา ถ้าเรามีความหวังดี ความห่วงใย ความใส่ใจซึ่งกันและกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ครบทั้ง 3 องค์ประกอบสามเหลี่ยมความรัก ความรักต้องดำเนินต่อไปได้แน่นอน
ความรักที่ดีไม่จำเป็นต้องมีทุกส่วนประกอบทั้ง 3 อย่างพร้อมกัน แต่ต้องไม่ทำร้ายกัน ถ้าเกิดเรารักแบบเหมือนเราจะเอามีดปักหลังกันและกันตลอดเวลา หมายถึงทั้งคำพูด
และการกระทำที่ toxic นั้นก็คงไม่ดีแน่ ๆ เราอาจกลายเป็นเรื่องเล่าแย่ ๆ สำหรับเขา และเราอาจเกลียดเขาไปก็ได้เหมือนกัน
ทฤษฎีนี้อาจจะทำให้เราเข้าใจและเห็นภาพมากขึ้นว่าทำไมเรื่องราวของความรักมันช่างซับซ้อน จนบางครั้งดูจับต้องไม่ได้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้นเราทุกคนต่างกัน ความสัมพันธ์ต่างกัน
ทฤษฎีเองก็ไม่สามารถระบุหรือตัดสินความสัมพันธ์ของใครได้เลย ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ เพราะทุกความสัมพันธ์อาจเป็น social support ที่ดีให้กับเราได้นะ
ที่มา
Biography of Psychologist Robert Sternberg
ประเทศไทยมีอยู่ 3 ฤดู แต่ฤดูที่เราจะสัมผัสได้ส่วนใหญ่คือร้อนกับฝน แต่เมื่อฤดูหนาวมาถึงกลับรู้สึกเหงากว่าปกติ มาร่วมพูดคุยและแชร์เกี่ยวกับ “ความเหงาในฤดูหนาว”
กับรายการพูดคุย Alljit X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂
ความเหงาในฤดูหนาว
ภาวะ Seasonal affective disorder
เป็นอะไรที่เกิดขึ้นตามช่วง ของการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล อาการนี้จะเกิดขึ้นเมื่อได้รับแสงแดดน้อยลงผิดปกติ โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่เช้ากว่าสว่าง เย็นมืดไว ทำให้ร่างกายร้างเมลาโทนิน
ซึ่งเมลาโทนินจะทำให้รู้สึกง่วงเป็นพิเศษ จนทำให้ไม่อยากทำอะไร รวมถึงได้รับวิตามินไม่เพียงพอ ฤดูกาลมีส่วมสัมพันธ์ให้เราอ่อนไหวผิดปกติ ‘ยิ่งหนาวยิ่งเหงา’ สิ่งที่ต้องยอมรับเลยคือเมื่อหนาวเราอยากทำให้อบอุ่น
เราเชื่อมโยงความอบอุ่นไปในตัวบุคคล การมีบุคคลที่เราเชื่อมโยงจะทำให้เรารู้สึกไม่เหงา พอมีสารสื่อประสาทให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงตามอากาศทำให้ส่งผลกับฮอร์โมนในร่างกายด้วยจึงส่งผลให้เกิดความเหงามากกว่าปกติ
“เหงา” เกิดจากอะไร ?
ข้างหลังของความเหงามันมีอะไรอยู่บ้าง เราถูกเติบเต็มไม่มากพอ สาเหตุหลัก ๆ มาจากอะไร เหงาเป็นทางบวกหรือทางลบ เราสามารถอยู่กับความเหงาได้ไหม ตอนเราเหงา แต่ถ้าเหงาแล้วเป็นทางลบต้องถามตัวเราว่าเกิดอะไรขึ้น มองให้เห็นที่มาที่ไปของความรู้สึกเหงาเหล่านั้น
“เหงา” แก้ไขยังไง
อะไรที่เราทำแล้วเราไม่เหงา วิธีคลายเหงาของแต่ละคนแตกต่างกัน ระบายกับคนที่เรารู้สึกว่าเราระบายได้ คนอาจจะหยิบยื่นอดิเรกบางอย่างให้เรา แต่สิ่งหลัก ๆ คือเราต้องเรียนรู้จากตัวเองก่อนว่าความเหงาเกิดจากอะไร ต้องรับรู้จากสาเหตุเพื่อที่เราจะแก้ไขได้ถูกต้อง
ถ้าเรารู้สึกเหงานานเกินไป
ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เราเหงา ถ้าสาเหตุนั้นเราไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที และเราก็ไม่อยากใช้วิธีเบี่ยงเบนความเหงาไปไถโทรศัพท์ หรือเล่นอินเทอร์เน็ต การที่เรามีสังคมรอบตัวก็เป็นส่วนช่วยที่ทำให้ความเหงาเราคลายลงได้บ้างเหมือนกัน
หรือถ้าการปรึกษาคนรอบข้างไม่ได้ช่วยเราได้ขนาดนั้นการหานักจิตบำบัด เพื่อค้นหาสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกเหงานานเกินไปก็สามารถช่วยเราได้เหมือนกันนะ 🙂
Hikikomori ชอบอยู่คนเดียว ที่หมายถึงว่าชอบแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว ลองนึกภาพเรานั่งหันหลังให้ประตู แล้วพูดกับตัวเองว่า I spend every day in my room
Hikikomori
เราเก็บตัวเพราะชอบ หรือ กำลังเป็นโรคชอบเก็บตัว
ทำความรู้จักกับ Hikikomori เพื่อทำความเข้าใจคนที่เลือกใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว จะเห็นได้ว่าการแอบไปอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะสุดท้ายเเล้ว
เราสามารถที่จะออกมาใช้ชีวิตเผชิญกับโลกภายนอกได้เหมือนเดิม แต่ว่าบางคนไม่ได้กลับมาจากช่วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยว แต่กลับแสดงอาการถอนตัวอย่างรุนแรงและต่อเนื่องยาวนาน
ทำให้เกิดความทุกข์ใจทั้งตัวเองและคนที่อยู่รอบข้าง ในญี่ปุ่น รูปแบบพฤติกรรมนี้เป็นเรื่องปกติจนปัจจุบันเรียกว่า ‘ฮิคิโคโมริ’
