Posts

เขิน อาย ไม่กล้าพบเจอผู้คน เรียกว่า โรคกลัวสังคม หรือไม่ แล้วแบบไหนเรียกว่าการ กลัวสังคม อยู่คนเดียวบ่อย ๆ รู้สึกว่ามีบุคลิคภาพแบบ Introvert จะนำไปสู่ การกลัวสังคมได้ไหม

 

และสุดท้ายแบบทดสอบบุคภาพที่บ่งบอกว่าเราเป็น Introvert หรือ Extrovert สามารถเป็นคำตอบให้เราได้จริงไหม ? กับรายการพูดคุย Alljit X คุณ ณัฏฐชัย รำเพย จิตแพทย์ 🙂

 

โรคกลัวสังคม คืออะไร

 

โรคกลัวสังคม หรือ  Social anxiety disorder เป็นวินิจฉัยทางการแพทย์  เป็นโรคสากลที่ใช้กันทั่วโลก  

 

อาการคือ วิตกกังวลมากเวลาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ทางสังคมบางอย่าง เช่น การออกไปเจอเพื่อนบางคน เจอคนแปลกหน้า ไปนำเสนองานหน้าชั้น พูดคุยกับคนหมู่มาก คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคกลัวสังคม

 

อาการหลักสำคัญ คือ มีความกังวลมาก ๆ เมื่อจะต้องทำอะไรต่อหน้าผู้คนอื่นที่ ไม่คุ้นชิน และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการถูกตำหนิ หรือ รู้สึกอับอาย ซึ่งอาการของแต่ละคนก็แตกต่างกัน 

 

เช่น กลัวมาก ตัวสั่น  สติแตก คิดอะไรไม่ออก เหงื่อออกมาก และที่สำคัญจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น ๆ  ซึ่งหากจะเรียก ว่า โรคได้นั้น ต้องกระทบวิถีชีวิต และการใช้ชีวิตอันเป็นปกติสุข 

 

การรักษา โรคกลัวสังคม 

ยาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาที่จะช่วยในเรื่องของการจัดการอารมณ์ได้  แต่การพูดคุยเข้าไปดูที่มาที่ไปของอาการก็สำคัญ  อย่างเช่น เคยตกอยู่ในสถานการณ์ทางสังคมแล้วเจอเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้น

 

และอับอายในอดีต ฝังใจ ถ้าเราไปแก้ประเด็นนี้ได้ก็จะให้ดีขึ้น หรือในบางคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง แล้วพอคิดว่าต้องทำบางอย่างในสถานการณ์ทางสังคม เราต้องแย่แน่ ๆ ก็เลยเกิดอาการกลัวขึ้น

 

 

ระยะอาการของการรักษา 

ขึ้นอยู่กับแต่ระบุคคล  แล้วแต่ความรุนแรง แล้วแต่ประเด็นภายในใจ  ในบางคนเป็นมาระยะเวลา 2-3 ปี แต่คุยเพียงแค่ครั้งเดียวก็ดีขึ้น หรือ บางคนก็รักษาโดยใช้ระยะเวลายาวนาน  

 

 

ความเขินอาย,Introvert และ โรคกลัวสังคม 

ความเขินอาย และ Introvert  มีความแตกต่างจากโรคกลัวสัมคมมาก แต่ความเขินอา มีความคล้ายกับ โรคกลัวสังคม คือ จะมีอาการวิตกกังวล ไม่กล้า และรู้สึกไม่ปลอดภัยหากต้องไปเผชิญหน้ากับผู้คน

 

แต่คนขี้อายหากจำเป็นต้องไปจริง ๆ ก็จะพยายามปรับตัวให้ได้ในส่วนของ Introvert หมายถึง สภาวะหนึ่งที่คนคนหนึ่งมีความรู้สึกสบายใจ หรือลักษณะที่รู้สึกสบายใจที่จะโฟกัสกับโลกภายในของเขามากกว่า ที่จะโฟกัสกับโลกของคนอื่น 

 

คนเราบางวันก็อาจจะเป็น Introvert หรือเป็น Extrovert ก็ได้ คนเราบางวันก็มีโหมดที่อยากอยู่กับโลกภายใน บางโหมดก็อยากอยู่กับโลกภายนอก แล้วแต่คน สไตล์ แล้วแต่วัน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ 

 

 

Introvert  นำไปสู่การกลัวสังคมได้ไหม 

ไม่เกี่ยวข้องกัน ในบางคนจะชอบอยู่กับตัวเองมากกว่า และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของเขาได้  หรืออาจจะเกี่ยวข้องก็ได้ เช่น การอยากอยู่คนเดียวมีที่มาที่ไปรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ 

 

และนำไปสู่การกลัวสังคม  เรียกได้ว่าเป็นคนละเรื่องกัน ขึ้นอยู่กับที่มาที่ไปของการอยากอยู่คนเดียว

 

 

หากกังวลกับ Introvert ทำอย่างไร 

ลองถามกลับ กับตัวเองว่า การที่มีลักษณะ Introvert แล้วมีความสุขหรือเปล่า ถ้าคำตอบคือ มีความสุขก็ใช้ชีวิตต่อไปได้เลย  หรือหากบ้างวันรู้สึกตัวเองมีความรู้สึกอยากใช้ชีวิตกับตัวเองแบบ Introvert

 

และอีกวันรู้สึกตัวเองชอบ ใช้ชีวิตแบบ Extrovert ก็ไม่ถือว่าผิดปกติ เพราะมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลง ก็แล้วแต่อารมณ์ของเรา ณ วันนั้น แต่เมื่อไหร่ที่เป็นอะไรก็ตามแล้วเกิดความทุกข์

 

กระทบต่อหน้าที่การงาน ทำให้ใช้ชีวิตยากขึ้น เราอาจจะนำประเด็นตรงนี้มาคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้ 

 

 

Introvert มีลักษณะอย่างไร 

Intro คือ เข้ามาข้างในตัวเอง  อยู่กับตัวเองมากกว่าระดับของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน เช่น บางคนอยู่กับตัวเองเท่านั้น แล้วก็มีความสุขดีบางคนก็อยู่กับตัวเองเฉพาะบางเรื่อง

 

บางเรื่องก็สามารถไปอยู่กับคนอื่นได้ ดังนั้น ถ้าลักษณะนิสัยเข้ามาอยู่กับตัวเองเยอะ ๆ ก็อาจเป็นลักษณนะของ Introvert ได้ แต่ไม่ต้องติดป้ายกับตัวเองว่าเป็นอะไรก็ได้ แค่ให้รู้ว่าเรามีลักษณะนิสัยแบบนั้นเป็นส่วนใหญ่

 

 

เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างสบายใจหากรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาที่ต้องพบเจอกับผู้คนด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน และรู้สึกทุกข์ใจ ก็สามารถเข้าคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเรียนรู้ปรับอารมณ์และจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้

เคยไหม ? รู้สึกเหงาทั้ง ๆ ที่มีคนรอบข้างมากมาย… ” ความเหงา ” เป็นความรู้สึกหนึ่งที่นำพามาซึ่งความเศร้าจริงไหม ? เพราะอะไรมนุษย์ถึงรู้สึกเหงา ทำไมความเหงาของเราและคนอื่นถึงไม่เท่ากัน ?

 

 

เมื่อ ความเหงา เท่าอวกาศ ทำอย่างไรดี?

สารบัญ

ความเหงา คืออะไร? 

จากหนังสือ เหตุเกิดจากความเหงา หมอปีย์กล่าวว่า ความเหงาคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อ เรามี “ปริมาณคนในชีวิตหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนในชีวิต” น้อยกว่าที่เราคาดหวังไว้ 

 

ในมุมของวิวัฒนาการ ความเหงาที่เรามองว่าเป็นความรู้สึกหนึ่งที่นำพาความเศร้ามาให้  เพราะอะไรถึงวิวัฒนาการตามเรามานะ? มันมีประโยชน์ยังไง? หมอปีย์บอกว่า ความเหงาทำให้เราเกาะกลุ่ม

 

หาคนอยู่ด้วย เพื่อให้เราอยู่รอด และที่น่าสนใจคือ ความเหงาไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เรามีเพื่อนเยอะหรือเพื่อนน้อย คนเพื่อนเยอะ คนเข้าสังคมเก่ง ก็เหงาได้ ถ้าเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขามีตอนนี้ไม่เพียงพอ

 

สิ่งที่เขามีไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกเขาได้ จากที่อ่านเล่มนี้และจากที่เคยเรียนด้วย ทำให้เข้าใจและมองว่าความเหงาเป็นความรู้สึกและมุมมองที่เรามีต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างของเราเอง 

 

 

ความเหงา มีกี่รูปแบบ?

Weiss (1973) ได้จำแนกความเหงาออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. ความเหงาทางอารมณ์ (Emotional loneliness)

หมายถึง ความเหงาที่เกิดจากการขาดความสัมพันธ์กับบุคคลที่ใกล้ชิด การเพิ่มปริมาณของความสัมพันธ์ทางสังคม ไม่สามารถช่วยให้ความเหงาประเภทนี้ลดลงได้

2. ความเหงาทางสังคม (Social loneliness)

หมายถึง ความเหงาที่เกิดจากการขาดเครือข่ายทางสังคมหรือการขาดกิจกรรมทางสังคม ความเหงาประเภทนี้สามารถแก้ไขได้โดยการเพิ่มเครือข่ายทางสังคมและกิจกรรมทางสังคม

 

 

ส่วน Beck และ Young (1978) ได้แบ่งความแตกต่างของความเหงาออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. ความเหงาแบบเรื้อรัง (Chronic loneliness)

หมายถึง ความเหงาที่เกิดจากความล้มเหลวในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่น่าพึงพอใจเป็นระยะเวลาหลายปี รวมถึงการรับรู้ว่าถูกทอดทิ้งจากการสื่อสารระหว่างบุคคล

2. ความเหงาจากสถานการณ์ (Situational loneliness)

เป็นความเหงาที่มีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทางลบ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมเกิดการหยุดชะงัก เช่น การตายของคนที่รัก

3. ความเหงาแบบชั่วคราว (Transient loneliness)

เป็นความรู้สึกอ้างว้างที่เกิดขึ้นชั่วขณะเป็นครั้งคราว เช่น หลังจากประสบความสำเร็จ บุคคลอาจพบความสุขและความโล่งอกแต่ยังรู้สึกว่างเปล่า หรือความรู้สึกหลังจากจบงานเลี้ยงเนื่องจากต้องแยกจากกลุ่มเพื่อน

 

 

ความเหงา เป็นโรคติดต่อ จริงไหม?

หมอปีย์กล่าวว่ามนุษย์ส่งความรู้สึกต่อกันง่ายมาก ถึงขนาดที่ว่าแค่เราอยู่ใกล้คนที่รู้สึกเหงา โดยที่เราไม่รู้ว่าเขาเหงา เราก็เหงาได้แล้ว และไม่ใช่แค่ความเหงาด้วย ความเศร้าหรือแม้กระทั่งความสุข

 

ก็ติดต่อกันได้ง่าย ลองนึกภาพดู คนรอบข้างหัวเราะเราก็หัวเราะหรือคนรอบข้างเศร้าเราก็เศร้า เวลาเจอคนเศร้า ถึงเราจะไม่ได้เข้าไปคุยกับเขา เราก็คงรู้สึกซึม ๆ ตามไปด้วย

 

 

ความเหงา ในงานวิจัย เป็นอย่างไร?

รัฐบาลอังกฤษได้ก่อตั้งกระทรวงแห่งความเหงา (Ministry of Loneliness) ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ตั้งแต่ช่วงปี 2561 ถือเป็นความพยายามในการรับมือกับปัญหาสุขภาวะทางจิต

 

โดยเฉพาะความรู้สึกโดดเดี่ยวและความเหงาของผู้คนในช่วง COVID-19 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021 นายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น แต่งตั้ง นายเท็ตสึชิ ซากาโมโตะ

 

ในตำแหน่งใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็น Minister of Loneliness หรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเหงา โดยมีหน้าที่พิเศษเพื่อต่อสู้กับวิกฤตความเหงาและความโดดเดี่ยวของประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้น

 

ในช่วงการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ส่วนประเทศไทยจากผลสำรวจล่าสุดในปี พ.ศ. 2562 ของมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าประเทศไทยมีสถิติคนเหงาพุ่งสูงถึง 26.57 ล้าน 

 

นักจิตวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ ก็ออกมาให้ข้อมูลตรงกันว่า ความเจ็บปวดทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นเพราะความเหงานั้น นำไปสู่ภาวะความผิดปกติทางจิตเวชได้  เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล

 

ถ้าอาการหนักขึ้นก็อาจจะเข้าขั้นภาวะประสาทหลอน นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ด้วยว่า ภาวะความเหงาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง

 

ที่อาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และอัลไซเมอร์ รวมถึงทำให้อายุขัยสั้นลงเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ประมาณ 15 มวนต่อวัน 

 

 

อยู่กับคนเยอะ ๆ จะหายเหงา จริงไหม?

มีมุมมองหนึ่ง สำหรับคนที่มีทุกอย่างครบ ครอบครัว คนรัก เพื่อน เหงาไหม? กล่าวได้ว่า ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เหงา เพราะการที่เราเคยชินกับการมีครบ วันหนึ่งมีใครสักคนหายไป

 

เช่น ทะเลาะกับแฟน เลิกกับแฟน อาจจะเกิดความเหงาได้ ถึงแม้จะยังมีครอบครัวกับเพื่อนอยู่ และอยู่กับคนเยอะ ๆ แล้วเหงา เป็นไปได้มากง่ายมาก ถ้าคนเหล่านั้นเป็นคนที่ต่างวัย ต่างสังคม

 

ต่างทัศนคติ ที่เราไม่สนิท ไม่สบายใจ ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย ทุกคนจะรู้สึกได้ง่ายเวลาการปฏิสัมพันธ์มันไม่ลงล็อกกัน กลับกัน ถ้าเราเจอคนที่คล้ายเราสักคนในนั้น ความเหงาจะบรรเทาลง

 

 

อยู่คนเดียวแล้วต้องเหงา จริงไหม?

ที่น่าสนใจอีกอันนึงคือ ความเหงาอาจเกิดขึ้นกับ ‘คนที่เหนื่อยกับการอยู่คนเดียว’ ได้เหมือนกัน คำว่าคนที่เหนื่อยกับการอยู่คนเดียว มาจากหนังสือชื่อ Travel notes attraction ของ ลีบยองรยอล 

 

ถ้าอยู่คนเดียวแล้วเราไม่เหนื่อย เราชอบ เรามีความสุข เราได้ชาร์จพลัง สมการที่บอกว่า อยู่คนเดียว = เหงา คงไม่จริง เพราะหลาย ๆ คน เช่น กลุ่ม Introvert ที่ชอบหาเวลาส่วนตัว ในการเอนจอยกับการทำอะไรคนเดียว 

 

สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองเหงา เพราะไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้าง พี่อีฟ นักจิตวิทยา เคยบอกว่า บางคนมีคนอยู่รอบตัว แต่การตอบสนองของเขาไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ เลยรู้สึกเหมือนไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้างได้ 

 

ยิ่งหนาว ยิ่งเหงา จริงไหม?

