Posts

คำว่า สู้ ๆ ในวันที่รู้สึกอยากได้กำลังใจ เราคงรู้สึกว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราได้ดี ที่อยากจะสู้ต่อแต่ถ้าได้ยินในวันที่เรารู้สึกไม่พร้อม รู้สึกเหนื่อย หรือหมดพลังอาจมีคำถามย้อนกลับมาว่า

 

ให้เราสู้กับอะไร ฉันต้องสู้กับใคร สู้กับสิ่งไหนช่วยบอกได้ไหม. .

คำว่า สู้ ๆ ให้กำลังใจได้จริงหรือเปล่า?

คำว่าสู้ ๆ นะ อาจไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้กับใครหลาย ๆ คน และในขณะเดียวกันอาจส่งผลต่อภาวะทางอารมณ์ของเขา ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าเราไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งที่เขากำลังเผชิญ

 

หรือเข้าใจในมุมมองของเขาจริง ๆ ซึ่งคำบางคำที่เรารู้สึกว่าเป็นการให้กำลังใจเขาในความรู้สึกของเรา คำเหล่านั้นอาจจะไม่ได้เป็นการช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้

 

แต่กลับกลายเป็นการตั้งคำถามกลับมาว่า ให้ฉันสู้กับอะไร ฉันไม่ได้อยากสู้กับอะไรทั้งนั้น 

 

บางครั้งตัวเราเองอาจต้องกลับมาถามตัวเราด้วยว่า ถ้าหากเราได้ยินคำพูดเหล่านั้น เราจะรู้สึกดีขึ้นไหม เพราะกับคนที่เขากำลังมีปัญหา กับคนที่เขากำลังทุกข์ใจ กับคนที่เขากำลังแบกภาระความรู้สึกบางอย่างไว้

 

และกำลังรู้สึกแย่กับชีวิตมาก ๆ คำพูดบางคำเหล่านั้นอาจไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาได้มากเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าจะมาจากความจริงใจของเราเองก็ตาม เขาอาจจะมองว่าเรามองข้ามปัญหาของเขา

 

มองว่าก็เพราะว่าเราไม่ได้มายืนอยู่จุดเดียวกับเขานิ  ไม่ได้มาเข้าใจความรู้สึกของเขาจริง ๆ ว่ามันหนักแค่ไหน มันเหนื่อยยังไงบ้าง 

 

ซึ่งจริง ๆ การที่เราจริงใจและหวังดีที่อยากจะพูดบางอย่างเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเขา อยากให้เขาผ่านเรื่องราวเหล่านั้นไปได้ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ ที่เรามีความรู้สึกแบบนั้น

 

แต่สิ่งที่เราอาจจะลองเริ่มกลับมาทำความเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อน คือ การทำความเข้าใจในการพูดเพื่อสร้างกำลังใจให้กับผู้อื่น เพื่อเป็นการให้กำลังใครสักคนหนึ่ง การช่วยใครสักคนหนึ่ง

 

ถ้าไม่ใช้คำว่า สู้ ๆ ใช้คำพูดไหนถึงไม่ทำร้ายความรู้สึก

ลองดูว่าเราสามารถช่วยอะไรเขาได้บ้าง เราควรใช้คำพูดแบบไหน พูดว่าอะไรเพื่อที่จะไม่ไปกระทบความรู้สึกของเขา. .

 

เริ่มจากการลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเราเองหรือนึกถึงว่าถ้าในวันหนึ่งที่เรากำลังรู้สึกเหนื่อยหรือรู้สึกแย่ 

 

แล้วเราได้ยินประโยคที่ว่า “ เฮ้ย มันเป็นเรื่องแค่นี้เอง ” หรือเรากำลังรู้สึกเศร้า แล้วมีคนพูดกับเราว่า “ เศร้าทำไม เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ” 

 

เราจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าในบางครั้งเรามักคุ้นชิน กับประโยคที่คุ้นหูกันอยู่บ่อยครั้ง แล้วพูดออกไปเพียงเพราะอยากช่วยให้รู้สึกดี เช่น “เราเคยผ่านมันไปได้ เธอก็ต้องผ่านมันไปได้สิ” 

 

“เราอาบน้ำร้อนมาก่อน เราเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก็ไ่ม่เห็นจะยากที่จะผ่านมันไปได้” คำพูดเหล่านี้ คือการเปรียบเทียบจากมุมมองของเราเอง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นจิตใจของเขากำลังย่ำแย่อยู่

 

ซึ่งในภาวะอารมณ์ตอนนั้นของใครหลาย ๆ คนก็อาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับและผ่านมันไปได้ สิ่งที่เราเริ่มจากความหวังดี เราสามารถเริ่มจากการให้กำลังใจเขาได้ด้วยการรับฟังเขาจากความจริงใจ

 

รับฟังเขาอย่างไม่ตัดสิน ไม่เอาความคิดของเราไปตัดสินเขา ไม่เอาเรื่องของเขาไปเปรียบเทียบกับเรื่องของใครเลย หรือเอาเรื่องของเขามาเปรียบเทียบกับตัวเราเองที่เคยผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้

 

การที่เรารับฟังเขาจากมุมมองที่เกิดขึ้นจากตัวเขาจริง ๆ ที่เขากำลังเผชิญกับเรื่องอะไรมาหรือกำลังทุกข์ใจ เพียงแค่นี้ก็สามารถช่วยให้เขาเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาได้ หรือถ้าเราต้องการที่จะพูดสื่อสารอะไรกับเขาสักอย่างหนึ่ง

 

เพื่อให้เขารู้สึกดีและมีกำลังใจ อาจเริ่มต้นจากการถามความรู้สึกของเขา ว่าเขารู้สึกยังไงกับเรื่องราวที่เขาเจอมา มันกระทบกับความรู้สึกของเขามากน้อยแค่ไหน หรือความรู้สึกเศร้าที่มันเกิดขึ้นเกิดขึ้น

 

จากการที่เขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ลองทำความเข้าใจกับความรู้สึกว่าเรื่องเป็นยังไง ข้อเท็จจริงเป็นแบบไหน ทำความเข้าใจอารมณ์ของเขาให้มันมากยิ่งขึ้น

 

เพราะเราเองต้องการให้กำลังใจเขา ต้องการช่วยเหลือเขา เราไม่ได้ต้องการที่จะไปสอบสวนเขา เพราะฉะนั้นการมองข้ามต่ออารมณ์และความรู้สึกของเขาอาจจะทำให้เขารู้สึกแย่กว่าเดิมก็ได้ที่เราเข้าไปอยู่ตรงนั้น 

 

ถ้าเราเริ่มรู้แล้วว่านั่นคือความเศร้ามาก ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วเราเริ่มเจอเหตุผล และเริ่มเข้าใจว่าความเศร้านั้นมีเหตุมารองรับ ให้เราแสดงความเข้าอกเข้าใจเขา อาจพูดกับเขาว่า

 

“เราเข้าใจว่าเรื่องนี้ทำให้เธอเศร้ามาก ซึ่งถ้าเป็นเรา เราก็คงเศร้าไปกับเรื่องนี้เหมือนกัน” หรือ “ถ้าเรามองในมุมมองของเธอ แล้วเราไปยืนอยู่ตรงนั้น เราอาจจะเศร้าได้แบบนี้เหมือนกัน”

 

คำพูดเหล่านี้อาจทำให้เขารู้สึกได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา มันไม่ได้ผิดเลยที่เขาจะเศร้าหรือรู้สึกแย่ที่เขากำลังรู้สึกอะไรแบบนี้

 

แต่หากเขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกให้เรารับรู้ได้เลย เราอาจจะแสดงออกด้วยการอยู่ข้าง ๆ เขา หรือพูดกับเขาว่า “เราอยู่ตรงนี้นะ” 

 

“เราช่วยอะไรได้บ้างได้ไหม” หรือ “โอเคนะ ถ้าจะร้องไห้ในวันที่เรารู้สึกเศร้า” 

คำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำก็สามารถเป็นตัวช่วยหนึ่งได้แล้วที่ทำให้เขาไม่ต้องรู้สึกว่าเขาต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง และเขาอาจรู้สึกได้ว่า การมีเราอยู่ตรงนี้สามารถช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

 

และช่วยให้เขาผ่านเรื่องราวเหล่านั้นไปได้ รู้สึกมีคนเข้าใจเขา และมองเราเป็นพลังบวกที่ดี เพราะถ้าเขาเกิดภาวะความเครียด การมองปัญหาและมองหาทางออกจะค่อย ๆ เล็กลง

 

เวลาที่ใครสักคนต้องตกอยู่ในสภาวะจิตใจย่ำแย่ สิ่งที่ปรากฎออกมาอย่างชัดเจอคือความคิด กลัวการถูกคนอื่นมองว่าแย่ มองว่าไม่เก่งถ้าเราอยากเป็นคนหนึ่งที่ช่วยเขา

 

ลองชวนเขามองจากสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิมให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น พยายามชวนเขามองในแง่มุมต่าง ๆ ของปัญหาแต่ไม่เอาความคิดของเราไปใส่ในความคิดของเขา ไม่ต้องไปบอกว่าเขาต้องทำอะไร

 

เพียงแค่ลองถามเขาว่าสามารถเป็นทางอื่นได้ไหม เป็นคำพูดที่ช่วยให้เขาสะท้อนความคิดออกมา เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยให้เขาสามารถเปิดมุมมองในการให้เขาเผชิญกับปัญหาได้ ช่วยให้เขาเรียนรู้จากความรู้สึก 

 

การที่เราอยากช่วยใครอาจต้องลองมองย้อนกลับมาดูที่ตัวเราด้วย ว่าเราเองก็สามารถทำแบบนั้นได้หรือเปล่า ถ้าเราอยากเป็นพลังบวกที่ดีให้กับคนอื่นได้ เราก็ต้องเป็นพลังบวกที่ดีให้กับตัวเองได้ด้วยเหมือนกัน

 

และความหวังดีของเราไม่ได้มีอะไรที่บอกว่าถูกและผิด เพียงแค่เราคิดอยากเป็นกำลังใจให้กับเขา ก็เป็นการเริ่มต้นด้วยความหวังดีที่ดีมาก เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้เราได้กลั่นกรองความคิดก่อนพูด ด้วยการเลือกคำ

 

เลือกประโยค และตั้งคำถามเพื่อให้สอดคล้องกับเหตุการณ์นั้น

 

อีกหนึ่งเทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถเป็นกำลังให้กับคนอื่นได้ คือ การเป็นผู้รับฟังที่ดี ซึ่งการรับฟังเป็นเรื่องที่ง่าย เพียงแค่ฟังเขาผ่านมุมมองของเขา ฟังเขาอย่างไม่ตัดสิน

 

ฟังเขาอย่างไม่เปรียบเทียบเขากับคนอื่นหรือแม้กระทั่งกับตัวเอง ก็เป็นการช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ในระดับหนึ่ง โดยที่เราอาจจะไม่ต้องเลือกใช้คำพูดอื่นใดอีกต่อไปแล้ว

เวลาที่เราทุกข์ใจ เศร้าใจเราดูเล่าหรือแสดงความรู้สึกนั้นออกมาง่ายจังและที่เรามีความรู้สึกแบบนี้เราเป็นคนที่ชอบเสพติดความเศร้าหรือเปล่า หรือเราคือนัก สะสมความเศร้า ไหม?

 

ทำไมคนเราถึงชอบจดจำเรื่องที่ทำให้เราเป็นทุกข์มากกว่าเรื่องที่ทำให้เรามีความสุข เวลาเราจะเล่าเรื่องที่ตัวเองมีความสุขให้คนอื่นฟังมันดูยากจังเลย ดูแบบคิดนานว่า เราจะเล่าโมเม้นที่เรามีความสุขในช่วงไหนดี?