‘ฮิคิโคโมริ’ เริ่มมาจากญี่ปุ่น มีอีกชื่อที่เรียกสั้น ๆ ว่า ‘ฮิคกี้’ โดยปรากฎการณ์ ฮิคิโคโมริ ต้องมีระยะเวลาการเป็น 6 เดือน แต่หลัง ๆ มานี้เริ่มมีรายงานเกี่ยวกับคนที่มีอาการใกล้เคียง จากประเทศอื่น ๆ
อย่างเกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ จุดที่น่าสนใจ คือ ประเทศที่พบเจออาการล้วนเป็นประเทศที่มีการพัฒนาและการแข่งขันสูงด้านเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต การทำงาน
ปัญหาเกี่ยวกับการปลีกตัวออกจากสังคมอย่างรุนแรงในวัยรุ่นญี่ปุ่นได้รับความสนใจเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1990 เป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นต้องเจอกับ “ยุคน้ำแข็ง” (ice age) ทางเศรษฐกิจ
ทำให้เยาวชนจำนวนมากไม่สามารถทำตามเป้าหมายของตัวเองได้ หลายคนเลยเลือกที่ซ่อนตัวเพื่อปกปิดความอับอายที่พวกเขารู้สึก
คำว่า ฮิคิโคโมริ มาจาก ฮิกิ คือ ถอนตัว และโคโมริ คืออยู่ข้างใน บัญญัติขึ้นโดยศาสตราจารย์ทามากิ ไซโตะ จิตแพทย์ชาวญี่ปุ่น ไซโตะเลือกคำนี้เพื่ออธิบายคนหนุ่มสาวจำนวนมาก
ที่เขาเห็นว่าไม่เข้าเกณฑ์สำหรับการวินิจฉัยสุขภาพจิต แต่อยู่ในภาวะถอนตัวอย่างรุนแรง ฮิคิโคโมริยังเป็นที่รู้จักมากขึ้นในประเทศอื่น ๆ คำนี้ใช้กันทั่วโลกเพื่ออธิบายถึงใครก็ตามที่เข้าเกณฑ์การแยกตัวแบบรุนแรง
อาการหลัก
- แยกตัวอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน เก็บตัว ไม่ออกจากบ้าน บางคนอาจใช้อินเทอร์เน็ตเป็นหน้าต่างสู่โลกภายนอกแต่มักจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- ตัดขาดจากความสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ไม่เจอหน้าใคร
- มีความทุกข์และความบกพร่องในการทำงานอย่างมาก เช่น การหลีกเลี่ยงงานที่อาจต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
สาเหตุ
จากความอับอายและบาดแผล
การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการที่มีประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ ที่ทำให้เกิดความอับอายและพ่ายแพ้มักเป็นตัวกระตุ้น เช่น สอบตก ไม่ได้งานที่อยากทำ ตกงาน หรือกับช่วง covid-19
ที่หลายคน WFH ในช่วงนี้มีทำให้การออกมาพบเจอโลกภายนอกเป็นเรื่องยากไปเลย และการ WFH ทำให้ต้องเข้าสังคมโดยใช้อินเทอร์เน็ต ความกลัวการติดเชื้อ สูญเสียงาน
และไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครเพิ่มความเสี่ยงในการถอนตัวออกจากสังคมและแยกตัวเองออกมา
สภาพแวดล้อม
เนื่องจากปรากฎการณ์ฮิคิโคโมริมาจากประเทศญี่ปุ่นแต่ในปัจจุบันไม่ใช่แค่ที่ญี่ปุ่นแต่ใครก็ได้ที่สามารถมีปรากฎการณ์ ฮิคิโคโมริ เกิดขึ้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มาจากความตึงเครียดสูง
มีการแข่งขันในด้านสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ การงาน การเรียน จริง ๆ มีหลายสาเหตุมากที่ทำให้เรากลายเป็นคนเก็บตัว สังคมขาดความเคารพกัน ไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เกิดความกดดันจากสภาพแวดล้อม
จากความสิ้นหวัง
ความรู้สึกสิ้นหวังและมองไม่เห็นโอกาสในอนาคต ทำให้รู้สึกว่าจะไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากจะทำได้เลย รู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์
ขาดพื้นที่ที่ปลอดภัยในทางด้านจิตใจ
เป็นเรื่องปกติที่บางครั้งจะรู้สึกว่าอยากซ่อนตัวจากโลกภายนอก การที่เราหลบหรือถอนตัวออกมาในช่วงเวลาสั้น ๆ สามารถลดการตอบสนองความเครียด ลดความรู้สึกอ่อนล้าและปลอบประโลมใจ
ความโดดเดี่ยวสามารถช่วยพัฒนาช่วงเวลาสำคัญ ๆ ได้ เช่น การสำรวจตัวตนในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยสำหรับการตั้งคำถามว่าเราคือใคร ตัวตนอยู่ตรงไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียวอาจเป็นคำตอบให้ได้
ในหนึ่งวันต้องมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง สัก 15-20 นาที อย่างคนที่เป็น HSP (Highly Sensitive Person) จะไวต่อสิ่งกระตุ้นได้ง่าย การหาเวลาให้ตัวเองสำคัญมาก Key point คือ หา Down Time ให้ตัวเอง
เวลาส่วนตัว ที่เราจะได้อยู่กับสิ่งที่เราสบายใจ ไม่มีสิ่งเร้าเหล่านั้นมากระตุ้น ช่วง Down Time ตรงนี้ เราอาจจะคิดอะไรที่มันสร้างสรรค์ออกมาได้ และยังได้พักตัวเองอยากสิ่งกระตุ้นภายนอกเวลาที่เราเข้าสังคม เพราะสิ่งเหล่านั้นห้ามได้ยากมาก
ทำไมคนถึงมองว่าการทำอะไรคนเดียว แปลก?
