Posts

การโกหกที่เราได้ยินกันมาเชื่อว่าพอพูดคำว่าโกหกใคร ๆ ก็คงไม่ชอบ แต่จะมีการโกหกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า การโกหกสีขาว หรือว่า White Lies การโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจนั้นเอง 

 

White Lies การโกหกสีขาว 

เป็นการพูดเพื่อหวังให้เกิดสิ่งดี ๆ กระชับความสัมพันธ์แก่สังคมรอบตัว คนรัก เพื่อน ทุก ๆ ความสัมพันธ์ หรือโกหกเพื่อให้สบายใจคนรอบข้างนั้นเอง แต่เป็นการพูดที่มีจุดประสงค์ไปในทางที่ดี 

 

Cambridge Dictionary ได้ให้ความหมายของ White Lies ว่า “เป็นการโกหกที่บอกเพื่อเป็นมารยาทหรือโกหกเพื่อหยุดใครสักคนไม่ให้เสียใจจากความจริง”

 

ที่จะเห็นในประโยคบ่อย ๆ คือ Little white lies ที่แปลว่า การโกหกเล็กๆน้อยๆ นั่นอาจจะหมายความว่า White Lies ใช้ได้กับเรื่องเล็กน้อย ที่ไม่ได้สำคัญหรือกระทบกับอะไรมากนัก 

 

ข้อมูลจาก apa เป็นบทความงานวิจัยเกี่ยวกับ White Lies

งานวิจัยนี้ได้แบ่ง White Lies ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

1. Altruistic White Lies 

ประเภทการโกหกแบบเห็นแก่ผู้อื่น เป็นการโกหกในเรื่องที่มีความสำคัญน้อยที่สุด ใช้บอกเพื่อปกป้องอีกฝ่ายอาจจะแลกกับราคาที่ต้องจ่ายของคนที่โกหก

 

เป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ที่จะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น โดยการสร้างกันชนขึ้นเพื่อปกป้องอีกฝ่ายจากผลกระทบที่มาจากความจริงที่เป็นอันตรายถึงแม้จะค่อนข้างน้อย

 

เป็นเหมือนการสร้างภาพลวงตาต่อความสัมพันธ์ในเชิงบวกที่มีความเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจในความสัมพันธ์

 

2. Pareto White Lies 

ประเภทที่โกหกเพื่อช่วยทั้งคนอื่นและผู้ที่โกหก แต่ผู้ที่โกหกส่วนใหญ่มักจะมีความลังเลที่จะใช้ Pareto White Lies แสดงให้เห็นถึงการเกลียดชังการโกหกอย่างแท้จริง

 

โดยไม่ขึ้นอยู่กับความพอใจส่วนรวม สำหรับผลลัพธ์ที่จะได้จากการโกหก แต่ผู้โกหกเต็มใจที่จะเลือกใช้ Altruistic White Lies แม้ตัวเองจะเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย แต่ช่วยเหลือคนอื่นอย่างมาก

 

โกหก กับ White Lies ?

White Lies แตกต่างจาก การโกหก White Lies มักถูกอธิบายว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น โกหกเพื่อรักษามารยาทและกระชับความสัมพันธ์ เป็นการบิดเบือนความจริงเพียงเล็กน้อย

 

เช่น การที่คนรักถามเราว่าเขาดูอ้วนขึ้นไหม ซึ่งจริง ๆ คนถามอาจจะรู้ตัวแล้วแต่อยากได้รับความมั่นใจจากคนรัก 

 

แต่การโกหกที่แท้จริงมักเป็นเจตนาที่ผู้พูดเห็นแก่ตัว เอาตัวรอด และจะเป็นคำโกหกที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันคิด และเป็นคนโกหกที่ไม่เป็นความจริง

 

การโกหกมักจะให้ประโยชน์กับคนโกหก แต่กลับกันคนที่ White Lies จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลที่ถูกโกหกในความสัมพันธ์

 

การโกหกจะเป็นการเพิ่มผลตอบแทนของคนโกหกโดยที่คนอื่นต้องเสียไป แต่คนที่เลือกใช้ white lies ส่วนใหญ่จะเป็นการทำเพื่อคนอื่นโดยที่ตัวเองก็อาจจะได้รับผลกระทบอะไรสักอย่าง

 

