Posts

Move on ไม่ได้ ” เพราะเขาไม่ปล่อยหรือเราไม่ไป? จริง ๆ แล้ว การที่เรา Move On ไม่ได้ เป็นเพราะเขาหรือเพราะตัวเราเอง? ถ้าหาก Move On ไม่ได้เราจะรับมืออย่างไรดี?

 

 

Move on ไม่ได้ เป็นเพราะเราหรือเพราะเขา?

สารบัญ

เขาไม่ปล่อยหรือเราไม่ไป?

ในเรื่องความรัก คิดว่าเป็นคำถามที่ดีสำหรับเอาไว้ถามตัวเอง เพราะหลาย ๆ ครั้ง การมูฟออนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเพราะเราที่ยังคงหลอกตัวเองอยู่ 

 

แต่จริง ๆ แล้ว ถึงเขาไม่ปล่อย เราก็ไปได้ เพียงแต่อาจจะยากขึ้นหน่อย อย่าลืมว่าการตัดสินใจเป็นของเรา เรามีสิทธิ์เท่ากับเขาในการเลือกว่าจะอยู่หรือไป 

 

 

ไปข้างหน้า 1 ก้าว ถอยหลัง 3 ก้าว?

1 step forward 3 steps back จริง ๆ ประโยคนี้เป็นชื่อเพลงของ Olivia Rodrigo แต่จาก Cambridge Dictionary จะใช้ 1 step forward 2 steps back เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการ Move on

 

เราเดินไปข้างหน้าแต่มีสถานการณ์บางอย่างมาทำให้เราถอยหลังไปมากกว่าจากจุดที่อยู่ตอนแรก เช่น บางคนเลิกกับแฟน แต่พอเห็นของที่แฟนเคยซื้อให้ ความคิดถึง เลยหวนกลับมาอีก

 

ตรงข้ามกับการ Move on ได้ ที่หมายถึง การทำใจยอมรับสิ่งนั้นได้แล้ว พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลังเลแล้ว หรือ ในเรื่องความรัก Move on คือการตัดใจจากแฟนเก่าได้แล้วนั่นเอง

 

 

Move on ไม่ได้ มีรูปแบบไหนบ้าง?

1. ความรัก

เราชอบเขาเขาไม่ชอบเรา เลิกทั้งที่ยังรัก 

2. ความผิดหวัง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องการใช้ชีวิต ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ

3. คำพูดและสายตาคนอื่น 

แคร์คนรอบข้างมากเกินไป โดนต่อว่า ผ่านไปหลายวันยังนึกถึง

 

 

Move on ไม่ได้ ส่งผลเสียอย่างไร?

1. สร้างความรู้สึกและอารมณ์ทางลบ

เช่น การเอาอดีตมาตอกย้ำตัวเอง 

2. พัฒนาไปเป็นความผิดปกติทางอารมณ์

เช่น ซึมเศร้า ไบโพลาร์ วิตกกังวล

3. ขาด self-esteem และ self-confidence

เช่น โทษตัวเอง เพราะเราไม่มีคุณค่าพอ เขาเลยบอกเลิก ทำให้เราไม่มีความมั่นใจที่จะเริ่มต้นใหม่ 

 

 

Move on ไม่ได้ เพราะอะไร?

Move on จากความรักไม่ได้ :

เหตุผลเกี่ยวกับจิตใจ

1. การไม่ยอมรับความจริง หลอกตัวเอง

2. การที่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย

3. ความคุ้นเคยกับสิ่งเดิม ๆ

4. ความติดค้างภายในใจ

5. ความกลัวการสูญเสีย

 

เหตุผลเกี่ยวกับกายภาพ

1. สมองตอบสนองต่อการเลิกราเหมือนเวลาบาดเจ็บทางกาย

2. สมองยังจดจำว่าเรายังมีแฟนอยู่เหมือนเดิม

3. สายสัมพันธ์ทางสังคมยึดเราและเขาไว้

4. ความทรงจำทางอารมณ์ขังเราไว้

5. กลัวการถูกปฏิเสธ ไม่กล้าเริ่มต้น

6. ยิ่งคาดหวังและลงทุนมากยิ่งยาก

7. เพราะใช้เวลาทำใจยังไม่นานพอ

Move on จากคำพูดและสายตาคนอื่นไม่ได้ :

1. เกิดปรากฏการณ์ Imaginary audience รู้สึกว่าคนอื่นสนใจเราอยู่ตลอด

2. แคร์คำพูดและสายตาของคนอื่นมากจนเกินไป โดยลืมไปว่าทุกคนต่างสนใจแต่ตัวเอง

 

 

5 Stages of Grief คืออะไร?

Elisabeth Kubler Ross  ได้แบ่งระยะของความรู้สึกเสียใจที่เกิดขึ้นกับคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สิ่งที่รัก หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง เป็น 5 ขั้นด้วยกัน 

ขั้นที่ 1 : การปฏิเสธ (Denial)

มีหลากหลายความรู้สึกเกิดขึ้น รู้สึกสับสน รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย ยังคงไม่ยอมรับเพราะตกใจถึงขีดสุดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่สามารถทำใจได้

ขั้นที่ 2 : ความโกรธ (Anger)

จะมีความรู้สึกโกรธ แต่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าปลดปล่อยออกไปโดยไม่ปิดกั้นไว้ จะช่วยให้ได้ระบายความเจ็บปวดออกไป ความรู้สึกเบาลง

ขั้นที่ 3 : การต่อรอง (Bargaining)

จะมีความรู้สึกว่า อยากจะยอมทุกอย่างเพื่อให้ความสัมพันธ์กลับมาเป็นดังเดิม มีแต่คำว่า “ถ้าเพียงเเต่…” อยู่เสมอ อยากย้อนเวลากลับไปได้

 ขั้นที่ 4 : เศร้า (Depression)

จะมีความรู้สึกว่า ความทุกข์นี้จะอยู่ไปตลอดกาล รวมถึงจะสูญเสียการควบคุมทั้งอารมณ์และร่างกายของตนเอง ไม่สามารถควบคุมความเศร้าได้

ขั้นที่ 5 : ยอมรับ (Acceptance)

เป็นระยะที่ยอมรับได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง จะไม่มีความโกรธและความเศร้าเหมือนที่ผ่านมา มีการหันมาดูแลตัวเองและสนใจความต้องการตัวเองมากขึ้น

 

 

Move on ไม่ได้ รับมืออย่างไรดี?

 การให้เวลาตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทุกเรื่อง… การจะก้าวผ่านความรู้สึกแย่ ๆ ไปได้ต้องใช้เวลาทั้งนั้น

Move on จากแฟนเก่า :

1. ยอมรับความจริง

อยู่กับตัวเอง ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น

2. ทำสิ่งที่ดีต่อตัวเอง

ทำในสิ่งที่มีความรัก ทำสิ่งใหม่ ๆ

 3. เลิกส่องโซเชียลมีเดีย

เพราะถ้าแอบดูชีวิตเขา ยิ่งตัดใจยาก

4. เชื่อมั่นในตัวเองให้มากขึ้น

กลับมารักและดูแลตัวเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่

5. เริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ แฟนที่ดีคือแฟนใหม่

ทำได้ แต่ต้องระมัดระวัง เพราะอาจจะเป็นการดึงตัวเองเข้าไปในความสัมพันธ์แย่ ๆ เสียใจมากกว่าเดิม

Move on จากคำพูดและสายตาคนอื่น :

1. เข้าใจตัวเอง

ว่าปรากฏการณ์ Imaginary audience เป็นเรื่องปกติ

2. เข้าใจความจริง

ว่าไม่มีใครสนใจเราขนาดนั้น เรายังสนใจแต่ตัวเองเลย

3. คัดเลือกคนในชีวิต

บางคนตั้งใจที่จะพูดไม่ดีกับเรา จะได้รู้ว่าใครรักและแคร์เรา ใครที่ไม่หวังดี อาจจะต้องปล่อยเขาไป

4. ทุกคนต่างทำผิดพลาด

จุดโฟกัสไม่ใช่ เราผิดพลาดอีกแล้ว เพราะบางทีมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้เข้ามากระทบ ลองเปลี่ยนไปคิดว่าแล้วจะทำยังไงต่อดี? ดีกว่า

 

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าเรา Move On ได้แล้ว?

โดยทั่วไปมนุษย์จะใช้เวลาในการรักษาใจจากความผิดหวังเฉลี่ยอยู่ที่ 3 เดือน แต่ถ้าถูกกระตุ้นจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้นึกถึงความทรงจำแล้วยังเศร้ามาก ๆ แปลว่า ยัง Move on เป็นวงกลมอยู่ 

 

แต่ถ้ามั่นใจว่า Move on ได้แล้ว เมื่อโดนสิ่งเร้ากระตุ้นให้สังเกตตัวเองว่า ยังเสียใจเท่าเดิมไหม ถ้าใช่ ไม่ต้องคาดหวังว่าจะต้องกลับไปรู้สึกดีเหมือนเดิมหรือไม่รู้สึกอะไรแล้ว แค่ว่าเราดีขึ้นก็พอ

 

 

Move on ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่ากดดันและตอกย้ำตัวเอง 🙂

 

 

ที่มา :

หลักจิตวิทยากับการ Move on 

7 Reasons Why You Can’t Let Go of a Past Relationship

7 Ways It May Be Physically Hard To Move On After A Breakup, According to Experts

 

ความรู้สึก โหยหาอดีต อยู่ดี ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ที่ทำให้เราทั้งอบอุ่นใจ ดีใจ เสียใจ  ปกติไหม?

 

เพราะอะไรเราจึงโหยหายอดีต ? ยิ่งเติบโตความสุขยิ่งน้อยลงโหยหาอดีตมากขึ้นจริงหรือเปล่า?

 

ที่มาของ คำว่า โหยหาอดีต Nostalgia 

“คิดถึง” เป็นความรู้สึกที่รู้จักกันดีในชีวิตมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความผูกพันระหว่างกันและเป็นสัตว์สังคม อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับ “ความคิดถึง” อย่างจริงจัง

 

จนกระทั่งในช่วงคริสศตวรรษที่ 17 จึงเริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับความคิดถึง แต่ศึกษาในเชิงผลเสียที่เกิดขึ้นกับความคิดถึง โดยในทางจิตวิทยาคลีนิกเราเรียกความคิดถึงว่า “Nostalgia” มีรากศัพท์จากภาษากรีซ

 

โดยเกิดจากการผสมคำคือคำว่า “nosto” แปลว่า “Homecoming” หรือการกลับบ้าน กับความว่า “algos” แปลว่า “pain” หรือความเจ็บปวด

 

โดยศัพท์นี้เกิดขึ้นจากนักเรียนแพทย์ที่ใช้เรียกอาการวิตกกังวลและความกลัวของทหารชาวสวิสที่ต้องจากบ้านมาไกลเพื่อมาเผยแพร่ศาสนา หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นอาการ “homesick”

 

แต่เป็นระดับที่รุนแรงจนถึงว่าเป็นความผิดปกติทางจิตใจ มีอาการที่ส่งผลทางกายด้วย คือหนาวสั่น เป็นไข้ ในช่วงแรก ๆ ของการศึกษาความถึงนั้น นักวิจัยแทบทุกคนเน้นศึกษาเกี่ยวกับการรักษาทางคลินิก

 

และผลเสียที่เกิดจากอารมณ์ความคิดถึง โดยผลกระทบเนื่องจากความคิดถึงได้แก่ การนอนไม่หลับ (insomnia), ความวิตกกังวล (anxiety), ความผิดหวัง (depression)และนักวิจัยหลายท่านถือว่า “nostalgia” เป็นอาการของโรคประเภทหนึ่ง (symptom)

 

โดยแรกเริ่ม Nostalgia ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคที่เกิดกับชาวสวิสเท่านั้น แพทย์บางส่วนได้ให้ความเห็นว่า เสียงกระดิ่งที่ดังต่อเนื่องของวัวบนเทือกเขาแอลป์ ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บที่แก้วหูและสมอง ทำให้เหล่าผู้บัญชาการสั่งห้ามไม่ให้ทหารร้องเพลงพื้นเมืองสวิส

 

เพราะความกลัวว่าจะนำไปสู่การหนีทหารหรือฆ่าตัวตาย แต่เมื่อเกิดการย้ายถิ่นฐานมากขึ้นในคนทั่วโลก nostalgia ได้ถูกค้นพบในคนหลายๆกลุ่ม ปรากฎว่าใครก็ตามที่พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเป็นระยะเวลานานมีความเสี่ยงที่จะมีอาการ nostalgia