การอยู่คนเดียวจะถูกมองว่าไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ ไม่มีใครเล่นด้วย เราติดอยู่กับความคิดที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เลยทึกทักไปว่างั้นเราต้องทำอันนู้นอันนี้เป็นกลุ่มสิ นึกถึงรูปภาพหันหลัง การที่มันเป็นภาพที่คนหลายคนอยู่ด้วยกัน มันดีกว่าอยู่เดียว
เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เรื่องค่านิยาม การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มจึงถูกมองว่าปกติ มากกว่าการอยู่คนเดียว พอเราเห็นคนกินข้าวคนเดียวเราจะเริ่มคิดว่าแบบทำไมเขามาคนเดียวนะ
เผลอตัดสินเขาไปตามสิ่งที่เราถูกล่อหลอมจากค่านิยมของสังคม แต่พอเราโตขึ้นเราก็จะเริ่มเข้าใจว่าไม่แปลกเลย การอยู่คนเดียวก็คือการมีความสุขในรูปแบบหนึ่งของการใช้ชีวิตเหมือนกัน
ชอบอยู่คนเดียวจริง ๆ หรือโลกภายนอกไม่ได้น่าอยู่
โลกภายนอกเป็นปัจจัยที่ทำให้คนไม่อยากออกไปนอกบ้านเหมือนกัน สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออากาศ เสียง มลพิษต่าง ๆ เขาเลยเลือกที่จะอยู่ในพื้นที่ที่เขาสบายใจ อยู่คนเดียวหาไรทำในห้อง
แต่เราก็ต้องลองรีเช็คตัวเองดี ๆ เหมือนกันว่าเป็นเพราะโลกภายนอกหรือเรากลัวสังคมภายนอก กลัวคนอื่นมาตัดสินเรา เราเลยเลือกอยู่คนเดียว
เมื่อก่อนชอบอยู่กับคนอื่นแต่ตอนนี้ชอบอยู่คนเดียว
เกิดจากบุคลิกเปลี่ยน ช่วงวัยเปลี่ยน สิ่งเเวดล้อมเปลี่ยน ทำให้ชอบอยู่เดียว ยิ่งโตยิ่งเพื่อนน้อย หรือเจอกับเหตุการณ์สะเทือนใจ เห็นได้บ่อยจากคนรอบตัวเลยคือแต่ก่อนชอบอยู่กับเพื่อน
ชอบทำความรู้จักกับคนใหม่ ๆ แต่เหมือนพอเจออะไรในชีวิตมากขึ้น โตขึ้น นิ่งขึ้นเลยเลือกที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า
เก็บตัว = มีปัญหา?
ไม่เสมอไป บางคนที่ชอบเก็บตัว อยู่คนเดียวทางบวก เพราะเขาชอบที่จะเป็นแบบนั้น เพราะเป็นเรื่องของบุคลิกภาพ คือ กลุ่มคน Introvert ที่รักสันโดษ ชอบอยู่คนเดียว โลกส่วนตัวสูง
ชอบที่อยู่กับความคิดของตัวเอง เพราะเขามีความสุขที่จะเป็นแบบนั้นและรู้สึกว่าเป็นการชาร์จพลังอย่างนึง คนเก็บตัว คนที่มีโลกส่วนตัวสูง เป็นบุคลิกภาพอย่างหนึ่ง
เหมือนกับคนที่ชอบออกไปเสพบรรยากาศข้างนอก ชอบเที่ยว แต่เขาชอบที่จะอยู่ในห้อง หาสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขในพื้นที่ของเขา แต่ที่มองว่าเป็นปัญหาเพราะคนชอบไปโยงว่า คนเก็บตัว คนที่มีโลกส่วนตัวสูง คือคนที่มีแนวโน้มในการต่อต้านสังคม
ความสุขของการอยู่คนเดียว
ใครหลาย ๆ คนคงรู้สึกว่าการไม่มีใครในชีวิตเลย มันคงรู้สึกเหงา หว่าเว้น่าดูเลย ในวันที่เราต้องอยู่คนเดียว อาจจะเป็นวันที่ต้องห่างจากครอบครัว ต้องเปลี่ยนสังคมการทำงาน
วันที่เราต้องอยู่ห่างเพื่อนที่เราสนิทและไว้ใจ ในวันนั้นคงเป็นวันที่เราต้องมาสร้างความสุขด้วยตัวของเราในวันที่เราไม่มีใครเหล่านั้นอยู่ด้วย… เพราะจริง ๆ การอยู่คนเดียวก็มีความสุขมากกว่าที่คิดนะ
- โอกาสดี ๆ บางครั้งก็ต้องไปคนเดียว
- ได้ทำตามใจตัวเองในแบบที่เราอยากจะทำ เพราะเวลาที่ไปกับคนอื่น เราอาจจะต้องตามใจเขาบ้างเพราะเราไปกันหลายคน เราไปคนเดียวก็เป็นแพลนของเราคนเดียว ไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร มันคือความสบายใจอย่างนึง ถ้าเรามีช่วงเวลาที่ไม่จำเป็นต้องตอบสนองคนอื่น
- สิ่งรอบตัวสวยงามกว่าที่คิด ถ้าเราไปคนเดียว เราจะได้มองไปรอบ ๆ ตัวในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม บางทีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจจะสร้างความสุขให้เราได้ เพราะบางทีการที่เราไม่ได้อยู่คนเดียว เราจะลืมมองสิ่งรอบ ๆ ตัวไปหมดเลย
- เราจะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ละเอียดและรอบคอบกว่า ไอเดียจะดีถ้าได้อยู่คนเดียว
- เราจะโฟกัสกับสิ่งรอบข้างได้ง่ายมากขึ้นด้วย
- ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ง่ายมากขึ้น สืบเนื่องจากข้อที่แล้วพอเราอยู่กับตัวเอง เก็บรายละเอียดของคนรอบข้าง ถ้าเราเห็นคนรอบข้างรู้สึกยังไง จะทำให้เราควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ง่ายขึ้น คุมสีหน้าได้ง่ายขึ้น