 

ภาวะ Chronically Unhappy หรือ ภาวะ สะสมความเศร้า

ค่อนข้างร้ายแรงพอ ๆ กับภาวะซึมเศร้าเลย ส่งผลทั้งด้านร่างกายที่ทำให้หลับได้ไม่สนิท เหนื่อยล้า และมีงานิจัยว่าคนที่ประสบในภาวะนี้จะทำให้อายุขับของเราหายไปหลายปีด้วย

 

ถ้าเราตกอยู่ในภาวะนี้เราก็ไม่ควรที่จะปกปิดมัน ทุก ๆ อารมณ์ล้วนมีสาเหตุมีเหตุผลที่มันเกิดขึ้น เมื่อเราจับหาสาเหตุได้เราก็จะหาวิธีจัดการกับมันได้เช่นกัน

 

Chronically Unhappy หรือ ภาวะสะสมความเศร้า คือ เราจะชอบเสพติดความทุกข์แบบเรื้อรัง อาจจะวิธีการมองโลกในแง่ร้ายและปล่อยให้ความรู้สึกเศร้า ผิดหวัง เสียใจเข้ามาหาตัวเองซ้ำ ๆ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้ว

 

แต่ก็ยังจะพยายามพาตัวเองกลับไปหาเรื่องเดิมซ้ำ อันนี้นึกถึงเพลง เคลิ้ม ของ Slot machine ท่อนที่บอกว่า หัวใจดวงนี้ไม่หลาบจำเหมือนเดิมซ้ำๆแล้วสะใจ ถ้าอธิบายให้เห็นภาพของ Chronically Unhappy ง่าย ๆ 

 

เหมือนการที่เราชอบเก็บสะสมโมเดล ฟิกเกอร์ที่เป็นความเศร้าไว้ ในที่นี้เราอาจจะแทนเป็น อียอร์ จากเรื่อง Winnie and the Pooh เราสะสมมันทุกวัน ๆ จนถึงวันนึงมันเต็มตู้ไปหมด

 

แต่เราก็ไม่หยุดสะสม ซื้อเพิ่มจนกลายเป็นตู้ที่ 2 3 4 แล้ววันนึงความเศร้านี้ก็ล้อมรอบตัวเราไปหมดเลย มองไปทางไหนก็หาความสุขไม่เจอ

สาเหตุ

1. เกิดจากการสูญเสียความภูมิใจในตัวเองหรือมี low self esteem ค่อนข้างต่ำ

 

2. ปมในใจ อาจจะเคยเกิดการกระทบจิตใจที่รุนแรง

 

3. การเลี้ยงดูปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก

 

ความสุขสำคัญอย่างไร

ถึงแม้ว่าจะมีหลายอย่างที่สำคัญมาก ๆ ในชีวิตเรา เช่น เงิน ที่อยู่ คนรัก แต่เชื่อไหมว่าความสุขคือสิ่งที่ทุกคนก็ยังต้องการไม่แพ้สิ่งเหล่านั้นเลย

 

เพราะการที่เราขาดความสุขไปก็เหมือนที่ชีวิตเราขาดเว้า ๆ แหว่ง ๆ เหมือนไม่ถูกเติมเต็ม ความสุขเป็นอะไรที่พบเจอได้ในรูปแบบที่แตกต่างมากมาย

 

จนมันยากที่จะนิยามมันได้แต่กลับกันเลย ความทุกข์มันเป็นความรู้ที่ระบุได้ง่าย เราจะรู้ได้ทันทีเมื่อพบกับความทุกข์และมันกำลังครอบงำเราอยู่

 

และความทุกข์เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรปล่อยให้อยู่กับเรานานเกินไปเพราะมันส่งผลที่ไม่ได้ต่อสุขภาพจิต

 

 

5 สัญญาณเตือน ภาวะ Chronically Unhappy

1. โฟกัสที่จะได้รับสิ่งอะไรที่ใหม่ ๆ ตลอดเวลา เช่น พวกวัตถุ สิ่งของ

แน่นอนว่าทุกคนชอบซื้ออะไรใหม่ ๆ ของใหม่ โทรศัพท์ใหม่แต่การที่เราโฟกัสวัตถุมากกว่าสังคมรอบตัว ไม่มีประสบการณ์ใหม่หรือสร้างสายสัมพันธ์ใหม่กับผู้คน

 

แสดงว่าอาจกำลังมองหาความสุขและความพึงพอใจผ่านผลประโยชน์ทางวัตถุ มากกว่าที่จะมาจากสังคมหรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 

 

2. เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา 

สัญชาตญาณความเป็นมนุษย์คงลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เรามักจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา แต่การเปรียบเทียบคนอื่นมันก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเลยเกิดเป็นความทุกข์ใจที่เราอยากมี อยากเป็นได้แบบคนอื่น 

 

3. คาดหวังว่าอนาคตจะได้สัมผัสกับความสุข

การรอ การคาดหวัง ว่าในอนาคตของเราจะมีความสุขไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือไม่ดีเลย แต่บางครั้งการชื่นชมสิ่งดี ๆ ในชีวิตตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก และคิดว่ามันยังคงสำคัญ

 

ในปัจจุบันการใช้ชีวิตก็ยังมีมีบางสิ่งที่รู้สึกขอบคุณได้เสมอ เช่น สิ่งเล็กน้อยรอบตัว ของเล็ก ๆ น้อย ๆ น้ำใจที่เราได้รับในแต่ละวันจากครอบครัวบ้าง จากคนที่เราสนิท หรือความสุขของการเป็นผู้ให้

 

หากรออนาคตเพื่อให้ตัวเองมีความสุข แสดงว่าเรากำลังพลาดช่วงเวลาในปัจจุบันที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของเรา

 

4. หัวข้อการสนทนาส่วนใหญ่จะเป็นการซุบซิบนินทา

หลายคนที่ไม่มีความสุขกับตัวเองจะพบกับความไม่มั่นคงและขาดความนับถือตัวเอง มีการนับถือตัวเองที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้น การเปลี่ยนการบทสนทนามุ่งไปที่คนอื่นจึงเป็นกลไกในการป้องกัน

 

การพูดถึงคนอื่นก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี เพราะการนินทาไม่ใช่เรื่องน่าดึงดูดจากใครเลย รวมทั้งการนินทาผู้คนอื่นเท่ากับการปล่อยให้คนอื่น “เข้ามา” ในโลกของเรามากขึ้น

 

5. ไม่ให้อภัยตัวเอง

เราทุกคนทำผิดพลาด แม้แต่คนที่ดีที่สุดก็ยังทำผิดพลาดได้ หากต้องการการให้อภัย การเก็บความรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองอย่างไม่สิ้นสุดไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้เราเป็นคนที่มีความสุขขึ้น

 

แต่มันจะทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง และไม่ภูมิใจในตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองก็จะลดลงเรื่อย ๆ 

 

 

นัก สะสมความเศร้า หรือ ซึมเศร้า

นักสะสมความเศร้า กับ ซึมเศร้ามันแยกกันได้ยาก ซึมเศร้ามีได้หลายอาการโดยเริ่มจากอาการเพียงอย่างเดียว กลายเป็นหลาย ๆ อาการ จนถึงดิ่งสุดจนกลายเป็นอารมณ์สองขั้วเลยก็ได้

 

อยากให้ทุกคนได้ลองมารีเชคตัวเองว่ากำลังมีความรู้สึกหรือเปล่า . .

 

1. นักกังวล

ในชีวิตจริงจะมีทั้งคนที่ชอบเราและคนที่ไม่ชอบเราอยู่แล้ว เราต้องยึดมั่นและโฟกัสแค่คนที่คิดดีกับเรา หรือถ้าเราข้องใจว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบเรานะ

 

ลองนึกว่าเราเคยไปทำนิสัยไม่ดีใส่เขาหรือเปล่า แต่ถ้าเราลองนึกหรือลองพูดคุยกับเขาแล้วแต่เราไม่ได้ผิดเราปล่อยพวกเขาไปและโฟกัสแต่คนที่ชอบเราคนที่หวังดีกับเราก็พอ

 

2. นักวิจารณ์

คนที่เป็นนักสะสมความเศร้ามักจะไม่ชอบตัวเอง และจะชอบฟังที่คนอื่นวิจารณ์เกี่ยวกับตัวเอง วิจารณ์ถึงหน้าตา รูปร่าง สะสม ๆ ไปเรื่อย ๆ

 

จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของพวกเขาไปแบบไม่รู้ตัวที่ต้องพึ่งคำวิจารณ์ของคนอื่นจนไม่ได้ฟังเสียงของตัวเอง

 

3. นักคิดลบ

เป็นคนคิดลบ และมักจะมีคำพูดลบ ๆ ที่ออกมาแบบรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง จนทำให้คนอื่นที่ได้ฟัง คนรอบตัวรู้สึกแย่ไปด้วย เราอาจจะแก้ได้โดยการที่เราลองหยุดก่อน

 

ฟังให้มากขึ้น และค่อย ๆ เรียบเรียงการที่เราจะสนทนาออกมาให้ดีกว่านี้ ไตร่ตรองกว่านี้ 

 

4. นักแค้น

ไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้อภัย แค่ปล่อยมือจากคนที่ทำร้ายคุณและลงทุนมากขึ้นในชีวิตของเราเอง ลงทุนให้กับคนสำคัญในชีวิตเราและโฟกัสกับปัจจุบันมากกว่าอดีต

 

5. นักจดจ่อ

ผู้คนกำลังคิดถึงเราน้อยกว่าที่เราคิดเพียงเพราะพวกเขาสนใจในตัวเองมากกว่า การรักษาที่ดีที่สุดคือการก้าวออกจากการจดจ่อตัวเองและทำสิ่งที่ดีเพื่อตัวเองและคนอื่น

 

จากนั้นปล่อยให้ตัวเองหมกมุ่นอยู่กับความปรารถนาดีที่เราสร้างขึ้นและความสุขที่มันนำมาให้เรา

 

 

ชอบฟังเพลงเศร้า=เป็นนักสะสมความเศร้าไหม?

ถ้าเราฟังเพลงเศร้าเพื่อตอกย้ำให้ตัวเองนึกถึงวันที่เจ็บปวดก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนได้ว่าเราเป็น แต่ถ้าเราชอบฟังเพลงเศร้าเพราะชอบทำนอง เนื้อร้อง ชอบอิโมชันนอลก็ไม่เป็นไร เป็นรสนิยม

 

ทำอย่างไรดี?

1. รักตัวเอง

พยายามรักตัวเอง เข้าใจว่าเราต้องเจอสิ่งที่ทำให้ผิดหวังและเราจะผ่านมันไปได้ ไม่ต้องไปมองหาคุณค่าหรือทรัพย์สินที่ดีจากที่อื่น เพราะจริงๆเเล้วทรัพย์สินที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง เราต้องมองเห็นคุณค่าในตัวเองก่อน

 

2. พาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี

พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางผู้คนดีๆ ที่คอยให้กำลังใจเรา

 

3. มองหาความสุข

ขอบคุณในสิ่งที่เรามี ณ ปัจจุบัน

 

4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

หากรู้สึกว่ามันกระทบชีวิตก็ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการหาแนวทางต่อไป 

 

ความผิดหวังเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลาของเรา แต่ไม่เป็นไรเลย มันคือสิ่งที่จะช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป สำคัญคือไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับมันนานเกินไปและไม่ปล่อยให้ความผิดหวังนั้นกัดกินเรา

 

จนกลายเป็นคนที่เสพติดความทุกข์หรือเป็นนักสะสมความทุกข์เลยนะคะ  Turn your expectations into appreciation

 

 

อ้างอิง :

 

5 สัญญาณเตือน ภาวะ Chronically Unhappy  

 

นักสะสมความเศร้า หรือ ซึมเศร้า

 

 

ประเทศไทยของเรากำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุ เต็มรูปแบบ บทบาทของลูกหลานเมื่อต้องดูแลผู้สูงอายุ ควรรับมืออย่างไร?

 

 

“ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก้ดัดยาก” ไม่ว่าจะแม่หรือพ่อพวกท่านมักจะมีคำยึดมั่นในประสบการณ์ต่าง ๆ ของพวกเขา พวกเขาจะคอยพูดดักเกือบทุกอย่างที่เราทำ รวมถึงการที่ไม่เชื่อฟังเราด้วยเช่นกัน

เหตุผลว่าทำไม ผู้สูงอายุ เอาแต่ใจตัวเอง?

บางเหตุผลก็อาจจะไม่ได้ตรงกับทุกสถานการณ์ แนะนำให้ ‘ลองสังเกต’ เพื่อดูว่าปัจจัยไหนเป็นสาเหตุหลักกัน 

1. สภาพร่างกายที่แก่ลงทำให้ขาดความมั่นใจ

เมื่อทุกคนต้องอายุเยอะมากขึ้น ทำให้มีร่างกายที่เสื่อมสภาพลงรูปแบบการใช้ชีวิตก็แตกต่างไปจากเดิม ทำอะไรเชื่องช้าลง คิดช้าลง บางทีก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจในการเปลี่ยนแปลงและขาดความมั่นใจ

 

จากที่เคยทำได้ พอทำอะไรไม่ได้บ่อย ๆ ก็ส่งผลให้จิตใจหงุดหงิด นาน ๆ เข้าจากที่โมโหตัวเอง ก็กลายเป็นโมโหคนอื่น

2. วิตกกังวลจนเกินกว่าเหตุ

อายุเยอะขึ้นก็อยากจะอยู่กับลูกหลาน อยากใกล้ชิด แต่ลูกหลานก็มีบทบาท หน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ จึงทำให้เกิดมีความกังวลว่าจะถูกทอดทิ้ง กลัวไม่ได้รับความรักจากลูกหลาน มีอารมณ์น้อยใจเกิดขึ้น

3. ความเหงาทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัว

ความเหงาที่อยู่บ้านคนเดียวบ่อย ๆ ทำกิจกรรมอะไรคนเดียวตอนที่คนในบ้านไปทำงานทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัย มีความห่างเหินกันในครอบครัวพอความรู้สึกนี้ก่อตัวนาน ๆ เข้าทำให้เกิดเป็นความอ้างว้าง โดดเดี่ยว

4. ความคิด ความจำ

ผู้สูงอายุบางคนอาจจะคิดได้ช้า และจำได้น้อยลง หลง ๆ ลืม ๆ อาการเหล่านี้จะคอยรบกวนให้เกิดปัญหาไม่เข้าใจกันระหว่างคนในครอบครัวได้ง่าย หลงลืมว่าทำไปแล้ว พูดไปแล้ว ทำให้เกิดการคิดซ้ำ ๆ พูดซ้ำ ๆ

5. สภาพจิตใจ

การเชื่อว่าลูกหลานไม่รัก ไม่เคารพนับถือ อยากเป็นคนสำคัญ หรือเชื่อว่าคนในครอบครัวไม่เชื่อฟังตนเอง ทำให้เกิดความน้อยใจ เก็บตัว หรือกลายเป็นคนแก่ขี้หงุดหงิด และดื้อรั้นไปโดยไม่รู้ตัว

 

ควรรับมือกับ ผู้สูงอายุ อย่างไร?