ทำให้เห็นว่าการโกหกในรูปแบบต่างๆมีความสัมพันธ์กับ สิ่งจูงใจ การเกลียดการโกหก (Lying Aversion) และความพึงพอใจในผลลัพธ์ที่ได้

 

7 ประเภทการโกหก จาก Sintelly

 

1. โกหกหน้าตาย (Bold-Faced Lie)

การโกหกในรูปแบบนี้เป็นการโกหกทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคนอื่นรู้ว่าตัวเองโกหก เช่น โกหกเด็ก ๆ ว่าช็อคโกแลตไม่ดี แต่ตัวเองก็กิน

 

2. ผิดสัญญา (Broken Promises) 

การผิดสัญญาหรือการไม่รักษาคำมั่นสัญญาจะสร้างความเสียหายมากขึ้นเมื่อบุคคลที่สัญญาบางอย่างไม่ได้คิดที่จะรักษาคำพูดของตัวเองตั้งแต่แรก

 

3. โกหกแบบปั้นน้ำเป็นตัว (Lie of Fabrication)

การโกหกในรูปแบบนี้คือการโกหกหรือพูดในสิ่งที่เราไม่มั่นใจว่าเป็นความจริงหรือไม่ แน่นอนว่านั่นอาจจะเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น แต่สามารถสร้างความเสียหายให้กับบุคคลที่ถูกกล่าวถึงได้

 

4. โกหกหลอกลวง (Lies of Deception)

พยายามที่จะสร้างความประทับใจที่อาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิด โดยการสร้างเรื่องที่ไม่จริงหรือบอกความจริงไม่หมด

 

5. โกหกเกินจริง (Lying in Exaggeration)

การปรุงแต่งความเป็นจริงด้วยการโรยคำโกหกไปผสมกับความจริงให้น่าประทับใจ

 

6. การลอกเลียนแบบ (Plagiarism)

หรือการขโมยความคิด คือการขโมยและโกหกไปพร้อมๆกัน สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการ Copy ผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเอง

 

7. โกหกสีขาว (White Lies)

การโกหกสีขาวบางครั้งถือว่าร้ายแรงน้อยที่สุดจากการโกหกทั้งหมด แต่คำโกหกเล็กๆ น้อยๆ จำนวนมากสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งได้ เนื่องจากคนที่ใช้ White Lies สามารถดูน่าเชื่อถือน้อยลง

เหตุผลหลักของ White Lies มีอยู่ 2 เหตุผล คือ

1. เพราะไม่ต้องการทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่าย

2. เพราะต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

 

บทความจาก Romper: 7 White Lies It’s Necessary To Tell To Keep Your Relationship Healthy จำเป็นต้องใช้เพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้เเข็งแรง

 

เรื่องที่ไม่ควร White Lies

 

ผลเสีย White Lies

Three Reasons Why White Lies Are The Worst Solutions To Your Problems บทความจาก Forbes

1. การโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจจะนำไปสู่การโกหกบ่อย ๆ ได้ง่ายขึ้น มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนข้อนี้ด้วย

 

การศึกษาใน Nature Neuroscience เสนอว่าการโกหกเรื่องไม่สำคัญทำให้สมองส่วนต่าง ๆ ของเรารู้สึกไม่สบายใจเมื่อเราโกหก

 

2. การโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจจะกระทบต่อชื่อเสียงหรือความน่าเชื่อถือ

 

3. มีทางเลือกที่ดีกว่าการโกหกเล็กๆน้อย

การโกหกเรื่องที่ไม่สำคัญเป็นเรื่องง่าย แต่มีวิธีที่สร้างสรรค์ในการพูดความจริงและให้เกียรติในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างที่เขายกมาเป็นเรื่องของเค้กผลไม้โฮมเมดที่เพื่อนร่วมงานเอามาให้เรา

 

เราบอกเขาว่า “มันอร่อยมากเลย” แม้ว่าหลังจากนั้นเราจะทิ้งเค้กลงถังขยะก็ตาม เราอาจจะให้เหตุผลว่า จะพูดความจริงไปทำไมทั้งที่มันจะทำร้ายอีกฝ่าย

 

แต่อีกแง่นึงก็สามารถพูดประมาณว่า “ดีใจจริงๆ ที่คุณให้เค้กผลไม้โฮมเมด” หรือ “ขอบคุณที่นึกถึงกันนะ”