ในทางวิวัฒนาการบอกว่า ร่างกายมนุษย์เราถูกดีไซน์มาให้เข้ากับความร้อน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่มีขนตามตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่

 

กลับกัน เวลาหนาว เราจะใช้คนรอบข้างนี่แหละในการสร้างความอบอุ่น เช่น การกอด การซุกอยู่ใกล้ ๆ กัน นั่นทำให้ยิ่งหนาว ยิ่งเหงา เป็นเรื่องจริง 

 

มีการทดลองให้คนที่เหงาและไม่เหงามาอยู่ในห้องเดียวกัน แล้วทำแบบทดสอบ ผลพบว่า คนที่เหงาจะรู้สึกว่าห้องนี้หนาวกว่าคนที่ไม่เหงา นั่นเป็นเพราะความหนาวและความเหงาเชื่อมโยงกัน

 

 

ความเหงา ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เพราะอะไร?

1. ความคาดหวัง 

เมื่อความคาดหวังของเราไม่เท่ากับปริมาณคนรอบข้างที่เรามีอยู่ เราจะเหงา

2. การเปรียบเทียบ

ถ้าเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนนั้นมีเพื่อนเยอะ คนนั้นไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อย เราอาจจะเหงาได้เหมือนกัน

3. การปรับตัว

ซึ่งความเหงามักจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีความรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ไม่ได้รับการสนับสนุน ไม่รับรู้ถึงความใกล้ชิดผูกพันกับบุคคลอื่น

4. ปัญหาด้านความสัมพันธ์

ในงานวิจัยของ Rokach กล่าวว่า คู่แต่งงานบางคู่มีความรู้สึกเหงา เพราะขาดความรู้สึกใกล้ชิดผูกพัน หรือ มีปัญหาความสัมพันธ์ 

 

ความเหงา ส่งผลต่ออะไรได้บ้าง? 

1. ทำให้มีมุมมองทางลบต่อคนรอบข้าง

จากหนังสือซ่อมแซมความสุขที่สึกหรอ  Emotional first aid ที่เขียนโดย กาย วินช์  อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ คือ เวลาเหงา เราจะมองคนรอบข้างในแง่ร้ายกว่าความเป็นจริง

 

เช่น เขาคงไม่อยากคุยกับเราหรอก พอคิดแบบนี้ จะยิ่งทำให้เราไม่เข้าสังคม พอไม่เข้าสังคมเราก็จะเหงา เป็นวงจรแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ 

 

2. ติดเกม

จากหนังสือ เหตุเกิดจากความเหงา เหตุผลเบื้องหลังคือ เราจะติดเกมเพราะ หนึ่งคือความต้องการเอาชนะ การไต่ขั้นไต่เลเวลไปเรื่อย ๆ จะกระตุ้น reward system ในสมอง

 

สองคือ หลายเกมยังถูกพัฒนามาเพื่อคลายความเหงาด้วย ซึ่งจะดีไซน์มาเพื่อให้เล่นเป็นทีม ถ้าเล่นพร้อมเพื่อนจะชนะง่ายกว่า หรือ ดีไซน์มาแบบให้เราสามารถพบปะผู้คน

 

สองจุดนี้ทำให้หลาย ๆ คนได้มีปฏิสัมพันธ์ที่หาไม่ได้ในชีวิตจริง นี่เลยเป็นคำตอบว่าทำไมความเหงาทำให้เราติดเกมได้ 

 

3. อัตราการเสียชีวิต

จากงานวิจัย ‘Loneliness and Social Isolation as Risk Factors for Mortality’ โดยคณะวิจัยมหาวิทยาลัยบริกแฮม ชี้ให้เห็นว่าบุคคลที่รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวนั้นมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากถึงร้อยละ 20 

 

รับมือกับ ความเหงา ยังไงดี?

1. ฟังเพลง 

หมอปีย์บอกว่า ‘เพลง’ เป็นการสื่อสารที่สื่อสารได้ครั้งละหลายคนที่สุด การฟังเพลงเปรียบเสมือนการมีใครสักคนสื่อสารบางอย่างให้เราซึ่งจะช่วยคลายความเหงาได้ประมาณหนึ่งเลย 

2. หางานอดิเรกทำ 

การหางานอดิเรกทำที่ต้องใช้การโฟกัส จะช่วยดึงเราจากความเหงาได้ และสิ่งที่อาจจะได้เป็นกำไรคือ ถ้าเราชอบสิ่งนั้นมากพอจนทำเป็นประจำ เราอาจจะได้รู้จักคนใหม่ ๆ สังคมใหม่ ๆ ที่มีความสนใจเหมือนกัน

3. สะท้อนและยอมรับความรู้สึกโดดเดี่ยว

ลองสะท้อนและยอมรับความรู้สึกโดดเดี่ยว ทั้งในด้านความคิดและความรู้สึกแปลกแยกจากคนอื่น เพื่อให้เกิดการตระหนักและการปรับโครงสร้างทางความคิด

4. พัฒนาตัวเองและความเข้าใจตัวเอง

พัฒนาตนเองและความเข้าใจตัวเอง โดยเน้นถึงความเชื่อและคุณค่าในตนเอง

5. เพิ่มการมีส่วนร่วมทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

อาจจะเป็นการเข้าหาคนที่มีอยู่ในชีวิตอยู่แล้วและคนใหม่ ๆ

 

 

ที่มา :

หนังสือเหตุเกิดจากความเหงา

หนังสือซ่อมแซมความสุขที่สึกหรอ (Emotional First Aid) 

ความเหงาคืออะไรและทำไมเราต้องรู้สึกเหงา? นักจิตวิทยามีคำตอบ

“Loneliness Epidemic” การแพร่ระบาด “ความเหงา” ที่ทำร้ายเรามากกว่าที่คิด

ความเหงาคือโรคร้ายแรง? แล้วความเหงาทำร้ายจิตใจเราถึงระดับเซลล์ได้จริงหรือเปล่า?

ในหนึ่งวันเราใช้เวลากับสิ่งรอบตัวมากมาย แต่คนที่เราไม่ได้ให้เวลาเลยคือตัวของเราเอง เรารู้จักตัวเอง ดีพอหรือยัง? มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับ  “ รู้จักตัวเอง

 

ผ่านมุมมองของนักจิตวิทยากับรายการพูดคุย Alljit X คุณวันเฉลิม คงคาหลวง นักจิตวิทยาการปรึกษา 🙂

 

เราจะ รู้จักตัวเอง ไปเพื่ออะไร ? 

เรารู้จักแล้วได้อะไรกลับมา สิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นมนุษย์คือต้องรู้ว่าเราต้องการอะไร การที่เรารู้จักตัวเองจะทำให้เราเจอความต้องการของตัวเอง ตอบสนองความต้องการของตัวเองได้อย่างถูกต้อง 

 

ข้อดีของการ รู้จักตัวเอง

ในหลายช่วงชีวิต มีเส้นทางที่เราตัองตัดสินใจ แต่การตัดสินใจ ต้องมาพร้อมกับการที่เรารู้จักตัวเอง ถ้าเรารู้จักตัวเองจะทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น 

 

แบบทดสอบทำให้เรารู้จักตัวเองได้จริงไหม ?  

แบบทดสอบลักษณะนิสัย mbti ทำให้สามารถรู้จักตัวเองได้จริงแต่มีเงื่อนไขของตัวแบบทดสอบ เราต้องทำแบบทดสอบที่เป็นตัวของแบบทดสอบจริง ๆ และมีนักจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญ ที่คอยดูแลระหว่างการทำแบบทดสอบไปพร้อม ๆ กับเรา

 

ซึ่งเมื่อเราทำแบบทดสอบที่มีตามอินเทอร์เน็ตเอง การทำแบบทดสอบสามารถเปลี่ยนไปได้เพราะความ Bias ของเราในการทำแบบทดสอบ ซึ่งการทำทดสอบแต่ละครั้งจะสะท้อนจุดเด่นในช่วงนั้น ๆ ในปัจจุบันที่เราทำกับอนาคตผลจะมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เสมอ

 

 

เรารู้จักตัวเองมากน้อยไหน?

รู้จักตัวเองแค่ไหนเริ่มต้นได้จากการตั้งคำถามกับตัวเองจากเรื่องเล็กน้อยไปสู่เรื่องใหญ่ ๆ ได้ เช่น

คุณต้องการอะไร

คุณคิดอะไร

จุดเด่น

จุดด้อย

จุดแข็ง

จุดอ่อน

พอรู้ความต้องการชีวิตจะง่ายขึ้น ถ้าเราตอบคำถามในสิ่งที่เราอยากรู้ในเรื่องเล็ก ๆ ได้ ก็จะตอบโจทย์ในการใช้ชีวิตของเรา 

 

 

การเลี้ยงดูมีผลไหม?

ถ้าครอบครัวส่งเสริมให้ลูกมีทักษะในการตัดสินใจ การตั้งคำถาม ไม่ปิดกั้นทางความรู้สึก จะสามารถทำให้เด็กรู้จักตัวเอง มีความกล้าในการตัดสินใจ 

 

 

ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร

นิทรรศการ “Turn Your Scars into Stars” “แม้จะเจ็บปวดแต่คุณก็งดงาม” เป็นนิทรรศการที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนที่เจอกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สวยงาม

 

และกลายเป็นบาดแผลที่เจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ นิทรรศการจัดในวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ The Palette Artspace

 

ทางทีมงาน Alljit ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พวกเราเลยอยากมาเเชร์ความประทับใจและเเรงบันดาลใจที่ได้จากงานนี้กัน 

 

การเดินชมงานศิลปะ ทำไมถึงรู้สึกดีขึ้นได้ขนาดนี้นะ?

“ศิลปะบำบัด” อาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ การไปเดินชมงานศิลปะ เราไม่ได้ใช้เหตุผลและตรรกะ ในการอ่านทำความเข้าใจนัยยะของภาพ แต่เราใช้ “ความรู้สึก” ต่างหาก

 

ภาพนี้เราตีความออกมาเป็นแบบนี้เพราะเราทัชกับสิ่งนี้ ภาพนั้นเราตีความไปอีกแบบเพราะเคยผ่านประสบการณ์ประมาณนี้มาก่อน ความสนุกของการไปเดินชมงานศิลปะคงเป็นตรงนี้แหละ

 

และสิ่งที่ได้จากการไปชมงานในวันนั้นไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่เป็นแง่มุมและกำลังใจที่ได้กลับมา การที่รับรู้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว มีเพื่อน ๆ มากมายที่เคยประสบกับความเจ็บปวด

 

พวกเขาได้ก้าวผ่านมาได้ เหมือนเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ได้เหมือนกัน 

 

 

 “ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด”

ในวันนั้นได้พบกับ น้องธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือ น้องธันย์ สาวน้อยคิดบวก 

 

เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนน่าจะรู้จัก หรือได้ยินชื่อน้องธันย์กันมาบ้าง เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว คงเคยได้ยินข่าวเด็กวัย 14 ปีเกิดอุบัติเหตุตกรถไฟฟ้าสิงคโปร์ จนทำให้สูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง

 

เธอผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน ?

ในช่วงหนึ่งของนิทรรศการน้องธันย์ได้เล่าให้ฟังว่า เธอเริ่มจาก “การมองศัตรูให้เป็นเพื่อน” ความพิการที่เกิดขึ้นก็คือศัตรูที่เธอต้องพบเจอและต่อสู้ แต่พอสุดท้ายแล้วเธอทำให้ศัตรูกลายเป็นเพื่อนที่สนิทมาก ๆ

 

มันได้ทำให้เรารู้จักเพื่อนคนนี้ในทางที่ดีและได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายจากความเจ็บปวดในครั้งนั้น  “ทำยังไงก็ได้ให้เรารู้สึกมีความสุขที่สุด” คนส่วนใหญ่ชอบมองว่าคนพิการจะต้องอยู่บ้านเฉย ๆ

 

นั่งวีลแชร์เฉย ๆ แต่การนั่งวีลแชร์ของเธอก็มีความสุขได้ มีความสุขกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และเราจะมองทุกอย่างในทางที่ดีขึ้น

 

หนึ่งสิ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ คุณพ่อของน้องธันย์น่ารักมาก พ่ออยู่ข้าง ๆ น้องตลอดเวลา ในขณะที่ก่อนจะสัมภาษณ์พ่อเองก็คอยประคองน้องธันย์ขึ้น-ลงเวที ถ่ายรูปเวลาน้องกำลังพูดคุยกับสื่อ 

 

สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้เวลาที่คุณพ่อกำลังมองน้องก็คือ ภายในแมสนั้นกำลังมีรอยยิ้มของพ่อที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในทุกครั้งที่มองน้องธันย์ สิ่งนี้เป็นอีกสึ่งหนึ่งที่สวยงามและน่าประทับใจ

 

 

ถ่ายทอดความเจ็บปวดผ่านผลงานศิลปะ

 

ในวันนั้นมีการเปิดตัวผลงานศิลปินชื่อดัง 11 ท่าน คือ คิ้วต่ำ, Tum Ulit , Art of Hongtae,Banana Blah Blah,Manasawii ,puck ,โรแมนติกร้าย,meetmrtwo,Yugo และ Pearytopia

 

และมีช่วงเวลาที่สัมภาษณ์ถึงคอนเซ็ปและเเรงบันดาลใจจากผลงาน ศิลปินแต่ละต่างมีมุมมองในแง่ของความเจ็บปวดที่น่าสนใจมากๆ เช่น

 

1. Farewell “ลาก่อน รักเก่า Parting is such sweet sorrow”

 เป็นผลงานของคุณ Art of Hongtae ที่เล่าเรื่องราวของการจบความสัมพันธ์ ผ่านภาพของการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ การเลิกราเป็นประสบการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดสำหรับทุกคน

 

แต่คุณฮ่องเต้กลับนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่งว่า ความเจ็บปวดนี้อาจเป็นอีกหนึ่งความเศร้าที่งดงาม ภาพที่ออกมาจะดูละมุนและดูเศร้าในเวลาเดียวกัน 

 

ด้วยความที่องค์ประกอบภาพหลักของภาพมีเพียง 2 อย่างคือ ‘คนหัวก้อนเมฆ สัญลักษณ์แทนความเครียดและความเศร้า’ และ ‘ท้องฟ้าสีอ่อนหวาน’ ทำให้อารมณ์ของภาพดูเศร้า เหงา

 

โดดเดี่ยวแต่งดงามไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเข้ากับ concept เรื่องการจากลาในมุมของคุณฮ่องเต้ ใจความของประโยคน่าประทับใจประโยคหนึ่งที่คุณฮ่องเต้พูดถึงผลงานของตัวเอง คือ