 

ต่อมาในช่วงปลายคริสศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบันจึงเริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับ “nostalgia” หรือความคิดถึงในเชิงบวกและเชิงโรแมนติกมากขึ้น โดยนักจิตวิทยาหลายท่านได้ให้คำนิยามคำว่า “nostalgia”

 

เพิ่มเติมโดยหมายถึงการรำลึกหรือนึกถึงสิ่งต่างๆในอดีตซึ่งในปัจจุบันไม่มีสิ่งนั้นอยู่แล้ว จากงานวิจัยหลายงานวิจัยพบว่าในขณะที่เกิดความคิดถึงสิ่งต่างๆในอดีตนั้น มนุษย์เรามันจะนึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขในอดีต และส่งผลให้เกิดรู้สึกถึงความอบอุ่น มีความคิดเชิงบวกเวลาเราเกิดอาการคิดถึง

 

จนต่อมาพบว่า Nostalgia เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปกับทุกคน อีกทั้งยังส่งผลดีต่อจิตใจอีกด้วย ในปัจจุบันจึงมีการใช้คำนี้สื่อถึงความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเมื่อนึกถึง สถานที่ ผู้คน หรือเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างที่เคยประสบพบเจอในอดีต

 

มีการศึกษาวิจัยพบว่าการกระตุ้นให้เกิด Nostalgia ในคนเรา สามารถทำให้เสริมความมั่นใจในตัวเองได้ การเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สร้างความเมตตาต่อคนอื่น

 

เพราะฉะนั้นแทนที่จะเป็นสาเหตุของสภาวะ mental distress (ความผิดปกติทางจิตใจ) Nostalgia สามารถใช้เป็นวิธีในการฟื้นฟูเพื่อรับมือกับปัญหาได้ด้วย เช่น เมื่อเราเจอสภาวะอารมณ์ในเชิงลบ การคิดถึงอดีตที่งดงามสำหรับเราทำให้เราคลายเครียดได้ Nostalgia ช่วยย้ำเตือนว่าชีวิตของเรามีความหมายและมีคุณค่า

 

นักจิตวิทยา Clay Routledge กล่าวถึงในงานวิจัย Nostalgia: Content, Triggers, Functions ไว้ว่า ภาวะความรู้สึก Nostalgia สามารถทำให้เกิดความรู้สึกทางบวก ทำให้รู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่น ๆ ในสังคม ส่งเสริมให้มองเห็นถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตในแง่ดี มากกว่าจมอยู่กับความรู้สึกแย่ที่เจอมา

 

เพราะบางครั้งการนำความทรงจำเก่า ๆ ให้หวนกลับมาอีกครั้ง อาจสามารถช่วยเป็นยาสมานแผลให้ลืมความเจ็บปวดของความเป็นผู้ใหญ่ที่พบเจอในชีวิตประจำวันไปได้

 

 

ความคิดถึงอดีต แล้วทำหน้าที่อะไร 

 

งานวิจัยส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในปัจจุบันรวมถึงงานวิจัยของ  Krystine Batcho, ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่ LeMoyne College  ให้เหตุผลว่าความคิดถึงทำหน้าที่หลายอย่าง สิ่งที่เชื่อมโยงพวกตัวเราทั้งหมดเข้าด้วยกัน คือ ความคิดถึงเป็นประสบการณ์ทางอารมณ์ที่รวมเราเป็นเราในตอนนี้ 

 

1. ความคิดถึงช่วยรวมความรู้สึกของเราว่าเราอยากเป็นใครในอนาคต เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เราอาจไม่ได้คิดไว้  แต่ความคิดถึงจึงกระตุ้นให้เราจดจำอดีตในชีวิตของเรา จะช่วยรวมเรา ณ ปัจจุบัน เข้ากับตัวตนที่แท้จริงของเราในอดีต และเตือนเราว่าเราเป็นใคร  และนั่นทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากเป็นใครในอนาคต 

 

2. เรารวมสิ่งที่เราความสุข และความทุกข์เข้าด้วยกันได้  ในขณะที่คิดถึงอดีตเป็นอารมณ์ที่หวานอมขมกลืน มันช่างหวานเพราะเรากำลังจดจำช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต  แต่ความขมขื่นมาจากความรู้สึกที่เรารู้แน่ชัดว่าเราไม่สามารถเอามันกลับคืนมาได้จริง ๆ พวกมันจากไปตลอดกาล 

 

เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อย่างสมบูรณ์ จึงช่วยให้เราจัดการกับความขัดแย้งในจิตใจ ความปรารถนาในสิ่งที่ไม่สามารถเป็นได้ และทำให้เราได้กลับมาทบทวนความรู้สึกของตัวเอง และยอบรับความจริงได้ และสามารถรวบรวมความสุขและความทุกข์เข้าด้วยกันได้ 

 

3. ความคิดถึงทำหน้าที่ทำหน้าที่ทางจิตวิทยาที่สำคัญเชื่อมโยงเรากับคนอื่น ๆ ในตอนเริ่มต้น เมื่อเรายังเด็กมาก ความคิดถึง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราผูกพันกับคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนของเรา เมื่อเราดำเนินชีวิตไป มันสามารถขยายไปสู่คนที่เราโต้ตอบด้วย คุณครู แฟน แม้กระทั่งคนที่เราแค่คุยผ่าน ๆ นี่เป็นปรากฏการณ์ความเชื่อมโยงทางสังคม และความคิดถึงในความรู้สึกนั้น เป็นอารมณ์ที่ดีในการเข้าสังคม

 

ผลวิจัยอันหนึงมากของ  Dr. Routledge  ความคิดถึงทำหน้าที่สำคัญในการดำรงชีวิต  “มันทำให้นึกถึงประสบการณ์อันน่าจดจำซึ่งทำให้เรามั่นใจว่าเราเป็นคนที่มีคุณค่าและมีชีวิตที่มีความหมาย งานวิจัยบางชิ้นของเราแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีความคิดถึงเป็นประจำ จะรับมือกับความกังวลเรื่องความตายได้ดีกว่า” 

 

ทำไมกลิ่นทำให้เราโหยหาอดีต 

เป็นเรื่องปกติที่กลิ่นจะพาความทรงจำกลับมาได้ เพราะสมองในส่วน “ฮิปโปแคมปัส” (Hippocampus) ที่ทำหน้าที่ในการสร้างความทรงจำระยะยาวให้กับมนุษย์หรือที่เรียกกันว่าความทรงจำนั่นเอง

 

และสมองส่วนฮิปโปแคมปัสนี้เองไม่เพียงแต่ในการเก็บความทรงจำต่าง ๆ แต่ยังใช้ในการรับกลิ่น ดังนั้นเวลาได้กลิ่นหอม ๆ หรือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ สมองก็จะคอยบันทึกและเก็บไว้ในความทรงจำ

 

 

เสียงที่คุ้นเคยถึงทำให้เราโหยหาอดีต

(APA) ดร.แบตโช ได้กล่าวไว้ว่าดนตรีเป็นอารมณ์ที่ทำให้คนโหยหาอดีต การที่เรากลับไปฟังเพลงเก่า ๆ หรือเพลงประกอบโฆษณาตามทีวีสมัยเราเด็ก ๆ ก็สามารถทำให้เกิด Nostalgia ได้

 

เพลงบางเพลงก็ได้บันทึกเรื่องราวของเราไว้ในขณะที่เราฟังตอนนั้น ในปี 1999 มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าเสียงเพลงมีพลังในการสร้างความทรงจำให้คนฟัง และช่วยกระตุ้นความทรงจำทั่ว ๆ

 

ไปในวัยเด็ก วัยรุ่น เคยแบบฟังเพลงบางเพลงแล้วเหตุการณ์ในตอนนั้นก็มาเป็นฉาก ๆ เลยเหมือนกัน

 

 

วัย coming of age ทำให้เราเจ็บปวด เราจึงโหยหายอดีต

การโหยหาความรู้สึกวัยเยาว์ การโหยหาความรู้สึกวัยเยาว์เป็นการโหยหาความรู้สึกนึกคิดหรือประสบการณ์วัยเด็กขณะทบทวน เรื่องต่าง ๆ ส่งผลต่อการเลือกตัดสินใจในปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ก็มีการนำภาพในอดีตที่มีความสุข ความประทับใจ ในอดีตมาปลอบประโลมจิตใจให้สามารถยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคในการดำเนินชีวิตยุคปัจจุบัน

 

Coming of age การข้ามผ่านวัย น่าจะเป็นช่วงที่เลยอายุ 19 มาแล้วจนถึง 30 กว่า ๆ เป็นวัยที่ค้นหาตัวเอง และต้องมีสิ่งที่รับผิดชอบมากมาย ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ มีเรื่องที่ต้องคิดเยอะมากขึ้น

 

ทำให้เราโหยหาอดีตในวัยเรียน วัยเด็ก วัยที่เรารู้สึกสนุก บางทีสังคมก็ peer pressure เราแบบไม่รู้ตัว ทำให้เราหลงทาง บางทีเราหลงลืมความสุข เพราะมีแรงกดดันจากสังคมรอบข้างที่เร่งให้เราประสบความสำเร็

 

สิ่งที่สำคัญเลย พยายามรู้ให้เท่าทันตัวเองเสมอว่าตอนนี้เรากำลังรู้สึกยังไง คุยกับตัวเอง self talk บ่อย ๆ เพราะความรู้สึกของเราสำคัญมาก ๆ  

 

 

เทศกาล เป็น Nostalgia ของใครหลายๆ คน?

ดร.แบตโช กล่าวว่า ผู้คนรู้มีความรู้สึกคิดถึงมากขึ้นในช่วงเทศกาลเพราะความทรงจำมากมายถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ช่วงที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงจะรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองและสานสัมพันธ์

 

ถ้าอย่างประเทศไทย ช่วงสงกรานต์ก็รวมตัวกันเพื่อทำบุญ และไปเที่ยว ทำอาหารทานกัน ทำให้หวนคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ  และญาติ ๆ  เมื่อมาถึงวันหยุดอีกครั้ง มันจึงเตือนเราถึงช่วงเวลาพิเศษ

 

และช่วยให้เราติดตามสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป และสิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมในชีวิตของเรา สำหรับหลาย ๆ คน วันหยุดจะนำความทรงจำของช่วงเวลาที่เรียบอบอุ่นกลับคืนมา พร้อมกับความรู้สึกปลอดภัยในวัยเด็ก

 

เทศกาลยังเตือนเราถึงคนที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตของเราและกิจกรรมที่เราทำด้วยกัน เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมคนที่อยู่ไกลบ้านมักจะรู้สึกคิดถึงความหลังในช่วงวันหยุด และทำไมคนจำนวนมากจึงเดินทางเพื่อกลับไปช่วงเทศกาลเพื่ออยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง 

 

อย่างตอนเราวัยเด็ก เราจะได้เจอญาติผู้ใหญ่ เพื่อน ๆ ในวัยเรา ได้เล่น ได้จับของขวัญมีความทรงจำดี ๆ ด้วยกัน พอเราโตขึ้นมาหน่อยได้อยู่ไกลบ้านเราก็รอคอยเทศกาลเพื่อจะได้กลับมาเจอคนที่เราคิดถึง

 

ทำให้เทศกาลเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่เราจะได้ใช้เวลากับคนที่เรารัก มีความทรงจำที่อบอุ่นกับใครหลาย ๆ คน เคยได้ยินเพลงช่วงใกล้วันปีใหม่ ห้างก็จะเปิดเพลง All I want for Christmas is You ของมาราย แครี่ก็ทำให้เรานึกถึงตอนเพื่อนๆ ร้องในห้องเรียนเราก็จะแอบอมยิ้มตลอดเวลาที่ได้ฟังเลย

 

 

ยิ่งเติบโตความสุขยิ่งน้อยลงจริงไหม?