ถ้าเราสังเกตผู้สูงอายุที่บ้านเราว่าสาเหตุที่ทำให้เขาเกิดความดื้อคืออะไร เราต้องแก้จากจุดนั้น ซึ่งในทางจิตวิทยา ได้แนะนำว่า

1. เอาใจเขามาใส่ใจเราลองกลับกันว่าตอนที่เรายังเป็นเด็กเราก็เคยโวยวาย ร้องไห้ ตอนไม่ได้ของเล่น ไม่ได้ดั่งใจ และถามพ่อกับแม่บ่อย ๆ ตอนที่เราสงสัย

 

มองมุมกลับกันว่าตอนนี้เราต้องทำหน้าที่นั้นหน้าที่ที่ต้องทำความเข้าใจกับพวกเขา

 

2. หมั่นทำกิจกรรมกับพวกเขาให้พวกเขารู้สึกว่าไม่เกิดระยะห่างกับเรา ระยะห่างกับครอบครัว อาจจะเป็นกิจกรรมเล็ก ๆ เช่น การดูทีวีด้วยกัน

 

3. สนับสนุนงานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเขา เช่น พ่อสนใจเรื่องการปลูกต้นไม้ เขาก็จะพูดเรื่อยปุ๋ย เรื่องพันธ์ุไม้บ่อย ๆ เราก็ให้ความสนใจและชวนเขาคุยแค่เท่านั้นเขาก็รู้สึกอารมณ์ดีแล้ว

 

4. คอยถามเรื่องสุขภาพเขาถามแบบไม่ต้องดุพวกเขา ถามว่าเป็นยังไงบ้างรีเชคให้เขารู้สึกว่าเขาคุยกับเพื่อน ทำให้เขาอุ่นใจ

 

ซึมเศร้าใน ผู้สูงอายุ

จากการศึกษาพบว่าความสำเร็จในการฆ่าตัวตายของผู้สูงวัยที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามีมากกว่าผู้ป่วยในวัยอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป

 

พบได้มากถึง 10 – 20 พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และยิ่งมีอายุมาก ความเสี่ยงยิ่งเพิ่มมากขึ้

 

ข้อสังเกตเมื่อผู้สูงวัยมีภาวะซึมเศร้า

1.กินอาหารได้น้อยลง หรือกินมากเกินไป

 

2.นอนไม่ค่อยหลับ หรือนอนเยอะผิดปกติ

 

3.อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง

 

4.ความสนใจในเรื่องต่าง ๆ ลดลง เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไรเลย

 

5.สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า และมักจะโทษตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

 

6.มองโลกให้แง่ร้าย ไม่เป็นมิตรกับใคร ขาดการเข้าสังคม

 

7.มีพฤติกรรมรุนแรง อารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย บางครั้งก็มีอารมณ์เศร้า หดหู่ ไปจนถึงการไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ

 

วิธีการแก้ไข

1. การรักษาทางจิตใจ

การรักษาด้วยวิธีนี้ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้สูงอายุ โดยการให้ผู้ป่วยเข้าพบจิตแพทย์เพื่อพูดคุยให้คำปรึกษา ทำจิตบำบัด ปรับวิธีการคิด และปรับทัศนคติในทางลบให้ดีขึ้น

 

ซึ่งวิธีจะช่วยให้ผู้สูงอายุ เปลี่ยนมุมมอง และเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาได้ดีมากยิ่งขึ้น

2.การรักษาโดยการใช้ยา

การรักษาด้วยวิธีนี้ จะทำให้ผู้สูงอายุอาการดีขึ้นเร็ว แต่ก็อาจจะส่งผลข้างเคียงด้านอื่น ๆ ซึ่งยารักษาโรคซึมเศร้า จะมีหลายกลุ่ม ทั้งนี้การใช้ยาจะต้องได้รับการแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง

 

ไม่ควรซื้อจากร้านขายยาหรือจากคำแนะนำของผู้อื่น เพราะตัวยานั้น อาจจะไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้สูงอายุ และอาจจะทำให้ได้รับอันตรายจากการใช้ยาได้

หลัก 5 สุขในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ 

น.ต.นพ. บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้วางแนวทางสำหรับยุค 4.0 เพื่อให้ผู้สูงอายุไทย สามารถสร้างความสุข ความพึงพอใจในชีวิตให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน

 

ด้วยการยอมรับ และปรับตัวให้ได้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใช้ชีวิตอยู่อย่างพอดี และมีคุณค่า ยึดหลัก 5 สุขในการดำเนินชีวิต ได้แก่

 

1. สุขสบาย : ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง คล่องแคล่ว ตามสภาพ ไม่ใช้สารเสพติด

 

2. สุขสนุก : ทำกิจกรรมที่ทำให้จิตใจสดชื่น แจ่มใส ลดความซึมเศร้า ความเครียด และความกังวล

 

3. สุขสง่า : มีความพึงพอใจในชีวิต ภาคภูมิใจ และเห็นคุณค่าในตนเอง มีความเห็นอกเห็นใจ และช่วยเหลือผู้อื่น

 

4. สุขสว่าง : คิดและสื่อสารอย่างมีเหตุผล สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

5. สุขสงบ : รับรู้ เข้าใจความรู้สึกของตนเอง รู้จักควบคุม และจัดการกับสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้น สามารถผ่อนคลาย และปรับตัวยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามความเป็นจริง

 

 

อ้างอิง :

 

ทำไม ผู้สูงอายุ เอาแต่ใจตัวเอง 

ซึมเศร้าในผู้สูงอายุ 

หลัก 5 สุขในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ 

ความกลัวหรือความวิตกกังวลอย่างรุนแรงเป็นระยะเวลาหนึ่งอย่างฉับพลัน ที่เกิดขึ้นเมื่อเข้าใจว่ามีภัยคุกคาม อาจเป็นอาการ ที่เรียกได้ว่า แพนิค

 

ซึ่งบทความนี้ไม่ได้กล่าวถึงเชิงลึกเกี่ยวกับตัวโรค แต่เป็นการอธิบายถึงในเชิงของภาวะแพนิค หรือ อาการแพนิค ภาวะตื่นตระหนกต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่มีเหตุผล 

 

อาการ แพนิค

ผู้ที่มี “อาการแพนิค” (Panic attacks) ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นโรคแพนิค (Panic disorder) เสมอไป หากมีอาการแพนิคเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ได้เกิดผลอะไรตามมาก็ไม่นับว่าเป็นโรคแพนิค

 

เช่น เครื่องบินสั่นมากตอนเจอสภาพอากาศที่ไม่ดี แล้วเกิดอาการขึ้นมา) เพราะในโรคแพนิคนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการกำเริบซ้ำหลายครั้ง จนเกิดความกังวลว่าจะมีอาการนี้ขึ้นมาอีก กลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจ

 

กลัวว่าจะเสียชีวิต กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวว่าจะเป็นบ้า และอาจส่งผลทำให้ต้องเลี่ยงสถานการณ์บางอย่าง เช่น ไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าขับรถ เป็นต้น 

 

กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้ป่วยจะมีอาการกำเริบซ้ำ ๆ ประกอบกับมีความกลัวต่อเนื่องซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จึงจะถือว่าเป็นโรคแพนิค (Panic disorder)

 

อาการ แพนิค เป็นอย่างไร ?

1. ใจสั่น ใจเต้นแรง แน่นหน้าอd

 

2. เหงื่อออกมาก หนาว ๆ ร้อนๆ

 

3. หายใจถี่ หายใจตื้น หายใจไม่อิ่ม

 

4. วิงเวียน โคลงเคลง รู้สึกตัวลอย คล้ายจะเป็นลม

 

5. รู้สึกกลัวไปหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะกลัวตาย

 

6. ควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกอยู่คนเดียวไม่ได้

 

อาการ แพนิค ใกล้ตัวหรือไม่ ? 

เรามักจะเห็นได้ว่ามีดารา นักร้อง นักแสดงที่มีอาการแพนิคกันเยอะมาก เช่น วู้ดดี้, โอ๊ต ปราโมทย์,แต้ว ณฐพร,ออม สุชา หรือศิลปินระดับโลกก็มีอีกเยอะมากมาย ซึ่งเรามองว่าอาการแพนิคเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก ๆ

 

เพราะอาการแพนิคเริ่มมาจากความวิตกกังวล ความกลัว ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเวลา ทุกสถานการณ์

อาการกรดไหลย้อน อาการแพนิค สามารถส่งถึงกันได้

โรคทั้งสองนั้น เหมือนกันแทบจะทุกอย่าง ได้แก่ มีอาการใจสั่น ใจเต้นแรง หายใจไม่อิ่ม หายใจขัด เจ็บหน้าอก ไม่มีแรง หน้ามืด หวิว ๆ คล้ายจะเป็นลม ปวดท้อง วิงเวียน ท้องไส้ปั่นป่วน

 

ทำให้โรคกรดไหลย้อนและโรคแพนิคมีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากกรดไหลย้อนก่อให้เกิดโรคแพนิค และโรคแพนิคก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อน

 

ส่วนอาการของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนที่พบมาก ได้แก่ ท้องอืด จุกแน่นและแสบร้อนบริเวณกลางอก จุกในลำคอเหมือนมีอะไรมาขวางคออยู่ ทำให้กินอาหารได้น้อย น้ำหนักลด เบื่ออาหาร กินยาไม่หาย นอนไม่หลับ

 

หาทางรักษาให้หายขาดไม่ได้ ก็เริ่มวิตกกังวล นาน ๆ เข้าก็มีภาวะเครียดสะสม ท้ายที่สุดก็กลายเป็นโรคแพนิค 

 

และในขณะเดียวกัน ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพนิค มักเริ่มจากการทำงานหนัก เรียนหนัก ต้องเลี้ยงดูลูก มีภาระหน้าที่มากจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เริ่มมีภาวะความเครียดสะสม

 

ส่งผลให้สมองหลั่งสารฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมา ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ กระเพาะอาหารทำงานแปรปรวน จนทำให้เกิดเป็นโรคกระเพาะและเป็นกรดไหลย้อนในที่สุด

 

ประสบการณ์ของคนใกล้ตัวคนหนึ่งที่เป็นกรดไหลย้อน 

เริ่มแรกคือการเป็นกรดไหลย้อนที่รุนแรง เริ่มแน่นหน้าอก จุกเสียด หายใจลำบาก เหมือนมีลมติดอยู่กลางหน้าอกและเริ่มมีอาการอึดอัด อยากจะขับลมออกจากร่างกาย ต้องการจะเอาตัวรอด

 

ต้องการจะหายใจ ก็ได้แต่พยายามหายใจให้มากขึ้น จนทำให้หัวใจเต้นเร็ว และกลายเป็นความรู้สึกตระหนกกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็น จนเกิดเป็นอาการแพนิคขึ้น

 

พอรู้ตัวสิ่งที่ทำในตอนนั้นคือ ค่อย ๆ ลุกไปเดิน จิบน้ำอยู่เรื่อย ๆ จนอาการค่อย ๆ ดีขึ้นได้เอง

 

หากมีอาการ แพนิค รักษาอย่างไรดี?

อาการแพนิคไม่ได้เป็นอาการที่ร้ายแรง หรือทำให้มีอันตรายถึงชีวิต แต่ทำให้เกิดความกังวลกับผู้ที่เป็น และต้องรักษาหากมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

 

วิธีการดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการ แพนิค

การฝึกรักษาทางใจ เป็นการทำจิตใจบำบัดประเภทปรับความคิดและพฤติกรรม ซึ่งมีหลายวิธี ยกตัวอย่าง เช่น

 

1. ฝึกหายใจในผู้ป่วยที่มีอาการหายใจไม่อิ่ม หายใจเข้า – ออกลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการ โดยหายใจเข้าให้ท้องป่องและหายใจออกให้ท้องยุบในจังหวะที่ช้า ซึ่งจะทำให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัว

 

หลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มผ่อนคลายและอาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเอง

 

2. รู้เท่าทันอารมณ์ของตน ตั้งสติ บอกกับตัวเองว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องชั่วคราว สามารถหายได้และไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต

 

3. การฝึกการคลายกล้ามเนื้อในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศรีษะ หรือปวดตึงกล้ามเนื้อ

 

4. การฝึกสมาธิ

 

5. การฝึกคิดในทางบวก

 

หากอาการแพนิคของเราเริ่มส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน อาจต้องพิจารณาและสังเกตตัวเองให้มากยิ่งขึ้น เพื่อประเมินตนเองว่าเราสามารถรับมือกับอาการแพนิคได้ด้วยตนเองมากน้อยแค่ไหน

 

หากเราไม่สามารถรับมือได้ด้วยตนเอง อาจต้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง หรือหาเวลาไปพบผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

 

อ้างอิง :

 

อาการแพนิค 

 

อาการกรดไหลย้อน แพนิค ส่งต่อกันได้ 

 

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการแพนิค 

“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น คิดไปเองหรือเปล่า”

“เพราะเธอคิดเล็กคิดน้อย เราถึงทะเลาะกัน”

“เรื่องจะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าเธอไม่…”

“ที่ฉันต้องพูดโกหก เพราะเธอนั่นแหละ”

 

เคยรู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกสับสนหรือเปล่า? ถูกปั่นให้เป็นคนผิด เมื่อ Gaslighting เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ 

 

1. Gaslighting คืออะไร

สารบัญ

ทำความรู้จักกับ “Gaslighing” การปั่นหัวให้รู้สึกผิด

Gaslighting คือ การปั่นหัวให้อีกฝ่ายในความสัมพันธ์สับสนกับการรับรู้และความเป็นจริง เพื่อให้สามารถควบคุมบงการอีกฝ่ายได้

 

เป็นการอธิบายความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว คนรัก เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือ หัวหน้าลูกน้อง ที่ใช้ความรุนแรงทางด้านจิตใจหรือการบงการทางจิตใจ 

 

จุดประสงค์ของการ Gaslighting คือ อยากควบคุม จึงทำเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่า เหนือกว่า มีอำนาจมากกว่า…

 

Gaslighing แตกต่างจากการควบคุมบงการทั่วไปอย่างไร?