 

“ถ้าเรามองเรื่องการจากลาเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง เหมือนการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ เราคงมีความสุขง่ายขึ้น”

 

 

2.Someday This PAIN will be USEFUL

 

 

Someday This PAIN will be USEFUL ของคุณ ไตรภัค สุภวัฒนา นามปากกา PUCK ตอนที่เดินเข้าไปในงานรู้สึกว่าภาพนี้ดึงดูดใจมาก ๆ

 

ทั้งสีสันที่ฉูดฉาด รายละเอียดในภาพที่มีดีเทลเยอะแต่ลงตัวอย่างกลมกล่อม ในรูปภาพจะมีรูปประภาคารที่โดดเด่น 

 

และมีหลายอย่าง ๆ ที่ห้อมล้อมประภาคารนั้นเอาไว้ ตรงกลางของภาพจะมีรูปผู้หญิงที่กำลังเดินเข้าประภาคาร ซึ่งที่รู้สึกถึงความหมายภาพนี้คือทุกแม้ว่าความสุขของเราจะอยู่บนยอดประภาคาร

 

หรืออยู่ที่ไหนสักแห่ง ในตอนนี้เราอาจกำลังจมอยู่ในความทุกข์แต่สิ่งที่เป็นทุกข์คงไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป ทุกก้าวแห่งความเจ็บปวดพาไปยังความสุขที่ผ่านการเรียนรู้

 

ซึ่งคุณภัคได้บอกว่า “ หลายครั้งที่จมอยู่กับความทุกข์ ฉันลองค้นหาความสุขรอบๆ ตัวแต่ภาพแห่งความสุขนั้นพร่ามัวเหลือเกิน ใครสักคนเคยบอกไว้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตเรานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์

 

ความสุขนั้นเป็นเพียงสายลมเย็นที่นานๆ จะพัดผ่านมาที หากเป็นเช่นนั้นแล้วความทุกข์ก็ไม่ต่างจากกองไฟร้อนที่ตั้งอยู่ข้างกายเรา ไอร้อนที่อยู่กับเราเสมอมาหรืออาจเพราะมีไอร้อนนี้

 

ทุกครั้งที่ลมเย็นพัดผ่าน ฉันจึงรู้สึกถึงคุณค่าของลมเย็นนั้นจริงๆ ”

 

3. Thank You “ขอบใจที่เจ็บ” 

 

ชื่อศิลปิน : คิ้วต่ำ

 

“ความเจ็บปวด คงเป็นเหมือนช่วงเวลาเเรกตอนเลี้ยงแมวสักตัว เราอาจได้บาดแผลมากมาย แต่หากเราใช้เวลาเข้าใจ เรียนรู้ ยอมรับ และปรับตัวให้ได้ ความเจ็บปวดนั้น ก็จะเป็นความสัมพันธ์อันงดงาม”

 

การที่คุณคิ้วต่ำเปรียบเทียบความเจ็บปวดกับแมว ทำให้ค่อนข้างเห็นภาพชัดขึ้นว่า ทุกความเสียใจ ทุกความเจ็บปวดมันมีขั้นมีตอนของมัน วันแรกที่เราเจ็บ เราจะรับมือไม่ไหว ไม่รู้ต้องทำยังไง 

 

แต่เราจะเรียนรู้ที่จะยอมรับเข้าใจ และอยู่ร่วมกับมันได้ เมื่อได้เรียนรู้ เราจะพบเจอกับความสวยงามบางอย่าง  บาดแผลจะจางไป รอยยิ้มจะกลับมา

 

 

4. Equality Cake Planet

ในงานยังมีศิลปินนักเขียนนามปากกา โรแมนติกร้าย หรือ คุณ Win nimman เข้าร่วมในนิทรรศการนี้อีกด้วย ซึ่งคุณวินได้ห่างหายจากการวาดภาพไปค่อนข้างนานพอสมควร

 

และยังบอกอีกว่านิทรรศการนี้ทำให้คุณวินอยากกลับมาวาดภาพอีกครั้ง โดยผลงานในนิทรรศการมีชื่อภาพว่า Equality Cake Planet ซึ่งมีสีสันสดใส ความเป็นกวี ความรักในขนมหวานตามสไตล์โรแมนติกร้าย 

 

“เค้กก้อนสีชมพู ถึงแม้ว่ามันจะสวยงาม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยพบกับความเจ็บปวด แค่มันเลือกจะเป็นชมพูแบบนั้นต่อไป อย่าให้โลกที่โหดร้ายมาเปลี่ยนความชมพูของเรา”

 

และมีบทกวีในเค้กเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘be who you are as you wish we are all equal on this sweet-lonely planet’ ซึ่งตีความหมายถึงความเท่าเทียม ความเป็น feminist

 

ซึ่งเชื่อในความเท่าเทียมของทุกคนและทุกเพศ ภาพเค้กที่โรยด้วยเกล็ดน้ำตาลแท่งหลากหลายสีได้แทนถึงความเท่าเทียมทางเพศ ลดความอคติ เค้กในภาพจะช่วยลดความเจ็บปวดให้กับทุก ๆ คน

 

และยังเป็นเค้กที่ทุกเพศทุกวัยสามารถเอนจอยได้อีกด้วย 

 

อีกสิ่งที่อยากจะเล่าให้กับทุก ๆ คนได้ฟังคือ ตั้งแต่คุณวินเดินเข้างานมา มีน้อง ๆ แฟนคลับ หรือที่คุณวินเรียกว่า ‘แก๊งสายหวาน’ รอคุณวินตั้งแต่เดินเข้ามา มีการขอถ่ายรูปและชื่นชมผลงานโรแมนติกร้าย

 

บรรยากาศการที่แฟนคลับพูดคุยกับคุณวินอบอุ่นและเป็นกันเองมาก ในขณะที่คุณวินพูดอยู่บนเวลาทีนั้น ยังได้พูดถึงความเท่าเทียมซึ่งทำให้เราได้รู้สึกว่า

 

ความเท่าเทียมคือสิ่งสำคัญมากที่เราทุก ๆ คนควรตระหนักถึง

 

5.Another purpose of pain

ชื่อศิลปิน: Meetmrtwo

 

“Sometime,pain can become your cure.”

 

โดยคุณสองได้อธิบายถึงผลงานชิ้นนี้เอาไว้ว่า การที่ชีวิตเราผ่านอะไรมามาก ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่เราพบเจอได้สอนให้เราเรียนรู้เเทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด

 

โดยเปรียบความเจ็บปวดที่เราได้พบเป็นเหมือนสีที่ไหลออกมา แล้วเอาสีนั้นมาวาดเป็นจุดหมายของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เป็นการเปลี่ยนความเจ็บปวดของเราให้กลายเป็นจุดหมาย

 

เเรงบันดาลใจก็มาจาก ชื่อนิทรรศการ Turn Your Scars into Stars ที่บาดแผลทำให้เรามีเลือดไหลออกมา แต่เปลี่ยนจากเลือดตรงนั้นเป็นสีแทน

 

ครั้งแรกที่ได้ฟังคุณสองอธิบายถึงผลงานชิ้นนี้ เป็นสิ่งที่ประทับใจมาก ๆ เพราะบางครั้งความเจ็บปวดก็ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานนับครั้งไม่ถ้วน ร้องไห้กับมันนับครั้งไม่ถ้วน

 

แต่สุดท้ายความเจ็บปวดที่เราเจอ ในบางครั้งก็ทำให้เราเติบโตขึ้นและกลายเป็นเป้าหมายที่ทำให้ชีวิตเราก้าวต่อไปข้างหน้า

 

 

6.Colorful Daggers

 

ชื่อศิลปิน : Tum Ulit

 

“Fill in the right gap to release yourself from pain”

 

ความรู้สึกแรกที่เห็นผลงานชิ้นนี้ คือ ถ้าอยากจะมีผลงานศิลปะสักชิ้นไว้ในห้องนอน ก็คงเป็นชิ้นนี้ ให้ความรู้สึกน่ารัก อบอุ่นและคงเพิ่ม mood ให้ห้องนอนเป็น Safe Zone ให้เราได้ดี

 

คุณตั้มเล่าว่าได้รับเเรงบันดาลใจจากการถูกทำร้ายด้วยคำพูดหรืออารมณ์ของคนอื่นซ้ำ ๆ เมื่อผ่านความเสียใจจนวันนึงเกิดเป็นการตกตะกอนได้ว่า

 

“เราควรตั้งตนให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น” โดยใช้ “เกมเสียบถังโจรสลัด” มาเเทนหัวใจที่ถูกทิ่มเเทง แต่ถ้าเสียบได้ถูกช่อง เราก็จะกระเด็นออกจากความทุกข์นั้น:)

 

ทำให้นึกถึงตอนที่ทาง Alljit ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตั้มในเรื่องของ  การก้าวผ่านความเจ็บปวด และช่วงเวลาที่ยากที่สุด? คุณตั้มได้บอกว่า

 

“เมื่อเกิดความเจ็บปวดเราจะตั้งคำถามว่าทำไมเราไม่ทำอย่างนั้น? อย่างนี้? ซึ่งเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเราที่สุด แต่อีกส่วนหนึ่งคือ คำถามว่าเมื่อไหร่เราจะกลับมาเป็นปกติ

 

การรอเวลาเพื่อกลับไปถึงจุดนั้นมันทรมาน เพราะเรารู้สึกว่าการจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งต้องต่อสู้กับตัวเองเยอะมาก”

 

เพราะฉะนั้นภาพนี้เป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเหมือนกันว่าในวันนึงเราก็จะออกมาได้แหละ ถังโจรสลัดที่ทำให้เราถูกทิ่มแทงนับครั้งไม่ถ้วนใบนี้

 

เเละวันที่เราทะยานออกมาได้คงเป็นวันที่สดใสเหมือนผลงานของคุณตั้มชิ้นนี้:)

 

ยังมีผลงานของศิลปินอีกหลายท่านที่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ลึกซึ้ง สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน จนพวกเรายังแอบคุยกันว่า คงเอามาพูดใน Podcast ได้หลายอีพีเลย

Mini Gallery Turn Your Scars into Stars

ภายในงานจะมีผลงานของศิลปินทางบ้านที่ได้เข้าร่วมเป็น Mini Gallery บริเวณชั้นสาม ผลงานของศิลปินทางบ้านถูกประดับด้วยการแขวนเรียงกันให้ผู้เข้างานได้เข้ามาเยี่ยมชม ทุกรูปภาพที่ได้ศิลปินทางบ้าน

 

ได้ทำการวาดภาพเข้ามา มีเรื่องราวที่อยู่ในภาพเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจ การตีความได้อย่างลึกซึ้ง แต่การที่ได้ไปเดินชมก็สัมผัสได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในภาพเหล่านั้น

 

นอกจากจะได้เข้าร่วมใน Mini Gallery แล้ว ทางงานก็มีรางวัลรูปภาพขวัญใจศิลปินทั้ง 11 ท่านหรือ “Artist’s Pick! ” ศิลปินแต่ละท่านจะให้รางวัล การที่ได้รับเข้าร่วมเป็นเรื่องที่น่ายิน

 

และการได้รางวัลจากศิลปินที่ชื่นชอบเหมือนเป็นแรงใจ ประสบการณ์ที่น่ายินดีและจุดประกายความฝันให้ยิ่งขึ้นไป 

 

ในส่วนของชั้น 3 ที่นอกจากจะจัดแสดง Mini Gallery Turn Your Scars into Stars แล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ Art Market เอาใจสายช้อปงาน Hand made อย่างเรา ๆ

 

ร้านมากมายถึงเกือบ 20 ร้าน อาทิเช่น สติ๊กเกอร์ลายน่ารัก ๆ, กระเป๋าถักจากไหมพรม สมุดโน้ต กำไลข้อมือ ต่างหู เทียนหอม เป็นต้น เรียกว่าถ้าไม่คุมสติดี ๆ ได้มีกระเป๋าฉีกแน่ ๆ งานนี้ 

 

เปิดไพ่ฮีลใจและค้นหาคริสตัลประจำตัว

สิ่งนึงที่ทางทีมงานเสียดายมาก ๆ คือ อดเข้า Workshop ในงานวันที่ 5 เพราะเป็น Workshop ที่น่าสนใจมาก แต่อาจจะเป็นความโชคดีบนความน่าเสียดายที่เราได้มีโอกาสไปเปิดไพ่

 

และเลือกหินประจำตัวที่โต๊ะเล็ก ๆ ของคุณแอ้และคุณแคท ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์แทน

 

เปิดไพ่ฮีลใจ

จากคุณ แอ้ Memo Smile จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับการดูดวงนั่นแหละ แต่สิ่งที่แตกต่างจากการดูดวงที่ผ่านมาของเราคือ คำพูดที่ว่า

“การดูดวงที่ดี คือ การดูแล้วเห็นเส้นทางของตัวเอง หรือช่วยให้การตันสินใจได้ง่ายขึ้น”  ถ้าดูแล้วจิตตก กังวล อาจจะไม่ใช่การดูดวงที่ดีนัก เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่า การดูดวงครั้งนี้พิเศษตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย 

 

แล้วก็พิเศษแบบนั้นจริง ๆ ช่วงเปิดไพ่ ก็พบว่า เส้นทางของเราอาจจะไม่ได้สวยงามตลอดทั้งเส้น แต่ขอให้เชื่อมั่น และลงมือทำ เพราะเธอมาถูกทางแล้ว… แต่ความมั่นใจเราก็ยังมาไม่สุดทางอยู่ดี 

 

คุณเเอ้จับมือเรา พร้อมให้เปิดไพ่ใบสุดท้าย ที่บอกว่า “ KEEP YOUR HEART OPEN EVEN WHEN IT HURTS” และนั่นคือคำตอบของทุกอย่างที่ทำให้พลังความมั่นใจในตัวเราถูกเติม 

 

ความประทับใจอีกอย่างในระหว่างการเปิดไพ่ คือ  มีกล้องหลายตัว เข้ามาจับภาพ แต่คุณแอ้กังวลเพราะหน้าสด เราเลยอาสา ปัดแก้มให้ พร้อมยื่นกระจกให้ทาตาด้วย

 

มันคือความสัมพันธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่มันทำให้ใจฟูจริง ๆ   ปิดท้ายด้วยการ กอดให้กำลังใจ วินาทีนั้นเราตั้งใจหลับตา และตั้งใจรับพลังนั้นเข้ามา  

 

จากไม่กี่นาทีที่คุย จากไม่กี่เสี้ยววินาทีที่สัมผัสกัน  มันเป็นพลังบวกที่ส่งถึงกันจริง ๆ  และคุ้มค่าที่ได้ไปร่วมงาน “Turn Yours Scars into Stars” 

 

 

My Crystal Mandala

จาก “คุณแคทผู้เชี่ยวชาญทางด้านหินแร่” ในการค้นพบคริสตัลประจำตัวของคุณและสัมผัสพลังงานของผืนดิน

 

เพราะชีวิตต้องเจอกับเรื่องราวที่เจ็บปวด สิ่งที่ช่วยฮีลใจในวันยาก ๆ อาจจะเป็น ‘คริสตัล’ My Crystal Mandala เป็นเวิร์คช็อปที่จะพาทุกคนค้นหาหินประจำตัว

 

ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง หินเหล่านี้อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงช่วยดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามา  ตอนที่เข้าไปที่บูธ ได้รับการแนะนำดีมาก หินประจำตัวเลยเป็นสิ่งใหม่อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รู้จักจากนิทรรศการนี้ 

 

 

การที่เราได้พาตัวเองให้ถูกล้อมรอบไปด้วยผลงานศิลปะของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดเหมือนกัน เจอกับบาดแผลเหมือนกัน  ทำให้เราได้ฮีลใจของตัวเอง

 

ได้รับกำลังใจจากคนที่เคยเจอกับประสบการณ์ที่ไม่ดีเหมือนกันและได้มองตัวเองในมุมมองใหม่ว่า แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เราก็ยังคงสวยงามเหมือนเคย…

 

“ขอบคุณที่ก้าวผ่านความเจ็บปวดในวันนั้น มาเป็นเธอในวันนี้” – จาก Alljit

คบกันนานแต่ไปไม่รอด ” หรือเวลาอาจไม่ใช่คำตอบในความสัมพันธ์ สาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่คบกันมายาวนานไปกันไม่รอดเพราะอะไร ? มีวิธีรักษาความสัมพันธ์แบบไหนบ้าง ? หากไปกันไม่รอดจริง ๆ เราจะรับมือกับการเลิกราอย่างไร ?