พอได้ทำการพูดคุยถึงประเด็นเรื่อง ความสุข เคยมีเหตุการณ์ที่เพื่อน ๆ ในทีมของเราถามกันว่า ถ้าให้เลือกหนึ่งอย่างที่เราทำบ่อย ๆ ที่เป็นชีวิตปกติประจำวันที่เราสามารถตอบได้

 

คนในทีมก็มีตอบว่า กิน,ดูคลิปตลก,นอน,กินข้าวแล้วดูอะไรที่ชอบ,อยู่กับคนแฟน จากที่ฟังและได้พูดคุยกันมันเป็นสิ่งเล็กน้อย เหมือนในวัยเด็กเลย แต่ที่เรารู้สึกว่าความสุขมันลดลง เพราะว่าเรามีเรื่องให้รับผิดชอบมากขึ้น คิดมากขึ้น

 

มันเลยไม่ได้สนุกเหมือนตอนเด็ก ๆ แล้วเท่านั้นเองความสุขไม่ได้น้อยลง แต่สิ่งที่ต้องโฟกัส ความรับผิดชอบต้องมีมากขึ้นในทุก ๆ ด้าน ทำให้เวลาของความสุขของเรา แบ่งไปกับหน้าที่อย่างอื่นของชีวิต 

 

ยิ่งโตขึ้นยิ่งโหยหาอดีตมากขึ้นจริงไหม 

ดร.แบตโช กล่าวว่า จากความสอดคล้อง ช่วงเวลาที่คนเราจะมีความคิดโหยหาอดีตมากที่สุดนั่นคือ ช่วงเวลา 20-25 ปี นั่นเป็นเพราะช่วงเวลานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนผ่านของชีวิต เป็นช่วงเวลาสำคัญของ สภาพจิตใจ การพัฒนา ไปเป็นบุคคลที่ตัวเองต้องการจะเป็น 

 

การโหยหาอดีตเป็นเรื่องที่ดี Nostalgia ค่อนข้างที่จะเป็นเชิงบวกเวลาที่เราโหยหาอดีต มันทำให้เรามีแรงใจฮึดสู้กับอนาคตมากขึ้น แต่อย่าให้ความโหยหายึดติดกับอดีตจนลืมการใช้ชีวิตในปัจจุบันของเราเช่นกัน เพราะอดีตบางทีก็เป็น ‘กับดัก’ ที่ทำให้เราไม่ก้าวไปพร้อม ๆ กับโลกที่ค่อนข้างจะเปลี่ยนไปเร็วแบบทุกวันนี้ 

 

เจาะประเด็น Toxic People คืออะไร? เรากลายเป็นคน Toxic เองไหมในความสัมพันธ์ 

 

 

 

Toxic คืออะไร แบบไหนที่เรียกว่า Toxic?

Toxic ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยไม่อ้างอิงถึงจิตวิทยาแปลว่า ‘เป็นพิษ’ ซึ่งพออะไรที่เป็นพิษอาจถูกตีความได้ว่าเป็น พฤติกรรม แนวคิด

 

ที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ สังคมโดยรวม คนใกล้ตัวรอบ ๆ เรา ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจที่จะอยู่กับกันกับเรา

 

เรา Toxic ไหมแบบไหนที่เรียกว่า Toxic?

บางครั้งเราเผลอทำพฤติกรรมที่วู่วามโดยที่ไม่ได้ทันคิด ส่งผลให้คนรอบข้างเสียใจ โกรธ แต่ถ้าเราทำลงไปแล้วเราสามารถแก้ไขได้โดยการตั้งคำถามกับตัวเอง

 

คำนึงถึงคนอื่น เดินเข้าไปพูดคุยถึงการกระทำ ขอโทษถึงพฤติกรรมที่เราทำไปก็จะสามารถปรับเปลี่ยนผลลัพธ์ที่คนอื่นมองว่าเรา Toxic ได้

 

หรืออาจตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่าที่คนอื่นเริ่มหายไปจากชีวิตเราเป็นเพราะเราหรือคนอื่นไม่เข้ากับเรา กลับมาทบทวนตัวเอง ขอ Feedback จากคนรอบข้างที่มองพฤติกรรมเรามาตลอด

 

ถ้าคนนั้นมองว่าเรามีนิสัยที่ Toxic คนใกล้ตัวเราบอกแบบนั้น ลองกลับมารีเชคตัวเองแล้วแก้ไข

 

Stage of Change ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนเราเป็นคนที่ดีขึ้น

การปรับเปลี่ยนนิสัย พฤติกรรม ให้ดียิ่งขึ้น ที่เราสามารถนำมาปรับใช้กับตัวของเราได้

  1. Precontemplation (ระยะเมินเฉย) ระยะแรก ๆ ที่เรามักจะมองไม่เห็นปัญหาของตัวเราเอง ว่าสิ่งที่เราทำลงไปได้ส่งผลกระทบกับใครหรือเปล่า?
  2. Comtemplation (ระยะลังเล) ระยะที่เริ่มมองเห็นปัญหา ผลกระทบในอนาคตถึงพฤติกรรม แต่ยังไม่ลงมือแก้ไข
  3. Preparation (ระยะเตรียมการ) ระยะที่เริ่มหาวิธีแก้ไขปัญหา
  4. Action (ระยะลงมือ) ระยะที่เริ่มลงมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในสิ่งที่คิดว่าจะทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้นได้
  5. Maintenance (ระยะคงที่) ระยะที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจนเกิดเป็นความเคยชินแล้ว โดยการปรับเปลี่ยนต้องเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

 

Toxic มีจุดกำเนิดไหม?

 

Toxic มีแยกประเภทไหม? 

 

รับมือกับคน Toxic ใกล้ตัว

 

สิ่งสุดท้ายเมื่อเราเจอกับความ Toxic จนเรารับมือไม่ไหว อยากให้มองหาคนที่พร้อมจะรับฟังเรา ถ้าหากคนใกล้ตัวไม่มีใครที่พร้อมจะรับฟัง

 

หรือคนใกล้ตัวที่เป็น Toxic สำหรับเรา อยากให้ลองไปพบผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแก้ไขสิ่งที่มากระทบกับตัวของเราเอง  🙂

รู้สึก เหนื่อย จังเลย หมดแรงกำลังใจจะเดินต่อ! วัน ๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรเยอะ แต่ก็เหนื่อย เกิดจากอะไร เหนื่อยแล้วเป็นซึมเศร้าหรือเปล่า? แต่ความเหนื่อยก็มีข้อดีนะ

เหนื่อย กับชีวิต ทำอย่างไร?

เหนื่อย มีอยู่ สองรูปแบบคือ “เหนื่อยกาย” และ “เหนื่อยใจ” 

 

เราจึงควรถามกับตัวเองว่า เหนื่อยจากอะไร ความรู้สึกเหนื่อยนี้มาจากไหน จัดการอย่างไร หากเราเหนื่อยแต่ไม่จัดการ ความเหนื่อยอาจจะคงอยู่อย่างนั้น 

 

 

ไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่ทำไมรู้สึก เหนื่อย จังเลย 

หากไม่ได้ทำงาน หรือกิจกรรมอื่น ๆ อยู่ก็จริง แต่ภายในใจคิดอะไรอยู่  แต่รู้สึกอะไรอยู่ อะไรทำให้เหนื่อยได้ขนาดนี้ 

 

ถ้าอยากออกจากความเหนื่อยต้องชัดเจนกับตัวเอง ต้องรู้ว่าความเหนื่อยมาจากไหน  มันคงมีความคิดบางอย่างที่มันนำไปสู่ความเหนื่อยได้ 

 

 

สาเหตุของความ เหนื่อย 

สาเหตุของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน เช่น  เหนื่อยใจจากการทำงาน  เหนื่อยใจกับเพื่อนร่วมงาน  เหนื่อยจากเจ้านายที่ชอบสั่งการ

 

เหนื่อยจากการเรียน หรือ เหนื่อยกับความคาดหวัง เบื้องหลังของความเหนื่อยนั้นแตกต่างกัน  

 

 

เหนื่อยกับชีวิต กระทบกับเราอย่างไร 

  1. กระทบต่อตัวเอง ส่งผลกระทบให้เราไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เริ่มทำกิจกรรมน้อยลง  สนใจคนรอบข้างน้อยลง ละเลยการดูแลตัวเอง 
  2. กระทบต่อความสัมพันธ์ เมื่อเราเหนื่อยมาก ๆ เราจะเริ่มไม่อยากเข้าสังคม ผู้คนเริ่มค่อยๆ หายไป 

 

 

เหนื่อยแล้วทำยังไงดี 

  1. ออกมาจากความคิดของตัวเอง ลองมองอย่างเป็นผู้ชม ความเหนื่อยตรงนั้นคืออะไร เมื่อเราเห็นแล้ว เราจะต้องมาจัดการกับตัวเองได้อย่างไร  เช่น หากมองเห็นว่าเหนื่อยจากการทำงาน เพราะฉะนั้นหลังเลิกงานก็เป็นเวลาของตัวเอง จงใช้ชีวิตของตัวเอง 
  2. ทำกิจกรรมที่ตัวเองอยากทำ ออกไปเที่ยว  ออกไปทานขนม หรือนอนพัก 

หรือในมุมมองของนักจิตวิทยาเอง  ใช้วิธีออกไป พินิจให้เห็นสิ่งรอบ ๆ ตัวว่า  ชีวิตของเราเหนื่อยขนาดนี้จริง ๆ หรอ แล้วสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวนี่ไม่เหนื่อยหรอ

 

เพราะเมื่อไหร่ที่เราเหนื่อยกับชีวิตมาก ๆ จะทำให้เราท้อ เหมือนทางตัน แต่การพาตัวเองออกไปข้างนอก จะทำให้เราเชื่อมต่อกับสิ่งรอบข้างมากกกว่าความรู้สึกของตัวเอง

 

และทำให้เราเห็นมุมมองต่าง ๆ มากขึ้น หรืออีกวิธีการหนึ่ง คือ การไปทำทานให้ผู้อื่น

 

กำลังใจสำคัญแค่ไหน 

 

หากมีกำลังใจก็เป็นสิ่งที่ดี เหมือนได้เติมพลัง แต่หากไม่มีเราก็สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ เพราะกำลังใจไม่ต้องรอจากคนอื่น 

 

หากเราให้กำลังใจคนอื่นอย่างไร ก็ให้กำลังใจตัวเองแบบนั้นด้วยเช่นเดียวกัน 

 

การให้กำลังใจคนข้าง ๆ ทำได้อย่างไร 

แค่อยู่ข้าง ๆ แล้วทำให้เขารู้และมองเห็นว่าเราอยู่ตรงนี้ ผู้รับจะสัมผัสได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันแย่แค่ไหน แต่ยังมีคนซับพอร์ต ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดสวยหรู หรือหึกเหิม เพียงแต่เราทำอะไรก็ได้ที่คนหวังดีทำให้แก่กันได้ 

 

 

ถ้ารู้สึกเหนื่อยบ่อยๆจะนำไปสู่ภาวะอะไรไหม

1.เครียด

2.ท้อแท้ต่อการใช้ชีวิต หรือทำงาน

3.เศร้า

4.หมดหวัง

 

 

เหนื่อยแล้วเป็นคนอ่อนแอไหม 

 

เหนื่อยไม่ได้ตีความ ว่าอ่อนแอ แต่เหนื่อยหมายความว่า  เราต้องพักก่อน แล้วถามตัวเอง ว่าเราพร้อมจะสู้ใหม่หรือยัง หากเราเหนื่อยมาก ๆ แล้วพยายามดันทุรัง มันจะยิ่งเหนื่อย พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น 

 

สุดท้ายไม่ว่าจะทำอะไร คนเราต้องเหนื่อยอยู่แล้ว ออกกำลังกายจะต้องเหนื่อย ทำงานจะต้องเหนื่อย ฉะนั้นไม่ได้แปลว่า เหนื่อย = อ่อนแอ 

 

ถ้าเรารู้สึกเหนื่อยมาก ๆ อยากให้ลองพักก่อน ถอยออกมาเป็นผู้ดูความเหนื่อยล้า ของตัวเอง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ถึงมีความเหนื่อยกับการใช้ชีวิตได้ขนาดนี้ 

 

เราสามารถให้เวลากับตัวเอง ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องเก่งเหมือนคนอื่น ไม่ต้องประสบความสำเร็จได้รวดเร็วเหมือนที่คนอื่นเขาเป็น  เราเป็นเรา  เหนื่อยก็คือเหนื่อย

 

เหนื่อยก็หยุดพัก แล้วค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้น  พร้อมเมื่อไหร่ก็แค่เดินต่อไปนะ:)

 

เหนื่อยไม่ผิด ใช่ไหมคะ?

ความรู้สึกเข้มแข็งใคร ๆ ก็อยากมีแต่ถึงเราจะ เข้มแข็งแค่ไหนก็อ่อนแอได้ อยู่ดี

 

ความเข้มแข็งบางครั้งก็มาในรูปแบบของอ่อนแอ ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง

 

เข้มแข็งแค่ไหนก็อ่อนแอได้

ความรู้สึกเข้มแข็งจำเป็นไหม?

