Posts

สู้ๆ ’ คำให้กำลังใจที่เรามักได้ยินกันบ่อย ๆ หรือบางครั้งเราอาจจะเป็นคนพูดเองเวลาอยากจะให้กำลังใจใครสักคน เป็นคำพูดที่พูดง่ายที่สุด แต่อาจลืมไปว่าคำนี้อาจไม่ได้ช่วยปลอบใจได้ในทุกสถานการณ์ 

 

คำว่า สู้ๆ ในมุมมองของคนทั่วไป

คำนี้เป็นเหมือนคำให้กำลังใจที่ทำให้เรามีแรงฮึด โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เราต้องการแรงใจ เช่น การสัมภาษณ์งาน การสอบ ยิ่งถ้ามีการสัมผัส สายตา น้ำเสียง คำว่า สู้ๆ จะช่วยสร้างแรงใจให้อย่างมาก

 

 

คำว่า สู้ๆ ในมุมมองของคนเป็นโรคซึมเศร้า

คำว่า สู้ๆ เป็นเหมือนคำที่เเสดงถึงการเมินเฉยความรู้สึก เหมือนการปล่อยให้เขาสู้ตามลำพัง ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนถูกผลักออกมา คนฟังอาจจะรู้สึกว่า เขาสู้มามากแล้ว จะให้เขาสู้กับอะไรอีก 

 

 

ถ้าไม่ใช่คำว่า สู้ๆ เป็นคำว่าอะไรได้บ้าง

1. พูดมาได้เลยนะ เดี๋ยวเราจะคอยรับฟัง

2. เราอยู่ข้าง ๆ เสมอนะ

3. เราเป็นกำลังใจให้นะ

4. เธอเป็นคนสำคัญนะ

 

 

ถ้าไม่ใช่คำพูด เราทำอะไรได้บ้าง?

1.ให้สัมผัสทางกาย เช่น กอด จับมือ

การสัมผัสทางกายเป็นสิ่งที่สร้างความอบอุ่นและสื่อความรู้สึกได้ เขาจะรู้สึกว่ามีคนอยู่เคียงข้าง เข้าใจเขา รับฟังเขา เขาจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

2.การเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังด้วยใจ

ลองรับฟังเขาก่อน อาจจะมีคำตอบที่ดีกว่าคำว่าสู้ ๆ ที่สำคัญคือ ต้องรับฟังจริง ๆ โดยไม่ตัดสิน

3.ถามคำถามปลายเปิด

ลองถามคำถามปลายเปิด เพื่อให้เขาระบายความรู้สึกออกมา เราจะได้เข้าใจเขามากขึ้น 

 

 

ควรพูดอะไร/ทำอย่างไรกับคนเป็นโรคซึมเศร้า

1. บอกให้เขารู้ว่าเราห่วงใยและคอยอยู่เคียงข้าง

คำง่าย ๆ อย่างคำว่าห่วงใย”อาจมีความหมายมาก ๆ กับคนที่อาจรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังใจร้ายกับพวกเขา  สิ่งสำคัญคือต้องบอกให้เขารู้ว่าพวกเขาสำคัญ

3. บอกกับเขาว่าเรา “เข้าใจ” ในสิ่งที่เขาเป็น

บอกว่า เราเข้าใจนะ ระหว่างที่พูดคุยกันจะช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่โดดเดี่ยว ที่สำคัญคือเราควรที่จะถามปลายเปิด คอยตอบโต้เขา ใส่ใจในคำพูดและท่าทีเขา

4. บอกกับเขาว่า “ไม่เป็นไร” ที่จะรู้สึก

บอกพวกเขาว่า ไม่เป็นไรถ้าจะรู้สึกแบบที่เป็นอยู่ ไม่ต้องกดดันตัวเองว่าเราจะต้องรีบโอเค รีบหายเศร้า หรือว่าโตแล้วต้องห้ามร้องไห้ เพื่อให้เขาผ่อนคลายขึ้น

5. ทำให้เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้อ่อนแอ

ทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแอหรือบกพร่องเลย  การที่เขารู้สึกแบบที่รู้สึกเป็นอะไรที่เกิดได้ขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ จะเสียใจก็ไม่เป็นไร

 

 

สู้ ๆ คนฟังอาจตีความได้หลากหลายแบบ อย่าลืมใส่ใจกันและกันให้เยอะๆ นะคะ 🙂

“ สู้ชีวิต แต่ ชีวิตสู้กลับ ” ประโยคไวรัลที่นำมาใช้เพื่อเเสดงถึงการลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่ระหว่างทางดันเจออุปสรรค เราจะทำอย่างไรเมื่อชีวิตเจอกับอุปสรรค

 

ประโยคที่ตลกแต่เวลาเกิดขึ้นมันไม่ได้ตลกเสมอไป

” สู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับ ” ประโยคนี้ค่อนข้างใช้ได้บ่อยเวลาเจอเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เรามีความรู้สึกแบบอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ 

 

อาจฟังดูตลก แต่พอเกิดสถานการณ์นั้นจริง ๆ เรามักจะรู้สึกไม่ดี พอย้อนกลับไป ตัวเราในตอนนี้อาจจะขำ แต่ตัวเราในตอนนั้นคงขำไม่ลง

 

อีกนัยยะหนึ่งของคำนี้อาจจะหมายถึง เวลาที่เราทำอะไรสักอย่าง แล้วมันไม่เป็นไปดั่งใจ เหมือนกับทำอะไรสักอย่างแต่มีอุปสรรคมากมาย

 

ต้องพยายามแค่ไหนชีวิตถึงไม่สู้กลับ

เราไม่มีทางรู้เลยว่ากับเรื่องนี้เราต้องพยายามมากแค่ไหนเราถึงจะสำเร็จ จนกว่าเราจะได้ลงมือทำจริง ๆ และเวลาผลที่เราทำไม่ได้ออกมาแบบที่เราหวัง 

 

ในหลาย ๆ เรื่องที่เราใส่ความพยายามลงไป ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์ พอมีอุปสรรคเกิดขึ้นบ่อย ๆ ถี่ ๆ จนทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมันสู้กลับ 

 

มันเป็นไปได้ ที่จะทำให้เรากลายเป็นกลัวการที่จะทำอะไร ไม่กล้าตั้งเป้าหมาย เพราะกลัวผิดหวังไปเลย กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ลบไปทุกเรื่องเลย

 

 

สู้ชีวิต ชีวิตสู้กลับ ไม่สู้ต่อได้ไหม

อาจจะแล้วเเต่สถานการณ์ เรื่องบางเรื่องใช้ความพยายามเเล้วมันสำเร็จจริง สู้ต่อแล้วมันถึงเส้นชัยจริง แต่กับบางเรื่องอาจจะไม่จริง

 

ไม่ใช่ว่าเราพยายามแล้วจะไปสู่ความสำเร็จได้ตลอด เเต่ข้อดีของการพยายามคือ ทำให้เรารู้ว่ากับเรื่อง ๆ นี้เราจะไปต่อหรือพอแค่นี้

 

แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามเรารู้สึกว่าเราไม่อยากสู้ต่อแล้วกับเรื่อง ๆ นี้ก็ไม่ผิดที่เราจะพักแล้วไปหาเป้าหมายใหม่ แค่ได้ทำดีที่สุดแล้วก็พอเนอะ 

 

 

เมื่อเราเจอ ชีวิตสู้กลับ รับมืออย่างไรดี 

บทความจาก verywellmind แชร์เกี่ยวกับ 10 Healthy Ways to Cope With Failure (10 วิธีที่ดีในการรับมือกับความล้มเหลว) 

1.Embrace Your Emotions (โอบกอดความรู้สึกของตัวเอง)

ผลการศึกษาบอกว่าเราไม่ควรพยายามขจัดความรู้สึกแย่หลังจากความล้มเหลว แต่ควรโอบกอด ปล่อยตัวเองให้รู้สึก จะช่วยให้ยอมรับและหาวิธีแก้ไขปัญหาได้

 

2.Practice Healthy Coping Skills  (ฝึกทักษะที่ดีในการรับมือกับปัญหา)

เช่น การโทรหาเพื่อน ฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ อาบน้ำ ไปเดินเล่น หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงของเรา อาจจะเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจัดการกับความเจ็บปวดที่มันดีต่อสุขภาพ 

 

3.Ask Yourself What You Can Learn (ถามตัวเองว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง)

ความล้มเหลวสามารถเป็นครูที่ดีได้ ถ้าเราลองเปิดใจเรียนรู้ เราก็อาจจะเจอวิธีที่แตกต่างออกไป  ให้เรามองว่าความล้มเหลวมันจะกลายเป็นบทเรียนชีวิตที่ช่วยให้เราเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างได้

 

4.Create a Plan for Moving Forward (สร้างแผนเพื่อไปต่อข้างหน้า)