 

 

เวลาอาจจะไม่ใช่คำตอบของความรัก 

สารบัญ

เมื่อก่อนจะมีคำพูดที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า รักง่ายหน่ายเร็ว เหมือนชี้กันว่า คนที่รักกันง่ายอาจจะเลิกกันเร็ว ส่วนคนที่รักกันนานแล้วก็มีโอกาสจะเลิกกันยากขึ้น

 

แต่จริง ๆ แล้ว เวลาอาจไม่การันตีได้ว่า คบกันมานานจะแปลว่ารักกันดี หรือจะตลอดไปแบบไม่เลิกลา แล้วเวลาไหน เวลากี่ปี หรือตอนไหนที่ฉันควรจะมีความรักดี  

 

 

กฎ 37% ช่วยประหยัดเวลาในการหาคู่แต่งงาน

กฎ 37% หรือทางคณิตศาสตร์เรียกว่า ‘Optimal Stopping Problem’  โดย 37% นี้มาจากการพิจารณา 1/e ซึ่งมีค่าประมาณ 0.368 หรือคิดเป็น 37%

 

ซึ่งหากเราต้องการเพิ่มโอกาสในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจากตัวเลือกทั้งหมด เราเพียงแค่พิจารณา 37% ของจำนวนทั้งหมด แล้วจึงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดหลังจากนั้น

 

อธิบายง่าย ๆ คือ สมมติเรามีแฟนทั้งหมด 100 คน  37% ของ 100 คนก็คือ 37 คน นั่นแปลว่าให้คุณคบกับ 37 คนแรกไปก่อน และเริ่มพิจารณาจากคนที่ 38-100

 

ถ้าใครคือคนแรกที่ ดีกว่าคนที่ 1-37 ให้เลือกแต่งงานกับคนนั้นดังนั้นหากกำลังมองหาความรักในช่วงอายุระหว่าง 18-40 ปี อายุที่เหมาะสมในการเริ่มพิจารณา

 

หาคู่แต่งงานในอนาคตก็คือ 26 ปี (37% ของช่วงอายุ 22 ปี) ซึ่งก่อนหน้านี้เราอาจจะพลาดคนดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตไปแล้ว แต่หลังจากอายุ 26 อาจจะเจอคนที่ดีที่สุด

 

งานวิจัยเกี่ยวกับคู่แต่งงานที่ประสบความสำเร็จของ นิโคลัส เฮช. วูลฟินเกอร์ (Nicholas H. Wolfinger) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐยูทาห์ ในปี 2015

 

อาจจะช่วยสนับสนุนทฤษฎีข้างต้นได้ เพราะจากงานวิจัยพบว่าอายุที่ดีที่สุด ในการแต่งงานที่สามารถหลีกเลี่ยงการหย่าร้างได้คือ อายุระหว่าง 28-32 ปี

 

โดยกลุ่มตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการแต่งงานจำนวน 45% แต่งงานตอนอายุ 28 ปี นอกจากนี้ผลงานวิจัยยังเผยให้เห็นอีกว่าคู่รักที่แต่งงานหลังอายุ 32 ปี มีโอกาสจะเลิกกันเพิ่มขึ้นถึงปีละ 5%

 

 

ปัจจัยที่ทำให้ คบกันนานแต่ไปไม่รอด 

1. จุดอิ่มตัวในความสัมพันธ์

นักจิตวิทยากล่าวว่า ทุก ๆ อย่างมีจุดอิ่มตัวเสมอ รวมถึงความรัก แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคู่จะต้องเจอจุดอิ่มตัว หรือบางคู่อาจจะใช้ระยะเวลานานมาก ๆ กว่าจะเดินมาถึงจุดอิ่มตัว

 

โรซายส์พบว่า มีผู้ชายคนหนึ่งแต่งงานกับภรรยามา 20 ปี และเมื่อพบหน้ากันก็ยังพบว่าสารโดปามีนก็ยังหลั่งออกมาอยู่เป็นจำนวนมาก พอไปสัมภาษณ์เขาจึงบอกว่ายังรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่เจอหน้าภรรยา

 

แต่คนที่เป็นแบบนี้มีน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่โดปามีนจะหยุดหลั่งเป็นเวลา 6 เดือน – 1 ปี เท่านั้น นั่นหมายความว่า เป็นไปได้ที่อาถรรพ์รัก 1 ปี 3 ปี อาจเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับสารตัวนี้  

 

2. เป้าหมายชีวิตที่แตกต่างกัน 

จุดมุ่งหมายในชีวิต การให้คุณค่าในสิ่งต่าง ๆ ของแต่ละคนแตกต่าง อย่างเช่น อีกคนอยากเดินทางท่องเที่ยวรอบโลก อีกคนอยากมีลูก ดูแลลูกอยู่ที่บ้าน ถึงจุดหนึ่งเมื่อความต้องการไปคนละทาง ก็คงต้องเลือกเดินไปในทางที่เป็นของตัวเอง 

 

3. ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต  

จากสถิติของประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2018 พบว่า 60% ของการหย่าร้าง คือ เหตุผลว่า ไลฟ์สไตล์และ นิสัยแตกต่างกัน ชี้ให้เห็นว่าชีวิตคู่ ถึงแม้จะคบกันนานแล้ว เรียนรู้นิสัยกัน แต่หากความชอบ

 

การใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน ก็ไปด้วยกันค่อนข้างยาก อาจจะต้องใช้ความพยายามในการเรียนรู้ ปรับตัว แต่ท้ายที่สุดหากการปรับตัวนั้นทำให้อีกฝ่ายไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ความสัมพันธ์ก็อาจจะต้องสิ้นสุดลง 

 

งานวิจัยจาก Wellesley College in Massachusetts และ The University of Kansas เมื่อปี 2016 ระบุว่า คนที่มีทัศนคติเหมือนกัน จะใช้เวลาร่วมกันมากกว่าคนที่มีทัศนคติแตกต่างกัน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร

 

SAGE journals เมื่อปี 2017 ที่ระบุว่า คนที่มีบุคลิกภาพคล้ายกัน เช่น มีความชอบเหมือนกัน หรือ ใช้ภาษาคล้ายกัน มักจะเป็นเพื่อนกัน ส่วนคนที่มีระดับความคล้ายคลึงกันสูงที่สุดมักจะเป็นคู่รักกัน เป็นต้น

 

4. เรื่องของการนอกใจ

ภาวะอารมณ์จากสถานการณ์นี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากและเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด เพราะมีอีก 1 คนมาอยู่ในความสัมพันธ์ ต่อให้คบกันมานานมากแค่ไหน หรือคบกันไม่นาน เรื่องนี้เป็นสาเหตุทำให้การตัดสินใจ

 

หรือความสัมพันธ์ไขว้เขวอย่างแน่นอน ส่วนจะเลิกหรือไม่เลิกนั้น ก็แล้วแต่สถานการณ์ของแต่ละคู่ จากงานวิจัยที่ได้จัดทำการสำรวจการนอกใจคู่รักจากทั่วโลก ในปี 2016 ผลปรากฎว่า ประเทศไทยติดอยู่ในอันดับที่หนึ่ง

 

5. สภาพแวดล้อม และฐานะทางสังคม 

ข้อมูลจาก APA สำรวจความเครียดของ ในอเมริกาปี 2014 เกือบหนึ่งในสามของผู้ใหญ่ที่มีคู่ครอง (ร้อยละ 31)  รายงานว่าเงินเป็นสาเหตุหลักของความขัดแย้ง ในความสัมพันธ์ของพวกเขา

 

สำหรับคู่รักส่วนใหญ่ คนหนึ่งอาจทำเงินได้มากกว่าอีกคนหนึ่ง แทนที่จะมองว่าเงินทั้งหมดเป็น    “เงินของเรา” แต่ไม่เป็นอย่างนั้น บางคู่คนที่หาเงินเข้ามามากที่สุดอาจรู้สึกว่ามีสิทธิ์พูดมากที่สุด

 

นอกจากนั้นการที่มีฐานะทางสังคม หรือสภาพแวดล้อมต่างกันมาก ก็ต้องใช้พลังในการปรับตัว ปรับใจ ในการการอยู่ร่วมกัน โดยที่ไม่ทำให้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งต้องอึดอัดเช่นกัน 

 

4. ระยะทาง long distance relationship

“ระยะทางนี่แหละที่ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนรักกันมากหรือรักกันน้อย” ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ระยะทาง แต่อยู่ที่ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อกันมากกว่า 

 

5. ปัญหาความสัมพันธ์ที่เรื้อรัง 

ทุกคู่มีปัญหาเฉพาะตัว ที่แตกต่างกัน แต่อยู่ที่ว่าจะเปิดใจคุยกันมากน้อยแค่ไหน ถ้าปล่อยไว้ ไม่พอใจกันไปเรื่อย ๆ ประชดประชันกันไปเรื่อย ๆ สุดท้ายคงมีจุดที่แตกหักหรือระเบิดจนความสัมพันธ์จบลง 

 

 

ฟางเส้นสุดท้ายของการ คบกันนานแต่ไปไม่รอด

เพิ่มเติมจากงานวิจัยที่ศึกษาคู่แต่งงานว่า เหตุผลที่เป็น ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ทำให้ตัดสินใจจบความสัมพันธ์ มีอะไรบ้าง แบ่งได้เป็น

1. ความผูกมัด commitment (75.0%)  

2. การนอกใจ infidelity (59.6%) 

3. ความขัดแย้ง conflict/arguing (57.7%)

4. การใช้สารเสพติด substance abuse (34.6%)

5. ปัญหาความรุนแรง domestic violence (23.5%)

6. อื่น ๆ others (less than 20%)

 

รักษาความสัมพันธ์อย่างไรให้ยาวนาน?

1. สื่อสาร

ความเข้าใจเกิดขึ้นได้จากการสื่อสารกัน ในทีนี้คือการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา  เพราะหากเป็นการสื่อสารแบบ Passive ไม่ว่าจะเป็นการงอน แสดงความไม่พอใจแต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร ไปจนถึงการใช้ Silent Treatment คือ การเงียบ เพิกเฉย อาจทำให้ปัญหาก่อตัวในความสัมพันธ์นั้น

2. รักษาตามอาการ

การแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ไม่มีสูตรตายตัว ในปัญหาเดียวกันเป็นไปได้ที่วิธีแก้ไขนี้ใช้ได้กับคู่หนึ่ง อาจใช้ไม่ได้กับคู่หนึ่ง หากตัดสินใจที่จะไปต่อ ก็เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายต้องพูดคุยหาทางออกที่เหมาะสมกับคู่ของตัวเองไปด้วยกัน

3. เติมเต็มความรัก

จากประสบการณ์ของคู่รักที่คบกันนาน 7 ปี 10 ปี หรือมากกว่านั้น ปัญหาหนึ่งคือ ‘ความเบื่อ’ การเติมเต็มความรัก หาอะไรใหม่ ๆ ในความสัมพันธ์เลยเป็นเรื่องจำเป็นเรื่องหนึ่งที่จะช่วยรักษาความสัมพันธ์ได้ 

4. ความเป็น “ทีม” เดียวกัน 

หากเราคิดว่าเราเป็นทีมเดียวกันได้จริง ๆ เราจะคอยช่วยเหลือ จัดการ หลาย ๆ อย่างไปด้วยกัน หากเกิดปัญหาเราก็อยากจะช่วยทีมเราให้อยู่รอด

 

 

คบกันนานแต่ไปไม่รอด จะตัดใจอย่างไรดี? 

1. หยุดเสียดายเวลาที่ผ่านมา 

ส่วนใหญ่คู่รักจะรั้งกันไว้ด้วยคำว่า เสียดายเวลาที่ผ่านมา เสียดายสิ่งที่ทำด้วยกันมา ไม่อยากเริ่มต้นใหม่ แต่การเสียดายเวลาที่ผ่านมา คงดีกว่า เสียดายเวลาที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ใช่ต่อไปอีก 1 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี 

2. ยอมรับความจริง

ยอมรับความจริงว่าความสัมพันธ์นี้ไปต่อไม่ได้ ทางออกคือ เริ่มต้นใหม่เท่านั้น แต่คำว่าเริ่มต้นใหม่ อาจจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตโสด ชีวิตอิสระ หรือเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับคนใหม่ ที่เข้ากันได้มากกว่า 

3. ทำกิจกรรม

กิจกรรมที่ทำให้เราโฟกัส อาจทำให้เราลืมความเจ็บปวดไปได้บางเวลา อีกอย่างอาจได้เพื่อนใหม่ ๆ จากการออกไปพบปะกับผู้คนอีกด้วย 

4. ยอมรับความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ที่เกิดขึ้น 

จะไม่แสร้งทำเป็นมีความสุข จะไม่แสร้งทำเป็นทุกข์ จะซื่อตรง การยอมรับกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจจะช่วยให้เราค่อย ๆ เห็นตัวเอง เข้าใจ และก้าวผ่านความรู้สึกนั้นได้

 

ที่มา : 

Reasons for Divorce and Recollections of Premarital Intervention: Implications for Improving Relationship Education

8 สิ่งที่จะอธิบายว่า “การอยู่คนเดียว” ทำให้คุณโตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น ได้อย่างรวดเร็ว

26 คืออายุที่เหมาะสมจะแต่งงานที่สุดตามสูตร(รัก)คณิตศาสตร์

Happy couples: How to avoid money arguments

คุณค่าในตัวเอง คืออะไร ? ในบางครั้งที่เกิดความรู้สึกว่าเราไม่มีคุณค่า ไม่คู่ควรกับสิ่งดี ๆ จะก้าวผ่านความรู้สึกนี้ไปได้อย่างไร บทความนี้เป็นมุมมองของนักจิตวิทยา

 

Alljit X คุณวันเฉลิม คงคาหลวง นักจิตวิทยาการปรึกษา 🙂

คุณค่าในตัวเอง คืออะไร ?

