Manifest

Manifest เชื่ออะไรก็ไปแบบนั้นจริงหรือ

เรื่องAdminAlljitblog

“Manifest” “เชื่ออะไร ก็ได้แบบนั้น”  จริง ๆ แล้ว Manifest คืออะไร เกี่ยวข้องกับกฏแรงดึงดูดหรือไม่ จะเริ่มทำได้อย่างไร วันนี้เราจะมาร่วมพูดคุยกันใน Alljit Podcast กับรายการ Learn&Share

Manifest 

Manifest ในมุมมองทางวิทยาศาตร์ คือ Core Value สิ่งที่เราให้ความสำคัญ ในทางวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึง growth mindset การที่เรามีความคิด ทัศนคติแบบยืดหยุ่น ไม่หยุดอยู่กับที่ ไม่ปิดกั้น

 

Dr. Carol Dweck – ถ้าเรามีความเชื่อในสามารถของเรา เชื่อว่าเราจะทำได้อย่างสำเร็จ เราก็จะตั้งใจ สอดคล้องกับหลักทางจิตวิทยาที่ว่า ความเชื่อของเรามีผลต่อ ความคิด พฤติกรรมของเรา

 

เมื่อเรามีความเชื่อแบบไหน เราก็มักจะมีพฤติกรรม และ การลงมือทำที่สอดคล้องกับความเชื่อของเรา ส่งผลให้เกิดเป็นผลลัพธ์นั่นเอง

 

Dr. Barbara Fredrickson – อารมณ์ในด้านบวกช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เรา 

 

Dr. Sonja Lynbomirsky – หากเรามีความสุขกับสิ่งใด เราก็มักจะประสบความสำเร็จในการทำสิ่งนั้น 

 

 

กฎแรงดึงดูด

เป็นหลักปรัชญาที่ได้รับการพูดถึงตั้งแต่ปี 1887 โดยสอนว่า ความคิดในแง่ดีจะดึงดูดผลลัพธ์ในเชิงบวก ส่วนความคิดในแง่ลบจะดึงดูดผลลัพธ์ในเชิงลบเช่นเดียวกัน ความเชื่อดังกล่าวมีฐานคิดมาจากความเชื่อที่ว่า

 

ความคิดเป็นเหมือนพลังงานรูปแบบหนึ่งที่สามารถดึงดูดสิ่งที่เหมือนกันได้ โดยพลังงานเชิงบวก (การคิดบวก) จะสามารถดึงดูดความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของชีวิตได้ เช่น ด้านสุขภาพ ด้านการเงิน และด้านความสัมพันธ์ 

 

Manifest VS กฎแรงดึงดูด

Law of Attraction เป็นหลักความคิดที่เชื่อว่าเราสามารถดึงดูดสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องการ ผ่านแรงปรารถนา หรือความคิดเชิงบวก เพื่อทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น หรือที่เรียกอีกอย่างว่าการ Manifest

 

เพื่อดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต หลักการที่สำคัญของกฎแห่งแรงดึงดูด คือ “พลังงานที่เหมือนกันย่อมดึงดูดซึ่งกันและกัน”

 

Manifest คือ การตั้งจิตอย่างแน่วแน่ และการสร้างภาพในใจเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก ครอบครัว การเรียน และอื่น ๆ อีกมากมาย บางคนอาจใช้การนั่งสมาธิ ใช้การจดบันทึก หรืออื่น ๆ

 

ที่ทำให้คุณสามารถเพ่งจิตไปสู่สิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้น และเชื่อจริง ๆ ว่าสิ่งนั้น ๆ จะต้องเกิดขึ้น นับว่าเป็นส่วนสำคัญของกฎแรงดึงดูด 

 

 

ข้อดี

1. Set Standart ของตัวเอง

สร้างจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนให้กับชีวิต มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการชีวิต 

 

2. สร้าง Self -Esteem

เช่น พอเราบิ้มตัวเอง ว่าเราสวย เราต้องได้แบบนี้ เหมือนเป็นการปรับ mindset ของตัวเราเอง เมื่อเราสนใจตัวเองมากขึ้น เราจะโฟกัสรอบข้างน้อยลง อะไรที่เป็นคำพูดลบ ๆ ที่เคยได้ยินมาก็จะไม่มีผลกับเรามาก 

 