ความรู้สึกเข้มแข็งเป็นความรู้สึกที่จำเป็นแต่ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา มนุษย์มีความเคยชินกับการเลี้ยงดู การถูกสอนว่าต้องเข้มแข็ง ห้ามอ่อนแอให้ใครเห็น

 

เพราะจะดูรังแกถูกตั้งคำถามจากความอ่อนแอได้แต่อยากให้มองว่าเรารู้สึกอย่างไรก็รู้สึกแบบนั้นเลย เราสามารถอ่อนแอได้ในตอนที่เรารู้สึกอยากอ่อนแอ

 

ฝืนเข้มแข็งตลอดเวลาในมุมมองของนักจิตวิทยามีข้อเสียไหม?

 

 

ความอ่อนแอ มีข้อจำกัดไหม?

ทุกอย่างเป็นแค่สภาวะหนึ่ง เหมือนตอนเราป่วยแล้วเกิดความรู้สึกอ่อนแอ มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้มีแค่ซ้ายกับขวา เราสามารถอ่อนแอได้ เพราะร่างกายตอนป่วยเรายังอ่อนแอและร่างกายกับจิตใจก็สัมพันธ์กันด้วย

 

ความอ่อนแอมีระยะไหม?

ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของบุคคล  เก็บกด หายเลย หายทันที ขึ้นอยู่กับการเติบโต ที่พึ่งทางจิตใจ การจัดการทางอารมณ์

 

อ่อนแอมีข้อดีไหม 

ความอ่อนแอเป็นสภาวะทางธรรมชาติของเรา เป็นเรื่องที่ดี เราสมควรที่จะรู้สึกออกมาอย่างที่ในใจเรารู้สึก ยอมรับความรู้สึกของเราความอ่อนแอก็จะเบาบางลงได้ ไม่ต้องแบกไว้ไม่ต้องเก็บกดมันเอาไว้

 

คนที่อ่อนแออย่างตรงไปตรงมากล้าที่จะให้ตัวเองรู้สึก การเผชิญหน้ากับอารมณ์ทางลยคือคนที่เข้มแข็งแล้ว ปล่อยใจให้อิสระในวันที่ร้องไห้ เศร้ามองในจิตใจ ไม่ไปปิดกั้นนั้นคือนิยามของคำว่าเข้มแข็งแล้ว 🙂

 

ความรู้สึก เครียดหยุดคิดไม่ได้ เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องพบเจอ แต่การที่เราเครียดมากเกินไปจนเราไม่สามารถจัดการกับความเครียดของเรา

 

ย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพจิต พอเครียดมาก ๆ ก็ทำให้รู้สึกอ่อนล้า หมดแรง เหมือนโดดดูดพลังงาน

 

ความเครียดคือ..

สารบัญ

ความเครียดที่เกิดขึ้นการกลไกลตามธรรมชาติของร่างกายเวลาที่ร่างกายรู้สึกถึงอันตราย หรือสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเดาได้

 

ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่เตรียมระบบเพื่อหลบเลี่ยงเวลาเผชิญอันตราย คนมักเรียกสิ่งนี้ว่ากลไกการต่อสู้หรือหนีเมื่อมนุษย์เผชิญกับความท้าทายหรือภัยคุกคาม

 

 ทำให้ของร่างกายของเราใช้วิธีที่ทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายหรือวิธีที่ทำให้เราได้รับความปลอดภัยโดยเร็วที่สุด วิธีแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน บางคนแก้ปัญหา บางคนหลีกหนี 

 

ความเครียด ตามที่ apa ได้ให้คำนิยาม ความเครียด คือ การตอบสนองทางสรีระวิทยาและจิตใจต่อแรงกดดันภายในและภายนอก ความเครียดเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเกือบทุกระบบในร่างกาย

 

ส่งผลต่อความรู้สึกและพฤติกรรมของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น เหงื่อออก ปากแห้ง หายใจไม่ทั่วท้อง กระตุ้นอารมณ์ทางด้านลบ (ถ้าเกิดเคยประสบกับเหตุการณ์ประมาณนี้มาแล้ว) 

 

เช่น เครียดก่อนเข้าห้องสอบเราจะรู้สึกมวนท้อง เครียดแล้วหายใจไม่อิ่ม

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด

 

ความเครียดในแต่ละคนไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนนั้นสามารถรับมือได้มากแค่ไหนด้วย 

 

ทำไมจึงเครียดมากขึ้น

จากบทความของ กรมสุขภาพจิต ทำไมคนในสังคมมีความเครียดมากขึ้น?

เรากำลังเครียดแบบไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่า?

บางทีที่เราเครียดไม่รู้ตัว เพราะแต่ละคนมีการตอบสนองต่อความเครียดที่ไม่เหมือนกัน บางคนแสดงออกทางด้านร่างกาย บางคนซึม หรือบางคนนอนไม่หลับ

 

เลยทำให้หลาย ๆ ครั้งเราไม่สามารถระบุได้ว่านี่คือความเครียดเพราะคืออาการทั่วไปที่เจอได้ปกติ หรือบางครั้งเราปล่อยผ่านความเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สะสมไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็เครียดแบบไม่รู้ตัวแล้ว 

 

ความเครียดไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับรู้ ไม่เหมือนกับความสุขหรือความเศร้าแต่ความเครียดเราไม่สามารถจับต้องได้ง่าย ๆ แต่มีบางวิธีในการระบุสัญญาณบางอย่างที่เราอาจประสบกับความกดดันมากเกินไป

 

บางครั้งความเครียดอาจมาจากแหล่งที่ชัดเจน แต่บางครั้งความเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวันจากการทำงาน โรงเรียน ครอบครัว และเพื่อน ๆ ก็สามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายได้

สัญญาณเรากำลังเครียดแบบไม่รู้ตัวกันหรือเปล่า?

1. สัญญาณทางจิตใจ 

สมาธิลดลง กังวล ความจำไม่ค่อยดี

2. สัญญาณอารมณ์

โกรธง่าย หงุดหงิด อารมณ์เสีย ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้

3. สัญญาณทางกาย

ความดันโลหิตสูง น้ำหนักเปลี่ยนแปลง ไม่สบายบ่อย ๆ สำหรับผู้หญิงรอบเดือนอาจจะมาไม่ปกติ อารมณ์ทางเพศผิดปกติ นอนไม่หลับ

4. สัญญาณทางพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

Poor Self-Care ดูแลตัวเองไม่ค่อยดี ไม่มีเวลาให้กับสิ่งที่เคยชอบ มีการให้ยาหรือสารเสพติด แอลกอฮอล์

 

ประเภทของความเครียด

ความเครียดสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้

1. Acute Stress

ความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีจากความกดดันในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น เส้นตายในการทำงาน

 

การเผชิญหน้ากับความท้าทายหรือเหตุการณ์ที่ทำให้สะเทือนใจ เมื่อความเครียดหายไป ร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

2. Episodic Acute Stress 

เกิดจากการประสบกับความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีหลายครั้งติดต่อกัน เช่น เริ่มจากมีปัญหาสุขภาพ หลังจากนั้นตกงาน ตามมาด้วยการหย่าร้าง

 

หรือบางคนชอบเครียดและวิตกกังวลจนรีบเร่งและใจร้อนในทุกเรื่อง ทำให้เกิดความเครียดบ่อย ๆ

3. Chronic Stress 

ความวิตกกังวลและความกดดันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ความเครียดเช่นนี้มีผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต 

4. Eustress

ความเครียดเชิงบวก ดร. Michae กล่าวว่า Eustress เป็นเส้นประสาทเมื่อเผชิญกับความท้าทายที่สนุก เช่น เวลาที่เราทำงานแล้วเรารู้สึกปลดล็อคถึงความยากแล้วทำให้เราสามารถยืดหยุ่นได้

 

หรือการออกกำลังกายที่มันยากๆหรือตามเป้าหมายของเราที่ตั้งไว้ได้ Eustress  มีความสำคัญ เพราะถ้าเราขาดไป เราอาจได้รับผลกระทบเรื่องอารมณ์ เพราะความเครียดที่เกิดจากความสุข

 

ช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจทำงานไปสู่เป้าหมายและรู้สึกดีกับชีวิต

 

ผลกระทบของความเครียดของแต่ละคน

1. ความเครียด ความกดดันทำให้พลังงานน้อย

ความเครียดมักก่อให้เกิดความหงุดหงิด ความกลัว และความคับข้องใจ อาจรู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง และไม่สามารถรับมือได้ พลังงานก็จะน้อยตามลงไปด้วย

2. ความเครียด ทำให้นอนไม่หลับ 

การที่นอนไม่หลับ ส่งผลกระทบหลาย ๆ อย่าง เช่น สมองมึน ๆ งง ๆ ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ค่อยดี ตัดสินใจช้าลง ตื่นมาแบบพลังงานน้อยการนอนหลับไม่เพียงพออาจทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบ

 

พลังงานต่ำ ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ความเครียดก็เหมือนตัวร้ายของการนอนหลับที่จะมารบกวนเราให้เรา เครียด คิดมาก ก่อนนอนเสมอ

3. เครียด ทำให้ คิดมาก คิดวน

ความเครียดทำให้เกิดความคิดมาก พอคิดมากก็จะทำให้เกิดความเครียด กลายเป็นการคิดวนไปวนมา จับต้นชนปลายไม่ถูก

 

ผลกระทบของความเครียด

ร่างกาย

อารมณ์

เครียดสะสมระยะยาวนอกจากพลังงานน้อยแล้ว ยังเสี่ยงเป็น “ต่อมหมวกไตล้า”

ต่อมหมวกไตทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญของร่างกาย คือ “ฮอร์โมนคอร์ติซอล” เพื่อรับมือกับความเครียดและความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นในชีวิต

 

หากปล่อยให้ร่างกายเผชิญกับความเครียดสะสม เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งต่อมหมวกไตก็เกิดอาการล้าได้

 

คอร์ติซอลเป็นฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดที่ผลิตโดยต่อมหมวกไต ใครที่ทำงานหนัก เครียดมาก เครียดสะสมมานาน จะยิ่งส่งผลให้ “ฮอร์โมนคอร์ติซอล” ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดสภาวะความเครียดหลั่งออกมามาก

 

ถึงจะไม่รุนแรงถึงขั้นเป็นโรคบกพร่องต่อมหมวกไต หรือต่อมหมวกไตไม่ทำงาน แต่การที่ต่อมหมวกไตทำงานลดลง การผลิตฮอร์โมนที่สำคัญลดลง อาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการทำงาน

 

ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือเสี่ยงภาวะซึมเศร้าได้

 

แต่ความเครียดก็มีข้อดีของเหมือนกันนะ

ความเครียดใคร ๆ ก็ไม่อยากมีแต่ว่าจริง ๆ แล้วความเครียดก็มีประโยชน์เหมือนกัน แต่ต้องเป็นความเครียดระยะสั้น ซึ่งเวลาที่ร่างกายเราเครียด เหมือนเป็นสัญญาณเตือนเพื่อให้เราตั้งรับเรื่องอะไรสักอย่าง

 

แล้วเราถ้าแก้ปัญหาในสิ่งนั้นได้ก็เหมือนความเครียดที่เครียดแบบมีความสุขหรือความเครียดเชิงบวกนั้นเอง

 

ประโยชน์ของความเครียดระยะสั้นไว้

1. ความเครียดทำให้เราฝึกแก้ปัญหา 

เวลาที่เราเครียด จริงอยู่ว่าเราจะรู้สึกอึดอัดจากภายใน แต่ในขณะเดียวกันสมองของเราก็จะคิดหาทางออก หาหนทางเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา เพราะถ้าเราไม่มีความเครียดใด ๆ เป็นไปได้ว่าสมองเราอาจจะไม่ได้พัฒนา

2. ความเครียดมีผลดีต่อร่างกาย 

เวลาเครียดร่างกายจะปลดปล่อยสารเคมีในสมองที่ช่วยให้เราตอบสนองต่อความเครียดในระดับต่ำ สามารถกระตุ้นการผลิต Neurotrophins เป็นสารเคมีที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง

3. ความเครียดช่วยปกป้องเรา 

จากการวิจัยพบว่า หนูที่ผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกันจำนวนมากในกระแสเลือด พวกมันมีการตอบสนองต่อความเครียดที่ไม่รุนแรง

 

นอกจากนี้ความเครียดระดับนี้ยังส่งผลให้มีการปลดปล่อย Corticosterone (คอร์ติโคสเตอโรน)

 

และในคนเราเวลาเกิดความเครียดร่างกายจะหลั่งสารเพื่อเตรียมความพร้อมที่ช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันที่ชื่อว่า Interleukin  (อินเตอร์คิวลีน)

 

ร่างกายจะมีระบบปกป้องเราในรูปแบบความเครียดที่ไม่มากเกินไป ถือว่าเป็นผลดีที่ช่วยกระตุ้นความระมัดระวังให้เรา

4.ความเครียดฝึกให้เราคิดเชิงบวก 

เมื่อเราเกิดความเครียดในช่วงแรกเราอาจจะรู้สึกกดดัน แต่หลังจากนั้นเราจะหาวิธีผ่อนคลายด้วยการคิดบวก ซึ่งการคิดบวกนั้นอาศัยทัศนคติที่ดี ทัศนคติที่ดีจะนำทางออกที่ดีให้กับเราเสมอ

 

จัดการกับความเครียดตามหลักจิตวิทยา

 

ความเครียดมีทั้งความเครียดระยะสั้นและความเครียดระยะยาว แต่ทั้งสองแบบอาจจะนำไปสู่อาการต่างๆได้ และแน่นอนว่าถ้าเรามีการสะสมความเครียดแบบเรื้อรัง ย่อมไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวแน่นอน

 

อ้างอิง :

The Signs and Symptoms of Too Much Stress

Types of Stress

เครียดสะสมส่งผลต่อมหมวกไตล้า

Healthy Ways to Cope with Stress

What Are the Symptoms of Stress?