การที่เราจมอยู่กับความรู้สึกแย่อาจจะทำให้เราไม่สามารถก้าวไปต่อข้างหน้าได้ ดังนั้นลองสร้างเเพลนเล็กๆ ให้กับตัวเองในการ Move on ต่อไปข้างหน้าดู อาจจะช่วยคุณในวันที่ชีวิตสู้กลับได้

 

5.Face Your Fears of Failure (เผชิญหน้ากับความกลัวความล้มเหลว)

ลองฝึกก้าวออกมาจากเซฟโซนของตัวเอง ทำอะไรก็ตามที่เราอาจจะถูกปฏิเสธหรือลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่อาจล้มเหลว เมื่อเวลาผ่านไป เราจะได้เรียนรู้ว่าความล้มเหลวไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด 

 

 

ลองโอบกอดความรู้สึกตัวเอง เพราะไม่สายที่จะเริ่มใหม่ในทุก ๆ วัน 🙂

 

 

ที่มา : 

10 Healthy Ways to Cope With Failure

จากเหตุการณ์ที่ Will Smith เดินไปตบหน้า Chris Rock บนเวทีประกาศรางวัล เพราะไม่พอใจที่ Chris Rock นำอาการป่วยของภรรยา Jada Smith มาพูดเป็นเรื่อง ” มุกตลก ” 

 

วันนี้ Alljit Podcast กับรายการ Learn & Share จึงอยากชวนทุกคนเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า จริงไหม? ที่มุกตลกอาจสร้างบาดแผลให้กับใครอีกคนมากกว่าที่คิด

 

“ร่างกายผู้คนไม่ใช่ มุกตลก ”

การ Bully เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนต้องประสบพบเจอ แต่ในความเป็นจริง แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่า คำพูดนั้นอาจทำร้ายความรู้สึกของอีกคนได้มากกว่าที่คิด

 

 

ประเด็นที่น่าขบคิดจาก มุกตลก

1. สนิทกันแค่ไหนก็ไม่ควรมองข้ามความรู้สึก

บางคนใช้คำว่าสนิทเป็นข้ออ้าง ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของคนฟังเท่าที่ควร ทางที่ดีถึงแม้จะสนิทหรือไม่สนิท การเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นเรื่องที่ควรทำ 

2. บางทีเราก็เผลอตลกไปกับมุกตลกร้าย

บางครั้งในวงสนทนาที่มีการ Bully เกิดขึ้น การเผลอหัวเราะไปกับมุกตลกร้าย ในแง่หนึ่งการกระทำนี้อาจเป็นการปล่อยให้การ Bully เกิดขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ

3. การให้เกียรติและความเท่าเทียม

การ Bully บางครั้งเป็นการพยายามกดให้คนอื่นดูแย่เพื่อเติมเต็มความรู้สึกตัวเอง การเลือกวิธีการเติมเต็มตัวเองที่ไม่ทำร้ายใครจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  

4. การการยอมรับผลตามที่ตามมา

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยอมรับว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่ผิด จะระมัดระวังแค่ไหน ทุกคนก็ต้องมีผิดมีพลาด สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่าเราผิด ยอมรับและแก้ไขมันให้ดี 

5. การแสดงความไม่พอใจ

ทุกคนมีสิทธิ์ในการปกป้องตัวเองและคนที่เรารัก แต่วิธีอื่นในการแสดงความไม่พอใจ อย่างการพูด การสื่อสารออกไป จะเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าการทำร้าย

 

 

Bully คืออะไร 

Bully คือ การกลั่นแกล้งที่แสดงออกด้วยคำพูด หรือ พฤติกรรมที่ก้าวร้าวต่อผู้อื่น มักเกิดขึ้นในสังคมที่มีช่องว่างระหว่างผู้ที่มีพละกำลังหรืออำนาจมากกว่าและผู้ที่อ่อนแอกว่า

1. การกลั่นแกล้งทางวาจา (Verbal Bullying) 

การสื่อสารด้วยการพูดหรือเขียน เพื่อสื่อความหมายกลั่นแกล้ง เช่น ล้อเล่น เรียกชื่อ แสดงความคิดเห็นทางเพศที่ไม่เหมาะสม เหน็บแนม หรือขู่ว่าจะทำอันตราย

2. การกลั่นแกล้งทางสังคม (Social Bullying)

การทำให้เสียหน้า หรือ แกล้งให้สูญเสียความสัมพันธ์กับผู้อื่น อย่างตั้งใจ เช่น ขับเพื่อนออกจากกลุ่ม กระจายข่าวลือให้เสียหาย กีดกันไม่ให้เป็นเพื่อนกัน เป็นต้น

3. การกลั่นแกล้งทางกายภาพ (Physical Bullying)

การกลั่นแกล้งที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและสวัสดิภาพของผู้ถูกกลั่นแกล้ง เช่น การทุบตี ทำร้าย ทำให้สะดุด แย่งสิ่งของ แสดงออกด้วยท่าทางที่หยาบคายใส่ เป็นต้น

 

 

ผลกระทบจากการถูก Bully หรือ มุกตลก

ผลกระทบจากการถูกกลั่นแกล้ง คือ ปัญหาสุขภาพจิต เพราะการถูกทำร้ายร่างกายหรือจิตใจซ้ำ ๆ อาจทำให้เกิดความทุกข์ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้

 

นอกจากนี้ยังทำให้สูญเสียความมั่นใจและประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตอีกด้วย และการ Bully ไม่เพียงแต่จะกระทบกับสภาพจิตใจของผู้ถูกกระทำเท่านั้นด้วย

 

แต่ยังกระทบกับผู้ที่กลั่นแกล้งด้วย เช่น เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลุ่มคนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะใช้สารเสพติด และอาจมีพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงในอนาคต

 

เพื่อป้องกันผลเสียเหล่านี้ การคิดก่อนพูด ให้เกียรติผู้อื่น มีสติตระหนักรู้ไม่ Bully ผู้อื่นและไม่หัวเราะไปกับการ Bully เพื่อป้องกันไม่ให้การกระทำนั้นเกิดขึ้นซ้ำ ๆ จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ

 

 

นอกจากการดูแลจิตใจตัวเอง อย่าลืมดูแลจิตใจคนรอบข้างด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรานะคะ 🙂

จะรับมือกับความรู้สึก อ่อนไหวง่าย อย่างไรดี ความอ่อนไหวไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่ทำให้เราสัมผัสอารมณ์ของคนอื่นได้รวดเร็ว

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ 

 

บางคนเจออะไรเล็กน้อยน้ำตาก็ไหลออกมาง่ายดาย เช่น การฟังเพลงเศร้า การดูหนังเศร้า ๆ ก็ทำให้หวั่นไหวไปทั้งหัวใจจนร้องไห้ได้เลยจนบางทีอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาแต่พอโตขึ้นมาเรายากที่จะควบคุมกับอารมณ์อ่อนไหวของตัวเราเอง

ความ อ่อนไหวง่าย ของจิตใจ

ความอ่อนไหวง่ายไม่เท่ากับอ่อนแอ การร้องไห้ง่ายไม่ใช่ว่าพ่ายแพ้

แต่น้ำตาที่ไหลออกมามันสื่อถึงเราอินกับอะไรได้ง่ายเข้าถึงบางสิ่งบางอย่างได้ง่ายกลุ่มคนบางคนอาจจะรู้สึกอิจฉาคนที่อ่อนไหวง่าย

 

เพราะพวกเขาเข้าถึงคนไม่ได้ง่ายอยากจะปลดปล่อยอารมณ์ก็ไม่ง่ายเช่นกัน อ่อนไหวง่ายได้แต่ต้องอยู่ในจุดที่พอดีถ้าอ่อนไหวเกินไป

 

จะทำให้ส่งผลกระทบต่อด้านลบของจิตใจของเราได้ บางทีถ้ามันมากเกินไปมันจะส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการไม่ให้ความอ่อนไหวมาทำร้ายเรา

วิธีการรับมือกับความ อ่อนไหวง่าย

1.ตั้งสติและคอยสำรวจความรู้สึกตัวเอง

ความอ่อนไหวไม่สามารถที่จะจับต้องได้บางครั้งเราก็ไม่ทันรับมือ เราต้องหมั่นฝึกฝนในการรับมือความอ่อนไหวคือการตั้งสติ คอยสำรวจความรู้สึกของตัวเอง ตัวเราเองสามารถเข้าใจอารมณ์ตัวเองได้ไหม?