Gaslighting จะแตกต่างจากการควบคุมบงการทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น การควบคุมบงการทั่วไป มีการโกหกเหมือนกัน ซึ่งจะมีเหตุผลบางอย่าง เช่น เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เพื่อประจบประแจง เป็นต้น

 

แต่สำหรับ Gaslighter ที่เป็นจอมปั่นหัว การโกหกนั้นจะไม่ได้มีเหตุผลอะไร แต่เขาทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ตัวเองรู้สึกถึงอำนาจที่มากกว่าเพื่อที่จะควบคุมอีกฝ่าย

 

ภาพยนตร์ Gas Light ที่มาของคำว่า Gaslighting

คำว่า Gaslighting มาจากบทละครเรื่อง Gas Light โดยแพทริค แฮมิลตัน ถูกทำเป็นหนังในปี ค.ศ. 1944 ในหนังจะพูดถึงสามีที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์ เขาอยากได้สมบัติของภรรยา จึงพยายามทำให้เธอเสียสติ

 

เพื่อจะได้ขโมยของมีค่าที่ครอบครัวของเธอได้ซ่อนไว้ สิ่งที่เขาทำคือการหรี่ไฟตะเกียงแก๊ซในบ้านทำให้มันกระพริบจนภรรยาสงสัยและถามสามีว่าตะเกียงมันมืดลงหรือเปล่า 

 

แต่สามีได้ปฏิเสธและบอกกับภรรยาว่าเธอคิดไปเอง สามีค่อย ๆ ทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ จนภรรยาเกิดความสับสนและเสียสติไปจริง ๆ 

 

“Gaslighter” จอมปั่นหัว คนร้ายในความสัมพันธ์

Gaslighting คือ “จอมปั่นหัว”  เขาจะรู้ว่าการสร้างความสับสนจะทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอลง เลยมีพฤติกรรมที่ชอบปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้พูดหรือทำบางอย่าง แม้จะมีหลักฐานยืนยัน

 

“Gaslighting Victim” เหยื่อในความสัมพันธ์

Gaslighting victim คือ ผู้ถูกกระทำ เป็นคนที่ถูกหลอก ถูกบงการ เหยื่อจะเป็นฝ่ายที่หลงเชื่อจะถูกหลอกจนเกิดความสับสนได้ ต้องมีความไว้ใจฝ่ายที่บงการในระดับหนึ่ง 

 

คนที่ถูก Gaslight จะมีอาการสงสัยในตัวเองหรือมีปัญหาในการตัดสินใจ  พอรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองจะเริ่มคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด ไม่มีความสุข ทุกข์ทรมาน

 

 

 

 

2. รู้จักกับ 4 รูปแบบของการปั่นหัว (Gaslighting) 

Gaslighting ในความสัมพันธ์มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นวิธีบงการอย่างหนึ่ง โดยการทำให้อีกฝ่ายสับสนกับ ความเป็นจริง ความจำ หรือ การรับรู้ ของตัวเอง เช่น

โกหกหลอกหลวง “The Straight Up Lie”

เพื่อซ่อนการกระทำที่ผิดของตัวเอง เช่น โกหกไม่ให้รู้ความจริงว่า เขาไปไหนทำอะไรกับใคร 

‘ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น คิดไปเองหรือเปล่า’ 

 

กล่าวหาโยนความผิด “Scapegoating”

ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นแพะรับบาป เช่น เพราะเธอคิดมาก พวกเราถึงต้องทะเลาะกัน

‘เพราะเธอคิดเล็กคิดน้อย เราถึงทะเลาะกัน’ 

 

บีบบีงคับขู่เข็ญ “Coercion”

มีหลายแบบ เช่น การให้ความรักความอบอุ่น เพื่อให้อีกฝ่ายยอมเชื่อ , การใช้ความรุนแรง บีบบังคับโดยตรง 

 

โน้มน้าวให้สับสนกับความจริง “Reality Manipulation”

ทำให้สับสนกับการรับรู้และความทรงจำของตัวเอง เช่น บอกว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เธอจำผิดแล้ว

 

 

 

3.คุณจะเจอ Gaslighting ในความสัมพันธ์แบบไหนบ้าง?

เมื่อคุณทำความเข้าใจในความหมายของ Gaslighting และรูปแบบของ Gaslighting แล้ว คุณคงกำลังเริ่มสงสัยว่าตอนนี้คุณกำลังตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่คนรอบตัวไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน แฟน และแม้กระทั่งตัวคุณเอง กำลัง Gaslight คุณอยู่หรือเปล่า

จอมปั่นหัวที่มาในรูปแบบคนในครอบครัว

คุณถูก “บงการ” โดยครอบครัวอยู่หรือเปล่า?

ความรักของครอบครัวคือความรักที่บริสุทธิ์ไร้เงื่อนไขใด ๆ แต่หากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงคำที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับคุณ กลับกันคุณรู้สึกเหมือนครอบครัวกำลังสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ ในการที่คุณจะตัดสินใจ ไม่ว่าจะเรื่อง การเรียน การงาน รวมถึงการใช้ชีวิต 

จอมปั่นหัวที่มาในรูปแบบเพื่อนร่วมงาน

โดน “ปั่นหัว” ในที่ทำงาน ทำเท่าไหร่ก็ไม่ถูกใจเสียที

เคยรู้สึกว่างานถูกต้องแต่ยังดีไม่พอไหม? เสนองานไปเท่าไหร่ทั้งหัวหน้า เพื่อนร่วมงานก็มองว่าไม่ดีพอสักที  จนเกิดความรู้สึกว่าคุณยังดีไม่พอไม่เหมาะกับงานที่ทำอยู่ความมั่นใจที่มีเริ่มลดหายไปทุกที การโดน Gaslighting สามารถทำให้เกิดการ Burnout ในที่ทำงานได้เหมือนกัน

จอมปั่นหัวที่มาในรูปแบบเพื่อน

รู้สึกแปลกแยกจากเพื่อน เป็นเพราะตัวเองหรือเพื่อนกำลัง Gaslight ทำไมเวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อนแล้วรู้สึกหวาดระแวง กลัวทำอะไรไม่ถูกใจเพื่อนตลอดเวลา เป็นเพราะคุณเองดีไม่พอ หรือคุณกำลังโดนพฤติกรรม ปั่นหัว จากเพื่อนของคุณ

จอมปั่นหัวที่มาในรูปแบบคนรัก

เมื่อเเฟนทำให้คุณรู้สึกเป็น “เหยื่อ” ในความสัมพันธ์ จับได้ว่าแฟนโกหก แต่โดนโบ้ยว่าเป็นเพราะคุณแฟนถึงโกหก, ไม่มีอะไรสักหน่อย อย่าคิดมากเลยทั้งๆ ที่รู้ความจริงอยู่แล้ว หากคุณกำลังโดนกระทำแบบนี้แปลว่าความสัมพันธ์ในรูปแบบแฟนกำลัง Gaslighting คุณอยู่

เมื่อเรากำลัง “Self-Gaslighting”

คือ การทำให้ตัวเองสับสน ส่วนมากจะอยู่ในรูปแบบของการเก็บกดความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ทางลบ  เช่น มีปัญหาบางอย่างที่ทำให้เครียด แต่บอกตัวเองว่า ‘เพราะฉันอ่อนไหวเกินไป’ 

จนรู้สึกสับสนในความรู้สึกตัวเองต่อสิ่งที่ต้องเจอ จากที่เคยมั่นใจในตัวเองแต่ในวันนี้ไม่เหมือนเดิม มีความคิดว่าบางเรื่องที่กำลังเจอเป็นเพราะตัวของคุณเอง

 

 

4.สาเหตุที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์แบบ Gaslighting

จุดเริ่มต้นของการเป็น “จอมปั่นหัว”

ทำไมบางคนถึงยอมตกเป็น “เหยื่อ” ในความสัมพันธ์

 

 

 

5.ผลกระทบของ Gaslighting

ผลกระทบต่อเหยื่อ

ฝ่ายถูกกระทำมักจะเชื่อหรือยอมตาม แต่การปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองคิดหรือรู้สึก มีแต่จะทำให้สิ่งลบ ๆ ภายในจิตใจทำร้ายไปเรื่อย ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เศร้า แล้วโดน Gaslighter บอกว่า ‘เศร้าทำไม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย’

 

อาจทำให้เราคิดว่า ‘เราผิดที่เศร้า งั้นเราต้องไม่เศร้า’ กลายเป็นว่า ปัญหา ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ทางลบ ไม่ได้ถูกยอมรับและจัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นโรคทางอารมณ์ได้  

เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ(Toxic Relationship)

Gaslighting ทำให้เกิดความขัดแย้ง ทำลายบรรยากาศระหว่างกัน นำไปสู่ความทุกข์ ความเจ็บปวดทางจิตใจ ซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและจิตแย่ลง

 

 

 

6.ความสัมพันธ์จะเป็นยังไงถ้า…

“จอมปั่นหัว” เจอกับ “เหยื่อ”

เมื่อคุณเป็นคนนอกเกมส์นี้ คงมองไม่ออกหรอก ว่าเหยื่อ ต้องพบเจออะไรจากจอมปั่นหัวบ้าง? คุณคิดว่าอย่างไร? 

 

“จอมปั่นหัว” เจอกับ “จอมปั่นหัว”

ทุกคนคงคิดว่า จอมปั่นหัว เจอกับ เหยื่อ, คนร้ายต้องเจอกับ เหยื่อเท่านั้น แต่ถ้าในวันหนึ่ง “จอมปั่นหัว” ต้องเจอกับ “จอมปั่นหัว” จิตนาการกันดีไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น และ คุณคิดว่าจะมีผู้ชนะในเกมส์นี้กี่คน? 

 

 

 

7.เช็คด่วน.. คุณกำลังตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษอยู่หรือเปล่า?

ความสัมพันธ์แบบ “Gaslighting”

ความสัมพันธ์ที่ดี (Healthy Relationship)

 

 

 

8.วิธีการรับมือเมื่ออยู่ในความสัมพันธ์ที่มี Gaslighting

วิธีแก้ไขหากคุณเองกำลังเป็น “จอมปั่นหัว”

1. เอาใจเขามาใส่ใจเรา

แต่ถ้าในมุมที่เป็น Gaslighter ซะเอง ถ้ารู้ตัวให้รีบหยุด ก่อนที่ความสัมพันธ์จะพังลงจริง ๆ เอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ  

2. สำรวจตัวเอง

การสำรวจตัวเอง ทุกการกระทำมีที่มา อย่างที่บอกไปว่าจอมปั่นหัว ส่วนใหญ่จะทำเพราะอยากควบคุมอีกฝ่าย นั่นเป็นเพราะในบริบทอื่น อาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ ตัวเองไม่เก่งพอ

 

ที่จะควบคุมเรื่องอื่น ๆ หรือคนอื่น ๆ  ในชีวิตหรือเปล่า การสำรวจตัวเอง อาจทำให้มีโอกาสได้รู้จักกับตัวเองมากขึ้น ได้เผชิญหน้าและจัดการกับสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในจิตใจเราได้ 

 

วิธีรับมือหากเจอกับ “จอมปั่นหัว” ในความสัมพันธ์

1. การตั้งสติ

ตั้งสติและพยายามดูว่าตอนนี้ปัญหาของคุณและอีกฝ่ายคืออะไร อย่าเพิ่งเชื่อหรือไหลตามคำพูดของอีกฝ่าย 

 

2. เชื่อมั่นในตัวเอง 

การเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ Gaslighting จะทำให้รู้สึกผิด สับสน และ ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นหรือรู้สึกอยู่ ทำให้ความมั่นคงทางจิตใจลดลง

 

3. ทบทวนตนเองเพื่อหาจุดยืน

Gaslighting จะทำให้เราตั้งคำถามลบ ๆ ต่อตัวเอง การทบทวนตัวเอง เพื่อหาจุดยืน และเพิ่มความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้สึกจึงเป็นเรื่องสำคัญ

 

4. เว้นระยะห่างจากจอมปั่นหัว (Gaslighter)

การด่าทอหรือเกลียดชังกันนั้นไม่มีประโยชน์ ลองเว้นระยะห่าง เพื่อให้เวลาตัวเองได้แยกแยะระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลกที่ Gaslighter สร้างขึ้นมา

 

 

 

9.คำศัพท์ทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ

 

Gab Year การเว้นช่วงเวลาก่อนหรือหลังชีวิตมหาวิทยาลัย เพื่อออกไปค้นหาตนเอง เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและกิจกรรมต่าง ๆ

 

หากรู้จักความหลากหลายมากเราก็จะยิ่งปรับตัวได้มากขึ้นเเล้วเราต้องการสิ่งนี้ในการเติบโตและรู้จักตัวเอง

 

ความเชื่อเกี่ยวกับ Gap Year 

ในต่างประเทศ Gap Year เป็นอะไรที่ common มาก ๆ ข้อมูลจากเว็บไซต์ Gap Year Association ที่อ้างอิงถึงไปช่วงต้น ได้กล่าวไว้ด้วยว่า การ Take Gap Year ในอเมริกา เป็นที่นิยมมาตั้งแต่ปี 1980 แล้ว

 

ทำให้มีการศึกษาและบทความเกี่ยวกับ Gap Year มากมาย ต่างจากในไทย ที่ยังมีบางกลุ่มคิดว่า Gap Year มองเผิน ๆ เหมือน “หยุดอยู่เฉยๆ” หรือ “เอาเวลาไปเที่ยวเล่น ไร้สาระ”

 

ซึ่งในความเป็นจริง หาก Gap Year นั้นมีคุณภาพ ทุกคนจะได้ประโยชน์มากมายกว่าที่คาดคิด

 

 

รู้จัก Gap Year 

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Gap Year Association อธิบายคำว่า Gap Year ไว้ว่า เป็นปีสำหรับการเรียนรู้ การลองผิดลองถูก ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงหลังเรียนจบมัธยม (เพื่อค้นหาว่าตัวเองอยากเรียนต่อด้านไหน)