- ไม่เปรียบเทียบชีวิตเรากับคนอื่นเท่าไหร่
- มีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ พอเราอยู่กับตัวเองมากขึ้นเราจะมีสมาธิจดจ่อได้ง่ายมากขึ้น ทั้งการดูหนัง อ่านหนังสือ
- ดูแลตัวเองได้มากขึ้น
ความทุกข์ของการอยู่คนเดียว
- บางทีเวลาอยากทำอะไรการมีคนหารทำให้ประหยัดมากขึ้น
- มีโมเม้นดี ๆ อยากแชร์ให้คนข้าง ๆ ฟังมากกว่าเขียนไดอารี่
- มีสายตาแปลก ๆ เวลาทำอะไรคนเดียว
- เหงา อยู่คนเดียวแบบเหงา ๆ (ความเหงาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา)
- ฟุ้งซ่าน คิดมาก นอนไม่หลับ
- เสียความสัมพันธ์ในบางส่วน
การรักษา
การรักษามุ่งเน้นไปที่กิจกรรมทางกาย เพื่อสร้างความสามารถในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
และใช้วิธีที่ค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้พวกเขากลับไปมีส่วนร่วมกับงานหรือการเรียนอีกครั้ง บางครั้งการบำบัดก็เกี่ยวข้องกับทั้งครอบครัว
“หาวิธีเเสดงความสามารถและพรสวรรค์”
การฟื้นฟูจะเกี่ยวข้องกับการช่วยให้ชาวฮิคิโคโมริหาวิธีแสดงความสามารถและพรสวรรค์ในแบบที่สังคมยอมรับได้ เช่น ศิลปินชาวญี่ปุ่น Atsushi Watanabe
ใช้ศิลปะและการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยให้เขาหายจากอาการฮิคิโคโมริ จากที่เราได้พูดกันไปว่า ฮิคิโคโมริ ส่วนใหญ่จะพบในหมู่ของวัยรุ่น แต่ในวัยที่เกิน 40 อัพก็พบได้เหมือนกัน
วิธีที่จะดึงความรู้สึกด้านบวก คือต้องเสริมวิธีสร้างคุณค่า และเชื่อมั่นในความสามารถ การที่มีใครคนนึงเป็นปรากฎการณ์ฮิคิโคโมริไม่ว่าจะสาเหตุไหนก็ตาม อย่าคิดว่าเขาเป็นคนที่ไม่สู้กับสังคม
เขาเพียงแค่ขาดสิ่งที่ทำให้เขาอยากออกมาพบเจอโลกภายนอก เราควรให้กำลังใจ ทำให้เขารู้สึกถึงความสบายใจ เปิดใจฟัง และคุณค่าของคนไม่ใช่การที่ถูกตั้งไว้แบบเดิมว่าต้องเรียนจบ ต้องมีงานทำที่เงินเดือนสูง
อยากให้ทุกคนได้ตระหนักถึงคุณค่าของคน ๆ นึงในแบบใหม่ ที่ไม่ให้คุณค่านั้นไปทำร้ายใคร
ที่มา
understanding the people who choose to live in extreme isolation
บาง ความทรงจำ ทำให้มีความสุข บางความทรงจำกลับทำให้มีน้ำตา หรือกับบางความทรงจำที่เคยเจ็บปวด วันนี้นึกถึงมันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว เรื่องที่เคยเจ็บปวดกลับกลายเป็นเรื่องเล่าได้ในวันนี้
ลองย้อนความทรงจำกันเถอะ
ความทรงจำ : memory with & without Feeling คืออะไร?
Memory with Feeling : ความทรงจำ แบบมีความรู้สึกร่วม
ส่วนมากจะเกิดขึ้นกับความทรงจำระยะสั้น เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกจะค่อย ๆ จางลง แต่ถ้าเป็น life events ก็อาจจะเป็นความทรงจำระยะยาวได้ ในช่วงแรกที่เจอกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ
คนเราจะตกอยู่ในห้วงของ memory with feelings เราจะเจ็บปวดกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ยังนึกถึง ยังโหยหา ยังไม่สามารถออกมาได้ เหมือนว่าเราเจอกับเหตุการณ์นั้นซ้ำ ๆ
Memory without Feelings : ความทรงจำ ที่ปราศจากความรู้สึก
เมื่อเวลาผ่านไปความทรงจำจะเหลือเพียงแค่เรื่องราวที่เกิดขึ้น เหลือเพียงการตกตะกอนหรือแง่คิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ที่เคยมีในอดีตกับความทรงจำนั้นอีกต่อไปแล้ว
เราอาจจะจำได้ลาง ๆ ว่า เคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับคนนี้ เขาเป็นใคร อาจจำดีเทลของเขาได้บ้าง แต่เราจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับคนนี้และเหตุการณ์นี้แล้ว
เหมือนกับคำที่ว่า “เรื่องเลวร้ายในอดีตจะกลายเป็นเรื่องเล่าในวันนึง”
feeling without memory : รู้สึกแต่ไร้ความทรงจำ
ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ที่สูญเสียความทรงจำ เช่น มีภาวะแอมนีเซีย หรือ เป็นโรคอัลไซเมอร์ Feeling without memory คือ ความทรงจำที่หายไปเหลือไว้เพียงความรู้สึก
มูฟออนได้ เท่ากับ ลืมได้ จริงไหม?