3. สร้างพลังความตั้งใจของเรา 

เชื่อว่าเราจะทำมันได้สำเร็จอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อเราเชื่ออะไรมาก ๆ เราก็มีแนวโน้มที่จะพยายามทำมันให้ดีที่สุดอย่างไม่ย่อท้อ และไม่คิดลบกับตัวเองว่าคนอย่างฉันไม่เหมาะที่จะได้สิ่งนั้น หรือคนอย่างฉันไม่มีวันทำได้ 

 

4. เรื่องของการจัดการความคิดด้วยแง่มุมเชิงบวก สร้างความมั่นใจ 

Manifesting เป็นสิ่งที่มอบพลังใจ หลายคนก็อาจจะมีกำลังแรงในการทำตามความตั้งใจ เพราะรู้ว่ามีบางสิ่งหนุนหลังอยู่ ความเชื่อแบบนี้จึงสามารถพัฒนาความมั่นใจ หรือทำให้เรากล้าขึ้นในหลาย ๆ เรื่องได้ 

 

ข้อเสีย

ตามที่ ฮอว์ลัน อู๋ Hawlan Ng นักจิตบำบัดบอกกับ SELF ว่าผู้คนอาจเชื่อมั่นในพลังนั้นว่าจะสามารถทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้จริง แต่ในความจริง

 

คนเรามีอุปสรรคในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความยากจน การถูกเลือกปฏิบัติ และความเป็นคนชายขอบพื้นที่ห่างไกล 

 

การทำให้เรารู้สึกว่า เราสามารถควบคุมหรือนำทางชีวิตของตัวเองได้ ถ้าเราพยายามหรือคิดเรื่องนี้หนักมากพอ ซึ่งบางคนที่เขารู้สึกว่าเขายังทำไม่มากพอเขายังไม่ได้ มันคือการพาตัวเองไปสู่ความเครียด 

 

การแสดงออกนี้อาจเป็นวิธีดึงดูดให้ผู้คนหลีกเลี่ยงความชอกช้ำในอดีตหรือสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่สิ่งสำคัญสำหรับคนจำนวนมากคือต้องทำใจกับความเจ็บปวดก่อนที่จะโฟกัสไปที่อนาคต

 

 

เริ่มต้นทำ Manifest อย่างไร 

 

ขั้นตอนที่ 1 : มีเป้าหมายที่ชัดเจน ขั้นตอนแรกของ Manifesting  คือ การมีเป้าหมายที่แน่ชัดและเฉพาะเจาะจง รู้อย่างชัดเจนว่า อะไรคือสิ่งที่เราอยากดึงดูดเข้ามาสู่ชีวิตของเราเองจริง ๆ

 

ขั้นตอนที่ 2 : จินตนาการภาพแห่งความสำเร็จ จินตนาการคือองค์ประกอบสำคัญของ Manifesting คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ จะจินตนาการภาพของตัวเองในวันที่ประสบความสำเร็จไว้อย่างชัดเจนแล้ว

 

ขั้นตอนที่ 3 : ใช้ถ้อยคำที่เป็นบวก เขียน พูดกับตัวเองทุกวัน ถึงสิ่งที่เป็นบวก เช่น ฉันเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ฉันมีสุขภาพที่ดี สิ่งดีๆ มากมายเกิดขึ้นกับชีวิตฉัน ฉันเป็นคนที่ร่ำรวย พูดเหมือนสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว

 

ขั้นตอนที่ 4 : หยุดคิดลบและหยุดด้อยค่าตัวเอง การคิดลบ และการไม่มั่นใจในตัวเอง คือ สิ่งที่จะกระทบกระบวนการของการ Manifestingได้มากที่สุด จงคิดถึงสิ่งที่เป็นบวก มั่นใจในตัวเอ และมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปได้ 

 

ขั้นตอนที่ 5 : รักษาพลังบวกไว้ พลังงานในตัวเรา และความรู้สึกของเรา มีบทบาทที่สำคัญที่สุดในกระบวนการ Manifesting การรักษาพลังบวกและความรู้สึกที่เป็นบวกไว้ จะช่วยให้เรายังคงดึงดูดพลังบวกเข้ามาในชีวิต

 

ขอขอบคุณข้อมูล จากคุณ Satangbank

 

 

ที่มา : 

‘Manifestation’ หลักคิดที่หลายคนยึดถือ ว่าหากเรา ‘เชื่อ’ ว่ามันจะเกิดขึ้น มันก็จะเกิดขึ้น

Why Is Everyone Obsessed With Manifesting and Does It Actually Work?

How to Manifest Anything You Desire

Manifestation กับคำอธิบายเชิงจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์