ข้อดีของความเครียด

เพราะอะไร… เป็น “ คนดีเกินไป ” ถึงไม่ดี? ทั้งโดนเอาเปรียบ โดนเกลียด โดนทิ้ง แล้วเราจะเป็นคนดียังไงให้มีความสุข ?

 

คนดีเกินไป เมื่อดีเกินไปทำให้โดนเกลียด

นิยามคำว่า คนดี

คำว่าคนดี คือ คนที่ทำแต่สิ่งดี มีจิตใจดี เป็นคนที่ทำตัวน่ารักกับทุกคน ไม่คิดร้ายกับใคร อยู่ในศีลธรรมและมีจริยธรรมที่ดี แต่คำนี้นิยามได้หลากหลายแบบมาก

 

และยังทำให้เกิดคำถามขัดข้องใจได้ เช่น ถ้าทำอะไรด้วยใจหวังดี แต่สิ่งนั้นเดือดร้อนอีกฝ่าย หรือ ถ้าดีต่อคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ดีต่อคนส่วนน้อย จะนับว่าดีได้ไหม?

 

 

คนดี ในความสัมพันธ์ เป็นแบบไหน?

คำว่าคนดีในความสัมพันธ์ คือ คนที่คอยมอบสิ่งดี ๆ ให้แก่กัน คอยสนับสนุนช่วยเหลือ สิ่งไหนไม่ดีจะคอยเตือน สุขและทุกข์ไปด้วยกัน แบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้กัน พูดดีและทำดีต่อกัน

 

 

เป็น คนดีเกินไป ไม่ดีหรอก จริงไหม?

มีส่วนจริงอยู่บ้าง บางทีเป็นคนดีเกินไปจะโดนเอาเปรียบได้ง่าย ในชีวิตจริง… ต้องดีให้พอดี ถึงจะดี เพราะหลาย ๆ ครั้ง คนไม่ดีมักจะมองว่าคนที่ดีเกินไปคงไม่ว่าอะไร จึงมองหาแต่ประโยชน์

 

การคัดกรองคนให้อยู่ในชีวิตนั้นสำคัญ ถ้าไม่เปิดรับคนที่จ้องจะเอาเปรียบเข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก เราอาจจะเป็นคนดีในแบบที่อยากเป็นได้ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ จบธุระแล้วไม่จำเป็นต้องคบต่อ

 

 

ถ้าคนอื่นบอกว่าเราเป็น คนดีเกินไป ควรทำอย่างไร?

บางทีเราต้องปรับ ต้องไม่ดีเกินไป อย่างที่บอก… ให้ดีแบบพอดี ถึงจะดี และในเรื่องความรัก หลาย ๆ ครั้งสังคมมักจะบอกว่า ผู้หญิงไม่ชอบคนดีเพราะคนดีน่าเบื่อ คิดว่ามีทั้งส่วนที่จริงและไม่จริง 

 

ผู้หญิงบางคนอาจจะชอบสไตล์แบดบอย ยิ่งลุคดูแบดยิ่งชอบ แต่ผู้หญิงบางคนอาจจะชอบคนดี นิสัยดี ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแต่ละคนว่าชอบคนแบบไหน ความชอบคนเรามีหลากหลาย

 

 

เป็น คนดีเกินไป ที่อยู่ในสังคมแล้วเกลียดตัวเอง รับมืออย่างไร?

อาจจะต้องตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องเกลียดตัวเองด้วยถ้าเราเป็นคนดี สุดท้ายแล้ว เราทำสิ่งดีเป็นคนดีจะทำให้สบายใจ ไม่ต้องคอยระแวงว่าเราไปทำผิดอะไรมาไหม

 

ถ้าเราทำดีแล้วมีคนว่า ให้คิดซะว่าเขาอาจจะไม่เคยทำดีเลยมาคอยว่าเรา ต้องปล่อยวาง อย่าไปสนใจ เราทำสิ่งดี ๆ ต่อไปดีแล้ว สักวันสิ่งที่เราทำจะให้ผลดีกับเราเอง

 

อีกอย่าง เวลาที่เราอยากทำดี แต่เราโดนทำไม่ดี การเตือนตัวเองว่าอย่าเป็นคนในแบบที่ตัวเองไม่ชอบเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการโต้ตอบกลับไปอาจทำให้รู้สึกแย่ได้

 

 

เป็นคนดีไม่ผิด แต่ดีให้พอดี ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา สำคัญไม่แพ้กัน 🙂

ความสุขที่ไม่ต้องตามหา มีอยู่จริงไหม?

ความสุขที่ไม่ต้องตามหา 

ความสุขคืออะไร 

การใช้ความรู้สึกของตัวเองให้นิยามว่า “สิ่งไหนเป็นความสุขของตัวเอง”

 

หากเราเจอความรู้สึกที่ตอบกับตัวเองได้ว่านี่แหละความสุข ไม่ต้องฟังคำนิยามของคนอื่นหรือ หาความหมาย เพราะเรามีความสุขของเราแตกต่างกัน 

 

ความสุขต้องตามหาไหม 

ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งเป้าหมายความสุขไว้อย่างไร เช่น ความรัก ความฝัน การใช้ชีวิต เป็นต้น  คนที่วิ่งตามหาความสุข อาจเกิดจากการหาความสุขของตัวเองไม่เจอ

 

หรือเอาความสุขของตัวเองไปตั้งไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับตัวเอง เช่น  ความฝันของคนอื่น ความต้องการของคนอื่น 

 

ความสุขเกิดขึ้นได้อย่างไร 

ความสุขเริ่มจากวัยเด็กในตอนที่มี พ่อแม่ หรือครอบครัวอยู่เคียงข้าง เพราระครอบครัวให้ความรู้สึกความปลอดภัย, ตอบสนองทางด้านร่างกาย

 

เช่น อาหาร หรือ ยา เมื่อได้รับ เราจะรู้สึกมีความสุข เพราะเรานั้นปลอดภัย เรานั้นสามารถอยู่รอดได้ แต่เมื่อเราโตขึ้น เราจะรู้สึกได้ว่า โลกไม่ได้ให้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ และเราจะเจอกับความทุกข์ 

 

ซึ่งเรียกว่า Reality testing ตามทฏษฎีจิตวิเคราะห์ มนุษย์ที่ผ่านประสบการณ์ในวัยเด็กได้ดี ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า Secondary Process Thinking

 

คือ กระบวนการคิดที่มีการความคิดของการยับยั้งช่างใจได้ รู้จักการรอคอย  ส่วนในบางคนที่ขาดการยับยั้งช่างใจ หากต้องการสิ่งใดก็จะต้องได้รับการตอบสนองทันทีจึงจะพอใจ เรียกว่า  Primary Process Thinking  

 

ฉะนั้นจากที่คุณวันเฉลิมกล่าวมา ความสุขมี 2 แบบ คือ 

  1. สุขแบบระยะสั้น 
  2. ความสุขระยะยาว 

 

นี่เป็นพื้นฐานทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น และถูกสั่งสมประสบการณ์ทางอารมณ์มาเรื่อย ๆ ทำให้ใจเรารู้ได้ว่าสิ่งไหนที่เป็นความสุขสำหรับเรา 

 

ในกรณีที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เราจะรู้สึกเคว้งคว้างในช่วงแรก แต่หากมีใครซักคนมาดูแลแทนพ่อแม่ ให้ความสัมพันธ์ที่เหมือนกัน จะสามารถสร้างความรู้สึกผูกพันธ์ขึ้นมาได้ 

 

ฉะนั้นพื้นฐานความสุขเกิดขึ้นจากพื้นฐานความสัมพันธ์ที่มีกับครอบครัว

 

พยายามตามหาความสุข จนเกิดความทุกข์แก้ไขอย่างไร 

เราต้องรู้ว่าเราแสวงหาความสุขนั้นเพราะอะไร  สิ่งที่เราแสวงหาในวันนี้เป็นสิ่งที่เราขาดในอดีตใช่หรอไม่  เมื่อเรารู้คำตอบแล้ว

 

ให้เราถามตัวเองอีกครั้งว่ายังอยากได้สิ่งนั้นอยู่ไหม และถามตัวเองอีกครั้งในวันนี้ว่าเราอยากได้อะไร 

 

ความสุขโดยไม่ต้องตามหาทำได้อย่างไร

1. ถามตัวเองว่าเราอยากมีความสุขไปเพื่ออะไร

มนุษย์เป็นสิ่งที่มีความต้องการ และเราแค่ตอบสนองความต้องการนั้น ตราบใดที่เรายังหาความต้องการของตัวเองไม่เจอ เป็นเรื่องที่อยากมากที่เราสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ขึ้นมา และมีความสุข 

 

Happinese Guite ทำไมมีความสุขแล้วรู้สึกผิด 

1. มีความสุขแล้วเกิดความรู้สึกผิดตามมา 

อาจจะเกิดจากการที่เราไปแสวงหาความสุขแบบผิดวิธี เช่น one night stand เมื่อความสุขหมดไป ความรู้สึกผิดก็ตามมา 

2. มีความรู้สึกผิดแฝงมาในความสุข

เช่น แฟนพาไปทานข้าว แต่รู้่สึกผิดที่แฟนต้องมาจ่ายเงินให้เรา 

 

สาเหตุ 

 

โอบกอดทั้งความสุขและความทุกข์ ทำได้อย่างไร 

การโอบกอดความรู้สึกนั้น เราต้องทราบว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกอะไร เช่น วันนี้เราเศร้าจังเลย ในความเศร้านั้นมีความผิดหวังอยู่

 

แล้วพอเราผิดหวังแล้วเรารู้สึกอย่างไรต่อ นี่เป็นสิ่งสำคัญ หากยอมรับความรู้สึกได้ เราจะโอบกอดความรู้สึกของเราได้เอง 

 

ความสุขที่ไม่ต้องตามหาอยู่ที่ไหน 

คำตอบคือ “อยู่ที่ตัวเราเอง”  อยู่ที่เราจะกำหนดอะไรเป็นความสุขของเรา การวิ่งตามหาอาจจะต้องหาไปเรื่อย ๆ

 

เช่น ต้องหาแฟนเพิ่ม หาเพื่อนเพิ่ม  ตามใจคนอื่นเพิ่ม หรือ ใช้เวลาของตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรอบข้าง  

 

เคยไหม? อยู่กับคนเยอะ ๆ เมื่อไหร่เหนื่อยทุกที พลังงานน้อยกับ “ Introvert ” มีความเกี่ยวข้องกันไหม? จะเป็น Introvert อย่างไรให้มีความสุข?

 

 

หมดพลังใจ เมื่อเจอคนเยอะ ๆ เป็นไปได้ไหม? มาหาคำตอบกัน!

คนร่าเริง คนเข้าสังคมเก่ง อาจไม่ใช่ Extrovert เสมอไป

คำตอบคือได้ เพราะถึงแม้ลักษณะภายนอกของคน ๆ นั้นจะดู Active ร่าเริง เข้าสังคมเก่ง มีเพื่อนหลายกลุ่ม ทำกิจกรรมเยอะ เบื้องหลังคน ๆ นั้นอาจจะแบ่งเวลาอยู่คนเดียวเพื่อชาร์จพลัง

 

 

Introvert คืออะไร?