การลืม หมายความว่ามัน Delete ไปเลย ไม่มีคลังข้อมูลอันนี้ในหัวแล้ว ถ้าถามถึงคนคนนี้คือตอบไม่ได้ว่าคือใคร ชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน
เเต่ Move On คือ ทำใจได้ ไม่ได้เจ็บปวด ไม่ฟูมฟายอะไรแล้ว แต่ไม่ได้ลืมว่าคนนี้ชื่ออะไร คือใคร เหมือนว่าจำได้แต่ไม่รู้สึก
หลาย ๆ คนจะเรียกว่า “การลืม” เวลาใช้ในบริบทของการมูฟออนได้ แต่จริง ๆ แล้วการลืม Forgetting กับ Memory without feeling แตกต่างกัน
Forgetting = การลืม เป็นการที่สมองสูญเสียความทรงจำนั้นไป มี 2 กรณี คือ
1.เราสูญเสียความทรงจำนั้น จากการที่เราไม่ได้ rehearse คือ ไม่ได้นึกถึงและไม่ได้ทบทวนเรื่องนั้นในหัว เวลาผ่านไปเลยลืมไป
2.ความทรงจำนั้นอาจจะเข้าไปใน LTM หรือความจำระยะยาวแล้ว แต่ไม่สามารถ recall หรือระลึกกลับมาได้
Memory without feeling คือ การลืมความรู้สึก หรือ ความรู้สึกเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว เทียบได้กับการมูฟออน เป็นการที่เราก้าวข้ามผ่านเรื่องราวนั้นไปได้จนเริ่มต้นใหม่และมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันได้แล้ว
ประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจผ่านไปจะกลายเป็น memory without feeling ได้ไหม?
เป็นไปได้ เรื่องที่เคยเจอแล้วมันเจ็บช้ำน้ำใจ ย้อนกลับไปก็ไม่รู้สึกเหมือนเดิมแล้วนะ แต่ไม่ใช่กับทุกคนและทุกเรื่องที่จะสามารถจำเเบบไม่รู้สึกอะไรได้
เรื่องบางเรื่องสำหรับบางคนกระทบจิตใจมาก มันยากที่จะผ่านไปได้แบบไม่รู้สึกอะไรการจำแบบมีความรู้สึกร่วม เราจะจำมันได้ดีขึ้น ยิ่งกับความรู้สึกเชิงลบ ยิ่งฝังใจมาก
แต่ก็เรื่องที่ “ไม่ว่ายังไงก็คงทำใจไม่ได้” อยู่แต่เวลาผ่านไป กระบวนการฮีลใจจากความสูญเสียจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถึงแม้จะลืมหรือทำใจไม่ได้ แต่เราจะยอมรับได้มากขึ้น เจ็บน้อยลง
จากเว็บไซต์ Psych central ให้ข้อมูลว่า เรื่องที่ร้ายแรงจริง ๆ จะทำให้เกิดภาวะสูญเสียความทรงจำไปเลยได้ แต่ในเคสนี้ความทรงจำไม่ได้หายไป แต่ถูกสมองซ่อนไว้เฉย ๆ เพื่อป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวด
“ถ้าเป็นเพื่อนพี่น้องกับแฟนเก่าได้ หมายความว่า ยังรักอยู่ หรือไม่ก็ ไม่เคยรักกัน” จริงไหม?
การเป็นเพื่อนพี่น้องกับแฟนเก่าได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกรักอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ความสัมพันธ์ และปัจจัยภายนอก เช่น
1.ปัจจัยที่ทำให้เลิก
ถ้าไม่มีเรื่องร้ายแรง เช่น ทั้งสองฝ่ายต่างมองว่าเราไม่ใช่ต่อกันและกันเท่านั้นเอง อาจจะทำให้ยังมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันมากพอที่จะสานสัมพันธ์เป็นเพื่อนพี่น้องได้
2.ประสบการณ์การเลิกกัน
ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ดี เช่น ทะเลาะกันรุนแรง มีการทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ โอกาสที่จะกลับไปสานสัมพันธ์ให้เป็นแบบอื่นคงยาก
3.ความยินยอมพร้อมใจ
เรื่องความสัมพันธ์ไม่ใช่การตบมือข้างเดียว ถ้าทั้งเราและอีกฝ่ายคิดตรงกัน อยากเป็นเพื่อนพี่น้องกันทั้งคู่ คงเป็นไปได้
4.เลิกเป็นแฟนแล้ว แต่ยังต้องเกี่ยวข้องกันในฐานะอื่นๆ
เรากับเขาต้องเกี่ยวข้องกันทางธุรกิจ เป็นหุ้นส่วน เป็นเพื่อนร่วมงาน หรืออาจจะต้องทำหน้าที่ร่วมกันในฐานะพ่อและเเม่
5.บางคนอาจจะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้แบบเพื่อน เพื่อหวังว่าจะเริ่มต้นใหม่
เหตุผลนี้อาจทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงลบหลายอย่าง เราอาจจะอกหักอีกรอบ สุขภาพจิตแย่ลง ซึมเศร้า เพื่อนในกลุ่มอึดอัด และเกิดความรู้สึกหึงหวง การเป็นเพื่อนกันต่อไป
เพราะความรู้สึกที่ยังค้างคาอยู่จะส่งผลเสียต่อการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ด้วย และสุดท้ายแล้วมีแนวโน้มว่ามิตรภาพจะจบลงในอนาคต
การมีคนใหม่เพื่อลืมคนเก่า ช่วยได้ไหม?
ช่วยให้ลืมไม่ได้ แต่สิ่งที่ช่วยได้แน่ๆ คือ ช่วยเบี่ยงเบนตัวเองออกมาจากเรื่องของคนเก่าได้บ้าง จากเว็บไซต์ Sirichaiwatt ได้พูดถึงการลืมคนเก่าด้วยการมีคนใหม่ไว้ว่า
บางครั้งที่คนคนนึงมีคนใหม่แล้ว move on ได้ไวกว่าเป็นเพราะ ความทรงจำเก่าได้ถูกเขียนทับด้วยความรู้สึกอื่น หรือเขียนใหม่กับคนอื่น จนเหลือแค่ความจำกับคนเดิม เขาไม่ได้ลืม แค่รู้สึกไม่เหมือนเดิมแล้ว
การไปรู้จักคนใหม่ สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นจะเข้ามาแทนที่ความรู้สึกแย่ในอดีต แต่มีข้อควรระวัง บางคนรีบในวันที่ไม่พร้อม ทำให้มาตรฐานและความคาดหวังที่มีต่อคนอื่นลดลง
จนเลือก “ใครก็ได้” เข้ามาในชีวิต หวังแค่ว่าเพื่อให้ลืมแฟนเก่าได้ สุดท้ายอาจจะลงเอยด้วยการหลวมตัวไปรับคนที่ไม่ใช่หรือไม่ดีเข้ามาทำให้เสียใจอีกรอบ
ทำยังไงให้ ความทรงจำ ร้าย ๆ กลายเป็น Memory without feeling?