 

อะไรคือสาเหตุความอ่อนไหว? ฝึกสังเกตจากสิ่งเร้าที่มีการสนองกับอารมณ์ อะไรเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เรารู้สึกอ่อนไหวเป็นตัวช่วยที่ทำให้เราเข้าใจตัวเอง

 

2.จดบันทึก

เรียนรู้จากการบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น ระบุมันออกมาเพื่อให้ตัวเองได้รับรู้ความรู้สึกของตัวเอง

 

3.ลงมือทำอะไรบางอย่าง

อย่าลืมที่จะลงมือทำบางสิ่งบางอย่างกับตัวเองเพื่อที่เราจะได้เข้าใจกับอารมณ์อ่อนไหวของตัวเอง ให้เวลากับตัวเองได้หยุดพักบ้าง อย่าพึ่งรีบแก้ไขให้หยุดพักกับตัวเองสักครู่หนึ่งก่อน เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นอาจจะทำให้เราขาดการคิดวิเคราะห์ 

 

4.สื่อสารอย่างชัดเจน

เรียนรู้ที่จะสื่อสารอย่างหนักแน่นและชัดเจน ถ้าเราอ่อนไหวง่ายเราจะโอนเอนความคิดไปที่คนอื่นได้ง่าย

 

เราต้องฝึกสื่อสารความรู้สึกของเราเองให้หนักแน่นเพื่อที่จะสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจตัวเอง การสื่อสารออกไปทำให้เราเพิ่มความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นได้อีกด้วย 

 

5.อยู่กับปัจจุบัน

ฝึกสติ หยุดอยู่กับความอ่อนไหวของตัวเองให้ทำในตอนที่เรากำลังจะเกิดความรู้สึก ฝึกหายใจ ดึงตัวเองกลับมาอยู่สถานการณ์ปัจจุบัน 

 

6.หาที่พึ่งพิง

หาคนที่ทำความเข้าใจที่พักพิงความอ่อนไหวของเราได้ บางอย่างถ้าเราเข้มแข็งไม่ไหวการที่มีใครมาซัพพอร์ตความรู้สึกเราจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ด้วย

เคยไหมที่อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่า งานที่ทำมันน่าเบื่อไปหมด มองไปทางไหนก็ไร้เเรงบันดาลใจ เหมือนทำงานไปวัน ๆ แบบไม่มีจุดหมาย จนเรามีความรู้สึกขึ้นมาว่า ลาออก ต้องได้ลาออกแน่ ๆ เลย ฉัน หมด passion

 

Alljit ร่วมกับคุณกวินทิพย์ จันทนิยม นักจิตวิทยาการปรึกษาและตอนนี้กำลังทำงานในตำแหน่ง HR (Human Resource / Human Resource Management) 

 

บทบาทและหน้าที่ของ HR

สารบัญ

1.สรรหาและคัดสรรบุคลากร (Recruitment) 

เป็นการสรรหาคัดเลือกผู้สมัครเข้ามาสัมภาษณ์ 

2.การวางแผนกำลังคน (Human Resources Planning)

การวิเคราะห์กำลังคน รวมถึงทำให้สามารถดูอัตรากำลังคนแต่ละแผนกว่า แต่ละแผนกต้องใช้ตำแหน่งอะไรบ้าง, แต่ละตำแหน่งมีหน้าที่อย่างไร และมีความต้องการใช้จำนวนคนกี่คน 

3. Payroll และงานข้อมูลพนักงาน 

ดูแลเงินเดือนของพนักงาน จัดทำค่าจ้างเงินเดือน และยังต้องดูแลจัดสรรข้อมูลประวัติของพนักงาน รวมทั้งสวัสดิการต่าง ๆ 

4.Training หรือฝึกอบรมพนักงาน 

เป็นการเพิ่มศักยภาพของพนักงาน เพื่อพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้ดียิ่งขึ้น 

5.งานประเมินผลงาน 

เป็นการติดตามและประเมินผลงานพนักงาน รวมถึงวางแผนเพื่อให้รางวัลและผลตอบแทนกับพนักงาน คร่าวๆก็ประมาณนี้ค่ะ แต่โดยรวมแล้ว ลักษณะของการทำงานเป็นไปเพื่อพัฒนา

 

และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เกิดกับองค์กร ด้วยการพัฒนาให้พนักงานมีความรู้ ความสามารถ เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ

 

คุณสมบัติของ HR ที่ควรมี

1.ต้องมีทักษะการสื่อสารที่ดี 

เพราะHR ต้องพูดคุยกับพนักงานในทุกๆตำแหน่ง 

2.มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี 

เนื่องด้วยการเป็น HR ต้องทำความรู้จักกับพนักงานในองค์กรทุกคน เป็นที่พึ่งพาของพนักงานได้ 

3.ยุติธรรมและวางตัวเป็นกลาง 

HR มืออาชีพจะต้องเป็นผู้กำหนดทิศทางความถูกต้องและให้ความยุติธรรมสำหรับพนักงานทุกคน 

4.เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ 

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่เข้ามาช่วยในการทำงานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว HR ต้องรู้จักเรียนรู้การใช้โปรแกรมใหม่ๆอยู่เสมอ 

5.ทักษะทางการตลาด 

ต้องมีทักษะและใช้เทคนิคด้านการตลาด เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่แบรนด์ขององค์กร เพื่อดึงดูดผู้สมัครงาน

 

HR ในปัจจุบันต่างจากสมัยก่อนอย่างไรบ้าง

HR ในปัจจุบันต้องปรับเปลี่ยนหลากหลายอย่าง อย่างเช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริหารสายงานบุคคล เมื่อก่อนอาจจะใช้เป็นเอกสารในการเก็บข้อมูลพนักงาน

 

แต่ตอนปัจจุบันนี้ใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ การสรรหาสวัสดิการที่เหมาะสมกับสไตล์การทำงานของพนักงานในยุคปัจจุบัน

 

อย่างเช่น ปัจจุบันการทำงานแบบ hybrid กำลังเป็นที่นิยม คือการทำงานแบบที่บ้านสลับกับเข้าออฟฟิศบางวัน Hr ก็ต้องจัดสวัสดิการตรงนี้เพิ่มเข้าไปให้พนักงาน ซึ่งสมัยก่อนอาจจะไม่มีตรงจุดนี้ หรือการสรรหาพนักงานและการสัมภาษณ์

 

สมัยก่อนต้องมาสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศเท่านั้น แต่สมัยนี้สามารถสัมภาษณ์ผู้สมัครผ่านทางวีดีคอล ออนไลน์ได้เลย 

 

ระบบการทำงานในสมัยนี้สนับสนุนให้หลาย ๆ อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะว่าวิถีชีวิตในโลกการทำงานที่มันเปลี่ยนไปมากๆเลยในช่วง Covid19 เราต้องปรับตัวตั้งแต่การใช้ชีวิต และแน่นอนว่าการทำงานก็ต้องได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน 

ช่วง Pre-Covid19 ยังทำงานที่ออฟฟิศอยู่ 

ช่วง During covid19 หลาย ๆ บริษัทก็เปลี่ยนมาเป็น WFH 100% 

ช่วง Post covid19 ก็มาเป็นแบบ Hybrid Working 

 

เพราะอะไรคุณสมบัติ Empathy ถึงสำคัญสำหรับการทำงาน

Empathy คือความสามารถในการเข้าใจคนอื่นในมุมมองที่พวกเขาเป็นและเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้แต่ละคนเข้าใจกันในมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งจำเป็นในการสร้างบรรยากาศของความเป็นกลุ่ม และสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

 

การมีคุณลักษณะของ empathy จะช่วยทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยในที่ทำงาน ซึ่งจะช่วยให้การร่วมงานกันเป็นไปได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ

 

จากทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ ลำดับที่ 3 นั้น ทุกคนต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดี ได้รับความรัก และความเข้าใจและการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม 

 

Empathy Skill นั้น สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ทั้งการคุยกับเพื่อนร่วมงาน การมอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า

 

นอกจากนี้ในชีวิตประจำวันก็ยังสามารถนำ Empathy Skill มาใช้ได้อีกเช่นกัน เพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้ ทำให้ Empathy เป็นทักษะที่สำคัญมาก ๆ 

 

ทำไมถึง หมด Passion ในการทำงาน? 