อ้างอิงจากเว็บไซต์สมาคมนักจิตวิทยาอเมริกัน Introvert คือ บุคลิกภาพแบบหนึ่ง ซึ่งจะโฟกัสกับโลกภายในของตัวเอง ให้ความสำคัญกับความคิดความรู้สึก

 

ด้วยความที่ให้ความสนใจโลกภายนอกน้อยกว่าคนอื่น ทำให้มีลักษณะเด่น คือ เงียบ ชอบอยู่คนเดียว ละเอียดรอบคอบ ไม่ค่อยแสดงออกความรู้สึกทางบวก

 

ถ้าจะแยกระหว่าง Introvert กับ Extrovert คือ ดูว่าคนนั้นชาร์จพลังแบบไหน Introvert จะชาร์จพลังจากการอยู่คนเดียว ส่วน Extrovert จะชาร์จพลังจากการเข้าสังคม 

 

แต่… บุคลิกเหล่านี้เป็นเหมือนแกนหนึ่งเท่านั้น สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของชีวิตได้เสมอ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย บางช่วงชอบอยู่คนเดียว บางช่วงชอบอยู่กับสังคม 

 

 

Introvert และ ขี้อาย ต่างกันอย่างไร?

Introvert เป็นบุคลิกภาพ แต่ Shyness เป็นอารมณ์ประเภทหนึ่ง คนที่ขี้อาย เวลาเข้าสังคมจะอึดอัด ประหม่า เหงื่อออก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า ทำให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม

 

คนที่เป็น Introvert อาจหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคมเช่นกัน แต่แค่เลือกที่จะอยู่คนเดียว เพราะสบายใจที่จะใช้เวลากับตัวเอง จาก Psych2Go ให้ข้อมูลไว้ด้วยว่า ทั้ง 2 อย่างนี้แตกต่างกัน

 

1. สำหรับ Introvert จะต้องการเวลาในการปรับตัวเข้ากับคนใหม่ ๆ แต่พอปรับตัวได้แล้ว ความสัมพันธ์จะลึกซึ้ง สามารถใช้เวลาร่วมกับคนรอบข้างได้โดยไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร 

 

2. Introvert มักจะมีบทสนทนาที่ดูจริงจัง เพราะลักษณะเด่นอย่างหนึ่ง คือ ชอบคิดและประมวลผลอยู่ตลอด รวมถึงชอบการคุยแบบ deep conversation มากกว่าคุยเรื่องผิวเผินทั่วไป

 

3. ใจลอยง่าย ด้วยความที่เป็นคนคิดและประมวลผลเรื่องต่าง ๆ บ่อย ๆ ทำให้หลุดโฟกัสจากโลกภายนอกได้ง่าย

 

4. พลังงานหมดเวลาอยู่กับคนเยอะ ๆ หลายคนจะเงียบ ไม่ได้เงียบเพราะอาย แต่เงียบเพราะอยากเซฟพลังงาน

 

 

Introvert และ กลัวการเข้าสังคม ต่างกันอย่างไร?

พี่แนน นักจิตวิทยาการปรึกษา บอกว่า 2 อย่างนี้แตกต่างกันมาก introvert จะชอบอยู่เงียบๆ ไม่ชอบคนเยอะ ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบเป็นจุดเด่น เพราะรู้สึกว่าการอยู่คนเดียวสบายใจกว่า

 

แต่สำหรับคนที่กลัวการเข้าสังคม ถือเป็นอาการป่วยอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต จะกลัวทุกสถานการณ์ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น พูดคุย สั่งอาหาร คุยโทรศัพท์ หรืออื่น ๆ

 

 

Introvert มีข้อเสียไหม?

1. พลังงานน้อย เหนื่อยง่ายเวลาต้องพบปะผู้คนเยอะ ๆ

2. เกิดความเครียดและความกังวลได้ง่าย ถ้าต้องฝืนอยู่ในสถานการณ์ทางสังคม

3. อาจถูกเข้าใจผิดได้ มองว่าหยิ่ง เข้าถึงได้ยาก ทำให้กระทบกับการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ

 

 

Introvert มีข้อดีอะไรบ้าง?

1. ละเอียดรอบคอบ เพราะ Introvert คิดและประมวลผลสิ่งต่าง ๆ บ่อย ๆ  

2. เป็นผู้ฟังที่ดี ซึ่งการเป็นผู้ฟังที่ดีจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาได้รับความเอาใจใส่ ทำให้ความสัมพันธ์นั้นพัฒนาขึ้น

3. เป็นคนช่างสังเกต มีทักษะในการสังเกตภาษาพูดและภาษาภายของคนรอบข้างที่ดี ทำให้เข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น

4. เพื่อนน้อยแต่มีคุณภาพ เพราะ Introvert จะเลือกคบเพื่อนแบบรอบคอบ ทำให้สนิทและลึกซึ้งในความสัมพันธ์

 

 

อยากเข้าสังคม ทำอย่างไร? 

1. ตั้งต้นว่าค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย

2. ลองตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น วันนี้จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้น

2. คอยเตือนตัวเองไม่ให้กดดันและคอยให้กำลังใจตัวเองไปด้วย 

 

 

เป็น Introvert อย่างไรให้มีความสุข? 

1. อย่าลืมที่จะติดต่อกับคนอื่น อย่าอยู่คนเดียวจนรู้สึกเหงา

2. ใช้ชีวิตให้เหมาะกับพลังงานที่ตัวเองมี วางแผนและแบ่งเวลาช่วยได้

3. รู้จักจุดเด่นและจุดอ่อนของตัวเอง แล้วพัฒนาจุดเด่น ปรับแก้จุดอ่อน

4. ไม่ตัดสินตัวเองในด้านที่ไม่ดี ยังไงทุกอย่างที่เป็นอยู่ก็คือตัวเราทั้งนั้น

 

 

ไม่ว่าจะบุคลิกภาพแบบไหน ก็มีดีในแบบของตัวเองทั้งนั้น อย่าลืมรักตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็นนะคะ 🙂

 

 

ที่มา : 

6 Signs You’re Actually an Introvert, Not Shy 

The Surprising Benefits of Being an Introvert

Introvert Personality 

เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน จริงไหม? 

 

 

เวลา

สารบัญ

คือ มาตรวัดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตัวแปรที่ต่อเนื่อง (Continuous Variable)

 

 เวลา มี 2 ประเภท

1.  เวลาทางกายภาพ (Physical Time) เป็นเวลาในเชิงสมมติใช้หน่วยเป็น ปี เดือน สัปดาห์ วัน ชั่วโมง นาที และวินาที 

2. เวลาทางจิตใจ (Psychological Time) เป็นเวลาตามความรู้สึกตามแต่การรับรู้ของบุคคลแต่ละคนซึ่งจะแตกต่างกันไป เป็นเวลาที่มีความรู้สึกบางอย่างของเราผูกโยงอยู่ด้วย

 

โดยแต่ละคนจะรับรู้และแปลความหมายของเวลาแตกต่างกันออกไปตามความรู้สึกส่วนตัวในขณะนั้น หมายความว่าถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านไปเท่ากัน คนหนึ่งอาจรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้นทันใจ แต่อีกคนหนึ่งกลับรู้สึกว่ายาวนาน

 

เวลาเปลี่ยน เราเปลี่ยนอะไรบ้าง

1.ร่างกาย-ที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัย เช่น วัยเด็กที่เริ่มวางรากฐานการพัฒนาทางร่างกาย ,วัยรุ่นที่ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและมีพัฒนาทางเพศ หรือวัยกลางคนที่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมีความเสื่อมถอยชัดเจน 

2.จิตใจ- ทัศนคติ ความคิด มุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัยของการใช้ชีวิต 

 

7 Year Cycles วงจรชีวิต 7 ปี

7 Year Cycles หรือวงจรชีวิต 7 ปี มาจาก รูดอล์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชาวออสเตรีย เขาได้เสนอแนวคิดที่ว่าร่างกายและจิตใจของคนเราจะเปลี่ยนไปทุก ๆ 7 ปี ได้อธิบายความเปลี่ยนแปลของคนเราในทุก ๆ 7 ปีไว้ 

 

ช่วงแรกเกิด-7 ขวบ: จากความเป็นหนึ่งเดียวกับแม่สู่ความเป็นอิสระ

ในช่วงปีแรกๆ ของชีวิต โดยเฉพาะแรกเกิดถึงสองขวบ เด็กแทบจะไม่สามารถแยกแยะระหว่างตัวเองกับแม่ได้ แต่เมื่อเด็กเริ่มคลาน แล้วลุกขึ้นเดิน เขาจะสัมผัสได้ถึงอำนาจส่วนบุคคล (Personal Power)

 

และอิสรภาพจากแม่ที่มากขึ้น  แล้วค่อยๆพัฒนาขึ้น เริ่มหย่านม เริ่มมีฟันน้ำนมขึ้น พออายุ 4-5 ขวบ เด็กไปโรงเรียน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของการแยกจากแม่ และเริ่มเข้าสังคมกับเด็กคนอื่น ๆ

 

ประสบการณ์นี้จะดึงความเป็นตัวตนของเด็กออกมา ได้เริ่มเส้นทางค้นหาว่าเขาเป็นใคร

 

ช่วงวัย 8-14ปี : ต่อสู้และมุ่งมั่นในการใช้ชีวิต

เป็นช่วงเวลาของทดสอบการอยากมีชีวิตอยู่ ความเจ็บป่วยจะเกิดขึ้น เช่น อีสุกอีใส หัด คางทูม ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานเพื่อต่อสู้กับมันเมื่อโรคเหล่านี้หายไปก็จะมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มสาว

 

ช่วงวัย 14-21ปี : อารมณ์ร้าย,ฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปและเริ่มมีความสนใจทางเพศ

เข้ามัธยม เริ่มโต สภาพเเวดล้อมเปลี่ยนไป 

 

ช่วงวัย 21-28ปี  : ช่วงเวลาแห่งการรับผิดชอบ

เริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เปลี่ยนทัศนคติ มีพลังสูง รับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆ

 

ช่วงวัย 28-35 ปี : ร่างกายพัฒนาเต็มที่

เมื่ออายุได้ 35 ปี โครงกระดูกก็มีมวลกระดูกและความหนาแน่นมากที่สุด ทุกคนสูญเสียมวลกระดูกประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ร่างกายจะเริ่มถดถอยลงหลังจากอายุ 35 ปี 

 

ช่วงเวลานี้ หลายๆคนมักค้นพบศักยภาพในตัวเองและมีความมุ่งมั่นมากที่สุด ทะเยอทะยานมากที่สุด  Steiner เขายังบอกไว้ด้วยอีกว่าเรามักจะเจออัศวินขี่ม้าขาวในช่วงวัยนี้

 

ช่วงวัย 35-42ปี : วิกฤตและการตั้งคำถาม 

หลายคนจะประสบกับเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา และในกระบวนการนี้ เราประสบกับความผิดหวังและความรู้สึกล้มเหลว ความผิดหวังที่พบบ่อยที่สุดคือการหย่าร้าง การล่มสลายของธุรกิจ

 

หรือความขัดแย้งทางการเงิน หรือประสบวิกฤตสุขภาพไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เกิดคำถามขึ้นกับตัวเอง อะไรคือที่มาของความสุขที่แท้จริงของตัวเองและทั้งหมดนั้นฉันต้องการในชีวิตหรือเปล่า

 

ช่วงวัย70 ปีขึ้น : เป็นช่วงเวลาแห่งการสะท้อนเรื่องราวในอดีตและเตรียมตัวสำหรับการผจญภัยในโลกต่อไป

 

 

Chronophobia (โรคกลัวการพัดผ่านของเวลา)

เป็นภาษากรีก Chrono แปลว่า เวลา  Phobia แปลว่า กลัว  Phronophobia โรคกลัวเวลาหรือการผ่านไปของเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้เหตุผล ( ดูเหมือนว่าจะเร็วขึ้นหรือช้าลง)

 

อาการ

 

เหตุการณ์ที่กระตุ้น Chronophobia

 

บุคคลที่เสี่ยงต่อภาวะ Chronophobia

ตามรายงานของสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health)ประมาณร้อยละ 12.5 ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน บางครั้งในชีวิตพวกเขาจะมีอาการกลัวบางอย่าง เนื่องจาก Chronophobia เชื่อมโยงกับเวลา จึงมีเหตุผลว่าจะพบ Chronophobia ใน..