1.ยอมรับความจริง
สิ่งสำคัญที่ทุกคนรู้คือ “ยอมรับความจริง” ขอยกคำพี่อ้อยพี่ฉอดว่า “อยู่ให้รอดเป็นวัน ๆ แล้วเดี๋ยวจะรอดทุกวัน” ตั้งเป้าหมายใกล้ ๆ แล้วไปให้ได้ก่อน บางคนคิดว่า เราจะต้องมูฟออนให้ได้
เราจะได้มีความสุขสักที แต่พูดตามตรงว่า ธรรมชาติไม่ได้ work แบบนั้น ไม่ได้ก็คือไม่ได้ “จะกี่เดือนกี่ปีก็ช่างเหอะ” ไม่รู้ว่าจะกดดันตัวเองไปทำไม เพราะงั้นเวลาจะผ่านไปแค่ไหน
ทำใจไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เรารู้ว่าจะมีวันที่ผ่านเรื่องนั้นไปได้ก็พอ เพราะเรื่องที่หนักหนาก่อนหน้านี้ ยังกลายเป็น Memory without feeling ได้ตั้งหลายเรื่อง
2.ปล่อยให้ตัวเองเสียใจ
“ปล่อยให้ตัวเองมีช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาของความเสียใจ” ให้เวลาตัวเองได้รู้สึกแบบที่ควรจะเป็น ช่วงเวลานั้นเราจะได้รู้อะไรหลายอย่างเลยนะ เราจะได้รู้ว่ามีใครบ้างที่รักและเป็นห่วงเรา
รู้จักตัวเอง ได้แก้ไขความรู้สึกตัวเอง เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่โอเคเหมือนกันนะที่จะปล่อยให้ตัวเองได้เสียใจ
3.แทนที่ความทรงจำ
ไม่ต้องลบมัน แค่ไม่พูดถึง ไม่ฉายซ้ำ การ Move On ด้วยการมีคนใหม่ มักทำให้ทำใจได้เร็วกว่าเพราะมันคือการเขียนทับความทรงจำ แต่เราไม่จำเป็นที่จะต้องเขียนทับด้วยคนใหม่เท่านั้น
อาจจะเป็น ‘สิ่งใหม่’ เเทน เช่น สิ่งใหม่ที่อยากจะทำหรือเคยอยากทำ แต่ไม่ได้ทำสักที ในชีวิตนี้อยากเลี้ยงแมวสักตัว ลองประเมินเเล้วเราพร้อมที่จะดูเเลเขา
อาจจะหาน้องเเมวจรที่ต้องการความอบอุ่นสักตัวมาเลี้ยง หรือถ้ามีงบมากพอก็หาซื้อแบบที่เราชอบ
4.ใช้ชีวิตต่อในเส้นทางของเรา
คนเราทำใจได้เพราะ เวลาที่ผ่านไป เรื่องบางเรื่อง ของบางอย่าง คนบางคน เลือนหายไปเองเพราะเวลาผ่านที่เปลี่ยน อาจจะเร็วนานแตกต่างกันไปตามเรื่องราว
เราไม่สามารถลืมคนคนนึงได้ก็จริง แต่เราก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อนะ เรายังต้องไปเรียน ไปทำงาน เจอเพื่อน เจอครอบครัว เราอาจไปโฟกัสกับสิ่งอื่น ๆ แทน
จนความทรงจำหรือความรู้สึกค่อย ๆ จางลงเ จนวันนึงเขาก็กลายเป็นแค่คนนึงในชีวิตเราก็ได้
บางเรื่องทำใจไม่ได้จริง ๆ จะอยู่กับ Memory with feeling ยังไงดี ?
ส่วนใหญ่ Memory with feeling มักจะเกิดกับเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสียคน สัตว์ หรือสิ่งของที่รัก ด้วยการตายจาก อุบัติเหตุ เพราะเราไม่ได้มีโอกาสเตรียมใจ
แต่เรื่องแบบนี้ถึงให้มีเวลาเตรียมใจ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจ็บปวดอยู่ดี
“ความสุขในการใช้ชีวิต” กับ “ความเศร้าที่มีต่อความทรงจำ” เป็นคนละเรื่องกัน ถ้าเราพยายามแบ่งสันปันส่วนให้ทั้งสองอย่าง โดยการที่ ปล่อยให้ตัวเองเศร้ากับความทรงจำนั้นเมื่อนึกถึงได้
แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีความสุขกับชีวิตปัจจุบันได้ด้วย จากการทำสิ่งที่ชอบหรืออยู่กับคนรอบข้างที่มีอยู่ เท่านี้คงเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนให้ความทรงจำนั้นเป็น Memory without feeling เสมอไป
คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เรารู้ว่าความสุข ณ ตอนนี้มันแยกกับความทุกข์ในอดีต ความทรงจำบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องปราศจากความรู้สึกเสมอไป
เช่น เรายังคงอยากที่จะสัมผัสได้ว่าเรารู้สึกอย่างไรตอนยังมีพ่อ เราคงอยากนึกถึงโมเม้นต์ที่ได้อยู่กับน้องแมวของเราเพื่อทำให้เรารู้สึกว่าวันเวลาที่ผ่านมามันเกิดขึ้นจริง
แต่ถ้าเรารู้สึกว่าความรู้สึกทุกข์ใจของเรามันท่วมท้นจนไม่สามารถโฟกัสกับตัวเราเองได้เลย การสื่อสารกับเพื่อน ครอบครัวหรือผู้เชี่ยวชาญ ก็อาจช่วยให้เรามีความสุขกับปัจจุบันได้มากขึ้น
สำหรับใครที่กำลังอยู่กับความความทรงจำที่เจ็บปวด อยากจะบอกว่าสิ่งที่เรากำลังเจ็บปวดกับมัน เราอาจจะไม่มีวันลืมมันได้ตลอดไปก็จริง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันอาจจะมีอิทธิพลต่อเราน้อยลง จนวันนึงเราจะไม่รู้สึกอะไรเลย
ที่มา :
should-you-stay-friends-your-exes
แผลในใจ ร่องรอยความเจ็บปวดที่ฝังลึก แม้ว่าเรื่องจะผ่านไปแล้ว แต่นึกถึงทีไรเจ็บขึ้นมาทุกที จะเดินก้าวข้ามไปได้อย่างไรให้มีความสุข
มาร่วมพูดคุยผ่านมุมมองของนักจิตวิทยากับรายการพูดคุย Alljit X คุณวันเฉลิม คงคาหลวง นักจิตวิทยาการปรึกษา 🙂
แผลในใจ คืออะไร ?