 

ทางออกที่ดีกว่าการ white lies

 

สิ่งนึงที่คิดว่าสำคัญมาก ๆ คือการสำรวจให้ลึกลงไปว่า เหตุผลเบื้องหลังการโกหกของเราคืออะไรกันแน่ เราโกหกเพื่อตัวเขาหรือเพื่อตัวเราเอง ถ้าเราเข้าใจตรงนี้

 

เราเองคงชั่งน้ำหนักกับตัวเองได้ว่า เราจะใช้ white lies หรือเลือกที่จะบอกความจริง การ white lies ผลลัพธ์จะจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของเราด้วย

 

ถามตัวเองว่าในเมื่อเราเลือกที่จะโกหกไปแล้ว เราจะสามารถยอมรับผลในระยะยาวถ้าความจริงปรากฎขึ้นมาได้ไหม และก่อนที่จะทำการ โกหกสีขาว

 

อาจจะต้องพิจารณาก่อนว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงหรือเปล่า เพื่อให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น

 

 

Types of Lies and Liars

What Is a White Lie?

White Lies vs. Real Lies

7 Seemingly Harmless White Lies That Can Actually Ruin Your Relationship

Are White Lies OK in Romantic Relationships?

Three Reasons Why White Lies Are The Worst Solutions To Your Problems

รู้สึก ” เหนื่อยจากโรคซึมเศร้า ” แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยากที่จะลุกขึ้นไปทำ เราจะออกจากความรู้สึกนี้อย่างไร? รับมืออย่างไรในวันที่รู้สึกเหนื่อยจากภาวะซึมเศร้า?

 

เหนื่อยจากโรคซึมเศร้า ไม่มีแรงจูงใจ ไม่มีพลัง

เพราะอะไรซึมเศร้าถึงทำให้เราเหนื่อย

อาการซึมเศร้ามีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาท สารสื่อประสาทมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับพลังงาน การนอนหลับ ความอยากอาหาร แรงจูงใจ ความสุข

 

เมื่อสารเคมีในสมองเปลี่ยนแปลงไป แรงจูงใจจึงลดลง จากคนที่เคยร่าเริง จะไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม ทำไปแปปเดียวเหนื่อย หมดแรง ไม่อยากทำต่อ ไม่เอนจอยเหมือนที่เคย

 

เหนื่อยจากโรคซึมเศร้า คืออะไร

ข้อมูลจาก Psych2go กล่าวไว้ว่า ภาวะเหนื่อยจากโรคซึมเศร้า (Depression tiredness) จะมีลักษณะ ดังนี้ 

1. เป็นความรู้สึกเหนื่อยจากการพยายามต่อสู้กับความคิดลบ ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่สำคัญ

2. เป็นมากกว่าความรู้สึกเหนื่อยทั่วไป เพราะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง 

3. ไม่ใช่การขี้เกียจ หรือ การผัดวันประกันพรุ่ง แต่เป็นการที่รู้สึกหมดแรงจูงใจ ในระดับที่ลึกและรุนแรงกว่า

4. ที่สำคัญ คือ ความรู้สึกเหนื่อยนี้ จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าการจะหนีจากโรคซึมเศร้าดูไม่มีทางเป็นไปได้เลย

 

อาการ เหนื่อยจากโรคซึมเศร้า

1. รู้สึกว่าการทำเรื่องเล็ก ๆ เป็นเรื่องที่ยากมาก เช่น ลุกจากเตียง 

2. รู้สึกเหนื่อยกับการมีชีวิตอยู่แบบที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตอยู่ 

3. ไม่มีความสุขในการทำอะไรเลย แม้แต่สิ่งที่เคยชอบหรือสิ่งที่เคยทำให้มีความสุข

4. รู้สึกเหนื่อยที่จะต้องฝืนยิ้ม แสดงออกว่าตัวเองมีความสุข ทำให้สุดท้ายแล้วจะหลีกเลี่ยงการเจอผู้คน

 