 

การรักษา

 

ทำไมมนุษย์ถึงกลัวการเปลี่ยนแปลง จากหนังสือ ทำไมมนุษย์จึงกลัวการเปลี่ยนแปลง กล่าวไว้ว่า 

1. ความเคยชินหรือคุ้นเคย 

2. ขาดความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง

3. ความกลัวที่จะต้องทำงานหนักขึ้น 

4. ความวิตกกังวลถึงอนาคตมากเกินไป 

 

จัดการกับความกลัวการเปลี่ยนแปลง 

1. ดูแลและปรับทัคนคติต่อการเปลี่ยนแปลง 

ดูแลและเข้าใจไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นคือเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ ตลอดเวลา

 

2. ระบายความรู้สึกของตัวสเองออกมา 

Jennifer Weaver – Breitenbecher นักจิตวิทยาคลินิกใน Rhode Island กล่าวว่า ความรู้สึกและการแสดงอารมณ์ เป็นส่วนสำคัญของการรักษา “นี่ไม่ใช่เวลามาพยายามเข้มแข็ง ปล่อยให้ตัวเองเสียใจ โกรธ ไม่พอใจ แล้วจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น”

 

3. ปล่อยทิ้งความพยายามในการควบคุมลง 

ไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจเราไปหมดทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นอย่าคิดจะควบคุมอะไรไม่ให้เปลี่ยนไป

 

4. ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างบ้างก็ได้ 

5. อยู่กับปัจจุบัน

6. มองไปที่อนาคต มากว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

7.เข้ารับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญ 

 

 

สำหรับคนที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น แต่วันนี้ยังรู้สึกว่าทำไม่ได้ซักที่ มีกฎของการเปลี่ยนแปลง 3 ข้อมาฝาก จากหนังสือ แต่คุณที่กลัวการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต

 1.ไม่ต้องใช้สมอง 

เรามักตั้งคำถาม คิดวนไปมาว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว เราสามารถลงมือทำได้เลย 

 

2. ไม่ต้องหาข้ออ้าง 

ความเปลี่ยนแปลงทำให้เรารู้สึกกลัวและกังวล และมีความรู้สึกอยากหนีสิ่งนั้นไป เราจึงหาข้ออ้าเพื่อยังไม่เปลี่ยนตัวเอง 

 

3. ไม่ต้องมีความหวัง

บางคนคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ก็ดูไม่มีความหวังเลย หากแต่การได้ลงมือทำก็ทำให้ความหวังเกิดขึ้นแล้ว

 

อ้างอิง :

 

The 7-Year Cycles of Life

Chronophobia

10 Ways to Help You Get Through Tough Times

เวลา..

อยู่ในสังคมเพื่อนที่คุยกันเรื่องของชีวิตทีไรจะรู้สึกตัวเล็กลงทุกที… รู้สึกเหนื่อยเหมือนใช้พลังงานไปเยอะมาก ๆ อาจจะถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่าเป็นคน ” Low Self-Esteem ” หรือไม่?

 

พลังงานน้อย เพราะ Low Self-Esteem

สารบัญ

การที่เราเป็นคนพลังงานน้อย หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะเราทำกิจกรรมที่นำมาซึ่งการเสียพลังงาน แต่จริงๆ แล้วการที่เราเป็นคนพลังงานน้อยอาจจะมาความคิดของเราได้

 

Self-Esteem คืออะไร

Self-Esteem คือ การมองเห็นคุณค่าในตัวเองโดยรวม เป็นความคิดเห็นของเราที่เกี่ยวกับตัวเราเอง เรามองตัวเองอย่างไร ซึ่ง Self-Esteem จะครอบคลุมปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่

 

1. ความรู้สึกถึงอัตลักษณ์ (Identity)

2. ความมั่นใจในตัวเอง (Self-confident)

3. การรับรู้ถึงความสามารถและความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่ง

 

 

Low Self-Esteem และ High Self-Esteem 

Self-Esteem เป็นมากกว่าการชอบตัวเองโดยทั่วไป แต่ยังหมายถึงการเชื่อว่าตัวเองสมควรได้รับความรักและการเห็นคุณค่าของความคิด ความรู้สึก และเป้าหมายของตัวเราเองอีกด้วย 

 

Self-Esteem ไม่ได้ส่งผลต่อความรู้สึกหรือการปฏิบัติต่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อแรงจูงใจในการใช้ชีวิตแบบที่เราต้องการและด้านอื่น ๆ ในชีวิตด้วย Self-Esteem มี 2 รูปแบบ ดังนี้

 

1. Low Self-Esteem

คนที่มีการมองเห็นคุณค่าในตัวเองในระดับที่ต่ำ มีมุมมองในแง่ลบต่อตนเอง

2. High Self-Esteem

คนที่เห็นคุณค่าในตัวเอง ภูมิใจในจุดเเข็งของตัวเอง มีมุมมองในแง่บอกแก่ตนเอง

 

 

Self-Esteem สำคัญอย่างไร

ความแตกต่าง คือ คนที่มี High self-esteem จะมุ่งโฟกัสไปที่การเติบโตและการพัฒนา ในขณะที่คนที่มี Low self-esteem จะโฟกัสที่การไม่ทำผิดพลาดในชีวิต 

 

เพราะงั้น Self-Esteem จึงสำคัญ เป็นสิ่งที่ทุกคนมีและควรที่จะมองเห็น เพราะ self-esteem จะส่งผลต่อหลายด้านในชีวิต เช่น การตัดสินใจ ความสัมพันธ์ อารมณ์ 

 

1. ไม่ต้องตามหาคุณค่านั้นจากใคร

ถ้าเราเห็นคุณค่าในตัวเองมากพอ เราจะไม่ต้องตามหาจากใคร เราจะไม่ต้องยอมทนอยู่กับความสัมพันธ์ Toxic เพียงเพราะอยากที่จะมีคุณค่าในสายตาคนอื่น

2. มองเห็นเป้าหมายในชีวิต

เราจะรู้ว่าเราจะทำอะไร 1 วันจะทำอะไร อาทิตย์นี้จะทำอะไร เดือนนี้จะทำอะไร  เพราะ Self-Esteem มีผลต่อแรงจูงใจและแรงบันดาลใจที่จะเผชิญกับความท้าทาย

3. มีความสามารถในการจัดการกับปัญหา

เพราะถ้าเราเห็นคุณค่าในตัวเอง เราจะตระหนักรู้ได้ว่า เรามีศักยภาพและความสามารถมากพอในการจัดการกับปัญหา สถานการณ์ และสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่ผ่านเข้ามาได้

4. ดีต่อความสัมพันธ์

พอเรารับรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง เราจะเข้าสังคมและอยู่กับคนอื่นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่ไม่ได้ไปเรียกร้องการยอมรับ เรียกร้องการเห็นคุณค่า ให้คนอื่นอึดอัด ซึ่งดีต่อความสัมพันธ์ 

 

 

Self-Esteem  VS Self-Confidence

การรับรู้คุณค่าของตัวเอง คือ การรับรู้ว่าเรามีคุณค่าในตัวเองจากการแค่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่ความมั่นใจในตัวเอง คือ การมีความกล้าในการทำสิ่งต่าง ๆ เพราะเรารู้ว่าเรามีความสามารถมากพอ 

 

นอกจากนี้ ความมั่นใจในตัวเองจะเชื่อมโยงกับการไว้วางใจในตัวเองว่าสามารถประสบความสำเร็จได้ ยิ่งมีประสบการณ์มาก ยิ่งมั่นใจมาก แต่ Self-Esteem เกิดจากประสบการณ์และความสัมพันธ์

 

Self-Esteem กับ Self-Confidence อาจไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันเสมอไป คนมั่นใจอาจสงสัยในคุณค่าของตัวเองได้ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่า เมื่อเรามั่นใจอาจช่วยเพิ่มความรู้สึกภาคภูมิใจโดยรวมได้ 

 

 

เราเป็นคน Low Self-Esteem หรือเปล่า

ลองรีเช็คตัวเองว่ามีความรู้สึกแบบนี้ไหม?

1. ขาดความมั่นใจในการเป็นตัวเองและในการทำสิ่งต่าง ๆ 

2. รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถมากพอ

3. รู้สึกว่าไม่มีใครรัก

4. กลัวการทำผิดพลาด 

5. กลัวการทำให้คนรอบข้างผิดหวัง 

ลองรีเช็คว่ามีอาการแบบนี้ไหม?

1. อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากตัวเองและคนอื่น

2. แยกตัวจากสังคม

3. ต่อต้าน ก้าวร้าว

4. จมอยู่กับปัญหามากเกินไป

5. มีอาการทางกายหรือพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

 

 

สาเหตุที่ทำให้มี Low Self-Esteem

1. ประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีต

ประสบการณ์ต่างๆ เช่น การถูกลงโทษ ถูกกลั่นแกล้ง ถูกข่มเหง หรือถูกละเลย เป็นประสบการณ์ที่รุนแรง เด็กที่เคยได้รับการกระทำเหล่านี้จะมีมุมมองทางลบต่อตัวเอง

2. ขาดความอบอุ่น ความรัก การชื่นชม และการให้กำลังใจ

การขาดพลังงานบวกที่เพียงพอ ไม่ได้รับความรักหรือเเรงเสริมที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ตัวเองดีพอ ตัวเองพิเศษ หรือตัวเองเป็นที่รัก เขาอาจจะจดจำว่าตัวเองไม่ดีพอได้

3. ล้มเหลวเกี่ยวกับการตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้อื่น

ความผิดพลาดและผิดหวังเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ แต่หลายคนกลับนำอดีตมาทำร้ายตัวเองในปัจจุบัน ซึ่งสำหรับหลายคน ความประสบความสำเร็จเชื่อมกับการมีคุณค่า 

4. เกิดจากการไม่เป็นส่วนหนึ่ง

การเป็นส่วนหนึ่งเป็นความต้องการในการเอาชีวิตรอด การแตกต่างหรือไม่เหมือนใครโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่น อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการรับรู้ถึงตัวตนของตนเอง

 

ปัจจัยภายนอก

1. เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

2. คำพูดหรือการปฏิบัติจากคนรอบข้าง

ปัจจัยภายใน

1. พันธุกรรม

2. รูปแบบความคิด 

3. การคาดหวังกับตัวเองที่มากเกินไป

4. ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากค่านิยมและความเชื่อทางสังคม

 

 

อะไรคือตัวขับเคลื่อน Low Self-Esteem

1. ความเชื่อหลักที่มีต่อตัวเราเอง : ไร้ค่า ขี้แพ้ ไม่ดีพอ

2. การสร้างกฎเกณฑ์ในชีวิตเพื่อปกป้องเราจากความเชื่อหลักของตัวเอง : ต้องใช้ชีวิตด้วยการทำให้คนอื่นพอใจ

3. พูดกับตัวเองในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ : เมื่อเราทำให้คนอื่นไม่พอใจ เราคือคนที่ล้มเหลว

4. มีการคาดการณ์เกี่ยวกับตัวเองในทางลบ : เราอาจจะถูกเกลียดหรือไม่ได้รับการยอมรับถ้าไม่สามารถทำตามที่คาดหวังได้

 

 

Low self-esteem สัมพันธ์กับพลังงาน

1. พลังงานน้อยเพราะเหนื่อยจากการพยายามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองดูมีคุณค่า

2. พลังงานน้อยเพราะเหนื่อยจากการซึมซับอารมณ์ทางลบ เช่น โกรธ เศร้า และอารมณ์อื่น ๆ ที่หนักหน่วง

 

 

ผลกระทบจาก Low Self-Esteem

1. ไม่มีความสุข

2. กลัวความล้มเหลว ไม่กล้าตัดสินใจ

3. ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า ความผิดปกติของการกิน โรคกลัวสังคม

4. นำไปสู่ภาวะต่าง ๆ ได้หลายอย่าง เช่น imposter symdrome , burnout , dead inside 

5. ส่งผลต่อสุขภาพกาย ต่อเนื่องจากการมีปัญหาสุขภาพจิต เพราะทั้งสองอย่างเชื่อมโยงกัน 

6. กระทบกับความสัมพันธ์ หลายคนจะแยกตัว ทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ใกล้ชิดสนิทกันเหมือนเดิม

 

 

วิธีการก้าวข้าม Low Self-Esteem

1. ลดการเปรียบเทียบ

2. ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ สร้างแรงจูงใจ

3. ไม่เอาบรรทัดฐานคนอื่นมาตัดสินตัวเอง

4. ระบุความเชื่อลบๆ เกี่ยวกับตัวเองออกมา แล้วถามตัวเองใหม่

5. เขียนสิ่งดี ๆ เกี่ยวกับตัวเอง และเขียนสิ่งดี ๆ ที่คนอื่นพูดถึงเรา

6. ยอมรับในตัวเอง ไม่ต้องพยายามจะทำอะไร ไม่ต้องพยายามจะเป็นใครสักคนก็ได้

7. พาตัวเองไปอยู่กับคนที่เห็นคุณค่าของเรา รักเราในแบบที่เราเป็นจริง ๆ ปล่อยคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเราออกไป

8.ออกไปทำสิ่งใหม่ อาจทำให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ไปจนถึงค้นพบความสามารถ ความสนใจ ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราเอง

 

 

ก่อนที่จะเห็นคุณค่าใคร อย่าลืมที่จะเห็นคุณค่าของตัวเอง 🙂

 

 

ที่มา :

11 Signs of Low Self-Esteem

What’s the Difference between Self-Esteem and Self-Confidence?