คุณค่าในตัวเอง (Self-Esteem) คือ การที่เราประเมินตัวเองว่าเรามีคุณค่าและความสามารถควรค่าแก่การได้รับการเคารพมากน้อยเเค่ไหน ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองเป็นความรู้สึกในเชิงบวก

 

มักเกี่ยวข้องกับการยอมรับในตนเอง นับถือตนเองในระดับที่สูงมาก ๆ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการที่คนอื่นยอมรับและเคารพเราก่อน คุณค่าตรงนี้ที่เกิดขึ้น บางครั้งมาจากตัวเอง บางครั้งก็มาจากการสะท้อนของคนอื่น 

 

 

ทุกคนมี คุณค่าในตัวเอง ?

ทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง เเต่ต้องเริ่มต้นมาจากการได้รับจากครอบครัว เครือญาติ โรงเรียน สังคม ส่วนจะเรียนรู้ในทางที่ถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับคนสอนและสภาพแวดล้อม เช่น ถ้าเราเติบโตในกองโจร

 

“คุณค่าคือการปล้น” ปล้นออกมาได้ดี เกิดความภาคภูมิใจและเห็นเป็นคุณค่าแบบนึง แต่มันคือคุณค่าในเชิงลบและไม่จริงแท้ หรือถ้าเราเติบโตในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์

 

เป็นหมอเท่านั้นถึงจะดี ถึงจะมีคุณค่า เหมือนจะดีแต่ก็ยังไม่จริงแท้…

 

เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มจากการเรียนรู้จากสังคมและสภาพแวดล้อม พ่อแม่ว่าอย่างไร เพื่อนว่าอย่างไร คุณครูว่าอย่างไร พอเราเรียนรู้และเก็บเกี่ยว ถึงจะมาในจุดที่เลือกว่า

 

“เเล้วเราเองจะเลือกแบบไหน? ” ถ้าเราได้รับการสอนที่ค่อนข้างเสรีภาพ จะทำให้เราไม่สุดโต่งเกินไปและหาจุดสมดุลให้กับตัวเราเอง

 

สุดท้ายเเล้วเราจะค้นหาคุณค่าของตัวเองได้ตรงกับสิ่งที่เราเป็น มากกว่าการตรงกับสิ่งที่สังคมบอกไว้

 

 

คุณค่าในตัวเอง มาจากอะไร?

 

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาแล้วว่างเปล่ามาก ๆ จะต้องได้รับอะไรจากคนอื่นก่อน เช่น การที่เด็กคลานได้ พ่อแม่ชมว่าเราเก่ง นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของ Self-Esteem

 

หรือเรื่องราวในวัยเด็กที่อาจจะจำดีเทลไม่ได้ว่า คำพูดไหนที่ครอบครัวเคยพูด เคยชม เคยสอน เพราะเด็กเกินไป แต่สิ่งที่เด็กจำได้คือความรู้สึกที่ผู้ใหญ่ส่งต่อมาให้

 

เขาจะรู้สึกได้ว่าพ่อแม่รักและเอ็นดูเขามากแค่ไหนและเป็นพื้นฐานที่เรียกว่า Basic Trust  และจะค่อย ๆ พัฒนา จนเขาเรียนรู้ว่า…

 

เป็นได้ไหมเด็กคนนึงเติบโตมาในครอบครัวที่คอยชื่นชมแต่เขา Low Self-Esteem?

ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เว้นเสียแต่ว่า

1.เป็นการให้กำลังใจและชื่นชมแบบผิด ๆ เช่น เด็กทำผิดก็ยังชม จะทำให้เด็กมีความบิดเบี้ยวในตัวเอง   หลงตัวเองไปเลยหรือขัดใจไม่ได้ 

 

2.ให้กำลังใจและชื่นชมแต่ไม่เคยรับฟัง เช่น เราเจอกับปัญหาภายนอกมา แต่พ่อแม่บอกว่า ไม่เป็นไรลูก เก่งอยู่แล้ว มันไม่ได้สร้างความมั่นคงให้กับเขาขนาดนั้น

 

การชมเขาอาจจะต้องลงดีเทลหน่อยว่า เขาเก่งที่ตรงไหน จุดไหนที่รู้สึกว่าเขาทำแล้วดีจังเลย  

 

สุดท้ายแล้ว ต้องรีเช็คตัวเองด้วยว่า เราอยากได้รับคำชมแบบไหน แล้วมันจะไม่เคว้งเวลาที่คนอื่นไม่ชมในแบบที่เราอยากจะได้ยิน

 

 

Self-Esteem กับ Low Self-Esteem

“การมี Self-Esteem เป็นภาวะของความมั่นคง “

 

Low Self-Esteem คือคนที่ขาดการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง  ที่อาจจะมีในตัวเองแต่ไม่เคยได้รับการคอนเฟิร์มจากคนรอบข้าง ก็เลยมองไม่เห็น บางทีเราได้รับมาดีจากครอบครัว

 

แต่อาจจะเจอจุดพลิกผันช่วงวัยรุ่น ช่วงเรียน Self-Esteem พังลงมาหมดเลยก็มี เพราะฉะนั้นคงที่จะอยุ่ในภาวะของ Low Self-Esteem ได้ก็ต่อเมื่อถูกทำลายในสิ่งที่เคยมี

 

ถูกปฏิเสธสิ่งที่เคยเชื่อ ขาดการยอมรับ ขาดการเคารพจากผู้อื่นและสุดท้าย ทำให้เราไม่สามารถยอมรับตัวเองได้

 

 

Low Self-Esteem ส่งผลกระทบกับอะไรได้บ้าง ? 

กระทบได้ในหลายด้าน เช่น การที่เรามี Low Self-Esteem อาจจะทำให้เราขาดความมั่นใจไปด้วย พอไม่มั่นใจเราก็ไม่กล้าแสดงออก 

 

แต่ที่น่ากลัวคือ พอเรามี Low Self-Esteem แล้วเราไม่ได้ตระหนักและแก้ไข มันอาจจะย้อนกลับไปทำให้เกิดเป็นสภาวะทางจิต เช่น Dead Inside หรือ โรคซึมเศร้าก็ได้

 

อยู่ที่ว่าเรามีการจัดการกับมันยังไง จะปล่อย จะฝืน หรือจะพึ่งพาใครสักคน ต้องหาวิธีที่เข้ากับตัวเอง 

 

เราสร้างโลกใบใหม่ให้กับตัวเองได้ไหม ?   

ได้ แต่ต้องเข้าใจว่า สิ่งแวดล้อม สิ่งรอบข้าง เป็นเพียงแค่ปัจจัยเสริม ในตอนเป็นเด็กเราต้องหารจากคนอื่น แต่เมื่อใดก็ตามที่เราโตขึ้นแล้ว เรามีศักยภาพ มีความสามารถในการดูแลตัวเองได้

 

50-80 % เราสร้างด้วยตัวเอง อีก 20-50 % ที่เหลือ อาจมีบางช่วงที่ยังต้องการการยอมรับและการยืนยันจากคนอื่น

 

ในวันที่รู้สึกว่าตัวเองไม่คุณค่าเลย… ลองถามตัวเองว่าอะไรที่ทำให้มาถึงจุดนี้ เป็นมานานเเล้วหรือพึ่งเป็น พอเราเจอคำตอบตรงนี้ เราจะเจอทางไปต่อ 

 

 

“ขอแค่คุณรู้ว่าคุณกำลังยืนอยู่ตรงจุดนี้  เดี่ยวทางข้างหน้ามันจะมาเอง”

เคยเจอคำพูดลักษณะแนวนี้กันไหม.. เมื่อไหร่จะขายออก? เมื่อไหร่จะมีแฟน? โตไปต้องแต่งงานมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบนะ เพราะมาตรฐานสังคมที่ทำให้ คนโสด รู้สึกตัวเองแปลก รู้สึกแย่กับสถานะโสด

 

คิดเหมือนกันไหมว่าเป็นปัญหาเหมือนกัน เวลาที่เราไม่มีความสุขกับสถานะที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะโสดหรือมีแฟน ซึ่งผลกระทบที่ตามมาและวิธีการรับมือจะแตกต่างกัน  แต่การเป็นโสดก็ทำให้มีความสุขเหมือนกันนะ 🙂 

 

ไม่พอใจกับความโสดเลย (เกือบ) กระโดดไปในความสัมพันธ์ที่แย่ ๆ

บางทีตัวเราเองก็ไม่รู้หรอกว่าเรากำลังไม่พอใจกับความโสดอยู่หรือเปล่า แต่การกระทำคือพยายามหาคนคุย พอเจอคนที่นิสัยพอถูกคอกับเราได้จะเริ่มพัฒนาไปไกล

 

โดยที่ยังไม่ได้ดูเงื่อนไขให้รอบคอบเลยว่า เข้ากันได้แค่ไหน ชีวิตไปกันได้ไหม จะเริ่มเป็นปัญหาตรงที่เราเอาตัวเองออกมายากเพราะรู้สึกกับคนนั้นไปแล้ว กว่าจะหลุดจากวงจรการพยายามหาใครเข้ามาเติมเต็มนั้นยากมาก

 

ถ้าหากว่าเราโชคดีที่รู้ตัวก่อนที่จะเจอใครเข้ามาทำร้าย อาจจะออกมาทันก่อนที่เราจะกระโดดลงไปในความสัมพันธ์แย่ ๆ

 

รับมือกับคำถาม ‘ทำไมไม่มีแฟนสักที?’

พอเราเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ วัยมหาลัย วัยเริ่มทำงาน คำถามที่มักจะโดนถามตอนเจอผู้ใหญ่ก็คือ ‘ทำไมไม่มีแฟนสักที’ , ‘เมื่อไหร่จะมีแฟน’ ซึ่งตอนที่โดนถามแรก ๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรแต่พอโดนถามบ่อยครั้ง

 

ก็เริ่มไม่รู้จะตอบตอบยังไงหรือบางทีก็ทำให้เราไม่อยากเจอกับญาติ ๆ เลยเพราะไม่อยากตอบคำถามเหล่านี้ เข้าใจว่าการถามด้วยคำถามนี้คือความหวังดีจากญาติพี่น้อง ที่อยากให้เรามีคนดูแล

 

แต่การที่เราถูกกดดันมาก ๆ จากคำถามเหล่านี้ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน ซึ่งสามารถตอบได้นะว่าเรายังไม่พร้อมมีแฟน เรามีความสุขกับชีวิตแบบนี้ คือคนเป็นผู้ใหญ่เขาไม่เข้าใจหรอก

 

เพราะเขาเติบโตมากับการที่มีพ่อแม่ลูก อยู่กับแบบญาติพี่น้อง แต่ตอนนี้สภาพสังคมได้เปลี่ยนไปแล้ว เราสามารถมีความสุขได้จริง ๆ จากการอยู่คนเดียว กับเพื่อน กับสัตว์เลี้ยง ต้นไม้ สิ่งที่เรารักต่าง ๆ

 

และโมเม้นท์พลังของเพื่อน ๆ บางทีคุยกับเพื่อนก็คุยแบบฟีลแฟน เช่น  ถึงบ้านแล้วบอกด้วย กินไรดี ส่งรูปทุกอริยาบถต่าง ๆ ทำให้บางทีรู้สึกว่าเราจำไม่เป็นต้องมีแฟนก็ได้เพราะเพื่อนเราเป็นทุกอย่างให้เราแล้ว 

 

แผลในวัยเด็ก ทำให้กลัวความรัก

บางคนไขว่คว้าหาความรักเพราะตอนเด็กไม่ได้รับความรัก

บางคนกลัวความรักเพราะเจอพ่อแม่ทะเลาะกันในวัยเด็ก

บางคนรู้สึกไม่มั่นคงในความรัก รัก ๆ เลิก ๆ กับแฟนบ่อย ๆ เพราะขาดความมั่นใจ กลัวตัวเองไม่ดีพอเพราะไม่เคยได้รับคำชื่นชมจากครอบครัว

 

ในทางจิตวิทยาจะเข้าทฤษฎี Attachment Styles สิ่งนี้จะมีผลในการสร้างความสัมพันธ์ แบ่งออกกว้าง ๆ ได้เป็นสองแบบคือ Secure และ Insecure attachment 

 

Secure คือ เรารู้สึกมั่นคง รู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัย 

 

insecure คือเราจะรู้สึกไม่มั่นคง คนนั้นคนนี้ไว้ใจได้หรือเปล่า จะเข้ามาหลอก เข้ามาทำร้าย หรือเปล่า การพบว่าตัวเองมี mindset แบบนี้เรียกได้ว่ากลัวที่จะมีความรัก

 

ไม่เคยมีแฟนแล้ว โสดมาตลอด บางคนมองว่ามีปัญหา รับมือยังไง?

ถ้าเรามั่นใจและรู้จุดยืนของตัวเองว่า เรามีความสุขกับการเป็นโสด เพราะรู้สึกอิสระ หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คำพูดของคนอื่นจะไม่มีผล แต่ไม่ได้หมายความว่า การอยากมีแฟน เป็นเรื่องที่ผิด

 

บางคนอาจพร้อมแล้วที่จะเริ่มความสัมพันธ์กับใครสักคน อยากมีคนให้คอยคิดถึงและห่วงใยกัน เลยอยากมีแฟน ไม่ว่าจะโสดหรือมีแฟน คนอื่นอาจจะพูดไปในทางที่ไม่ดีได้ทั้งนั้น

 

ภาพรวมส่วนใหญ่ที่คนมองว่าเป็นปัญหาคือคนอื่นมากกว่าไม่ใช่ตัวเรา อย่างหวังดีต่าง ๆ ที่อยากให้เรามีความสุข แก่ไปอยากให้มีคนดูแล เลยอาจกดดันให้รีบมีแฟนเพื่อลบคำครหาเหล่านั้น

 

อยากให้ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าสาเหตุที่แท้จริงที่เราเป็นแบบนี้มาจากอะไรเราจะได้แก้ให้ถูกทางไม่งั้นเราก็พร้อมจะกระโดดไปพร้อมกับความสัมพันธ์แย่ ๆ ได้ 

 

ผลกระทบของการมีแฟนโดยไม่พร้อม มีอะไรบ้าง?