บาดแผลในใจ (Trauma) เหมือนกับบาดแผลทางกาย แต่เกิดขึ้นภายในจิตใจ เช่น โดนต่อว่า โดนทำร้าย แล้วจะเก็บเป็นความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ แต่ความเจ็บปวดนี้ ไม่ได้เป็นความเจ็บปวดเพียงอย่างเดียว
แต่มันสามารถแปรรูปเป็นความเศร้า ความโกรธ หรือความเกลียดชัง ด้วยกลไกการป้องกันตัวเองทางจิตของมนุษย์ หรือ Defense mechanism ซึ่งพอเรามีบาดแผล ตัวเราก็ต้องมีการตอบสนองต่อบาดแผลนั้น
ปฏิกิริยาการตอบสนองเบื้องต้นก็จะมีตั้งแต่ความอ่อนล้าทางกายและทางใจ ความสับสน ความเศร้า วิตกกังวล กระสับกระส่าย ตื่นตัวทางร่างกายอย่างชัดเจน มือสั่น หรือการรู้สึกผิดปกติทางร่างกาย
สภาวะทางจิตที่เกี่ยวข้องกับบาดแผลทางจิตใจ ?
สามารถเกิดขึ้นได้หลายโรค หลายอาการ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนค่อนข้างให้ความสนใจไม่ว่าจะเป็น โรคซึมเศร้า ไบโพลาร์ หรือ โรค PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder)
เป็นโรคจิตเภทชนิดหนึ่งที่เกิดจากสภาวะจิตใจของผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์เลวร้าย เช่น การโดนข่มขื่น การประสบอุบัติเหตุร้ายแรง แม้เหตุการณ์จะผ่านไปนานแล้ว
แต่ความรู้สึกก็จะอยู่กับเขาตลอดเวลา เหตุการณ์เหล่านั้นจะ Flash back กลับมาเมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระตุ้น
เรื่องหรือเหตุการณ์ไหนบ้าง ที่จะทำให้เกิดบาด แผลในใจ ?
เรื่องที่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดสามารถทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจได้เกือบทุกเรื่อง ความหนักเบาจะแตกต่างกัน แต่ในส่วนของความหนักเบาไม่ได้วัดแค่ตัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเดียว เพราะต้องดูที่สภาพจิตใจและสถานการณ์ตอนนั้น ๆ ด้วย
ช่วงวัยไหนที่จะได้รับบาดแผลทางจิตใจมากที่สุด ?
สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงชีวิต ทุกคนควรค่าพอที่จะได้รับความรักและความเจ็บปวดเพราะมันคือธรรมชาติของชีวิต เราเป็นสัตว์สังคม เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างมาพร้อมกับความรู้สึก โดยธรรมชาติคนเราไม่สามารถตายด้านทางความรู้สึกได้ เพราะฉะนั้นทุกคนสามารถเจ็บปวดได้ในทุกช่วงวัย
แผลในใจ ที่แก้ไม่หาย…
บางทีเป็นเพราะการที่เราไม่ยอมก้าวข้ามผ่านความรู้สึกนั้นมา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่จะสามารถก้าวข้ามผ่านบาดแผลทางจิตใจ บาดแผลทางจิตใจสุดท้ายแล้วมันคือประสบการณ์ชีวิตที่มีผลต่อตัวเรา
และอยู่ภายในความทรงจำหรือภายในจิตใจ อยู่ที่ว่าเราจะจำหรือระลึกถึงมันได้หรือเปล่า หรือจะเก็บมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เราเจอล้วนมีผลต่อการเติบโตของเรา
บาดแผลทางใจที่ส่งผลกระทบมาถึงตอนโตอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้รับการจัดการความรู้สึกอย่างดีพอ เราก็จะเติมโตมาพร้อมกับบาดแผลและเราตอบสนองต่อบาดแผลนั้น
ในวันที่เราตอบสนองเราอาจจะรู้สึกเจ็บปวดและร้องไห้โดยการขาดการตระหนักรู้กับมันว่าจริง ๆ แล้ว เราเจ็บปวดกับอะไรอยู่ หากในวัยเด็กเราตอบสนองกับความเจ็บปวดได้ไม่ดีหรือไม่เต็มที่
ความต้องการที่อยากจะตอบสนองก็จะติดค้างและยังคงอยู่ ยิ่งเราโตขึ้นความรู้สึกนั้นก็ยังคงไม่หายไปไหนเราก็ยิ่งต้องตอบสนอง ในวัยเด็กเราอาจจะยังขาดศักยภาพ พอโตมาเรามีศักยภาพเราสามารถที่จะตอบสนองได้มากขึ้นกว่าเดิม
แต่เราจะตอบสนองได้ดีมากถ้าหากเราเข้าใจความเจ็บปวดและตระหนักรู้ต่อความเจ็บปวดตัวเอง แต่ถ้าเราไม่เข้าใจและไม่ตระหนักรู้ เราก็จะตอบสนองแบบไม่เข้าใจและไม่ตระหนักรู้
สิ่งสำคัญคือการตระหนักรู้และรู้ว่าเรากำลังรับมือกับความรู้สึกอะไร ถ้าหากรับมือไม่ไหวการพบนักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์อาจจะเป็นอีกทางออกที่ดีสำหรับตัวเรา
เคยไหม ? ตัดใจทิ้งสิ่งของ ความสัมพันธ์ สิ่งที่ทำให้เราเสียเวลา หรือนิสัยบางอย่างที่ส่งผลเสียกับเรา How to ทิ้ง เมื่อบางอย่างต้องทิ้งไว้กับปีเก่า…