 

หรือ ช่วงหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย (เพื่อค้นหาว่าตัวเองอยากทำงานอะไร) จุดประสงค์หลัก คือ เพื่อให้รู้จักตัวเองมากพอที่จะเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ

 

ถ้าเป็น Gap Year ที่เป็น transition จากมัธยมต้นไปมัธยมปลาย หรือจากมัธยมปลายไปมหาลัยมันเป็นประโยชน์มาก ๆ เชื่อมั้ยว่ามีเด็กมากมายเลยที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่รู้ว่าจะเรียนต่ออะไร

 

การที่ต้องไปต่อเลยทั้งที่เรายังรู้สึกว่ามันมืดมนมาก ๆ ในการเรียนมหาลัย มันจะทำให้เขารู้สึกฝืน เครียด ไม่มีความสุขกับสิ่งที่เลือก อย่างน้อย Gap Year ก็ทำให้เด็กได้มีเวลาดื่มด่ำกับชีวิตมัธยม

 

ไม่ต้องเครียดกับการสอบหรือแข่งขัน ในช่วงที่เราพัก 1 ปีก็ได้หาตัวเอง ได้เตรียมสอบ หาข้อมูลมหาลัย

 

 

Gap Year ให้อะไร

1.มีเวลารีเซ็ตตัวเอง

 

2.ได้มีเวลาตามหาตัวเอง

 

3.Upskill Reskill

 

5.อาจจะได้เจอกับมิตรภาพดี ๆ และมุมมองใหม่ ๆ

 

6.เราสามารถเก็บพอร์ทและทำ resume ให้น่าสนใจได้

 

7.ป้องกันอาการ Burnout หลังเรียนจบได้

 

 

ข้อเสียของ  Gab Year

1.มีความคิดแง่ลบกับตัวเอง

ถ้าเราอยู่เฉย ๆ เราอาจจะมีความคิดแง่ลบกับตัวเอง เช่น ไม่เก่งเลย ไม่มีคุณค่าเลย 

2.อาจจะเจอกับคำพูดทำร้ายจิตใจ

อาจจะต้องเจอกับคำพูดกระทบจิตใจจากคนที่ไม่เข้าใจ จะทำให้เราเครียดได้ 

3.Homesick

ถ้าเราไปต่างที่ต่างแดน อาจจะมีอาการ Homesick 

4.สิ้นเปลือง

ที่สำคัญที่สุดการ Take Gap Year ของเราต้องใช้เงิน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นสำคัญมาก ๆ เหมือนกัน หากขาดการวางแผนที่เหมาะสมก็อาจจะทำให้มีปัญหาตามมาได้ เรื่องเงินค่อนข้างเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ Take Gap Year มากเหมือนกัน

 

บางครอบครัว ลูกต้องทำงานช่วยจุนเจือค่าใช้จ่าย ทำให้ไม่มีโอกาสได้ take gap year เพื่อค้นหาตัวเอง

 

 

ทำไมต้อง Gap Year 

สำหรับบางคนที่เขามองเห็นทางไปต่อที่ชัดเจนและมีไฟ ก็สามารถที่จะไปต่อได้เลย แต่กลับกันเลย การเรียนที่มันมีทั้งความกดดัน ความเครียด เขาก็อาจจะต้องการเวลาในการพักเพื่อ

 

“รีเซ็ตตัวเองและตามหาตัวเอง”

 

 

สัญญาณเตือน ว่าจะต้อง Take Gap Year 

post-graduation blues ภาวะเศร้าหลังจบการศึกษา  คือ

 

 

การ Take Gap Year เพื่อค้นหาตัวเองอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี สิ่งที่ Gap Year ให้คือ “เวลา และ อิสระ”

 

การใช้ทั้งสองอย่างนี้เพื่อลองผิดลองถูก อาจทำให้เจอคำตอบ อีกอย่างจะได้สัมผัสกับความสนุกและความท้าทายที่ทำให้ก้าวผ่าน post-graduation blues ไปได้ด้วย 

 

 

Gab Year คุ้มค่าหรือเสียเวลา

ขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละคน การที่เรา Gap Year แล้วเรามีกิจกรรมทำแน่นอนว่ามันคุ้มค่าแน่ ๆ หรือถ้าเราอยู่เฉย ๆ แบบไม่ได้ทำอะไรแต่เราได้พักตัวเอง สุขภาพจิตเราดีขึ้น เรามีแพชชั่นกับการไปต่อ อันนี้ก็อาจจะคุ้ม

 

วงเล็บด้วยนะว่า การที่เรา Gap Year แล้วอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เดือดร้อนหรือกระทบใคร แต่กลับกันถ้าเราอยู่เฉย ๆ แบบไม่ได้ทำอะไรแล้วเรารู้สึกแย่กับตัวเอง ไม่ได้อะไรจากการเว้นว่างนั้นเลยก็อาจจะเสียเวลา

 

แต่วงเล็บไว้อีกทีนึงว่า คำว่าคุ้มค่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนอาจจะมองว่าแบบนี้คือคุ้มค่า แบบนี้คือเสียเวลา 

 

สิ่งสำคัญ คือ การรู้ว่า เพราะอะไรเราถึง Take gap year และ เราอยากได้อะไรจากการ take gap year ถ้าตอบตัวเองได้ชัดเจน เราจะสามารถวางแผนทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เป็นการใช้เวลาและอิสระอย่างมีคุณภาพที่สุด  

 

 

อะไรทำให้ Gap Year มีคุณภาพ

มีสิ่งหนึ่งที่มิ้นว่าเกิดขึ้นได้ง่ายมาก ๆ เลย คือ “ความเฉื่อย” หมดพลัง หมดแรงบันดาลใจ อาจทำให้ gap year ไม่มีคุณภาพ ไม่ช่วยให้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น ทำอย่างไรได้บ้าง ?

 

1.เรียนรู้สิ่งใหม่ เช่น ภาษาใหม่ ๆ สกิลใหม่ ๆ 

อันนี้สำคัญเลย เพราะสิ่งที่ลองทำอาจเป็นสิ่งที่รัก เช่น ลองทำขนมขาย ลองลงทุน หรืออาจจะลองฝึกงานระยะสั้น เพื่อสะสมประสบการณ์และค้นหาตัวเองไปด้วย เป็นอีก 1 ไอเดียที่ดีเหมือนกัน 

 

2.เป็นอาสาสมัคร 

การทำอาสาสมัครเหมือนได้เปิดโลกใหม่ เปิดมุมมองใหม่ ๆ รวมถึงการทำงานอาสาสมัครจะทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง มองว่าจริง ๆ แล้ว ตัวเราก็มีค่าสำหรับคนบางกลุ่ม

 

3.เที่ยวต่างประเทศ

การเปิดหูเปิดตา ได้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมและผู้คนที่แตกต่างไปจากเดิม อาจทำให้ได้เรียนรู้มุมมองใหม่ ๆ ได้ 

 

“Wander often,Wonder always”

 

 

รับมือยังไงกับการที่คนอื่นตั้งคำถามเกี่ยวกับการ Gab Year ของเรา

มันมักจะมีคำถามที่จะเกิดขึ้น เช่น ทำไมไม่หางานทำ เมื่อไหร่จะไปทำงาน ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเฟลมาก ถึงแม้บางครั้งเค้าจะถามเฉย ๆ ก็ตาม เราลองไฮไลต์วัตถุประสงค์ของตัวเองไว้ชัด ๆ เลยว่า

 

“วัตถุประสงค์ของการ Gap Year ครั้งนี้คืออะไร?”

 

ถ้าคนที่ตั้งคำถามเป็นคนที่เรามองเเล้วเขาพอจะเข้าใจเราได้ ก็อธิบายให้ฟัง แต่ถ้าคนคนนั้นไม่ได้สำคัญกับเราหรือเขามีท่าทีว่าไม่ได้ถามเพราะเป็นห่วง ก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรือให้ความสำคัญอะไรมากมาย

 

เขาถามก็ตอบผ่าน ๆ เช่น เตรียมตัวสมัครงานอยู่ เราสนใจด้านนี้ ๆ  เพราะสุดท้ายแล้ว สุขภาพจิตของเราสำคัญกว่าสุขภาพจิตคนอื่น

 

บางครั้งการมีสติรับรู้ว่า ตอนนี้เรากำลังรู้สึกแย่กับความคิดและการตัดสินจากคนอื่น จึงสำคัญมาก ๆ สุดท้ายแล้ว ชีวิตเป็นชีวิตของคุณ อย่าให้เสียงคนอื่นดังกว่าเสียงในใจของตัวเองเลย

 

 

Gap Year แล้วแต่ไม่เจอคำตอบ

ถ้าใช้เวลาทั้งปีแล้วในการค้นหาตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอยากทำอะไร ไปทางไหน ในยุคสมัยที่สังคมบีบให้ทุกคนค้นหา passion

 

อีกแนวคิดหนึ่งของ terri trespicio จาก ted talk เรื่อง stop seaching for your passion น่าสนใจเหมือนกัน 

 

terri trespicio ถูกปลดจากบริษัท ต้องเจอกับความเคว้ง สิ่งที่เขากลัวในตอนนั้น คือ กลัวว่าจะเลือกงานผิด เพราะเขามองว่า “การเลือกงานผิด” เหมือน “การขึ้นรถไฟผิดขบวน” มุ่งไปสู่อนาคตที่ไม่ต้องการ 

 

แต่หลังจากปรึกษากับแม่ เขาเริ่มทำงานหนึ่ง เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานนี้เลย แต่เวลาผ่านไป เขาพบว่าตัวเองทำได้ดีขึ้น  จนเริ่มรู้สึกหลงรักงานนี้ มีความสุขกับการที่ได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น

 

point ของ ted talk นี้ terri ไม่ได้ปฏิเสธการค้นหา passion แต่อยากสื่อว่า “ถ้ายังไม่รู้ก็ไม่เป็นไร”  การที่เรามัวแต่เครียดกับการค้นหา passion เราอาจจะพลาดโอกาสดี ๆ ที่เปลี่ยนชีวิตเราไปเลย 

 

เขาพูดไว้ได้ดีมาก ๆบางทีเราก็เครียดกับการค้นหา passion มากเกินไป จนเราลืมไปว่าจริง ๆ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นอยู่กับการหามันขนาดนั้น passion มันก็คือสิ่งที่เราชอบ หลงใหล

 

อะไรแบบนี้มาจะมาเองตามธรรมชาติ อย่าง Ted talk อันนี้เขาได้พูดปิดท้ายไว้ว่า Dont follow your passion let your passion follow you ซึ่งในตอนนั้นที่ได้ฟังเหมือนมีเสียงติ๊งในหัวเลยนะว่า

 

จริงด้วย เราไม่จำเป็นต้องตามหาแพชชั่นเลย แต่เดี๋ยวแพชชั่นจะตามเรามาเอง

 

สำหรับใครก็ตามที่กำลังก้าวเข้าสู่มหาลัยหรือเรียนจบกำลังเตรียมตัวทำงาน ถ้าในตอนนี้เรายังรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะไปต่อ ต้องการเวลาในการตามหาตัวเองและรีเซ็ตตัวเอง

 

การ Take Gap Year ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจ แต่ใด ๆ ก็ตามยังมีอีกหลากหลายวิธีที่ช่วยให้เราได้ก้าวต่อไปได้อย่างมีความสุข Alljit หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ:)

เคยไหมที่พูดคนเดียวหรือเห็นคนรอบข้าง พูดคนเดียว ?

จะรู้ได้อย่างไรว่า พูดคนเดียว ปกติหรือผิดปกติ . .

ชอบ พูดคนเดียว ปกติหรือผิดปกติ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า พูดคนเดียว นี่ “ปกติ” ใครก็ทำกัน หรือ “ผิดปกติ” ต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญ

 

อ้างอิงจากบทความเว็บไซต์ The standard รายการ RUOK การพูดคนเดียว ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ อีกทั้งยังช่วยสร้างทักษะในการมีปฏิสัมพันธ์ ช่วยสร้างจินตนาการ 

 

ที่สำคัญยังช่วยสะท้อนให้ได้ยินเสียงตัวเองเวลาพูดคุยได้อีกด้วย ซึ่งดีต่อสุขภาพจิต เพราะเป็นการอนุญาตให้เสียงในใจได้เปล่งออกมา

 

แต่ถ้าพูดคุยกับคนอื่นที่ไม่มีใครมองเห็น อาการนี้เป็น 1 ในอาการของโรคจิตเภท ที่หลุดออกจากการอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ควรพบผู้เชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้น การจะรู้ได้ว่าผิดปกติหรือไม่

 

เช็คง่าย ๆ จากการสังเกตว่าเป็นการพูดคนเดียวแบบ self-talk หรือ พูดคนเดียวแบบไม่ได้พูดคนเดียว พูดคนเดียวแบบไม่ได้พูดคนเดียว

 

จะมี 2 แบบ คือ หูแว่ว ได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยินแล้วพูดตอบ กับ เห็นภาพหลอน เห็นคนที่ไม่มีอยู่จริงแล้วพูดด้วย

 

พูดคนเดียว ดีอย่างไร 

ยังมีผลวิจัยชี้ว่าการพูดคนเดียวไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มีข้อดีที่ซ่อนอยู่ คือ

 

1. สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

2. ได้เผชิญกับความท้าทาย การพูดคนเดียวไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราจัดระเบียบความคิดได้แค่เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ได้กระตุ้นตัวเองได้อีกด้วย

 

3. ช่วยลดความเครียด

 

พูดคนเดียว Self-talk

self-talk มี 3 แบบ

 

1. Neutral (กลาง) = เห็นอะไรก็พูด ทำอะไรก็พูด เช่น “วันนี้ร้อนจัง” “วันนี้ซักผ้าดีกว่า”

 