Passion ก็คือ ความรัก ความชอบ ความหลงไหลในอะไรสักอย่าง เป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนของคนคนนึงให้ทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ ซึ่งธรรมชาติของ Passion คือ การไม่คงที่ ไม่มั่นคงและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

 

อย่างในตอนเด็กเราอาจจะมีความชอบแบบนี้ ๆ แต่พอเราเริ่มโตขึ้นความชอบเราก็เปลี่ยนไป ซึ่ง During ของการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะสั้น ๆ เลยด้วยซ้ำ

 

passion เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและการเติบโต ที่ผ่านการเรียนรู้ การรับรู้และประสบการณ์ เป็นเรื่องธรรมชาติมาก ๆ ที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงความสนใจได้ตลอดเวลา 

 

โอกาสในการ หมด Passion ในการทำงาน

ขึ้นอยู่กับคนคนนั้น ว่าสิ่งที่เค้ากำลังทำอยู่มันน่าเบื่อ มันซ้ำซากจำเจแค่ไหน หรือมันยังสร้างความสุขให้คนนั้นอยู่ไหม Passion ในการทำงานของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอยู่แล้ว

 

บางคนเค้าได้ทำงานในสิ่งที่ชอบสิ่งที่ถนัดเค้าก็อาจจะมี passion กับงานนั้นสูงมาก อยากทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะสนุกและชอบในสิ่งที่ทำ

 

แต่กับบางคนเค้าอาจจะไม่ได้ทำงานในสิ่งที่ชอบหรือถนัด ก็อาจจะมี Passion กับงานนั้นน้อย หรือทำไปนาน ๆ ก็อาจจะหมด passion ไปเลยก็ได้

 

ทำไมถึง หมด Passion ในการทำงาน 

1.งานไม่มีความท้าทาย

อาจจะด้วยตัวเนื้องานที่ทำไม่ได้มีความท้าทายอะไรมาก ทำงานวนไปวัน ๆ งานรูปแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในตัวงานที่ทำเลย ก็เป็นสาเหตุทำให้เบื่อหน่ายและเกิดความรู้สึกว่าหมด passion 

2.ไม่มีการเติบโตของสายงาน 

หลายคนเบื่อหรือหมดความสนใจเมื่อรู้สึกว่าตนเองไม่มีโอกาสเติบโตในสายอาชีพนั้น ๆ ทำให้ไม่มีแรงผลักดันในการเรียนรู้สิ่งใหม่ในสายงานเดิม ไม่อยากที่จะทำ หมด passion ในการทำงานแล้ว 

3.การได้รับค่าจ้างต่ำเกินไป 

คือการได้รับค่าจ้างที่ต่ำเกินไปสำหรับความพยายามของพนักงานคนนั้น โดยเฉพาะเงินเดือนเฉลี่ยในตลาดแรงงานที่มักจะเป็นตัวเลขที่ต่ำ ทำให้เงินเดือนบางอาชีพได้รับเงินไม่คุ้มค่ากับความเหนื่อย 

 

นอกจากยังมีปัจจัยตัวอื่นอีกหลาย ๆ อย่าง ที่ทำให้เกิดการหมด passion ในการทำงานได้

 

ในมุมมอง HR ถ้ามีพนักงานหมด Passion

1.พูดคุยและปรับเปลี่ยน

ต้องให้แต่ละแผนกได้มีการพูดคุยกันก่อน เพราะเป็นบุคคลที่ร่วมงานกันได้ใกล้ชิดกันมากที่สุด ถ้าการหมด passion เกิดจากงาน งานอาจจะวนลูปเดิมเกินไป ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานกันในแต่ละแผนก 

2.สร้าง Career path

ถ้าเป็นเรื่องของการเติบโตในสายงาน ทาง HR ก็ต้องเข้าไปดูแลตรงส่วนนี้ ต้องสร้าง career path ให้พนักงานคนนั้นเป็นการกระตุ้นและจูงใจให้เค้ามี passion ขึ้นมาอีกครั้ง 

3.สร้างสภาพแวดล้อมให้รู้สึกผ่อนคลาย

บางที HR จะต้องสร้างสภาพแวดล้อมขององค์กรให้รู้สึกถึงการผ่อนคลายบ้าง เช่น มีห้องไว้ให้พนักงานไว้ผ่อนคลาย อาจจะเป็นห้องเล่นเกมส์ มีห้องดูหนังไว้ให้พนักงานดู มี snack หรือ soft drink ไว้ให้พนักงาน 

4.มีการทำงานแบบยืดหยุ่นตามความเหมาะสม

จัดให้มีการทำงานแบบ Hybrid Working คือ Work From Home สลับกับการเข้าออฟฟิศ เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ให้พนักงานมีความสะดวกสบายในการทำงาน

 

หมด Passion ในการทำงาน เราจะทำยังไงดี

1.หาวิธีผ่อนคลาย

เราต้องรู้จักหาวิธีการผ่อนคลายบ้าง ผ่อนคลายความเครียด แก้ความเบื่อหน่าย เราก็อาจจะต้องใช้สิทธิ์ลาพักร้อน ลาพักผ่อนเพื่อไปชาร์ตพลังให้ตัวเองบ้าง 

 

2.เลือกโฟกัสงานที่สำคัญในแต่ละวัน 

จะช่วยทำให้เรารู้เป้าหมายของเราในแต่ละวันอย่างชัดเจน เมื่อทำสำเร็จตามเป้า เราจะมีกำลังใจและอยากจะทำงานนั้นๆ ต่อ 

 

3.อาจจะต้องปรับทัศนคติของตัวเราเอง 

ให้คิดในแง่ดีไว้ว่าถ้าเราผ่านจุดนี้ไปได้มันก็คงมีอะไรที่ดีขึ้น  หรือให้คิดว่าการทำงานบางทีเราไม่ได้ทำงานเพื่อ passion อย่างเดียว แต่เราทำงานเพื่อความจำเป็นในชีวิต

 

ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว หรือการทำเพื่อสังคม มีหลายอย่างในชีวิตที่สำคัญกว่า passion การคิดแบบนี้จะช่วยให้คุณสามารถไปต่อได้ 

 

4.หาเป้าหมายใหม่

ถ้าสุดท้ายแล้วมันหมด passion จริง ๆ กับงานที่ทำอยู่ บางทีการหางานใหม่ที่มันท้าทายมากกว่าเดิม หรือการไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ กับองค์กรใหม่ ก็อาจจะเป็นคำตอบของพนักงานคนนั้น

 

วิธีการป้องกันการ หมด Passion 

“การทำงานแบบ Work-Life balance”

 

ก็เป็นสิ่งช่วยป้องกันการหมด passion ชะ ทำให้เราไม่เครียดมากไป มีเวลาให้กับตัวเองได้ไปพักผ่อนบ้าง หรือไม่ก็การลงเรียนคอร์สอัพสกิลอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากตัวเนื้องานที่เราทำหรือจะเกี่ยวกับงานก็ได้

 

เพราะจะทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ  เป็นตัวกระตุ้นความสนใจของเรา บางทีเราก็อาจจะนำสิ่งที่เรียนมาปรับใช้ในการทำงานได้ด้วย

 

เราต้องหาจุดที่ balance ของตัวเอง จุดที่เรามีความสุขกับงานและเอนจอยกับชีวิตส่วนตัวได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่าเราเครียดกับการทำงานมากเกินไป การลาหยุดสักวันสองวันไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลย ให้โอกาสตัวเองได้พักผ่อนบ้าง ให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเองบ้าง

วันนี้เจนจะมาบอกเล่าประสบการณ์การ ดำน้ำ ลึกและสิ่งที่ได้จากประสบการณ์ครั้งนั้น เพราะเจนเชื่อว่าการไปเที่ยวให้อะไรมากกว่าที่เราคิดเสมอ เราลองมาหาข้อดีจากมันไปพร้อม ๆ กันนะคะ

“ ไปเที่ยว ” คงเป็นอะไรที่หลายๆคนชอบและอยากที่จะไปบ่อยๆ ไม่ว่าจะไปกับเพื่อน ครอบครัว คนรัก หรือบางคนที่ชอบเที่ยวคนเดียว

 

การไปเที่ยวนอกจากที่จะได้พักผ่อนตัวเองแล้วเรายังได้เจอกับประสบการณ์ต่าง ๆ สิ่งรอบตัวใหม่ ๆ ได้ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดของตัวเอง และในบางครั้งเราอาจจะได้ยินเสียงของตัวเองจริง ๆมากขึ้นด้วย

 

ถ้าพูดถึงการดำน้ำลึก ทุกคนจะนึกเป็นภาพอะไรขึ้นมาเป็นภาพแรก? อาจจะเป็นภาพของฝูงปลาที่แหวกว่าย ปะการังที่พริ้วไหว ภาพของนักดำน้ำ วันนี้เจนจะพาทุกคนมาท่องโลกใต้ท้องทะเลไปกับเจนค่ะ

ดำน้ำ ลึกครั้งแรกรู้สึกกลัวมาก ๆ แต่ใจมันก็บอกว่าต้องไป 

เจนเป็นคนที่ชอบธรรมชาติมาก ๆ ชอบทะเล ชอบน้ำ ชอบสัตว์ต่าง ๆ ชอบต้นไม้ ชอบลม ชอบฝน เวลาที่ไปทะเล ไปน้ำตก รู้สึกว่าเหมือนได้เติมพลัง หลัง ๆ ก็เริ่มได้มีโอกาสสน็อกลิงค์คือดำน้ำตื้น รู้สึกว่าโลกใต้น้ำมันสวยมาก ๆ เลย

 

ขนาดเราลอยตัวเพียงแค่ผิวน้ำ เราเห็นปลาที่มันหลากหลาย เห็นประการัง เห็นปู เห็นหอยมือเสือหรือเห็นปลาการ์ตูน เรารู้สึกว่า โอ้โห มันอะเมซิ่งมาก ๆ เลย