ปัญหาสุขภาพจิต

ถ้าทางจิตวิทยา แน่นอนว่าต้องเป็น ‘ปัญหาสุขภาพจิต’ การอยู่ในความสัมพันธ์ที่ toxic ทำร้ายกันด้วยคำพูด ความรุนแรง ส่งผลกระทบได้ในระยะยาว 

ปัญหาสุขภาพกาย

อันนี้ถ้าโดยตรงเลยจะเป็นในกรณีที่โดนทำร้ายร่างกาย บางทีปัญหาสุขภาพจิตอาจจะส่งผลต่อสุขภาพกายได้ด้วย เครียดลงกระเพาะ เครียดนอนไม่หลับ เป็นต้น

 

self-partnered ฉันไม่ได้โสดแต่ฉันมีคนที่ชอบแล้วก็คือตัวฉันเอง

การจะมี self-partnered หรือการรักตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะมีได้เลยต้องผ่านการฝึกฝน รู้จักตัวเอง เมตตาต่อตัวเอง รับรู้คุณค่าของตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้ดีแค่กับเราคนเดียวแต่ถ้ารับรู้คุณค่าและรักตัวเองจะส่งผลต่อคนอื่นด้วย

 

อย่าลืมว่าการรักตัวเองไม่จำเป็นต้องกดดัน ไม่งั้นจะกลายเป็นว่า เรารู้สึกแย่ที่วันนี้เรายังรักตัวเองไม่ได้ ตามหลักจิตวิทยา ถ้าเรา ‘รักอย่างไม่มีเงื่อนไข’ ได้จะดีที่สุดไม่ว่าตัวเราจะผิดพลาด

 

ตัวเราจะน่าเบื่อ น่าผิดหวัง สักเท่าไหร่ แต่เรายังรักที่เราเป็นแบบนั้นได้ แต่การทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องให้เวลาตัวเองเยอะ ๆ 

 

 

โสด เหงา ทำอย่างไรดี?

ช่วงปลายปีที่แล้วได้มีโอกาสอ่านหนังสือเพื่อทำความเข้าใจความเหงา 2 เล่ม คือ เหตุเกิดจากความเหงา และ emotional first aid ความเหงาเกิดขึ้นเวลาที่คนในชีวิตไม่ตอบโจทย์สิ่งที่เราต้องการ

 

เพราะฉะนั้นการมีเพื่อน 10 20 คน ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เหงา ถ้าสิ่งที่เราต้องการคือ แฟน หรืออาจจะเป็นแค่ เพื่อนสนิท 1 คนที่ไว้ใจได้ พูดคุยกันทุกเรื่อง

 

อย่าปล่อยให้ตัวเองตกลงไปในวงจรของความเหงา เพราะจะออกมายากมาก กาย วินช์ บอกว่า ถ้าเรา ‘เหงา’ เราจะ ‘หวาดระแวง’ ว่าคนที่เข้ามาจะน่าไว้ใจไหม จะโอเคหรือเปล่า พอหวาดระแวงเลยไม่กล้าพาตัวเองไปรู้จักหรือสนิทกับใคร เลยเหงาวนลูปไปแบบนี้เรื่อย ๆ 

 

อยากแชร์ทริกดี ๆ ที่สรุปได้และสามารถนำไปปรับใช้กันได้ 😀

หากิจกรรมทำ : สำคัญมาก เพราะกิจกรรมเป็นตัวเปิดประตูสู่ความสัมพันธ์ใหม่ ๆ แต่อย่ามุ่งมั่นจะต้องเข้าไปรู้จักใครมากไป เพราะจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ลองปล่อย ๆ จอย ๆ ตั้งใจทำกิจกรรม แล้วถ้ามีโอกาสพูดคุยกับใครถือว่าเป็นกำไร 

 

appreciate คนรอบข้างที่มีอยู่ : มองไปรอบตัวว่ามีใครที่รักและคอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ เอาพลังงานไปทุ่มกับเขา รักและดูแลเขาให้ดี 

 

ฟื้นฟูมิตรภาพเก่า สร้างมิตรภาพใหม่ : ลองถามตัวเองดูว่ามีใครที่เราหลงลืมไปไหม ไม่สายที่จะกลับไปพูดคุยกัน หรือ ถ้าคนที่มีอยู่ไม่ตอบโจทย์ อาจจะลองเปิดใจ พาตัวเองไปรู้จักคนใหม่ ๆ ดู 

 

อย่างน้อย ๆ การอยู่อย่างเหงา ๆ คงดีกว่าการอยู่แบบ หวาดระแวง  ทะเลาะกันทุกวันจนทำร้ายวันดี ๆ…

 

 

เปิดใจอย่างไรดีถ้าตอนนี้เริ่มพร้อมจะมีใครสักคน

วิธีเปิดใจที่คือต้องถามตัวเองก่อนเลยว่าเราพร้อมไหม เพราะการมีความรักมักควบคู่มากับความรู้สึกหลายอย่าง มีความสุข ดีใจ เสียใจ เศร้าผิดหวัง เราพร้อมไหม เราอยากมีจริงไหมไม่ใช่เพราะสังคมกดดันไว้ว่าต้องมี

 

พอเรารู้สึกว่าเราพร้อมแล้วแล้วมีคนเข้ามาแน่นอนว่าทุกคนต้องมีไทป์ มีสเปค เป็นลิสต์ที่ตั้งไว้ เราเริ่มชอบเขานะ เขามีสเปค 7 ใน 10 ข้อที่เราตั้ง แล้วเราก็เทเขาอันนี้ก็ไม่ผิดเรามีสิทธที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง

 

แต่อยากบอกทุกคนว่าโลกนี้ไม่มีใคร perfect เราเองก็เหมือนกัน ถ้าหากสิ่งที่เขาไม่มีใน 3 อย่างเป็นสิ่งที่เราคิดว่าเราสามารถรับได้เราลองเปิดใจก็ได้นะ

 

 

สำหรับคนที่อยากเริ่มความสัมพันธ์ คนนี้ควรเคาะยังจะรู้ได้ยังไง?

เราต้องรู้ตัวเองว่าเราชอบคนแบบไหน เช่น ไม่ชอบความสัมพันธ์ที่เริ่มมาจากแอปเดท การคุยกับคนแปลกหน้าที่รู้จักผ่านความชอบ สิ่งต่าง ๆ ในแอปเดทที่ใส่ไปคือไม่ใช่ทาง

 

ชอบสายที่ได้รู้จักใช้ช่วงเวลา ทำให้รู้นิสัยใจคอกัน ทำให้รู้ว่าไม่สามารถหาแฟนจากแอปเดทได้ เราเลยจะเคาะได้และตั้งขอบเขตกับตัวเองได้ 

 

และสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าใช่เลยเป็นปักเจกบุคคลมาก ๆ เพราะคนที่ใช่ไม่เหมือนกัน ถ้าให้มาถามรายคนเลยว่าสำหรับเธอ เธอว่าคนที่ใช่เป็บแบบไหน? แต่ละคนคงตอบไม่เหมือนกันแน่ ๆ

 

แต่สิ่งที่สำคัญเลยคือเมื่อความสัมพันธ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ระยะเวลาที่พูดคุยกันคือคำตอบ และสิ่งที่อยากบอกคือคนที่เข้ากันดีกับเราได้ในตอนนี้สักวันถ้าเราเข้ากันไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่าฝืนจนทำร้ายตัวเองไม่งั้นจะกลายเป็นความสัมพันธ์ที่แย่ ๆ ก็ได้

 

เคยไหม เสียใจง่าย เศร้าง่าย ถ้ามีอะไรเข้ามากระทบจิตใจก็รู้สึกจะพังทุกที ? จนสงสัยกับตัวเองว่า “นี่เรา อ่อนแอ เกินไปหรือเปล่า” แต่จริง ๆ เเล้วความรู้สึกนี้มีอะไรมากกว่าที่เห็นนะ

มาทำความเข้าใจตัวเองเพิ่มขึ้นกันเถอะ:)

ความอ่อนแอ เป็นความรู้สึกภายในของเรา เพราะฉะนั้น ความอ่อนแอ คือสภาวะที่ตัวเองมีต่อตัวเอง ไม่สามารถนิยามได้ว่า เป็นแบบนี้เท่ากับอ่อนแอ เป็นแบบนี้เท่ากับแข็งแกร่ง 

 

ความอ่อนแอ เป็นความรู้สึกของตัวเอง เช่น ไม่ไหวแล้ว อ่อนล้า อ่อนแรง อยากปลดปล่อย และยอมแพ้ หรือความรู้สึกอื่น ๆ หากฟังเสียงในใจชัดเจน และตัดสินใจว่านี่คือความอ่อนแอ

 

เราก็จะเจอรูปแบบความอ่อนแอของตัวเอง และพึงระวังว่าอย่าเอาคำพูดของตัวเองไปตัดสินคนอื่น เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน 

 

 

ความอ่อนแอทางด้านร่างกายและจิตใจ 

แน่นอนว่า ร่างกายและจิตใจทำงานผสานกัน บางช่วงอาจจะต้องใช้จิตใจนำ บางช่วงต้องใช้ร่างกายนำ  เช่น ในบางคนที่ต้องทานยาทางจิตเวช แล้วเกิดการเจ็บป่วยทางใจ

 

อาการจะรุนแรงตามมาทันที เนื่องจาก ฟังชั่นพื้นฐานในการควบคุมอารมณ์ จิตใจ สารเคมีในมองและฮอร์โมน ผิดปกติไป ต่อให้ร่างกายเข็มแข็งแต่ไหน ก็จะล้าไปพร้อม ๆ กัน  

 

เช่นเดียวกัน ถึงแม้ร่างกายไม่ได้เจ็บหนัก แต่เสียใจมาก ร่างกายก็จะขาดความสดชื่นเช่นกัน…

 

ในช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือน หรือ Menstruation ผู้หญิงอารมณ์แปรปวน สภาวะความนิ่งของอารมณ์จะไม่เหมือนเดิม ซึ่งหากใครมีอารมณ์ที่เก็บเก็บกดไว้ หรือมีเรื่องไม่สบายใจค่อนข้างเยอะ

 

เมื่อเกราะป้องกันทางด้านร่างกายลดลง ขบวนการที่จะควบคุมอารมณ์ก็จะอ่อนแอลง สิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใจก็จะออกมาเป็นอารมณ เช่น ร้องไห้เวลามีประจำเดือน เครียดง่าย หวั่นไหวง่าย  

 

Ego Functions หนึ่งในทฤษฎีจิตวิเคราะห์หรือระบบที่คอยควบคุมหลาย ๆ อย่างในร่างกายของเรารวมถึงส่วนของจิตใจ เช่น การควบคุมมอารมณ์ได้ อดทนได้ รับรู้ตามความเป็นจริงได้

 

ฉะนั้น ในคนที่เรียนจิตวิเคราะห์หรือจิตบำบัด มีกฎสำคัญคือ คือ หากผู้ป่วยอยู่ในสภาวะเมาสารเสพติด จะไม่สามารถให้คำปรึกษาหรือบำบัดได้ 

 

 

ระดับความเข็มแข็ง หรือ อ่อนแอ ขึ้นอยู่กับ…

 

 

 ร้องไห้ เท่ากับ อ่อนแอ ?

สมเหตุสมผลหากเราเจ็บปวดแล้วร้องไห้ การร้องไห้ คือการแสดงออกที่เป็นรูปธรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ 

 

ในอีกมุมหากเจอคนที่ตัดสินว่าเราอ่อนแอ ก็ถามตัวเองว่า เราอยากทำยังไงกับเขา หรือจัดการที่ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไรดี เพราะ ในบางคนที่อยากจะเข้าใจเราจริง ๆ

 

เขาจะมาถามเรา ก่อนตัดสินเรา ส่วนมุมของคนที่รับฟัง ควรทำความเข้าใจโดยไม่ต้องรีบตัดสิน สิ่งแรกสุดที่เราควรจะทำคือ รับฟังและเข้าใจเขาก่อน เพื่อชี้แนวทางการแก้ไขอีกมุมหนึ่ง 

 

อ่อนแอแค่ไหนถึงต้องขอความช่วยเหลือ 

 

เราทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น กับคนที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือของเรา 

 

โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ อย่ารีรอที่จะขอความช่วยเหลือ หากรอให้แผลใหญ่หรือ รักษาผิดวิธีอาจจะทำให้แผลใหญ่ขึ้น และทำให้เรารับมือได้ยากขึ้น

 

ก่อนจะก้าวข้ามความอ่อนแอ ลองหยุดดูความรู้สึกตัวเอง ว่าภายใต้ความอ่อนแอมีความรู้สึกอะไรอยู่ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเราจะโอบกอดความรู้สึกตัวเองได้ และ ค่อย ๆ เดินไปต่อได้  

 

 

“การร้องไห้ คือการแสดงออกที่เป็นรูปธรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ”

เพราะอะไรสาว ๆ หลาย ๆ คนถึงชอบผู้ชาย ” Bad Boy “? ผู้ชาย Bad Boy คือผู้ชายแบบไหน? อะไรที่ทำให้หลาย ๆ คนมองว่าผู้ชายคนนี้ Bad Boy? หากมีแฟน Bad Boy ดึงดูดผู้หญิง เราจะรับมืออย่างไร ?