2. Positive (บวก) = จะเป็นการปลอบใจตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง เช่น “ไม่เป็นไรนะ” “ทำดีที่สุดแล้ว”

 

3. Negative (ลบ) = จะเป็นการตำหนิตัวเอง ต่อว่าตัวเอง เช่น “ทำไมถึงทำไม่ได้อีกแล้ว” “ไม่เอาไหนเลย”

 

ซึ่ง Negative self-talk ถ้าไม่ควบคุมอาจจะส่งผลกระทบได้มากกว่าที่คิด ทำให้รู้สึกไม่มีความสุข หมดหวัง หมดกำลังใจในการใช้ชีวิตได้ เพราะพอเป็นการพูดกับตัวเองแล้ว

 

มันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ การมีสติ รู้เท่าทันจึงสำคัญมาก ๆ เพราะจะทำให้จัดการกับ self-talk ที่ทำร้ายตัวเองได้

 

จัดการ Negative Self-talk 

หากมี Negative Self-talk มากจนเกินไป อาจสร้างความเครียดที่ส่งผลกับสุขภาพกายและสุขภาพจิต อย่าปล่อยให้ความคิดด้านลบนั้นกัดกิน วิธีจากบทความเว็บไซต์ thematter อาจเป็นวิธีที่เหมาะสมกับคุณ

 

1. ลองตั้งชื่อให้กับความคิดลบนั้นดูใหม่ 

 

2. บอกกับตัวเองว่าความคิดลบนี้ไม่ได้อยู่ตลอดไป

 

3. มองหาข้อดีท่ามกลางข้อเสีย

 

Self-talk ดีต่อเราอย่างไร

 1. ประมวลผลข้อมูล

 

อ้างอิงจากบทความ Why talking to yourself is the first sign of success เว็บไซต์ bbc กล่าวว่า มีงานวิจัยมากมายที่ช่วยยืนยันว่า การพูดคนเดียวช่วยเรื่อง การระลึกความจำ 

 

2. ยกระดับความรู้สึก

 

Anne Wilsom Schaef นักจิตวิทยา เล่าว่า เธอมักจะสนับสนุนให้ผู้ป่วยคุยกับตัวเอง เช่น เวลาโกรธ ให้พูดออกมา ความโกรธจะหายไป นอกจากการพูดออกมาจะทำให้โล่งขึ้น

 

เหมือนได้ปัดฝุ่นในใจออกแล้ว ยังทำให้รู้สึกดีขึ้นด้วย self-talk ที่เป็นบวก จะทำให้ก้าวผ่านแต่ละวันไปได้เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความรู้สึก แล้วเก็บความรู้สึกนั้นไว้ข้างใน

 

ไม่ยอมระบายออกมา อาจจะยิ่งส่งผลด้านลบต่อตัวเรา แต่ถ้าเราได้ระบาย ไม่ว่าจะเป็นการพูดคนเดียว ตะโกน หรือ กรีดร้องออกมาในสถานที่ที่ไม่มีคน

 

เช่น ในห้องน้ำ ในรถ วิธีนี้จะช่วยทำให้โล่งและก้าวข้ามผ่านความรู้สึกที่ไม่ดีเหล่านั้นไปได้

 

3. เพิ่มความมั่นใจ 

การที่จะต้องออกไปพูดในที่สาธารณะ การได้ฝึกซ้อม พูดคนเดียว ยิ่งถ้าอยู่หน้ากระจก จะทำให้เห็นสีหน้า ท่าทาง ของตัวเอง จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ได้

 

 

 

 

คำว่า จังหวะชีวิต ทุกคนคงจะเคยได้ยินผ่าน ๆ หูกันและคงเคยสงสัยว่าเมื่อไหร่จะถึงจังหวะชีวิตของตัวเราเองบ้างสักที. .

 “จังหวะ” เป็นแค่ปัจจัยส่วนหนึ่ง แต่การกระทำและการใช้ชีวิตของเราต่างหากที่จะทำให้เราเข้าใกล้หรือห่างไกลจากความสำเร็จในแบบที่ต้องการ ถ้าเราเลือกที่จะใช้เวลาว่างอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรไม่คุยกับใคร

 

อาจจะไม่ได้ทำให้เราได้ก้าวออกไปไหนถึงจะมีโอกาสมาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าก็ตาม

 

จังหวะชีวิต ของคนเราไม่เท่ากัน และ นิยามคำว่า ประสบความสำเร็จ ของแต่ละคนไม่เหมือนกันตั้งแต่เกิด

มีหลายปัจจัยเลยที่ทำให้จังหวะชีวิตของคนเราไม่เท่ากันจริง ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนชีวิต ทรัพย์สินเงินทอง อายุ โอกาส และเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ 

 

ทุกวันนี้เราเห็นคนส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จกันไวมาก ๆ ทั้งคนรุ่นเดียวกันกับเรา คนอายุไล่เลี่ยกัน หรือแม้แต่คนที่อายุน้อยกว่าเรา จนเราเกิดความรู้สึกนอยด์ตัวเอง น้อยใจในชะตาชีวิตของตัวเอง

 

แต่ต้องทำความเข้ากันใจว่ามันมีหลายปัจจัยมาก ๆ ที่ต้นทุนชีวิตของบางคนก็มีครอบครัวซัพพอร์ตเกิดมาแล้วถ้าล้มก็ไม่เจ็บเท่าคนที่ต้องลุกด้วยตัวเอง ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต

 

อย่าเอาความสำเร็จของคนอื่นมาเทียบกับตัวของเรา ยิ่งถ้าเราเทียบยิ่งทำให้เราเสียศูนย์ความตั้งใจ เสียความมั่นใจ ในตอนนี้เราอาจจะกำลังสะสมความสำเร็จเล็ก ๆ ของเรา

 

เผื่อว่าจะมีเวลา และจังหวะที่ใช่ของเราเท่านั้นเอง

 

Golden Time =“ช่วงเวลาทองคำ” “ช่วงขาขึ้น”

Golden Time ให้ความรู้สึกเหมือน ช่วงเวลาที่เราได้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากพอจนทำให้เรารู้สึกว่า นี่แหละ ช่วงเวลาของเรานี่มันช่วงเวลาทองคำหรือช่วงขาขั้นจริง ๆ 

 

ทำใจอย่างไรดี ถ้า golden time ของเรายังไม่มาถึงซะที? เมื่อไหร่จะถึง จังหวะชีวิต ของตัวเอง

ประโยคที่ว่า “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” ค่านิยมของคนยุคนี้ มิ้นว่าประโยคนี้ทำให้หลาย ๆ คน กดดันตัวเอง ว่าฉันจะต้องรีบ ฉันจะต้องประสบความสำเร็จ  แล้วทำอย่างไรได้บ้าง?

 

1. ยอมรับว่าทุกชีวิตแตกต่างกัน

Steve jobs บอกไว้ว่า “อย่าใช้ชีวิตอยู่บนฐานความคิดของใคร อย่าให้เสียงของใครทำให้เราลืมเสียงหัวใจตัวเอง”

 

อ่านแล้วรู้สึกว่า ทุกคนต่างมีความเร็วและจังหวะชีวิตของตัวเอง ถ้ายอมรับได้ว่า ทุกชีวิตแตกต่างกัน จะทำให้เราเข้าใจและไม่สงสัยว่า ทำไม golden time ของคนอื่นมาเร็ว ทำไมของเราไม่มา 

 

2. ให้ความสำคัญกับระหว่างทางมากขึ้น เพื่อเติมความสุข

บางครั้ง ความต้องการที่จะไปถึง golden time อาจทำให้เราหลงลืมความสุข ลืมสิ่งต่าง ๆ ที่ช่วยเติมเต็มไป เช่น มีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำสำเร็จนะ มีคนรอบข้างมากมายให้กำลังใจอยู่นะ 

 

“เป้าหมายสำคัญ แต่ระหว่างทางก็สำคัญไม่แพ้กันเลย” เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีแรงกายแรงใจก้าวต่อ

 

3. วางแผน เติมพื้นฐานให้แน่น 

Golden time ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ โดยไม่มีการเริ่มต้นและการพยายามอยู่ในนั้น มีประโยคจาก Bill gates เขาพูดว่า “เราไม่สามารถเขียนโปรแกรมสั่งคอมพิวเตอร์ได้ ถ้าไม่มีความรู้พื้นฐาน” 

 

4. ก้าวออกจาก Comfort zone

ลองก้าวออกมาทำสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่เราไม่คาดคิดว่าเราจะทำได้ ทุกอย่างมันจะมีคำว่า “ครั้งแรก” ตลอด ถ้าเราได้ลองทำมันอาจจะออกมาดีก็ได้

 

 

การจากลา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เมื่อพบก็ต้องจาก..

 

“ การจากลา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก และเวลาจะช่วยเยียวยาเราเอง”

สารบัญ

ประโยคเหล่านี้พอฟังแล้วมันดูง่าย เพราะชีวิตมันเป็นแบบประโยคพวกนั้นที่คนเรามักจะพูดกันจริง ๆ  แต่เชื่อไหมว่า เมื่อการจากลามาเผชิญหน้ากับเราแล้ว เราจะลืมประโยคพวกนั้นไปเลย

 

เพราะเอาเข้าจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากมาก ๆ สิ่งที่ทำได้คือ ให้เวลาตัวเองได้เสียใจ ซึ่งก็จะเกิดเป็นคำถามขึ้นมาอีกว่า แล้วต้องให้เวลาตัวเองได้เสียใจนานแค่ไหน? 

 

ในเวลาที่ผ่านมาก็เจอกับการจากลาบ่อย ๆ เพียงแค่เราอาจจะเด็กเกินที่จะเสียใจถึงขนาดต้องหาวิธีการรับมือ พอโตมาถึงได้เข้าใจว่าทำไมคนในครอบครัวถึงร้องไห้เวลาตาเสีย ทำไมย่าเสียใจตอนปู่จากไป 

 

ชีวิตของคนเราเป็นโลกกลม ๆ หนึ่งใบ ในวงกลมนั้นก็ประกอบไปด้วยสิ่งของ ผู้คนในชีวิตเรา คนไหนที่เราให้ความสำคัญมาก ๆ ก็จะได้ส่วนของวงกลมในโลกของเราใหญ่หน่อย

 

พอเราขาดเขาไปก็เหมือนโลกของเราไม่เติมเต็ม เหมือนขาดหายอะไรไป ส่วนสิ่งไหนที่ได้พื้นที่ในวงกลมน้อยหน่อย เวลาเสียสิ่งนั้นไป ตัวเราก็ใช้เวลาทำใจไม่นานนัก

 

 

การจากลา เป็นเรื่องปกติ

คำพูดนึงที่อาจจะทำให้รู้สึกว่ากังวลน้อยลงคือ people come and go 

 

คือ ไม่มีใครที่อยู่กับเราได้ตลอดชีวิต พวกเขาเข้ามาแล้วก็ต้องออกไป ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง แต่สิ่งที่จะยังอยู่คือความทรงจำระหว่างกัน อย่างน้อยในช่วงเวลานึงเขาก็เคยเป็นหนึ่งพาร์ทของชีวิตเรา

 

“ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต” ประโยคนี้มันจุกอกเหมือนกัน แต่มันก็คือเรื่องจริงมาก ๆ แต่ก็เป็นความจริงที่ใครหลาย ๆ คนยอมรับไม่ได้ สิ่งที่จะทำให้ผ่านไปได้คือการเปิดใจยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว

 

ยินดีกับเรื่องราวดี ๆ ที่เคยได้เกิดขึ้น จดจำเรื่องที่ดี ๆ ไว้เป็นกำลังใจให้กับเรา เราต้องดำเนินชีวิตของเราต่อไป

 

 

5 Stages of Grief ทฤษฎีระยะเวลาของการก้าวผ่านความสูญเสีย

จากคำถามว่า ต้องให้เวลาตัวเองได้เสียใจนานแค่ไหน เลยได้เจอกับ ทฤษฎีระยะเวลาของการก้าวผ่านความสูญเสีย  ต้องบอกก่อนว่าทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่ครอบคลุมการสูญเสียทุกรูปแบบเลย

 

เช่น การเสียชีวิต การเลิกรา การตกงาน เพราะฉะนั้นทฤษฎีนี้อาจจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปทางความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น

 

ทฤษฎีนี้จะแบ่งความรู้สึกออกเป็น 5 ระยะ

 

Stage1: Denial ปฏิเสธ 

คือสิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเจอความสูญเสียหรือผิดหวังกับอะไรบางอย่าง ตัวเราจะปฏิเสธและไม่ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริง ๆ อาจจะมีความคิดว่ามันคือความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง

 

Stage2: Anger โกรธ 

ระยะนี้เราจะเริ่มได้สติ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง เริ่มรู้ตัวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เริ่มโกรธ

 

อาจจะตีโพยตีพาย โทษคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

 

 

Stage3: Bargaining ต่อรอง 

เป็นระยะที่เราไม่มั่นคงในจิตใจมากที่สุด คือ หลังจากโกรธน้อยลง เราจะเริ่มอยากกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด เช่น ขอโอกาส ถ้าย้อนกลับไปได้จะแก้ไขให้ดีขึ้น

 

Stage4: Depression เศร้าเสียใจ 

หลังจากที่ผ่านทั้งสามระยะมาเราจะเริ่มรู้ตัวเองอย่างชัดเจนแล้วว่าเราต้องยอมรับและคงเปลี่ยนผลลัพธ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น บางคนก็เศร้าเสียใจมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ

 