 

จนเรารู้สึกว่าดำน้ำลึก มันต้องเห็นอะไรมากกว่านี้แน่ ๆ เลย แต่ตอนนั้นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับการดำน้ำลึก แค่เคยเห็นภาพว่าการดำน้ำลึกต้องแบกถังหนัก ๆ ไว้ แล้วก็ต้องคาบอะไรไว้ตลอดเวลา ไม่เข้าใจหรอกว่าต้องหายใจยังไง มันต้องลอยตัวยังไง มีอันตรายอะไรบ้าง

 

แต่วันนึงก็รู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วแหละที่เราควรจะลงไปให้มันลึกกว่านี้  “เพราะว่าใจเรามันเรียกร้อง”

วันที่ 1 ยังไม่ได้ลงทะเลเลย…แต่เครียดมาก

วันเเรกเรียนในสระน้ำ เป็นเรียนทฤษฎีช่วงเช้า ภาคบ่ายปฏิบัติตามสกิลต่าง ๆ ในสระ เป็นวันที่เครียดที่สุดเลย มันไม่ง่ายเลย นั่งเรียนทฤษฎีตั้งแต่ช่วงเช้า เรียนไปจนถึงประมาณบ่าย ๆ และมีให้ทำข้อสอบ ดูวีดีโอ สอนอุปกรณ์เบื้องต้น

 

พอเรียนไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่ายากจังเลย ดีเทลเยอะ ยิ่งเรียนไปก็ยิ่งรู้ว่ามันมีอันตรายอะไรบ้าง ที่มันจะเกิดขึ้นกับเราได้ เพราะยิ่งรู้ก็ยิ่งกดดัน

 

พอลงไปในน้ำจริงยิ่งยากกว่าเดิม ลงไปในสระเราต้องเรียนทำสกิล เราต้องทำทุกอย่างตาม Step  1   2  3  4 เราต้องตั้งใจมาก ๆ ก็เลยเกิดความกดดันขึ้นกับตัวเอง

 

กลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ ว่ายน้ำโดยใช้ฟินก็ยังทำไม่เก่ง ถังออกซิเจนก็หนัก  เรียนก็เหนื่อยเพราะว่ามันมีหลายสกิลมากและยาวต่อเนื่อง

 

เลยรู้สึกทั้งเครียดทั้งกดดัน ครูก็ค่อย ๆ สอนไปค่อย ๆ บอกให้ทำให้ได้ก่อน วันนี้เรียนจบไปเลิกประมาณห้าโมงครึ่ง คือเรียนทั้งวันเลย  

 

กลับโรงแรมเครียดมาก เราก็เลยยกโทรศัพท์มาโทรหาที่บ้าน อยู่โรงแรมคนเดียวร้องไห้หนักมาก กังวลทุกอย่าง การบ้านก็ต้องทำ ที่บ้านก็ให้กำลังใจแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวเธอก็ร้องไห้แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่ร้องแล้วเชื่อสิ

 

เจนก็ร้องเพื่อระบายความเครียดออกมาก็รู้สึกว่า โอเคขึ้น แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องไปทำการบ้านต่อ เราทำการบ้านดูวีดีโอจนหลับไปเลย

วันที่ 2 เจนทำได้แน่  ๆ เจนต้อง ดำน้ำ ให้ได้ โลกใต้ทะเลมันสวยมากแน่ ๆ  

มาถึงวันที่ 2  ต้องตื่นเช้ามาก วันนี้ตื่นเต้นสุด ๆ เพราะว่าจะได้ลงไปใต้ทะเลจริง ๆแล้ว ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว วินาทีที่เราเดินขึ้นเรือและเรือกำลังจะออก มันก็รู้สึกสดชื่นแต่ใจนึงก็รู้สึกกังวลมากว่ามันจะเป็นยังไง…

ได้เวลาใส่ชุดเตรียมตัวลงน้ำ

เพื่อลงไปดำน้ำแล้วก็ไปสอบทำสกิลต่าง ๆ ใต้ทะเล ความลึกประมาณ 10 เมตร 12  เมตรประมาณนี้ เจนแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย มานั่งเพื่อเตรียมตัวจะลง แต่เจนรู้สึกกังวลและตื่นเต้นมาก ๆ จนคนรอบข้างสัมผัสได้

 

ทุกคนก็เลยเดินมาเพื่อมาปลอบใจและให้กำลังใจเจน ซึ่งเจนรู้สึกว่า ขอบคุณมาก ๆ มันดีมาก ๆ 

ความเชื่อมั่นที่ได้จากคุณครู

พอคุณครูเดินมา คุณครูบอกว่า เราจะกลัวทำไม เราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ขนาดคุณครูยังเชื่อมั่นในตัวของลูกศิษย์เลย เจนเลยฮึ้บและบอกกับตัวเองว่า เราทำได้แน่ ๆ โลกใต้ทะเลมันต้องสวยมาแน่ ๆ

 

วินาทีนั้นก็ลงไปใต้ทะเล ตอนนั้นยังไม่ได้มองรอบข้างว่าสวยหรือไม่สวย ตอนที่ค่อย ๆ ลงไปสู่ความลึก ยังมองไม่เห็นความสวยเลย ยังไม่ตื่นเต้นกลัวอย่างเดียว สุดท้ายจึงก็ว่ายไปจับคุณครูแล้วก็ค่อย ๆ ไปพร้อมกับคุณครู สุดท้ายคุณครูก็พาลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้นทะเล 

ตอนนั้นน้ำเข้าไปที่หน้ากากของเจนซึ่งมันปิดตากับจมูกไว้ วินาทีนั้นเจนเคลียร์น้ำออกจากหน้ากากไม่ได้ แต่น้ำมันแค่เข้าไปในจมูกกับตาเฉย ๆ เราก็ตกใจ

 

คุณครูก็ค่อย ๆ จับไหล่ แล้วก็ทำเหมือนให้เรา Calm  Down ลงมา ก็ทำวิธีการไล่น้ำออกจากหน้ากากให้ดู

 

เท่านั้นก็ตั้งสติได้แล้ว ลองทำมันอีกครั้งก็สำเร็จ และนั่งเพื่อปรับระดับการหายใจของเราให้มันสมดุล เราเริ่มว่ายต่อ…

 

พอเหมือนเรามีสมาธิ เราโฟกัสและมองไปรอบ ๆ มันรู้สึกดีมาก เราเห็นปลา ค่อย ๆ ว่ายน้ำ เห็นปะการัง ปะการังอ่อนมันสวยมากเป็นสีแดง สีชมพู สีขาว สีม่วงและมีปลาสีสวยมาก ๆ มันเหมือนเป็นโลกแห่ง จินตนาการเลย 

เจอเต่า… เหมือนโลกหยุดหมุน

ว่ายไปเรื่อย ๆ แล้วเจนก็ไปเจอกับเต่า เราก็มองไปแล้วเราก็กรี๊ดเลย คุณครูก็ตกใจคิดว่าเรากลัวเต่า ก็พาเราว่ายวนออกมา คุณครูไม่รู้หรอกว่าเราดีใจ เราก็ต้องหันไปสะกิดแล้วก็ทำท่าชี้ว่าอยากกลับไปตรงนั้น

วินาทีนั้นที่ไปเจอเต่ารู้สึกว่าเหมือนโลกมันหยุดหมุน เหมือนตรงนั้นไม่มีใครเลย มีแค่เจนกับเต่า มองไปที่เต่าตัวนั้นก็ได้ยินเสียงเขาขบกับหินหรือปะการัง เจนไม่แน่ใจ เขาไม่ได้สนใจคนรอบข้าง เหมือนเจนอยู่กับเขาสองคน

 

ฟังเสียงนั้นแล้วน้ำตาเจนมันก็ไหลออก มันเป็น First  impression มันคือประทับใจ

หลังจากนั้นน้องเต่าก็ค่อย ๆ ผงกหัวขึ้นมา แล้วก็หันไปทางซ้ายที มันเป็นภาพที่ประทับใจมาก ๆ ความกลัวหายไปเลย อยากจะดูอะไรไปเรื่อย ๆ ไม่อยากขึ้นเลย 

ความสวยงามใต้ท้องทะเล

เราเจอทั้งปลาทะเลต่าง ๆ เจอทั้งปลาฉลามหูดำ เจอทั้งประการังสวย ๆ เจอทั้งฝูงปลาข้างเหลือง ซึ่งพอเจนเห็นฝูงปลาข้างเหลือง เจนว่ายเข้าไปแบบลืมเลยว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เก่ง

 

ลืมเลยว่าตัวเองยังไม่ได้เป็นนักดำน้ำมืออาชีพ เจนว่ายเข้าไปเพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งของฝูงปลานั้น 