 

เพราะอะไรสาว ๆ หลาย ๆ คน ถึงชอบคนผู้ชาย Bad Boy มากกว่า 

เหตุผลเมื่อเราตัดสินผู้อื่นจากภายนอก

Halo effect เป็นอคติทางความคิด (cognitive bias) รูปแบบหนึ่ง ที่เรามีต่อสิ่งที่เรารู้สึกชอบหรือรู้สึกดีด้วย จนทำให้การตัดสินใจของเราลำเอียง

 

รวมถึงประเมินสิ่งต่าง ๆ ดีกว่าความเป็นจริง มองข้ามการพิจารณาข้อเสียไป ในทางกลับกันก็มีอคติกับคนที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกับความชื่นชอบของเรา 

 

แนวคิดนี้เริ่มมีการศึกษาตั้งแต่ปี 1920 โดย Thorndike นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ที่ได้ทำการทดลองและพบว่าการรับรู้ลักษณะเด่นมีผลต่อการประเมินและการตัดสินใจ

 

โดยลักษณะเด่นจะทำหน้าที่เป็นเหมือนภาพลวงตาให้เราประเมินสิ่งอื่น ๆ ดีไปด้วย เช่น การที่เรามักพบว่าคนหน้าตาดีมักได้รับการประเมินที่ดีกว่าคนหน้าตาไม่ดี 

 

 

ช่วงเวลาที่ผู้หญิงมักจะชอบ Bad Boy

ผู้ชาย Bad Boy นั้นอาจจะดึงดูดในช่วงที่เราเป็นวัยรุ่น แต่เมื่ออายุมากขึ้น Bad Boy มีความน่าสนใจน้อยและมักถูกปฏิเสธเมื่อต้องตัดสินใจเลือกมาเป็นคู่ครองชีวิต

 

ด้วยปัจจัยหลายอย่างเช่น ความมั่นคง อิสระ ความไว้ใจ ความรัก ความเคารพซึ่งกันและกัน 

 

 

ปัจจัยที่ส่งผลให้คนดูเป็น Bad Boy

จากบทความชื่อว่า the anatomy of a “bad boy” กล่าวในทางวิทยาศาสตร์ว่า ลักษณะทางสรีระอย่างไรที่ทำให้ผู้ชายบางคนดูเป็น Bad Boy

 

องค์ประกอบบนใบหน้า ฮอร์โมน และความเป็นชาย มีบทบาทอย่างไรบ้าง แบ่งออกเป็นหลายประเด็นดังนี้ 

1. Bone Structure 

องค์ประกอบใบหน้าที่มีความเป็นชาย เช่น คิ้วหนา กรามชัด จะน่าดึงดูด เพราะการมีลักษณะ 2 อย่างนี้แสดงถึงการมีสุขภาพที่ดี สอดคล้องกับข้อมูลจาก Medium ที่บอกว่า ผู้ชายที่มีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนสูง ๆ จะกระดูกชัด กล้ามเนื้อเยอะ 

2. Rebellion 

ความเป็น กบฏ เช่น ผู้ชายมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่หลง ไม่ตามผู้หญิง  ในส่วนของผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การจะรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าดึงดูดไหม ขึ้นอยู่กับว่าเขาดูมีความเป็นอิสระไหม? แสดงออกความรู้สึกตัวเองต่อผู้หญิงมากแค่ไหน? 

3. Hormones

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ฟีโรโมนเกี่ยวข้องกับความน่าดึงดูด โดยที่ไม่รู้ตัว เพราะเป็นการรับรู้ที่เกี่ยวข้องกับกลิ่น เกี่ยวกับสารเคมี ที่ออกมาจากร่างกายของผู้ชาย 

4. Signature fragrance

เป็นเรื่องของน้ำหอมที่ใช้ ว่าถ้าเข้ากับบุคลิก ส่งเสริมความเป็นชายจะยิ่งดูน่าดึงดูด 

 

สอดคล้องกับข้อมูลจาก GQ Thailand  นิตสารของหนุ่ม ๆ ในไทยที่บอกไว้ว่า แบดบอยจะไม่ขี้กลัว แบดบอยจะไม่แอ๊บ เพราะเขามั่นใจ แบดบอยไม่ถูกปั่นหัวจากสาว ๆ  แบดบอยไม่สนใจ ไม่เปรียบเทียบ แบดบอยลึกลับซับซ้อน 

 

 

เหตุผลที่ทำไมผู้หญิงถึงชอบคนทรงแบดทางวิทยาศาสตร์ 

1. Hormones

Testosterone จะทำให้มีแรงขับทางเพศมากขึ้น จุดนี้แหละที่เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ชาย ทำให้ดูน่าดึงดูดมากขึ้นในสายตาผู้หญิง

2. ความอยากควบคุม

จากข้อมูลบอกว่า ความคิดที่ว่าเราจะสามารถ tame ใครสักคน แปลแบบตรงตัวคือทำให้เชื่อง ในทางความสัมพันธ์จะหมายถึง เขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเราได้ไหม  ถ้าเป็นไปตามนั้น ผู้หญิงจะรู้สึกว่าตัวเองและความสัมพันธ์นี้พิเศษ และมีคุณค่า 

3. ความรู้สึกอิสระ

Bad Boy ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องกดดันตัวเองว่าจะต้องเป็น Good Girl ตามมาตรฐานสังคมที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งผู้หญิงที่ต้องเก็บกด แสดงออกตัวตนไม่ได้ มีแนวโน้มที่จะมองว่า Bad Boy น่าดึงดูด 

 

ในการวิจัย นักวิทยาศาสตร์ได้ทำแบบสอบถามขึ้นมาให้หญิงสาวกลุ่มตัวอย่างซึ่งเอกสารนั้นจะมี ประวัติย่อของผู้ชาย 2 กลุ่ม สาวที่ทำแบบสอบถามจะต้องเลือกว่าเธอชอบแบบไหนมากกว่ากัน

 

ผลออกมาคือ สาว ๆ ส่วนใหญ่เลือกชายหนุ่มที่มีภาพลักษณ์ภายนอกดูดี รูปร่างดี ส่วนผู้ชายที่นิสัยดี เป็นสุภาพบุรุษกลับเป็นตัวเลือกสุดท้าย การวิจัยนี้พบว่าผู้หญิงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากที่สุด

 

ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ ก็เป็นองค์ประกอบหลักที่มีอยู่ในเหล่า Bad Boy และเป็นเสน่ห์ดึงดูดที่ดีต่อเพศตรงข้าม

 

 

ทำอย่างไรถึงจะหยุดตัดสินผู้คนจากภายนอกได้?

“อย่าให้ อคติ ทำร้ายเรา และอย่าใช้ อคติ ทำร้ายใคร”  

ไม่ใช่เพียงแค่เราที่เจ็บปวดจากกับดักทางความคิด ทุกครั้งที่เราเผลอตัดสินทุกอย่างจากรูปลักษณ์ภายนอก อีกฝ่ายก็เจ็บปวดจากการโดนตัดสินเช่นกัน มาตรฐานแห่งความสวยงาม ความหล่อ อาจทำให้เราติดกับความคิดผิด ๆ เราควรชื่นชมกันจากคุณค่าที่แท้จริงภายของคนนั้น

 

 

ที่มา : 

The anatomy of a “bad boy”, according to science

Why bad boy are so attractive, according to science

Halo Effect เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินคุณค่าของคน

Bad boy เท่ตรงไหน? ถ้าชอบคนทรงแบด มันกำลังบอกว่าเราเป็นคนยังไงกันแน่

เคยไหมที่แคร์คนอื่นจนลืมแคร์ตัวเอง รักคนอื่นง่ายกว่า ” รักตัวเอง ” จริงไหม ? แล้วจะทำอย่างไรให้หันกลับมารักตัวเองได้จริงๆ สักที ?

 

 

รักตัวเอง คำง่าย ๆ ที่ทำได้ยาก

รักคนอื่น ง่ายกว่า รักตัวเอง จริงไหม?

จริง ๆ ธรรมชาติของมนุษย์ เรารักตัวเองมากกว่ารักคนอื่น เพียงแต่ว่า การที่เราพยายามบอกว่าเรารักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง อาจเป็นเพราะเราต้องการอะไรบางอย่างตอบกลับมา 

 

หรือคาดหวังว่าการรักเขา เขาอาจจะให้อะไรบางอย่างกลับมา ซึ่งแสดงถึงว่า เรารักตัวเองมากกว่าที่จะยอมเห็นว่าเราให้อยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ ตามหลักการของธรรมชาติ เราทุกคน

 

รักตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นเสมอ เพราะสุดท้ายเราจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ถ้าจะลองสังเกตดู บางทีเวลาเราทำอะไรบางอย่าง เราจะรู้สึกว่าเราคิดถึงคนนั้นจังเลย อยากซื้อ

 

สิ่งนี้ให้เพื่อนกินจังเลย ลองถามตัวเองลึก ๆ ว่า เราซื้อให้เพื่อนกิน เราอยากเห็นเพื่อนตอบกลับมายังไง ‘ เราอยากให้เพื่อนยินดีให้เราเข้ากลุ่มหรือยอมรับเรามากขึ้นหรือเปล่า

 

แต่หลาย ๆ คนมักจะมองเห็นว่า เราทำเพื่อคนอื่นอย่างมาก แต่ว่าตามหลักการของมนุษย์ ลองดูวันหนึ่งที่เกิดวิกฤตขึ้น สุดท้ายเราจะเอาตัวเองนี่แหละรอด 

 

รักตัวเอง คืออะไร ในทางจิตวิทยา?

จริง ๆ มีหลากหลายทฤษฎีเขียนถึงเรื่องนี้ ว่ามีนิยามแบบนี้ รักตัวเองต้องเท่ากับประมาณนี้ แต่ว่าถ้าจะให้สรุปโดยภาพรวมว่า ‘รักตัวเอง’ คืออะไร รักตัวเองเป็นการที่เราเข้าใจ

 

เป็นการที่เราสามารถยอมรับความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสนิทใจ เรารู้ว่าเราเป็นอย่างไร เรารู้ว่าเราทำสิ่งเหล่านี้เพราะอะไร เราเป็นคนคนหนึ่งที่เกิดมา ต้องผิดพลาดบ้าง 

 

เรายอมรับในความผิดพลาดตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบในทุก ๆ เรื่อง เราไม่จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของทุก ๆ คน เพียงแต่ว่า เราต้องเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราอย่างสมบูรณ์แบบ 

 

มันสะท้อนให้เห็นว่า เราเป็นคนที่รักตัวเอง เพราะถ้าเราเริ่มยอมรับตัวเองได้ เราจะเข้าใจความต้องการของตัวเอง พอเรารู้ว่า แค่ไหนคือความต้องการของเรา เราจะทำแบบนั้น 

 

ไม่ให้ขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวเราเอง ถ้าจะสังเกต หลาย ๆ คนเวลาทำเพื่อคนอื่นมาก ๆ แต่นั่นไม่ใช่ความต้องการของเขา แต่เป็นความต้องการของคนอื่น เพียงแต่ว่าเขาทำ

 

เพื่อคนอื่นมาก ๆ เพราะเขาอยากให้คนอื่นยอมรับ อยากได้รับความรักจากคนอื่น แต่ในขณะเดียวกัน นั่นแย่ในตัวเอง ที่ต้องทำเพื่อคนอื่นอยู่เสมอ 

 

รักตัวเอง กับ ใจดีกับตัวเอง แตกต่างกันอย่างไร?

จริง ๆ คงเป็นนิยามที่ดูแตกต่างกัน ในรากศัพท์คงมี 2 คำนี้อยู่ แต่การที่จะใจดีกับตัวเองได้ เราคงต้องรักตัวเองก่อน แต่ถ้าเราไม่รักตัวเอง เราจะใจดีกับตัวเองไม่เป็น หรือถ้าเราไม่ใจดีกับตัวเองเลย 

 

นั่นแปลว่าตัวเราเองอาจจะรักตัวเองไม่เป็นเช่นกัน คงไม่ใช่อะไรที่เหมือนหรือต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่คงมีบางอย่างที่คาบเกี่ยวกัน แต่สุดท้ายนี่คือการที่เราเข้าใจและเป็นตัวเองในแบบที่อยากจะเป็น 

 

จะรู้ได้ยังไงว่านี่คือ รักตัวเอง หรือ เห็นแก่ตัว?

ถ้า 2 คำนี้มีเส้นบาง ๆ เวลาที่เรารักตัวเองคือเรารู้ความต้องการ เรารู้ว่าโลกภายในเป็นอย่างไร โลกภายในคือ จิตใจ ความต้องการ ความรู้สึก ความคิด เป็นอย่างไร 

 

ถ้ามีมากเกินไป มากเกินในขนาดที่ว่า เราทำไปเพียงเพราะผลประโยชน์ เรารักตัวเองแน่นอนอยู่แล้ว ทีนี้พอเราทำเพื่อตัวเองโดยที่เราไม่แคร์เลยว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะรู้สึกอย่างไร

 

หรือว่าความต้องการของคนอื่นเป็นอย่างไร คงเป็นคำหนึ่งที่ใช้แทนได้คือคำว่า ‘เห็นแก่ตัว’ หรือบางคนไม่แม้แต่จะยินดีรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ในสิ่งที่คนอื่นบอกว่านี่ยังไม่เวิร์ค

 

นี่ยังไม่ดีที่สุด ถ้าคนที่รักตัวเองจะตระหนักได้ว่า นี่คือการเตือน เพื่อให้เราสามารถปรับเปลี่ยนบางอย่างในตัวเองให้ดีขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกัน คนที่เห็นแก่ตัวจะมองว่า เขาดีที่สุด

 

เขาเก่งที่สุด เขาเพอร์เฟคที่สุด นั่นคือมุมมองที่จะทำให้เห็นว่า คนที่รักตัวเองโดยส่วนมากเขาจะเข้าใจตัวเอง แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่สนใจหรือแคร์ความรู้สึกคนอื่น 

 

รักตัวเอง กับ หลงตัวเอง เกี่ยวข้องกันไหม? 

ความหลงตัวเอง คล้ายกับ ความหลงใหล พอพูดถึงคำนี้ จะดูเป็น positive หรือ negative นะ ค่อนข้างก้ำกึ่ง ความหลงใหล อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งกับสอดคล้องกับไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เราเป็น 

 

แต่ว่าบางคนรู้สึกว่า มีมากเกินไป อย่างเวลาที่เราหลงใหลคนอื่น ชอบคนนี้จังเลย หลงใหลคนนี้จังเลย เขาดูดีไปหมดเลย พูดอะไรมา คงมองว่า พูดตรงดีจังเลย ทั้ง ๆ ที่คนอื่นอาจจะรับไม่ได้ 

 

เราจะเห็นแค่มุมดี ๆ มองไม่ออกว่า จริง ๆ แล้วทุกคนมีทั้งดีและแย่ในตัวเอง คนหลงตัวเองจะเป็นประมาณนั้น รู้จักตัวเองว่า ฉันเก่ง ฉันดี แต่มองไม่เห็นว่ามนุษย์มีอีกฝั่งหนึ่ง คล้าย ๆ กับ

 

เวลาที่เราไปหลงใหลคนอื่น เราจะมองไม่เห็นหรอกว่า คนนี้ไม่ดีอย่างไร? เราจะมองเห็นแต่ด้านดี ๆ สวยๆ สดใส บางทีอาจเกิดเป็นความรู้สึกที่เกินจริงได้ บางคนหลงตัวเองมาก ๆ หรือหลงใครมาก ๆ

 

เราจะแต่งเติมสีสันบางอย่าง ให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น ดูยิ่งใหญ่ขึ้น ดูเพอร์เฟคขึ้น คนที่หลงใหลในตัวเองจะทำแบบนั้นกับตัวเองเหมือนกัน สมมติว่า เก่ง เรายอมรับได้ว่าคนนี้เก่ง เก่งในเบอร์ 3 เบอร์ 4 

 

แต่เขาอาจจะคิดว่า ไม่สิ ฉันเป็นเบอร์ 1 อาจจะใหญ่กว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้สอดคล้องซะทีเดียว มองโลกได้แคบลง 

 

คนที่ทำร้ายตัวเอง รักตัวเองหรือเปล่า?

ต้องเข้าใจก่อนว่า ทำร้ายตัวเองไม่ได้แปลว่าไม่รักตัวเอง ชวนมองแบบนี้ว่า คนที่ทำร้ายคนอื่น รักตัวเองเหรอ? คนที่ทำร้ายคนอื่น ใจดีกับตัวเองหรอ? 