เก็บตัวจมอยู่กับความเศร้า น้ำตาคือพร้อมไหลตลอดเวลา ซึ่งเป็นอาการซึมเศร้า ระยะนี้ต้องมีคนคอยดูแลพราะถ้าไม่มีคนไว้คอยรับฟัง เป็นที่ระบาย ไม่มีเพื่อนพูดคุย ก็จะเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้

 

และถ้าหากเราอยู่อยู่กับความเศร้า เสียใจนาน จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แนะนำให้ปรึกษากับจิตแพทย์

 

Stage5: Acceptance ยอมรับ 

เป็นระยะที่อาการเศร้าเสียใจต่าง ๆ ดีขึ้น สามารถยอมรับการการจากลา การสูญเสียได้ แต่ก็อาจจะไม่ได้ถึงขั้นว่ามีความสุข หัวเราะร่าเริง แต่เริ่มอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น

 

ช่วงนี้ต้องพาตัวเองออกไปหาความสุขบ้าง หรือไปในที่ที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจอะไรแบบนี้ก็ได้เพื่อฮีลตัวเอง

 

การจากลา กับ สัตว์เลี้ยงที่รัก

“Rainbow bridge คำที่ช่วยปลอบใจได้”

 

จากบทความ ของ Steemit เขาอธิบายสะพานสายรุ้งไว้ได้เห็นภาพมากว่า สะพานสายรุ้ง” คือ ดินแดนที่อยู่ติดกับขอบสวรรค์ เป็นทุ่งหญ้าสีเขียว มีแสงแดดส่องตลอดเวลา

 

เมื่อสัตว์เลี้ยงที่เรารักได้จากไป วิญญาณของพวกเขาจะไปอยู่รวมกันเพื่อรอเราที่นี่  ไม่ว่าพวกเขาจะจบชีวิตลงแบบไหนก็ตาม ร่างกายจะได้รับการฟื้นฟูจนกลับมาแข็งแรง และมีอวัยวะที่ครบถ้วนสมบูรณ์

 

ที่นั่นเขาจะได้เจอเพื่อน ๆ สัตว์เลี้ยงได้วิ่งเล่นด้วยกัน และไม่ต้องกลัวว่าจะอดอยาก เพราะมีอาหารให้พวกเขาได้กินตลอดเวลา และเมื่อวันที่เจ้าของได้จบชีวิตลง เราจะได้ไปเจอกับสัตว์เลี้ยงที่เรารักที่สะพานสายรุ้งนี้

 

พอรู้แบบนี้ใจเราก็จะเบาลง เพราะอย่างน้อยชีวิตของเขาหลังจากนี้ก็มีความสุขและในวันนึงเราอาจจะได้เจอกัน

 

และอย่างที่เรายก 5 Stages of Grief ขึ้นมาก็ทำให้เราเข้าใจว่า ความรู้สึกเสียใจมันมีขั้นมีตอนของมัน ไม่จำเป็นต้องเร่งรัดให้ตัวเองทำใจได้หรือห้ามไม่ได้ตัวเองเสียใจ

 

การเศร้าไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รับมือกับสถานการณ์นั้นหรือจัดการกับมัน แต่จะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์นั้นและก้าวต่อไปได้ 

 

 

6 เหตุที่ควรปล่อยให้ตัวเองได้เสียใจ เมื่อพบกับ การจากลา

เป็นบทความจาก psycology central ชื่อบทความว่It’s Good to Feel Sad Sometimes

 

1.It can help you connect with others ทำให้เชื่อมต่อกับคนอื่นได้

หน้าที่หนึ่งของความเศร้าคือการกระตุ้นให้คนอื่นปฏิบัติต่อคนที่เสียใจด้วยความเห็นอกเห็นใจ จากงานวิจัยปี 2018 บอกไว้ว่าการโอบกอดความเศร้าสามารถเชื่อมโยงตัวเราเข้ากับความเห็นอกเห็นใจและความห่วงใยเมื่อต้องการมากที่สุด

 

2.It can help you process emotional or events ช่วยให้เราประมวลผลทางอารมณ์ได้

คือ ความเสียใจทำให้เราสามารถรับรู้ process ของอารมณ์ได้ รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ใน stage ในเเล้ว เราเองก็จะเข้าใจตัวเองมากขึ้นและไม่กดดันตัวเอง เพราะรู้ว่าความเสียใจมันมีระยะของมัน

 

3.It’s a part of grieving  มันคือส่วนหนึ่งของความเศร้า

เพราะมันเป็นเรื่องปกติมากที่เราจะรู้สึกเศร้าเสียใจ เมื่อเจอกับความทุกข์ระทมในจิตใจ หรือการจากลา มันเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์

 

4.It can help with post-traumatic growth ช่วยเกี่ยวกับความงอกงามหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ

 

post-traumatic growth คือ การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาเชิงบวก ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการเผชิญภาวะวิกฤตที่สำคัญในชีวิต หรือการผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวด ความงอกงามสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ

 

เช่น การรู้ซึ้งในคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ การมีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่มีความหมายมากขึ้น การรับรู้ถึงพลังและความสามารถของตนเอง ความงอกงามจะไม่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเวลาผ่านไป

 

อาจต้องมีปัจจัยบางประการที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้ขึ้น เช่น การมีวิธีการจัดการกับปัญหาที่มีประสิทธิภาพ หรือการได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การร้องไห้และปล่อยให้ตัวเองเสียใจ

 

5.It can teach you about your values สอนเกี่ยวกับคุณค่าในตัวเรา 

จากงานวิจัยทำให้พบว่า การเสียใจทำให้เรามองเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะความรักจากคนรอบข้าง เพราะเมื่อเราเสียใจจะทำให้คนอื่นเห็นใจและห่วงใยเรามากขึ้น

 

ตัวเราก็จะรู้ว่าเรามีคุณค่าสำหรับเขา รวมถึงการที่เราผ่านความเสียใจไปได้ ตัวเราก็จะมองว่าเรามีศักยภาพและเก่งมาก ๆ

 

6.It can lead to positive change สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก

เมื่อเราพบว่าเราอยู่กับความเศร้านี้เป็นเวลานาน เราอาจจะเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายกับตัวเอง ตัวเราเองเนี่ยแหละก็จะหาวิธีที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางบวกได้

 

 

 

ทุกการจากลาสร้างความทรงจำที่ดีเสมอ แต่จะดีกว่าถ้าช่วงที่เรายังอยู่ด้วยกัน เราได้สร้างความทรงจำที่ดีต่อกันให้มากที่สุด ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ก่อนที่เราจะจากลากัน 

 

Alljit ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้อ่านทุกท่านที่กำลังพบกับการจากลาทุกรูปแบบนะคะ:)

 

 

 

ที่มา:

it’s OK to Be Sad

 

“สะพานสายรุ้ง” ตำนานแห่งการรอคอย < The Rainbow Bridge >

เคยไหม? ที่รู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวเหมือนไม่มีอยู่จริง ไม่ใช่เรื่องจริง? เหมือนตื่นและฝัน ในเวลาเดียวกัน.. 

 

 

ในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับ ภาวะ Derealization หรือ ความจริงวิปลาส เหมือนตื่นและฝันในเวลาเดียวกัน

รู้จักกับภาวะ เหมือนตื่นและฝัน Derelization 

 

จากการรวบรวมข้อมูล ลักษณะสำคัญ คือ

 

1. ตัดขาดจากความเป็นจริง รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกความฝัน สิ่งแวดล้อมที่เห็นไม่มีอยู่จริง

 

2. เกิดความสับสนระหว่างโลกความจริงและโลกความฝัน เหมือนตื่นและฝันในเวลาเดียวกัน เป็นประโยคจากบทความเว็บไซต์ Un-lockmen ที่อธิบายได้เห็นภาพ

 

3. ประสบการณ์และการรับรู้ของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป อาจจะรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในรายการทีวี ทุกอย่างเป็นเรื่องที่หลอกลวง

 

ความจริงวิปลาสเป็นประสบการณ์ที่เป็นอัตวิสัย เป็นลักษณะที่ปราศจากความจริง ซึ่งแตกต่างจากบุคลิกวิปลาส  (Depersonalization) 

 

ซึ่งความจริงวิปลาสเรื้อรังอาจมาจากการทำหน้าที่ผิดปกติของสมองกลีบท้ายทอยและกลีบขมับ จำนวนกรณีผู้ป่วยที่เป็นคือ 5% และ 31-66% ก็คือเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เจ็บทางกายหรือทางใจ 

 

คำว่า Derealization มักจะมาคู่กับ Depersonalization ค่ะ ทั้ง 2 เกี่ยวกับการตัดขาดทั้งคู่ แต่ต่างกันตรงที่ Derealization จะเป็นการตัดขาดจากความเป็นจริง 

 

ส่วน Depersonalization อ้างอิงจากเว็บไซต์ Mayo clinic จะเป็นการตัดขาดจากตัวเองค่ะ คือ รู้สึกเหมือนเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ และร่างกายตัวเอง ไม่ใช่เจ้าของ ไม่สามารถควบคุมได้ 

 

เหมือนตื่นและฝัน ในเวลาเดียวกันผิดปกติไหม?

 

ถือว่าผิดปกติ เพราะ Derealization ถือเป็นประเภทหนึ่งของ Dissociative disorder ที่เป็นกลุ่มโรคทางจิตเวช ผู้ป่วยจะมีปัญหาเกี่ยวกับการรับรู้ 

 

ซึ่งอาการของโรคบุคลิกวิปลาสปกติไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ สักพักอาจจะสามารถหายไปเองได้

 

Derealization เกิดขึ้นได้อย่างไร 

 

1. เป็นภาวะที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อโต้ตอบต่อสถานการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสีย ทำให้ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่รับรู้ความเป็นจริง เพื่อปกป้องตัวเอง 

 

2. การมีปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่น ภาวะสมองเสื่อม ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น 

 

3. การใช้สารเสพติด ฤทธิ์ต่าง ๆ สามารถส่งผลต่อการทำงานของสมองได้ 

 

Derealization จัดการอย่างไร

 

วิธีเบื้องต้น คือ การกระทำที่ช่วยให้ตระหนักรู้ความเป็นจริงและสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างจากเว็บไซต์ Calm clinic และ Wikihow

 

1. หยิกตัวเองเบา ๆ

 

2. จับบางสิ่งที่มีความอุ่นหรือความเย็น แล้วโฟกัสกับความรู้สึกอุ่นหรือเย็นนั้น

 

3. ลองพิจารณาสิ่งของรอบข้าง ว่ามันคืออะไร มันใช้ทำอะไร หรือลองนับดูว่ามีกี่ชิ้น

 

4. ต้องพยายามดึงสติกลับมาอยู่กับความเป็นจริง

 

5. อาจจะลองจดจ่ออยู่กับสิ่งรอบตัว พยายามเอาตัวเรากลับเข้าไปมีส่วนร่วมกับสภาพแวดล้อมตรงหน้า 

 

6. มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว  พูดคุยกับเขา โทร หรือส่งข้อความ ตั้งสติแล้วพยายามกลับเข้าสู่บทสนทนาเดิม จิตใจของเราจะได้กลับสู่ปัจจุบัน 

 

วิธีเบื้องต้นจะเกี่ยวกับการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ ที่เป็นเหมือนสิ่งที่เรียกว่า “เครื่องมือ” ในการรับสาร

 

เพราะฉะนั้น การใช้อวัยวะรับรับรู้ ภาพ รส กลิ่น เสียง และสัมผัส รอบตัว จึงเป็นเหมือนวิธี deal กับภาวะนี้ที่สำคัญที่สุด ที่สำคัญ คือ การพิจารณารายละเอียดของสิ่งที่รับรู้

 

จะทำให้รู้สึกได้ว่า “สิ่งนั้นมีอยู่จริงนะ” ฟังดูเหมือนกำลังใกล้ชิดกับความเป็นจริงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แนะนำว่าการไปพบผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด เพื่อให้ทราบสาเหตุและได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

 

เพราะหากปล่อยไว้ อาการนี้อาจจะรบกวนชีวิตประจำวันได้ 

 

ไม่ว่าดีหรือร้าย เราเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง คำให้โอวาทของ Taylor swift 

 

 

บุคคลที่จะกล่าวถึงวันนี้ คือ Taylor swift ได้เข้ารับปริญญากิตติมศักดิ์ สาขา Fine Arts จาก New York University ที่สนามกีฬา Yankee Stadium ในวันนั้นเทเลอร์ได้รับเกียรติให้ขึ้นไปกล่าวคำให้โอวาท

 

ในวันรับปริญญาต่อบัณฑิตคนอื่น ๆ จนกลายเป็นที่พูดถึงผ่านแฮชแท็ก #22GraduatesVersion และ Congratulations Taylor พุ่งทะยานติดเทรนด์ทวิตเตอร์เลย

 

ซึ่งคำกล่าวของเทเลอร์ What a precious word of quality. เป็นคำพูดที่ล้ำค่าและมีคุณภาพมาก ๆ 

สารบัญ

 

สำหรับใครที่สนใจอ่านแบบเต็ม ๆ สามารถหาอ่านได้ Taylor Swift’s NYU Commencement Speech: Read the Full Transcript

 

เราไม่ได้สำเร็จด้วยตัวคนเดียว

เราต่างเป็นผ้านวมที่ถูกเย็บขึ้นจากความรัก คนที่เชื่อในอนาคตของเรา และคนที่แสดงความจริงใจและเห็นใจ หรือพูดกับความจริงแก่เราในเวลาที่ยากเย็นที่สุด ซึ่งมาย้อนมองกลับไปทำให้นึกถึงคนหลาย ๆ คนที่สำคัญ

 

ในชีวิตเรา ทั้งคนที่ทำดีกับเรามาก ๆ ครอบครัว มิตรภาพดี ๆ ที่ผ่านมาหรือแม้กระทั้งคนที่เคยใจร้ายกับเรา คนที่ทำให้เรามีน้ำตา พวกเขาล้วนเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของเรา ถึงระยะทางกว่าจะสำเร็จมันจะขรุขระ