Low Self-Esteem

Raising Low Self-Esteem

Genetic and environmental factors affecting self-esteem from age 14 to 17: a longitudinal study of Finnish twins

พลังงานน้อย เพราะเป็น HSP-Highly Sensitive Person

 

ในยุคที่สิ่งแวดล้อมกระทบเราตลอดเวลา ไหนจะฝนฟ้าอากาศ,คน,ข่าวข้อมูล อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด ขนาดคนที่ไม่ได้มีภาวะนี้ยังอาจจะรู้สึกเหนื่อยด้วยซ้ำ 

 

Sensitive ก็คือ อ่อนไหว Sensitive Person คนที่อ่อนไหวง่าย เจ้าอารมณ์ เจ้าน้ำตา Highly Sensitive​ Person คืออะไร มีอะไรที่อ่อนไหวกว่า sensitive person ด้วยเหรอ…

 

Highly อย่างสูงหรืออย่างมาก รวมกันก็เป็น คนที่อ่อนไหวอย่างมาก ขอเรียกว่า คนที่อ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษ 

 

 

รู้จัก Highly Sensitive Person

สารบัญ

Highly Sensitive​ Person คือ คนที่อ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด เหมือนกับ Introvert และ Extrovert ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคลิกภาพ

 

หนังสือ “The Highly Sensitive Person” โดย Dr Aron เขาอธิบาย HSP ด้วยอักษร 4 ตัวคือ D.O.E.S.  

D = depth of processing หมายถึงระบบประสาท สามารถ process สิ่งที่มากระตุ้นได้อย่างลึกเป็นพิเศษ

O = overstimulation เป็นผลจาก D depth of processing นั่นคือ เป็นคนที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าได้ง่ายและแรงกว่าคนทั่วไป

E = emotional reactivity and empathy เป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวมากกว่าคนส่วนใหญ่

S = sensitive stimuli มีความอ่อนไหวต่อ เสียง กลิ่น แสง การสัมผัส เป็นพิเศษ

 

Concept หลักของ Highly Sensitive Person  คือ การไวต่อสิ่งแวดล้อม ในหมวด S = sensitive stimuli ประสาทสัมผัสทั้ง 5 จะไวต่อ เสียง กลิ่น แสง การสัมผัส

 

อีกอย่างหนึ่ง คือ จะไวต่อ Social Stimuli ด้วย คือ เสียง และ สีหน้าท่าทางของคนรอบข้างนั่นเอง ซึ่งความไวต่อสิ่งแวดล้อมนี้

 

คน ๆ นั้นไม่ได้ตั้งใจจะสนใจทุกรายละเอียดรอบตัว แต่เป็นเพราะธรรมชาติของร่างกายที่แตกต่างจากคนอื่น

 

HSP vs คนทั่วไป

Highly Sensitive​ Person แตกต่างจากคนทั่วไปตรงที่

1. เซลล์เซลล์ระบบประสาทส่วนการรับรู้ของ Highly Sensitive Person มีความ Active มากกว่า ทั้งที่มีจำนวนเซลล์เท่ากันกับคนอื่น

2. “mirror nueron” หรือประสาทส่วนที่รับรู้พฤติกรรมของคนรอบข้าง ก็มีความ active มากกว่า คือสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของคนรอบข้างได้ลึกซึ้งและรวดเร็ว

3. ในสมองของ HSP ส่วน ventromedial prefontal cortex ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับ process อารมณ์ มีการทำงานที่ intense กว่าคนทั่วไป ทำให้ HSP มองเห็นสิ่งธรรมดาในสายตาคนอื่น ให้กลายเป็นสิ่งพิเศษขึ้นมาได้

เช่น ฟังเพลงแล้วซึ้งจับใจ ดูหนังแล้วอินจนร้องไห้

 

การทำงานของสมองและระบบประสาทที่แตกต่างจากคนอื่นนี่แหละ ที่ทำให้มีลักษณะต่าง ๆ เกิดขึ้นได้หลายอย่างเลย เช่น 

 

Highly Sensitive Person ควรเป็นที่รู้จัก 

Highly Sensitive Person  การแสดงออกของบางคนอาจจะเป็น การร้องไห้ง่าย เรื่องบางเรื่อง แค่นี้เอง ต้องร้องไห้เลยหรอ

 

หรืออาจจะเป็นเหนื่อยจนต้องการอยู่คนเดียว การแยกตัวนี้คนอื่นอาจจะมองว่าแปลกแยกได้ ทำไมเขาอยู่คนเดียว ทำไมเขาไม่มีเพื่อน เขานิสัยไม่ดีหรือทำอะไรใครรึเปล่า 

 

“มันซีเรียสกว่านั้น ถ้าคนไม่รู้จัก ไม่เข้าใจในภาวะนี้”

 

แต่ถ้าสังคมรู้จักภาวะนี้มากขึ้น จะช่วยลดการตัดสินกันและกันไปได้เยอะมากเลย เรารับได้ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะรับได้

 

เพราะมีหลายปัจจัยเลยที่ทำให้ทุกคนแตกต่างกัน อย่าง HSP ที่พูดถึงกันเป็นเรื่องของการทำงานของสมองและระบบประสาท

 

อยากให้คนที่เป็น HSP ได้ทำความเข้าใจกับตัวเองด้วย บางทีเขาอาจจะมองว่าที่เป็นอยู่มันผิดปกติ แปลกแยก ฉันอ่อนแอ อ่อนไหวเกินไป

 

แต่การที่เราได้รีเช็คตัวเองและทำความเข้าใจ HSP ก็อาจจะทำให้เราได้มองตัวเองใหม่ด้วย

 

ข้อเสีย Highly Sensitive Person

1. เสียสมาธิได้ง่าย

ด้วยความที่แบบเราไวต่อสิ่งเร้ารอบตัวแบบมาก ๆ ถ้าเราต้องอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นเราจะเสียสมาธิได้ง่ายมาก ถ้าต้องทำงานท่ามกลางคนเยอะ ๆ เสียงดังต้องฝืนตัวเอง ก็อาจจะทำให้หงุดหงิด ปวดหัว 

 

2.ถูกมองว่าเก็บตัว ขี้อาย (บางครั้งถูกว่าเป็น Introvert) ปัญหาเยอะ ข้อจำกัดเยอะ

อันนี้คือคิดว่าหลายคนต้องเจอแน่ๆแหละ แต่เอาจริง Extrovert เองก็เป็น HSP ได้  ถึงจะดูร่าเริง เข้าหาคนเก่ง พูดเก่ง กล้าแสดงออก แต่เขาก็ต้องการเวลาส่วนตัวเช่นเดียวกัน

 

3.เกิดความเครียดความวิตกกังวลได้ง่าย

4.ต้องใส่ใจดูแลการใช้ชีวิตตัวเองเยอะกว่าคนอื่น (จัดสภาพแวดล้อม)

 

ข้อดี Highly Sensitive Person

1.Creative

HSP จะมีความครีเอทีฟมากกว่าคนทั่วไป เพราะอย่างที่บอกไปว่าเขาจะฟังเพลงได้ลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป ดูหนังเเล้วอินสุด ๆ เพราะเหตุผลตรงนี้แหละทำให้เขาค่อนข้างเข้าถึงอะไรที่ต้องใช้อีโมชันนอลมาก ๆ จินตนาการสูง

 

2. ละเอียดอ่อน รอบคอบ

Depth processing ที่สามารถ process สิ่งที่มากระตุ้นได้อย่างลึกเป็นพิเศษทำให้คนคิดลึก Critical thinking ละเอียดอ่อน ไม่ด่วนสรุป เข้าใจอะไรสักอย่างแบบลึกซึ้ง 

 

3.ไวต่อสิ่งที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมหรือบุคคล

4.ไวต่อความรู้สึกคนรอบข้าง ทำให้เข้าใจคนรอบข้างได้ดี การใช้จุดนี้ของตัวเองในการเอาใจใส่คนที่เรารักและรักเรามากขึ้น อาจจะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นกว่าเดิม

 

การโฟกัสที่ข้อดีของการเป็น HSP ด้วยสำคัญมาก ไม่อยากให้เศร้ากันเกินไปว่า เห้ย ร่างกายมันเป็นของมันเอง ควบคุมไม่ได้

 

เราจะทำอะไรไม่ได้เลยหรอเนี่ย อยากบอกว่า ไม่เป็นไรนะ เพราะการเป็น HSP มีข้อดีเหมือนกัน

 

รีเช็คตัวเอง

นักจิตวิทยาจะสร้างคำถามที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจะประมวลผลโดยพิจารณาจากคำตอบโดยเฉลี่ย ยกตัวอย่างคำถามใน Self-test นั้น

 

เช่น คุณจะไวต่อแสง สีกลิ่น ,คุณตกใจง่าย ,ความรู้สึกของผู้คน มีผลต่อเรา,รำคาญเสียงดัง เสียงรบกวน ประมาณนี้ค่ะ ถ้าสนใจสามารถเข้าไปลองได้ เว็บ hsperson ของไทยเองก็มีเช่นกัน

 

อีกอย่าง คือ สามารถศึกษาเกี่ยวกับอาการได้เลย ถ้าเราพบว่าเราเป็นแบบนั้นซะจนกระทบกับชีวิตประจำวัน อาจจะต้องปรึกษาหมอขอความช่วยเหลือ

 

เป็น Highly Sensitive Person อย่างไรให้มีความสุข

เราต้องรู้จักข้อจำกัดของตัวเอง ว่าเราไวต่อสิ่งไหนเป็นพิเศษ แสง สี กลิ่น และออกแบบชีวิตของตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่ตัวเองเป็น

 

เช่น ไวต่อแสง ก็ลองปรับสภาพแวดล้อมในเซฟโซนของตัวเองให้เหมาะกับเรา เพราะ Key point คือ หา “Down Time” ให้ตัวเอง เวลาส่วนตัว ที่เราจะได้อยู่กับสิ่งที่เราสบายใจ ไม่มีสิ่งเร้าเหล่านั้นมากระตุ้น

 

ช่วง Down Time ตรงนี้ เราอาจจะคิดอะไรที่มันสร้างสรรค์ออกมาได้ และยังได้พักตัวเองอยากสิ่งกระตคุ้นภายนอกเวลาที่เราเข้าสังคม เพราะเอาเข้าจริง สิ่งเหล่านั้นมันห้ามได้ยากมาก

 

การจำกัดสิ่งแวดล้อมสำคัญ เพราะถ้าเราปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ กระทบเราไม่หยุดไม่หย่อน เราจะเหนื่อยและพลังงานน้อยจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น ปิด notification โทรศัพท์ตอนนอน

 

 

Highly Sensitive​ Person ไม่ใช่ความผิดปกติ แต่เป็นเรื่องบุคลิกภาพ เราหาอะไรที่เหมาะกับเรา ทั้งสภาพแวดล้อม และสังคม ส่วนจุดไหนที่เรารู้สึกว่ามันคือข้อบกพร่อง

 

อยากแก้ไข ก็ค่อยๆ แก้ไปทีละนิดๆ ถือเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพไปในตัว 🙂

 

อ้างอิง

What is a highly sensitive person?

Why Highly Sensitive People Have ADHD

เจาะไจออนไลน์

What Is a Highly Sensitive Person (HSP)?

หลังอยู่ในสถานที่มืดเป็นเวลานาน…ควรปรับการทำงานของดวงตาอย่างไร?