 

คิดว่าจะเป็นคำตอบหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจได้ว่า คนที่ทำร้ายตัวเองอาจจะไม่ได้แสดงว่าไม่รักตัวเองซะทีเดียว แต่อยากให้ทำความเข้าใจมากกว่า

 

ว่าเพราะอะไรเขาถึงทำร้ายตัวเอง คำว่ารักไม่รัก อาจจะเป็นคำที่ดูตัดสินเกินไปหน่อย ถ้ามองลึกลงไปถึงการทำร้ายตัวเองหรือที่มาที่ไปของพฤติกรรม

 

อาจจะเห็นว่า มีอย่างอื่นซ่อนอยู่ข้างหลังอีกเยอะแยะไปหมด จนทำให้เขามองไม่เห็นว่าคืออะไร เกิดอะไรขึ้น แย่ขนาดไหน เขาคงจะหันกลับมา

 

รักตัวเองอย่างไรในเมื่อโลกของเขาเป็นสีเทา ๆ ดำ ๆ อาจจะเป็นเรื่องของวิธีการมากกว่าว่า เขาอาจจะยังไม่เข้าใจวิธีการที่จะรักตัวเองอย่างไร 

 

หรืออาจจะยังไม่ได้เข้าใจว่าเราจะต้องรับมือกับปัญหาเทา ๆ ดำ ๆ ของตัวเองที่เข้ามา คงอึดอัดมาก คงรู้สึกว่าไม่มีที่ที่จะระบายออกไปได้

 

เจ็บปวดจนไม่สามารถจะดึงออกมาเป็นคำพูดได้ วิธีการนี้แหละที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด อยากให้มองไปในมุมของวิธีการ

 

ทำความเข้าใจเขามากกว่า เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่มีทางตอบได้ว่า คนที่ไม่ทำร้ายตัวเอง เขารักตัวเองหรือเปล่า 

 

เริ่มต้นรักตัวเองอย่างไรดี? 

เวลาที่เราบอกให้คนอื่นรักเรา เราลองเอามาทำกับตัวเอง เวลาที่อยู่ในความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ เรามักจะ ‘เธอทำแบบนี้ให้ฉันสิ’ ‘พูดดี ๆ กับเราสิ’ ‘เธอต้องแบ่งปันเราสิ’

 

เราลองทำกับตัวเอง คำว่ารักตัวเองไม่ได้มี how to ที่ชัดเจน 1 2 3 4 ถ้าทำแบบนี้แล้วเท่ากับรักตัวเอง ถ้าอยากรู้ว่าจะรักตัวเองได้อย่างไรบ้าง อาจจะลองหันกลับไปดูว่า

 

‘แล้วเราทำอย่างไรกับคนอื่น’ เราอยากให้คนอื่นทำอย่างไรกับเรา เราลองเอามาทำกับตัวเอง คงเป็นการรักตัวเองเหมือนกัน มากไปกว่านั้น ถ้าเราเริ่มสังเกตได้ว่า เวลาที่จะถึงวันพิเศษ

 

เราจะต้องซื้อของขวัญเซอไพรส์คนพิเศษของเรา ลองทำกับตัวเองบ้าง คงจะเป็นความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะวันเกิด จะปีใหม่ จะอะไรก็ตาม ลองให้ตัวเองบ้าง

 

คงเป็นวิธีหนึ่ง ที่แสดงออกว่า เรารักตัวเอง ไม่งั้นคงไม่ใส่ใจว่า เราอยากจะมีความรู้สึกดี ๆ กับตัวเองจังเลย เราให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยกว่าคนอื่น ทำจนเป็นความเคยชิน

 

เราเลยไม่รู้ว่ารักตัวเองคืออย่างไร จริง ๆ คำถามนี้ถูกถามบ่อยมาก ๆ อย่างในการทำงานของพี่อีฟเอง คนไข้หลาย ๆ คน จะรู้สึกว่า รักตัวเองทำอย่างไร? เป็นคำถามที่ทุกคนไม่รู้

 

ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เลยอยากบอกว่า แบบนี้แหละ ทำอย่างไรให้แฟนรักล่ะ ทำอย่างไรให้เพื่อนรักล่ะ ลองทำกับตัวเองบ้าง 

 

ปรับตัวเองอย่างไรให้กลับมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น?

 แน่นอนว่า เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมได้ ตราบใดที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ นอกจากว่าเราจะเป็นเด็กทารก จริง ๆ เด็กทารกยังมีสังคมที่เรียกว่าครอบครัวอยู่ดี

 

ถามว่าทำอย่างไรได้บ้างที่จะหยุดแคร์คนอื่น บางทีเราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางกับสิ่งที่เกิดขึ้น คำพูดทุกคำไม่ได้แปลว่าเราเป็นแบบนั้น ทุก ๆ พฤติกรรมที่เขาแสดงออก

 

ไม่ได้แปลว่า ‘เพราะเรา’ ทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นที่เป็นความผิดพลาด อาจจะไม่ใช่แค่ว่า ‘เพราะตัวเรา’ แต่คงมีองค์ประกอบอื่น ๆ จิ๊กซออื่น ๆ ที่เท่ากับความผิดพลาด

 

อาจจะฟังดูยาก คำว่าปล่อยวาง ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเก็บทุกอย่าง เรามองเห็นแต่คนอื่น เราให้ใจกับคนอื่น แต่ในขณะเดียวกัน เราไม่ได้อะไรกลับมาเลย 

 

สิ่งนี้เป็นอย่างหนึ่งที่ เราต้องเรียนรู้แล้วว่า ปล่อยวางบ้าง อาจะคิดว่า แล้วจะปล่อยวางอย่างไร ในเมื่อต้องอยู่ด้วยกัน คงตอบได้ว่า อยู่กันแบบนั้นแหละ 

 

รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบนี้ ชอบพูดประมาณนี้ มีลักษณะนิสัยประมาณนี้ แค่รับรู้ แล้วปล่อยออกไป สุดท้ายแล้วคนที่ดิ้น ที่รู้สึกแย่ ที่กระอักกระอ่วนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

จะเกิดขึ้นกับตัวคนนั้น ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราคงจะรู้สึกสบาย ๆ มากขึ้น ถ้าเอาเวลาไปคิดว่า จะทำอะไรให้เขาหายโกรธดี พูดกับเขาอย่างไรดี ลองเอาเวลาไปทำอย่างอื่น

 

กินอะไรดี ช็อปปิ้งที่ไหนดี หรือวันนี้อ่านหนังสือเล่มไหนดี คงมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น 

ความสุข กับหลากหลายนิยาม ความหมายที่เราได้รู้กันเกี่ยวกับความสุขแตกต่างกันออกไป ถ้าเราไม่มีความสุขสามารถไปพบจิตแพทย์ได้ไหม

 

มาร่วมกันพูดคุยถึงเรื่องของ ‘ความสุข’ กับรายการพูดคุย Alljit X คุณ ณัฏฐชัย รำเพย จิตแพทย์

 

ความสุข มีหลากหลายนิยาม มุมมอง ที่แตกต่างกันออกไป ความสุขมีทั้งสุขกายและสุขใจ สุขกายคือได้รับการตอบสนองทางร่างกายที่เพียงพอ แต่สุขใจคือความรู้สึกที่พึงพอใจทีทำให้เรามีความสุข

 

สาเหตุที่ทำให้เราไม่มี ความสุข

เมื่อพูดถึงความสุขแล้วส่วนใหญ่จะเป็นอารมณ์ในเชิงบวก แต่อารมณ์ด้านลบความรู้สึกไม่มีความสุขก็เป็นอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนพึงมี สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้คนไม่มีความสุข

 

คือมีเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกไม่พึงพอใจ และความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน 

 

รู้สึกไม่มี ความสุข สามารถไปพบจิตแพทย์ได้ไหม?

สามารถไปพบได้และเป็นสิ่งที่ดีด้วยหากว่าใครรู้สึกจมกับความรู้สึกเชิงลบนาน ๆ โดยทางจิตแพทย์จะสอบถามตัวของเราว่า

 

ไม่มีความสุขกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ไหม?

พออยู่กับความทุกข์ไปเรื่อย ๆ สภาพจิตใจจะไม่ดี เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้กลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ 

 

 

สภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้มี ความสุข เลย 

ถ้าสภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้มีความสุขเลย ทั้งครอบครัว ที่ทำงาน คนรอบตัว ทำอย่างไรได้บ้าง ..

 

 

 

เปรียบเทียบตัวเองจนไม่มีความสุข

เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ไม่มีความสุข ไม่วาจะเปรียบเทียบทางคำพูดหรือในใจ เราจะกลายเป็นคนละพวกกับตัวเอง มีอะไรตามมา โดดเดี่ยว ทำไม่ดี ไม่มีค่า ตำหนิตัวเอง นำมาซึ่งความรู้สึกไม่สุข ลองดูว่าเรามีเรื่องดีอะไรบ้างเราบาลานซ์กับตัวเอง ส่วนที่เรารู้สึกดีก็ให้เรารู้สึกดี เป็นมิตรกับตัวเอง ชื่นชมตัวเองในสิ่งที่ทำได้ 

 

มนุษย์ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

จุดที่เราไม่พอใจตัวเองคือจุดที่เราไม่สมบูรณ์แบบ อยากให้เราตระหนักไว้เสมอว่าเพราะเราคือมนุษย์ เป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะไม่พอใจตัวเอง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

 

ในทุก ๆ การดำเนินชีวิตของเราไม่มีใครที่อยากคิดแง่ร้ายกับตัวเอง ไม่พอใจตัวเอง ในทุกการกระทำมีสาเหตุเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เรามีอารมณ์ลบกับตัวเอง หากว่าเราตระหนักกับตัวเองไว้เสมอ จะทำให้เรามีความเมตตาใจดีกับตัวเองได้ 🙂

 

 

คำปลอบใจแบบไหนดี

สู้ ๆ พูดได้ไหม?

ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นทุกกรณี เวลาที่เจอกับคำว่าสู้ ๆ สำหรับบางคนเขาก็รู้สึกว่า แล้วจะให้เขสสู้กับอะไร สู้จนล้าแล้ว ไม่อยากสู้แล้ว แต่บางคนก็กลับรู้สึกชอบคำว่าสู้ ๆ เมื่อได้ยินคำนี้แล้วทำให้มีแรงใจในการฝ่าฟันกับปัญหาต่าง ๆ

 

ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นทุกกรณี หากว่าเราปลอบใจไปด้วยเจตนาหวังดี จริงใจ ก็จะสื่อสารอารมณ์ น้ำเสียง ท่าทาง ให้แก่ผู้รับสารอย่างแน่นอน

 

 

ทำไมชอบอยู่คนเดียว? ไม่อยากมีเพื่อนเยอะๆหรอ? ทำความเข้าใจบุลคลิกภาพ Introvert หลายครั้งที่คนมักจะเข้าใจผิด ๆ กัน

 

มาร่วมพูดคุยและแชร์เกี่ยวกับ “Introvert ” กับรายการพูดคุย Alljit X คุณภูริพัชญ์ พิทักษ์กรณ์ เจ้าของเพจ Psyche.tourlife 🙂

 

Introvert คืออะไร?

Introvert คืออะไร ? 

นักจิตวิทยา Carl G. Jung เป็นคำให้คำนิยามของ Extrovert Introvert Ambivert  ซึ่งนักจิตวิทยาในสมัยก่อนจะมีความเชื่อในพลังงาน เชื่อในสิ่งที่เจอ เมื่อเกิดความเชื่อในสิ่งที่พบเจอแล้วส่งผลให้มีความคิดเยอะ

 

จนกลายเป็นคิดมาก ประสบการณ์ที่เจอจะนำไปสู่การตัดสินใจ จะมาจากตรงนั้นมากว่า จึงมีการแบ่งประเภทของ Extrovert Introvert Ambivert เกิดขึ้น

 

ทำแบบทดสอบช่วยบ่งบอกเราได้จริงไหม ?

แบบทดสอบที่ทดสอบบุคลิกภาพส่วนบุคคลส่วนใหญ่จะทำออกมาเพื่อ วัดความพอใจ ของเรามากกว่า ในสิ่งที่เราตอบไปไม่ใช่ว่าเราไม่โอเคแต่เราตอบในส่วนที่เราโอเค จุดประสงค์คือทำไปเพื่อเข้าใจตัวเอง

 

รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะฉะนั้น MBTI ทำให้เราเข้าใจตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วที่เป็นตัว Test ไม่ได้ทำฟรี ไม่ได้มีข้อคำถามเหมือนที่ทำในอินเทอร์เน็ต ทำให้บางครั้ง ไทป์ที่เราได้จากการทำแบบทดสอบมีการคลาดเคลื่อน

 

ไม่ได้ตรงกับเราขนาดนั้น เป็นจุดที่เราต้องระวังว่าเราทำเพื่อประเมินแต่ไม่อยากให้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยที่ไม่พยายามเข้าข้างตัวเอง และพอเมื่อเราทำแบบทดสอบตัวเองเรามีสิทธิที่จะตอบแบบเข้าข้างตัวเอง

 

ตอบแบบไม่ใช่ตัวเรา ทำให้มีการถกเถียงเรื่องการทำแบบทดสอบเป็นอย่างมากว่ามีความเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน

 

วิธีแยกประเภทของบุคลิกต่าง ๆ 

ลองนึกภาพหลอดแล้วแบ่งเป็น 3 ช่อง ที่ยกตัวอย่างมาเพราะจะสื่อว่าไม่มีใครเป็น extrovert ambivert introvert หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครที่จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไปตลอดชีวิต

 

ทุกคนมีความ extrovert ambivert introvert อยู่ในตัว ผสมกันมากน้อยแค่ไหนกลายเป็นความแตกต่างที่ใช้ชีวิตกันอยู่ท่ามกลางผู้คน เปลี่ยนไปตามช่วงอายุ  แล้วแต่สถานการณ์ที่เราพบเจอ 

 

Introvert ไม่ชอบเข้าสังคมจริงไหม ? 

เรื่องของการเข้าสังคมเป็นเรื่องของปักเจกบุคลมาก ๆ การที่ไม่ชอบเข้าสังคมอยากให้มองว่าในพื้นหลังที่เขาไม่ชอบเพราะสาเหตุอะไร อาจเป็นเพราะเคยมีประสบการณ์ในการเข้าสังคมที่ไม่ดีทำให้ไม่ชอบไปเจอคนเยอะ ๆ

 

และเป็นไปได้ว่าทั้ง extrovert ambivert introvert อาจจะมีบ้างที่ไม่ชอบเข้าสังคมเหมือนกัน แต่ introvert การได้อยู่คนเดียวจะรู้สึกได้ชาร์จพลังงานมากกว่า เลยทำให้คนนอกมองว่า introvert ไม่ชอบเข้าสังคม

 

วิธีฮีลใจของชาว Introvert