อ้างอิงถึงภาพยนต์เรื่อง How to ทิ้ง ถึงคำพูดที่ว่า “ไม่สปาร์กจอยก็ทิ้งไป” ทำให้รู้สึกว่าบางครั้งเราก็มีสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดึงดูดเราแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า สิ่งสะสม หรืออื่น ๆ
How to ทิ้ง
เมื่อบางอย่างต้องทิ้งไปกับปีเก่า
“เราทิ้งบางสิ่งเผื่อก้าวไปบ้างหน้าเสมอ “ จากภาพยนต์เรื่อง Intrestella
เราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้โดยที่ตัวเองแบกรับทุกอย่างเอาไว้ บางครั้งก็ต้องละทิ้งบางอย่างไว้ข้างหลัง เพื่อที่จะผลักดันตัวเราให้ไปต่อในอนาคต
ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะมีความหมายแค่ไหน สุดท้ายเราก็ต้องเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ดี ในแง่ของความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตก็เช่นเดียวกัน
อะไรที่รั้งเราไว้ข้างหลังมักจะทำให้เราไม่สามารถไปต่ออยู่เสมอ การจัดการกับสิ่งที่อยู่ข้างหลังเพื่อผลักตัวเองไปข้างหน้าจึงสำคัญมาก ๆ ต่อชีวิต
ทิ้งสิ่งที่ทำให้เสียเวลา และมาเริ่มทำในสิ่งที่อยากทำมานานแล้ว
หากลองนึกว่ามีอะไรที่ทำให้เรายังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง อะไรที่ทำให้เรายังติดอยู่กับที่ บางทีการที่เราอยากเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเรา
ต้องลองก้าวที่จะออกจาก comfort zone ลองทำอะไรใหม่ ๆ ถ้าอยากเจออะไรที่ดีกว่าเดิม หรือถ้าเราลองแล้วสิ่งนั้นไม่ได้ดีกว่าเดิมถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต
แนวทางการทิ้งไว้ ง่าย ๆ ที่เราทำได้จาก คนโดะ มาริเอะ
1. “ถ้าเราไม่ทิ้งของเก่าเราจะไม่สามารถรับของใหม่มาได้”
บางอย่างที่เคยอยู่กับเรามานาน อะไรที่พาเรามาในวันนี้อาจจะไม่พาเราไปในวันข้างหน้าได้ บางสิ่งบางอย่างเราต้องยอมรับแล้วก็ทำใจว่าสิ่งนั้นมันไม่สามารถอยู่กับเราไปตลอดได้ **อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะไปปรับใช้ยังไง**
2. “สิ่งไหนที่หยิบขึ้นก่อนทิ้ง แล้วทำให้รู้สึกมีความสุขสามารถเก็บได้นะ”
3. “เปลี่ยนจากทิ้งเป็นเก็บให้เข้าที่”
สิ่งของบางอย่างถ้าเราหากล่องมาเก็บไปหมวดทำให้เป็นระเบียบมากขึ้นเราไม่จำเป็นต้องทิ้งก็ได้ จัดลับดับสิ่งสำคัญใช้ได้กับทุกเรื่อง ทั้ง ความสัมพันธ์ สิ่งของ เพราะหากเราจัดลำดับถูก ชีวิตเราจะปล่อยวาง ทิ้งบางอย่างได้ง่ายขึ้น
แนวคิดการจัดบ้านแบบ Kon Mari ชาวญี่ปุ่น
จาก Kon Mari เรียกว่านักจัดบ้าน และนักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้นะคะ เพราะมีหนังสือมากมาย และมีสารคดี มาง NETFLIX ด้วย
1. ทิ้งก่อนทำความสะอาด
หากของเยอะจนเริ่มไม่ถูกว่าจะทำบ้านตรงไหนก่อนดี ของก็เยอะ ที่เก็บของก็ไม่มี ฉะนั้นก็เก็บของที่ไม่ใช้ทิ้งไปก่อน และควรเก็บทิ้ง ทุกๆ 2 เดือน
2. คำนึงถึงความสบายมาก่อนเสมอ
หากลือกทิ้งไม่ได้เพราะของพวกนี้ดูเป็นประโยชน์ไปซะหมด ฉะนั้นควรเลือก เก็บเฉพาะของที่มีประโยชน์เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
3. เก็บความทรงจำไม่จำเป็นต้องเก็บของไว้ก็ได้
ไม่ว่าจะเป็น ตั๋วหนัง ตุ๊กตางานวันรับปริญญา ช่อดอกไม้จากแฟน ๆ ญาติ ๆ แต่หากสิ่งขางเหล่านั้นมีมากจนเกินไป เราสามารถเก็บไว้ในรูปแบบอื่นได้ เช่นการถ่ายภาพเก็บไว้
และสุดท้ายเลย ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอด time change people change คน สิ่งของ ทุกอย่างได้เข้ามาทำความรู้จักเรา และบางอย่างก็ทำให้เรารู้จักถึงการจากลา
เราทุกคนเป็นส่วนผสมของความทรงจำที่มีต่อบางสิ่งบางอย่างในชีวิต การที่เราจะทิ้งหรือเก็บสิ่งใดมันคือการเกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์
สุดท้ายแล้วขอให้ทุกคนเลือกทิ้งสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดและมาเริ่มต้นใหม่กับตัวเรา ยิ้ม มีความสุข เสียงหัวเราะในปี 2023 กันนะคะ 😀