ไดฟ์ที่ 4 เจนไปดำตรงเกาะราชาน้อย เหมือนเจนหลุดเข้าไปในโลกที่เป็นสาหร่ายทะเลเยอะ ๆ เหมือนเราว่ายอยู่บนทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่มาก ๆ แล้วก็มีแต่สาหร่ายที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งมันประทับใจมาก ๆ 

ความน่ารักของคนบนเรือ

นอกจากการดำน้ำและได้อยู่กับโลกใต้ทะเลแล้วเจนรู้สึกว่าคนบนเรือก็น่ารักไม่แพ้กับโลกใต้ทะเลเลย คุณครูของเจน คุณครูของโรงเรียนอื่น คุณครูของนักเรียนคนอื่น ไกด์ลีดที่มาบนเรือเดียวกัน หรือแม้แต่พี่ ๆ ที่ดูแลเรือ คือทุกคนน่ารักและน่าประทับใจ

 

มีหลายคนมาถามว่าหนาวไหม มีพี่บนเรือมาถักเปียให้ เพราะรู้สึกว่าการที่ผมหลุดออกมามันเป็นอุปสรรคต่อการใส่หน้ากาก หรือว่าฝรั่งที่มาถามาว่าเป็นยังไงบ้างไดฟ์นี้หรือคุณครูที่คอยให้กำลังใจ 

สิ่งที่ได้จากการ ดำน้ำ ครั้งนี้

“ไม่ใช่ทุกความชอบ ที่เราจะทำมันได้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก”

ถึงโลกใต้ทะเลจะสวยงามแค่ไหน ใจเราพร้อมแค่ไหน คนรอบข้างหรือคุณครูจะเก่งแค่ไหน สิ่งที่เราคิดว่าเราชอบมันไม่ได้หมายความว่าจะทำมันได้ดีจริง ๆ ตั้งแต่ครั้งแรก สิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้มันสำเร็จคือ

1.การฝึกฝน 

2.การเรียนรู้ 

3.ความพยายาม 

4.ความเชื่อมั่น 

5.ปฏิบัติตามกฎ

 

แล้วสุดท้ายเรื่องราวการเดินทางไป ดำน้ำที่ภูเก็ต 4 วัน เจนได้อะไรกลับมาเยอะมาก ๆ มิตรภาพที่ดี ประสบการณ์การดำน้ำที่ดี ความกลัว คนบนเรือที่น่ารักหรือแม้แต่ตัวเอง ที่รู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก ๆ และได้รู้เป้าหมายในชีวิตตัวเองมากขึ้นว่าอยากจะทำงานแล้วเอาเงินมาทำอะไร

 

นั่นคือ “การดำน้ำ”

สุดท้ายแล้วไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราตัดสินใจจะทำมันจะดีหรือเปล่า แต่ถ้าเราอยากทำแล้ว เราพร้อมที่จะทำแล้ว เราลองทำมัน เราจะได้รู้ว่าจริง ๆ เราชอบมันหรือเปล่า และถ้าเราไม่ชอบมัน

 

อย่างน้อยเราก็ได้อย่างอื่นกลับมาเช่น เพื่อน มิตรภาพ คำแนะนำหรือว่าประสบการณ์ทั้งดีและร้าย

 

แต่ถ้าเราชอบมันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก  เราจะไม่รู้สึกเสียดาย เราก็จะได้พลังกลับมาใช้ชีวิตต่อไป

จากที่ใน Social Media มีประเด็นที่ทำให้สังคมตั้งคำถามกับคำว่า ” กตัญญู ” วันนี้ Alljit Podcast กับรายการ Learn & Share จึงอยากชวนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า การให้เงินพ่อแม่เท่ากับกตัญญูหรือไม่?

 

ค่านิยมของคำว่า กตัญญู มีอะไรบ้าง? 

“มีลูกไวให้ทันใช้”

หมายถึง มีลูกเพื่อไว้ดูแลตนเองตอนอายุมาก ในมุมของพ่อแม่ เมื่อถึงวัยนั้นคงไม่สามารถดูแลตนเองและทำงานหาเงินเลี้ยงชีพได้ ความคาดหวังจึงไปตกอยู่ที่ลูก 

 

แต่ในความเป็นจริง ลูกมีชีวิตของตนเองเช่นเดียวกัน บางครั้งการตอบแทนอาจไม่ได้มีแค่ “การให้เงิน” แต่เป็นการแสดงความรักความห่วงใยและตอบแทนตามกำลัง

 

เงื่อนไขของแต่ละครอบครัว อาจทำให้ความคาดหวังแตกต่างกันไป บางครอบครัวคาดหวังเพียงให้ลูกดูแลตนเองได้ ในขณะที่บางครอบครัวคาดหวังให้ลูกเป็นที่พึ่ง

 

“จะผิดจะถูก เขาก็คือพ่อแม่”

จริง ๆ แล้ว พ่อแม่และลูกต่างเป็นมนุษย์ที่มีผิดมีถูก การแนะนำหรือตักเตือน จึงเป็นสิทธิ์ของทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เหมาะสม เช่น การด่าทอ การทำร้าย เมื่อรู้ว่าทำผิด การขอโทษจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ 

 

การที่พ่อแม่เลี้ยงดูลูก ไม่ได้หมายความว่าลูกจะต้องเป็นฝ่ายยอมหรือเกรงใจพ่อแม่อย่างเดียว คำขอโทษเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดหรือทำเกินไป สามารถช่วยรักษาความสัมพันธ์และช่วยประคับประจองจิตใจกัน

 

 

ค่านิยมของคำว่า กตัญญู ส่งผลอย่างไรต่อเรา?

1. ผลกระทบต่อลูก

“รู้สึกขาดจากการไม่ได้รับการยอมรับ”

หากอยู่ในกลุ่มสังคมที่ถูกกดดันว่าต้องให้เงินพ่อแม่ ถ้าทำไม่ได้จะไม่ได้รับการยอมรับ ในทางจิตวิทยา มนุษย์ต่างต้องการความรัก การไม่ได้รับการยอมรับจึงเหมือนการที่ความต้องการพื้นฐานไม่ได้ถูกเติมเต็ม

 

“รู้สึกเครียดจากการถูกกดดัน”

บางครอบครัวกดดันทางคำพูดหรือทางการกระทำ เช่น การบังคับให้เลี้ยงดู ต้องส่งเงิน ต้องดูแล สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกเครียด รวมไปถึงการโทษตัวเองเมื่อไม่สามารถทำตามความคาดหวังนั้นได้

 

2. ผลกระทบต่อพ่อแม่

ในบางครอบครัวที่ฝากชีวิตบั้นปลายไว้ที่ลูก ไม่มีแผนสำรอง เมื่อลูกไม่สามารถทำตามความคาดหวังนั้นได้ ทุกอย่างอาจพังทลายลง เมื่อไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ปัญหาอื่น ๆ จะตามมา

 

 

นิยามของคำว่า กตัญญู

“ให้เงิน เท่ากับ กตัญญู”

ด้วยความที่ภาระหน้าที่ รวมไปถึงเงื่อนไขและข้อจำกัดของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน จำนวนเงินจึงไม่สามารถวัดความมากน้อยของคำว่า กตัญญู ได้

 

คำว่า กตัญญู สามารถนิยามได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การที่ลูกไม่ปล่อยให้พ่อแม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวหรือรู้สึกถูกทอดทิ้ง การไม่ทำให้พ่อแม่รู้สึกเสียใจหรือวุ่นวายใจ หรือการมอบความรักความอบอุ่น 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละครอบครัว จะตัดสินว่าแบบไหนถูกหรือผิดไม่ได้ การสื่อสารความต้องการของกันและกันจึงสำคัญ ว่าพ่อแม่ต้องการอะไร ลูกสามารถให้ได้หรือไม่ 

 

 

” คำว่ากตัญญ อาจไม่ใช่เรื่องที่ต้องสอน แต่เป็นการทำให้ลูกรู้สึกด้วยตัวเองว่าจะกตัญญูต่อพ่อแม่ในรูปแบบไหน “

หลายครั้งเวลาที่เราเห็นใครทำร้ายตัวเองเพื่อเป็นทางออกให้กับชีวิต เรามักได้ยินประโยคนี้ ‘ คิดสั้น ’ ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมพวกเขาถึงคิดสั้น ทำไมพวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ 

 

การดำเนินชีวิตของเราแต่ละคนมันเป็นการทางเดินที่ยาวนานมาก ๆ บนถนนที่ยาวไกล…

การ คิดสั้น ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ

แท้จริงแล้วคนเหล่านี้พยายามเดินทางบนถนนที่ยาวไกลมานานมากแล้ว การต่อสู้กับความรู้สึกการรับมือกับภาวะทางจิตใจของพวกเขาเอง จนเขาหมดแรงที่จะต่อสู้กับตรงนั้นแล้วเลยตัดสินใจทำร้ายตัวเองเพื่อจบชีวิตของตัวเอง

เพราะอะไรถึง คิดสั้น ?