 

แต่ถ้าเราไม่ได้พวกเขาเหล่านั้นตัวเราเองอาจจะไม่ได้กลายเป็นเราแบบทุกวันนี้

 

ไม่มีใครได้ทุกสิ่งที่หวังไว้

ทุกคนต้องมีสิ่งที่หวังไว้ตั้งแต่เด็กจนเราโต ตอนเด็กเราก็หวังว่าเราอยากโตมาเป็นแบบไหน? อยากทำอาชีพอะไร? อยากสำเร็จตอนอายุเท่าไหร่? อยากมีความรักที่ดี

 

แต่เมื่อโตขึ้นเรามักค่อย ๆ ซึบซับคำว่า “โลกมันใจร้าย” กว่าที่เราคิด จริง ๆ แล้วโลกนี้มันใจร้ายกับเรามากไม่อยากให้ทุกคนใจร้ายกับตัวเอง อยากให้ทุกคนได้พยายามยินดีกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

 

หรือถ้าอยากแสดงความรู้สึกอะไรก็แสดงออกมาได้เลยความรู้สึกไม่ชอบ ความรู้สึกโกรธ ไม่ต้องโกหกกับตัวเองและอยู่กับปัจจุบันกันดีกว่า

 

สิ่งสำคัญที่สุด คือให้เวลาช่วยเยียวยาความผิดหวังและสิ่งที่ช่วยตัวเราได้ดีที่สุดก็คือตัวเราเอง ถ้าเรายังยึดติดกับสิ่งที่ผิดหวังมันก็คงจะไม่ได้อะไร พยายามทำทุกอย่างให้เต็มที่ ใส่ใจ ใส่ความพยายามให้มากที่สุด

 

ถึงแม้จะผิดหวังจะได้ไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดาย 

 

เรียนรู้ที่จะอยู่กับความอับอายจากความพยายาม

ถ้าเราได้ลองมองย้อนกลับไปในตอนที่เราเป็นเด็กหรือตอนที่เราเคยพลาดพลั้งทำอะไรบางอย่างที่เราพูดไม่คิด เช่น เคยพูดจาไม่น่ารักกับเพื่อน เคยเป็นคนนิสัยไม่ดีสำหรับคนอื่นแล้วก็ตัวเอง

 

ถึงจะผ่านมานานยังไงตัวเราก็หนีความรู้สึกเหล่านั้นไม่พ้นถึงมันจะผ่านมานานมาก ๆ แล้วแต่จะลบยังไงก็ไม่ออก บางอย่างมันก็ยังฝังอยู่ในจิตใจ ในความรู้สึกของเรา ถ้าเราเปลี่ยนจากการลบสิ่งนั้น

 

แต่เป็นการพยายามอยู่กับมันให้ได้เพราะสิ่งเก่า ๆ เหล่านั้นก็ทำให้เราเป็นเราแบบทุกวันนี้ สิ่งที่น่าอับอายที่เราเคยทำไปมันก็ทำให้เราได้รับบทเรียนว่าเราก็ไม่ควรที่จะทำอีก เราควรจะทำให้ดีกว่านี้

 

เราควรจะคิดไตร่ตรองก่อนจะทำบางสิ่งบางอย่าง

 

ความผิดพลาดไม่ใช่ความล้มเหลว โลกยังไม่แตกสักหน่อย

เทย์เลอร์ แชร์ประสบการณ์ความสำเร็จของเธอตั้งแต่อายุ 15 ให้ฟังว่า “ในฐานะคนที่เริ่มชีวิตสาธารณะตั้งแต่อายุ 15 มันมาพร้อมราคาที่ต้องจ่าย และราคานั้นคือคำแนะนำมากมายที่ฉันไม่พึงประสงค์” 

เธอเล่าว่าเมื่อสมัยเธอเริ่มดังใหม่ ๆ เธอเหมือนถูกเปรียบให้เป็นต้นแบบและถูกคาดหวังอย่างสูงจากทุกคน เธอรู้สึกเหมือนกับว่า

 

“ถ้าฉันไม่ทำอะไรที่ผิดพลาด เด็กทุกคนในอเมริกาจะเติบโตเป็นนางฟ้าที่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าฉันพลาด ทั้งโลกจะแตกออก และทุกอย่างจะกลายเป็นความผิดของฉันตลอดไป

 

เชื่อว่าหลาย คนคงต้องเจอความรู้สึกคล้าย ๆ เทเลอร์ คือ ถูกคาดหวัง และถูกสอน ว่าต้องเป็นแบบนี้ ต้องทำแบบนี้นะ แล้วมันจะดี ถ้าไม่ทำตาม หรือ ทำตามไม่ได้ 100% ก็จะถูกต่อว่าและกลายเป็นความผิด

 

“แต่ประสบการณ์ส่วนตัวฉันไม่ได้บอกแบบนั้น มันบอกว่าความผิดพลาดคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตฉัน” 

 

“ความอับอายที่คุณพบ มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ ลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากตัว และมองรอบตัวว่าใครยังอยากออกไปเที่ยวและระเบิดเสียงหัวเราะให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณบ้าง? นั่นคือของขวัญ”  

 

ซึ่งสิ่งที่เทเลอร์พูดมันดีมาก มีความผิดพลาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่ผิดพลาดเราต้องลุกขึ้นทุกครั้ง  และอีกอย่างคือ ในช่วงเวลานั้นเราจะพบว่าใครคือคนที่อยู่ข้างคุณ

 

No matter what  คนที่เขารักคุณจริง ๆ เขาจะอยู่ตรงนั้น 

 

รู้จักเก็บบ้างสิ่งและปล่อยบางอย่าง

เทเลอร์กล่าวว่า ชีวิตเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะถ้าคุณพยายามจะถือทุกอย่างเอาไว้ ส่วนหนึ่งของการเติบโตและเคลื่อนสู่บทใหม่ของชีวิตคือ รู้จักเก็บและปล่อย ฉันหมายถึงว่าคุณควรเรียนรู้ว่าควรจะเก็บอะไรไว้

 

และอะไรที่คุณควรโยนทิ้งไป คุณไม่สามารถเก็บทุกอย่างเอาไว้ ความโกรธแค้น ความเป็นไปของแฟนเก่า หรือความอิจฉาเมื่อเห็นคนที่เคยบูลลี่คุณได้รับการเลื่อนขั้น ขอให้เลือกว่าจะเก็บสิ่งใดไว้

 

และโยนที่เหลือทิ้งให้หมด ซึ่งการที่เราเก็บทุกอย่างมาคิดไม่ว่าจะเป็น คำพูดไม่ดี คำดูถูก คำพูดจาที่แย่ ๆ  การกระทำที่ไม่น่ารักต่าง ๆ สุดท้ายมันไม่ดีต่อตัวเองเลย จนวันหนึ่งเราจะเสียใจกับคำพูดคนอื่นจนตัวเราแย่

 

สุดท้ายแล้วเราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยไป ไม่ควรที่จะเอาขยะมาอยู่ในใจของเรา

 

เมื่อเราสูญเสียเรากำลังได้รับกลับมาเช่นกัน

อันนี้คล้าย ๆ กับที่ชอบบอกกันว่า สิ่งใดเกินขึ้น สิ่งนั้นดีเสมอ 

 

เทเลอร์กล่าวว่า “ในชีวิตของคุณ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่พูดผิด เชื่อคนผิด แสดงความรู้สึกน้อยหรือมากเกินไป ทำร้ายคนที่ไม่สมควรทำร้าย คิดมากเกิน ไม่คิดอะไรเลย

 

และฉันจะไม่โกหกว่าความผิดพลาดเหล่านี้ทำให้คุณพลาดบางอย่าง”  “แต่ฉันกำลังบอกคุณว่า เมื่อคุณสูญเสียบางอย่าง มันไม่ใช่การสูญเสียทุกครั้ง เพราะหลายครั้งที่เราสูญเสีย เราได้บางอย่างคืนมาเช่นกัน”

 

มีหลายครั้งเลย ที่เรารู้สึกสูญเสียบางอย่างไป บางครั้งเราเสียดาย เสียใจมาก แล้วเราจมอยู่กับความเสียใจ จนลืมคิดไปว่าสิ่งที่เราสูญเสียบางทีมันก็ไม่ควรกับเราจริง ๆ แต่วันที่มันเสียใจไม่ไหว

 

ให้ลองมองอีกทีว่า เราจะเห็นสิ่งดีดี หรือลองดูว่ามันมีโอกาสอะไรที่จะเข้ามาหาเราได้บ้าง . . 

 

สุดท้าย ขอหยิบยกคำที่เทเลอน์พูดก่อนว่า

 

“พวกเราล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาติญาณ ความอยากและความกลัว บาดแผลและความฝัน และบางครั้งพวกเราก็ทำมันพังทั้งหมด มีหลายสิ่งมากมายจะเกิดขึ้นกับพวกเราแต่เราจะฟื้นตัว เรียนรู้จากมัน และจะเติบโตมากขึ้นเพราะสิ่งเหล่านั้น”

 

หากว่าเรามีความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกว่าต้องมานั่งอดทนกับอะไรบางอย่างมาก ๆ แต่เรายังไม่พร้อมที่จะก้าวออกมาจากจุดนั้น สำหรับบางคนเขาอาจจะฟื้นตัวได้ไว แต่กับบางคนอาจจะจมอยู่กับที่และค่อย ๆ จมดิ่งไป

 

แต่ในท้ายที่สุดแล้ว สัญชาติญาณ ของเราจะผลักให้ตัวเราออกมาเองจากจุดนั้นถึงมันจะยาก จะมีบาดแผลมากเท่าไหร่ สัญชาติญาณ ของเราจะทำงานให้เราออกมาในจุดนั้นในสักวัน 🙂

เจอคนใจดี “เกรงใจ” หรือ “ได้ใจ” ตอนเป็นเด็กใครหลาย ๆ คนคงจะเคยถูกสอนมาว่า

 

“เราต้อง เป็นคนใจดี กับคนอื่น ๆ นะ ทำดีกับคนอื่น ต้องรู้จักแบ่งปัน รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เพราะจะได้มีเพื่อนเยอะ ๆ จะได้มีคนใจดีกับเราตอบ”

 

แต่ความในเป็นจริงแล้วการที่เราใจดีมากเกินอาจจะไม่ได้ส่งผลดีเสมอไปและอาจจะกลับมาทำร้ายตัวเราเอง เราจึงมองหาข้อดีและข้อเสียของการเป็นคนใจดีมากเกินไปกันจากประสบการณ์ของเรา

ทุกข์ใจกับความใจดี

ความใจดีที่ไม่ทำให้ทุกข์ เพราะ นั่นเกิดจากความเมตตาต่อกันและกัน โดยไม่หวังผลตอบแทน แต่ความคาดหวังว่าเขาจะดีตอบกลับมานั่นเองที่ทำให้เราทุกข์ แต่ในอีกมุมมอง ความใจดีที่สร้างความทุกข์นั้น

 

อาจเกิดจากคนที่เราสนิทมาก ๆ ด้วยเท่านั้น เพราะเราคาดหวังว่าเราทำดีกับคนสนิทแล้ว เขาก็ต้องทำดีกลับมาให้เราในรูปแบบที่เราคาดหวังเช่นกัน ใจดีมากเกินไป อาจเป็นเพราะรู้สึกขาดบางอย่างในชีวิต 

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา “Les Babanell” ได้เสนอทฤษฎีหนึ่งไว้ว่า คนที่ใจดีกับคนอื่นเกินไป เป็นคนที่มักจะ ‘รู้สึกขาดในชีวิต’ อาจจะผ่านจากการโดนดูถูก ถูกด้อยคุณค่า ไม่เห็นค่าจากคนรอบข้าง

 

หรือมีความกังวลมากกว่าคนอื่น แล้วสาเหตุจากการที่ตนเองกังวล ไม่ว่าจะเป็นการกลัวสังคมปฏิเสธ กลัวไม่ถูกรัก ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม จึงเลือกที่จะประนีประนอม คนกลุ่มนี้ หากมีสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน

 

จะไม่สามารถยึดมั่นในมุมมองของตัวเองได้ มักจะโดนความคิดเห็นคนอื่นครอบงำได้ง่าย

 

ถ้าเจอคนใจดีด้วย ให้เกรงใจ ไม่ใช่ได้ใจ 

 

การใจดีทำให้เราได้รู้ใจและรู้จักคน ซึ่งเรามักพบคนอยู่สองประเภทที่เราเห็นจากการใจดี

 

เกรงใจ

คนส่วนหนึ่งมักจะเกรงใจคนที่ใจดี ไม่เรียกร้องสิ่งที่ตัวเองต้องการ  และมอบกลับไปให้เสมอ 

 

ได้ใจ

มักจะมีคนส่วนหนึ่ง คนที่เห็นว่าเราใจดีด้วยแล้วจะไม่เกรงใจ เฉยเมย และเอาเปรียบ เรียกร้องอยากได้สิ่งที่ต้องการจากเราเสมอ ซึ่งบ่งบอกได้เลย ว่าเราควรคบใครไว้ในชีวิตในฐานะคนสนิทได้ 

 

คนใจดีไม่ใช่คนโง่ แต่เขารู้ว่ากำลังเผชิญอยู่กับคนแบบไหน และการใจดีนี้จะช่วยคัดกรองความสัมพันธ์ได้เช่นเดียวกัน 

 

ทุกการกระทำ ของเราและของคนอื่นมันก็มีผลตอบกลับมาเสมอ  แล้วทุกวันนี้เราต่างรู้สึกดีกับการที่ได้ช่วยเหลือ และแบ่งปันเหมือนเดิม