พวกเขาไม่ได้คิดแค่ตอนนี้ เวลานี้แล้วลงมือทำเลยไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วเป็นการคิดที่ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ทบทวนค่อย ๆ วางแผนจนเริ่มชัดเจนขึ้นแล้วลงมือทำ

คิดสั้น เพราะ การหลั่งสาร

สาเหตุที่เขาทำร้ายตัวเองและฆ่าตัวตายเกิดจากสารเคมีในร่างกายเขามีการทำงานที่บกพร่อง ร่างกายหลั่งสารบางอย่างที่ไม่ควรหลั่งส่งผลให้รู้สึกผิดที่จะมีชีวิตอยู่ 

 

โดยสารโดปามีน สารเซโรโทนิน สารเหล่านี้ถ้ามันผิดปกติจะทำให้เราดำเนินชีวิตที่ผิดปกติด้วย

 

แต่นอกเหนือจากสารเคมีในสมองที่ต้องสู้กับตัวเองมาตลอดแล้วความคิดและการทำงานด้านจิตใจของตัวเองก็เข้ามาขัดขวางทำให้เกิดการทำงานที่ไม่เหมาะสมมันทบ ๆ มาเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เขาต้องตัดสินใจว่าต้องทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นสักที . . .

ถ้าเริ่มไม่อยากมีชีวิตอยู่ เราควรทำอย่างไรดี?

 

1 เมื่อเราเริ่มเห็นสัญญาณเหล่านี้แล้ว บางคนอาจจะมีความรู้สึกดิ่งไม่มีใครที่จะช่วยฉุดรั้งให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่ต่อได้ ถ้าเราเริ่มเห็นถือว่าเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างที่จะให้เราพบจิตแพทย์ เพื่อรักษาวินิจฉัยตามอาการที่เรารับมือไม่ไหวแล้ว

 

2 ถ้าคนใกล้ชิดของเราเริ่มส่งสัญญาณเราต้องค่อย ๆ รับฟังเขาอย่างไม่ตัดสินเขา คอยอยู่ข้าง ๆ เขาและให้กำลังใจเขาเพราะเราก็เปรียบเสมือนที่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขาเช่นกัน

เราจะจัดการกับตัวเองอย่างไรได้บ้างในวันที่เรา อกหัก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่อยากได้วิธีฮีลใจของตัวเราเองในวันที่เราอกหัก

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ 

 

ตัวเราค่อนข้างคุ้นชินกับการมีใครสักคนหนึ่งในชีวิต ไม่ว่าจะแฟน คนสนิท เพื่อน เวลาเขาหายไปเรามักจะรู้สึกเจ็บปวด เพราะเราคุ้นชินที่มีใครสักคนที่อยู่กับเราตามใจเรา พอเราคุ้นชินแล้วต้องกลับมาอยู่คนเดียวจะรู้สึกเหงา ๆ เปลี่ยว ๆ 

ทำไม อกหัก ถึงเจ็บปวด

การทำงานของสารสื่อประสาทที่เขากำลังอินเลิฟมันเทียบไม่ได้เลยกับคนที่กำลังรู้สึกเจ็บปวด ให้เรามองถึงการที่ในตอนที่เรารู้สึกรักหรืออินอะไรบางอย่างมันทำให้เรามีความต้องการ ความอยากได้

 

ช่วงเวลาที่เราหลงรักกัน เหมือนเราวางเงื่อนไขว่าคน ๆ นี้คือจิ๊กซอร์สำหรับเรา เมื่อเขาหายไปเราจะรู้สึกว่าไม่สมบูรณ์แบบ

 

ความอกหักบางทีทำให้เกิดความไม่สบายทางอารมณ์ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปเป็นอาการทางจิตเวชได้เหมือนกัน . . .

 

การฮีลใจตัวเองในวันที่เรา อกหัก

1 การออกไปเจอคนใหม่ ๆ สถานการณ์ใหม่ๆ กับเพื่อนเรา อาจจะทำให้เราได้ไปพบเจอทัศนคติใหม่เจอชีวิตของคนหลาย ๆ คนที่ช่วยฮีลใจเราได้

 

2 กลับมาดูแลตัวเองในทางร่างกาย การทานอาหาร การหันมาดูแลตัวเองไม่ได้ดีแค่ด้านจิตใจแต่มันดีกับร่างกายของเราด้วย

 

3 พบเจอเพื่อนเก่า ๆ ของเราช่วงเวลาที่เรามีแฟนจะทำให้เราตัวติดกับแฟนจนไม่ได้ใช้เวลากับเพื่อนของเรา หรือครอบครัวของเรา ในตอนนี้ที่เราไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ เราลองกลับไปหาคนสำคัญของเรา ดึงเขากลับมาในชีวิตของเรา

 

4 เปลี่ยนโฟกัสตัวเองไปที่อื่น ถ้าเรายังไม่พร้อมที่จะยอมรับในความเจ็บปวดการมุ่งใส่ใจไปที่สิ่งอื่นอาจะดีกว่าเราไปเร่งให้ตัวเองยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

5 บล็อคทุกช่องทางที่เห็นการเคลื่อนไหวของเขา การบล็อคไม่ใช่ว่าเราไม่เป็นผู้ใหญ่ ถ้าเรารู้ว่าเราเห็นเขาแล้วทำให้เราเจ็บปวด การห่างการหายออกมาคงจะดีกว่าเห็นความเคลื่อนไหวของเขา

 

โลกนี้ไม่ได้มีแค่เราที่อกหักไม่ใช่แค่เราเพียงเดียวที่รู้สึกอกหัก ความเจ็บปวดจากความรักสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยและมันไม่ใช่ตัวชี้วัดด้วยว่าเราจะไม่สามารถมีความรักครั้งต่อไปได้ กลับมาดูแลตัวเองดูแลจิตใจตัวเอง

 

สิ่งสำคัญเลยอย่าลืมใจดีให้ตัวเองมาก ๆ นะ

ในวันที่โลกใจร้ายกับเรามากแค่ไหน มันจะดีแค่ไหนกันนะที่เราจะใจดีกับตัวเราเอง การก้าวข้ามผ่านวันแย่ๆ ในวันที่ทุกอย่างไม่เป็นใจกับเราเลยทำอย่างไรได้บ้าง . . .

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ 

การก้าวข้ามผ่านวันแย่ๆ

ในวันที่แย่ ๆ วันที่รู้สึกเหนื่อยล้าวันที่รู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มต้นใหม่กับวันพรุ่งนี้ยังไงเชื่อว่าทุกคนก็เคยรู้สึกว่าทำไมวันนี้มันดูแย่จังเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะยังแย่แบบนี้อยู่ไหม

 

ถ้าวันไหนที่เรารู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก ๆ แล้วก็ตามมาด้วยความรู้สึกแย่เต็มไปหมดเลยเราอาจจะรู้สึกท้อในการที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ในวันพรุ่งนี้ด้วยความรู้สึกที่เมื่อไหร่จะผ่านช่วงนี้ไปสักที

 

มันเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในวันที่เรารู้สึกเหนื่อยมาก ๆ รู้สึกแย่กับตัวเองมาก ๆ แต่ว่าในหลาย ๆ ครั้งถ้าเราลองนึกดูดี ๆ แล้วบางทีมันก็เป็นแค่การเผชิญปัญหาอย่างหนึ่งที่มันเข้ามาในชีวิตที่เรารู้สึกว่ามันยุ่งยากมันจัดการไม่ได้

 

แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเราเองก็เก่งเหมือนกันที่เอาตัวเองผ่านสิ่งเหล่านั้นมาได้อยู่ตลอดเวลาถ้าเกิดเรามองว่าชีวิตมันเหมือนเกม 1 เกม อุปสรรคต่าง ๆ

 

มันก็คงจะเป็นหนึ่งด้านในชีวิตของเราที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้ในการที่เราต่อสู้และก้าวผ่านเพื่อเราจะได้ผ่านด่านหนึ่งของชีวิตไปได้

 

มันค่อนข้างจะท้าทายมันทำให้เรารู้สึกว่าเราคาดการณ์อะไรกับมันไม่ได้เลยเวลามีอะไรเข้ามาแล้วเรารู้สึกว่ามันแย่จังเลยแล้วเราเจอบททดสอบแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ เรื่อย ๆ เจอบ่อยเข้าเจอนาน ๆ

 

จนในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยพร้อมเราอาจจะผ่านมันไปได้ยากจนสุดท้ายแล้วก็ผ่านมาได้

 

ไม่ว่าจะด้วยศักยภาพในตัวเองด้วยการช่วยเหลือจากคนรอบข้างแม้วันนี้มันจะแย่ พรุ่งนี้เราก็เริ่มต้นใหม่ได้เสมอเลย . . .

 

มองย้อนกลับไปกับสิ่งที่เราผ่านมันมาได้แล้วและได้มีโอกาสกลับมาทบทวนตัวเองบางทีเราอาจจะรู้สึกว่า เราก็ใช้ได้เหมือนกันนะที่พยายามผ่านสิ่งนั้นมาด้วยตัวของเราเอง หรือว่าการช่วยเหลือจากคนรอบข้างก็ตาม

 

เวลาที่เราได้หันกลับมาทบทวนตัวเองแล้วมันเหมือนกับการที่เราเห็นว่าเราเนี่ยเติบโตขึ้นมาอีกขั้นนึง

 

บอกกับตัวเองว่ามันไม่ผิดหรอกที่เราจะรู้สึกแย่กับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต อย่าไปท้อกับมันพรุ่งนี้ก็คือเรื่องของวันพรุ่งนี้วันนี้ก็คือวันนี้…

 

พอเราคิดแบบนี้แล้วมันก็เหมือนกับว่าตัวเราเองอาจจะรู้สึกแย่น้อยในวันนี้แต่มันไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้มันจะต้องเจอกับตัวเองแบบนี้อีก

 

บางทีปัญหาอะไรหลายอย่างมันเข้ามารุมเร้ามาก ๆ จะทำให้ตัวเราเองไม่รู้ว่าจะไปเริ่มต้นตรงไหน ตั้งสติให้ตัวเองดูเป้าหมายของการใช้ชีวิตของตัวเองค่อย ๆ จัดการกับตัวเองไปทีละอย่างไม่ต้องรีบร้อน

 

เคยไหมที่เจอเรื่องยาก ๆ ในบางช่วงของชีวิตแล้วรู้สึกเครียด แต่ไม่มีใครรับฟัง ไม่มีใครให้ปรึกษา วันนี้ Alljit Podcast กับรายการ Learn & Share

 

อยากชวนทุกคนเรียนรู้เกี่ยวกับ ” Social Support ” และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในวันที่ไม่มี Social Support เป็นของตัวเอง จะทำอย่างไรได้บ้าง 

 

Social Support คืออะไร?

อ้างอิงจาก Psychology Dictionary คำว่า Social Support หรือ การสนับสนุนทางสังคม หมายถึง การให้ความช่วยเหลือแก่บุคคล โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บุคคลสามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเองได้ 

 

โดยความช่วยเหลือนี้จะมาจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรัก เพื่อน กลุ่มทางสังคมที่คุณผู้ฟังเข้าร่วมและอื่น ๆ ความช่วยเหลือมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การช่วยเหลือทางจิตใจ การช่วยเหลือทางการเงิน  

 

จากการศึกษาพบว่า Social Support ส่งผลทางบวกกับสุขภาพกายและสุขภาพจิต ทำให้จัดการความเครียดได้ดีขึ้น สร้างแรงกระตุ้นในการบรรลุเป้าหมายในชีวิต 

 

นอกจากจะทำให้บุคคลสามารถจัดการกับปัญหาได้ ยังทำให้ความสัมพันธ์ของบุคคลและคนรอบข้างแน่นแฟ้นขึ้นจากการได้ช่วยเหลือและสนับสนุนกันอีกด้วย

 

 

ส่งผลกระทบอย่างไร?

จากการศึกษาพบว่า การขาด Social Support เชื่อมโยงกับ โรคซึมเศร้า และ ความรู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อร่างกาย จิตใจ พฤติกรรม และการทำงานของสมอง

 

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาโดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ชายวัยกลางคนพบว่า การขาด Social Support ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิต เมื่อเปรียบเทียบผู้ชายวัยกลางคนระหว่าง กลุ่มที่มี Social Support และกลุ่มที่ไม่มี Social Support 

 

 

ไม่มี Social Support ทำอย่างไรดี?

1. เตือนตัวเองว่า การขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องน่าอาย 

ในกรณีที่รู้สึกเกรงใจคนรอบข้าง ในวันที่อ่อนแอ การขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพราะคนรอบข้างอาจพร้อมรับฟัง เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเท่านั้นเอง

 

2. สำรวจตัวเองว่า เราไม่มีใครหรือเราไม่เปิดรับให้ใครเข้ามา 

 ลองสำรวจดูว่า เราไม่มีใครหรือเราไม่เปิดรับให้ใครเข้ามา ประสบการณ์แย่ ๆ ในอดีตทำให้เราไม่ไว้ใจใคร แต่อย่าให้คนใจร้าย ทำให้เราปิดกั้นคนใจดีที่จะเข้ามาในชีวิตเลย 

 

3. เปิดใจสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ กับผู้อื่น

การนำตัวเองไปทำสิ่งใหม่ ๆ จะทำให้ได้สร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ เมื่อใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น เป็นไปได้ที่วันหนึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นจะกลายเป็น Social Support ของคุณได้

 

4. พึ่งพาจิตแพทย์และนักจิตวิทยา

ทุกวันนี้มีช่องทางหลากหลาย เพราะบุคคลเหล่านี้พร้อมช่วยเหลือเกี่ยวกับปัญหาทางความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ที่รบกวนการใช้ชีวิตของทุกคนอยู่แล้ว พึ่งพาไม่ใช่เรื่องผิด

 

5. จัดการด้วยตัวเองเบื้องต้น 

หากไม่สามารถหา Social Support หรือ ไม่สะดวกใจในการพึ่งพาผู้อื่น การทำ Morning Pages หรือ การเขียน 3 หน้ากระดาษทุกวันหลังตื่นนอน อาจช่วยให้ได้ระบาย ลดกังวล

 

” การมี Social Support อาจทำให้เราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ “

เวลา เห็นคนอื่นสำเร็จยิ่งคิดว่าตัวเองไม่เก่ง เราเริ่มรู้สึกท้อแท้ หดหู่ แล้วก็ไม่อยากจะใช้ชีวิตต่อเลยทีเดียว ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกแบบนี้อยากให้ลองตั้งคำถามว่าทำไมเรามีความรู้สึกนี้กับตัวเอง?

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ 

เห็นคนอื่นสำเร็จยิ่งคิดว่าตัวเองไม่เก่ง

เวลาที่เราเห็นคนอื่นมีความสุข ประสบความสำเร็จ แต่เราอยู่ในจุดเดิม ที่เดิม คำถามเหล่านี้เวลามันแวบเข้ามามันกระทบต่ออารมณ์ตัวเอง ทำให้มีการตำหนิตัวเองอยู่บ่อย ๆ . . .

เพราะอะไรคนอื่นดูมีความสุขแต่เราไม่มี?

มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาของใครหลาย ๆ คน หลายคนอาจจะมองการใช้ชีวิตของเราเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เราไม่มีแบบเขา บางทีความรู้สึกไม่ดียิน ความรู้สึกอิจฉาก็เกิดขึ้นกับตัวเรา

 

เพราะว่าที่ผ่านมาตัวเราเองรู้สึกว่าตัวเราเองไม่สามารถทำอะไรที่มันประสบความสำเร็จได้เลย

“มันโอเคมาก ๆ เลยที่เราจะรู้สึกโอเคในสิ่งที่คนอื่นมีแต่เราไม่มี”

เราจำเป็นต้องคิดอยู่เสมอว่า เวลาที่เราเล่นโซเชียล เราจะเห็นว่าคนอื่นประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลังโลกแห่งความเป็นจริงเขาเผชิญกับความล้มเหลวอะไรบ้างเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาเผชิญกับอะไรบ้าง 

 

การที่เราเห็นใครสักคนประสบความสำเร็จมันไม่ได้ขึ้นว่าเพราะโชคชะตา แต่ความพยายามก็มีส่วนสำคัญมาก ๆ ที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้

เราจะจัดการความรู้สึกเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง?

1 เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ลีกเลี่ยงตัวเองในการเปรียบเทียบกับคนอื่่น

 

2 พยายามทำความรู้จักมากกว่าการไปตัดสินคนอื่น พยายามอย่าไปคิดเหมารวมว่าพวกเขาเป็นแบบคนที่เราเคยเจอมาเพราะทุกคนไม่เหมือนกัน

 

3 หยุดเน้นย้ำจุดอ่อนของตัวเอง ถ้าเราจดจ่อแต่จุดอ่อนของตัวเองมันอาจจะทำให้ตัวเราเองยิ่งโกรธเคืองคนอื่นในสิ่งที่เราไม่มี โฟกัสจุดแข็ง ความสามารถในตัวเองดึงสิ่งเหล่านั้นที่เป็นจุดแข็งโชว์ขึ้นมา

 

ถ้าเราไปโฟกัสแต่สิ่งไม่ดีทำให้เราบั่นทอนในทุก ๆ วัน สิ่งเหล่านี้มันก่อให้เกิดความรู้สึกแย่ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราได้ค้นหา ได้รู้ว่าทำไมเรามีความรู้สึกแบบนี้มันอาจจะทำให้เราปรับเปลี่ยนความคิดบางอย่างและทำให้เราดีขึ้น