เหนื่อยจากโรคซึมเศร้า ต่างจากความเหนื่อยล้าอย่างไร

1.  ความเหนื่อยล้าเป็นภาวะทางร่างกาย เหนื่อยจากโรคซึมเศร้าเป็นภาวะทางสุขภาพจิต

2. เมื่อต้องการทำสิ่งต่าง ๆ คนที่มีความเหนื่อยล้าจะขาดพลังงานในการทำ แต่คนที่เหนื่อยจากโรคซึมเศร้าจะขาดแรงจูงใจในการทำ

3. ระยะเวลาฟื้นฟูแตกต่าง ถ้าเหนื่อยล้า พักผ่อนจะดีขึ้นและสามารถทำกิจกรรมได้เช่นเดิม แต่เหนื่อยจากโรคซึมเศร้า จะรู้สึกเหนื่อยถึงแม้จะพักผ่อนแล้ว

4. สาเหตุแตกต่าง เหนื่อยจากโรคซึมเศร้าเป็นเรื่องของสารสื่อประสาท แต่เหนื่อยล้าเป็นเพียงภาวะหนึ่งที่ตอบสนองต่อ ความเครียด ความเบื่อหน่าย การออกแรง การขาดการพักผ่อน 

 

เหนื่อยจากโรคซึมเศร้า รับมืออย่างไร

1. เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้ดี

2. เคลื่อนไหว ออกกำลังกาย

3. ปรับการกิน อาหารที่ดีจะทำให้มีพลัง

4. ปรับสุขอนามัยในการนอนหลับและฝึกนิสัยการนอนที่ดี

5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ถ้าหากไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง

 

อยากใช้ชีวิตแบบมีพลังงาน ทำอย่างไร

1. พักผ่อนให้เพียงพอ

2. กำหนดสิ่งที่จะทำในวันนั้น เพื่อสร้างแรงจูงใจ

3. ทำตามสิ่งที่จะทำในวันนี้ให้สำเร็จ สร้างความหวังว่าจะต้องดีขึ้น

4. พูดคุยกับคนรอบข้าง เพราะการ support อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ดีขึ้นได้

5. เป็นตัวของตัวเอง แสดงออกถึงสิ่งที่เป็นตัวเอง โดยคำนึงถึงคนรอบข้าง ไม่ทำถ้าสิ่งนั้นสร้างความเดือดร้อน

 

การที่เราเป็นโรคซึมเศร้าหรือจะเหนื่อยจากโรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องผิด ไม่จำเป็นต้องฝืนยิ้มในวันที่รู้สึกเศร้า อย่าลืมดูแลตัวเองและพักผ่อนให้เพียงพอกันนะคะ 🙂

 

How to Fight Depression Fatigue

Depression Tiredness – What is it ?

Why Depression Makes You Tired and How to Deal with Fatigue

 

ต้นเดือนดีใจ กลางเดือนเริ่มเศร้า ต้นเดือนใช้เงินอย่างราชา สิ้นเดือนกินมาม่า ใช้เงินคลายเครียด จนตัวเราเครียดเพราะคำว่าของมันต้องมี

 

เงินซื้อได้แม้กระทั่งความสุข

อาจจะเป็นคำถามที่หลายคนมีความเห็นต่างกัน อยู่ที่ปักเจกบุคคล แต่เงินสามารถใช้คลายเครียดได้จริง ๆ Retail Therapy (Retail) การค้าขาย (Therapy) การบำบัด คือการที่เราใช้เครื่องมือการค้าขายเพื่อบำบัดตัวเอง

 

เมื่อเราเกิดความรู้สึกไม่พอใจ ความรู้สึกเครียด เวลาที่ใช้เงินเราจะรู้สึกถึง Power เราสามารถจับจ่าย จับจอง ของที่เรา Need ได้

 

โดยมีเงินเป็นตัวกลาง เราสามารถควบคุมพื้นฐานที่เป็นตัวกลางของเราได้ ควบคุมในสิ่งที่เราต้องการได้

ถ้าเราใช้เงินมากเกินไป 

มีศัพท์เฉพาะของสายช้อป Shopaholic คือ การที่เราทำอะไรเยอะเกินไป เกินความจำเป็น เกินความอยากได้อยากมีที่ไม่มีขีดจำกัดก็จะเกินผลเสียกับเรา ความเครียด ท้อ รายจ่ายไม่พอ ในระยะยาวจะกลายเป็นผลร้ายได้

 

ระลึกไว้เสมอว่าทุก ๆ การกระทำจะมีผลกระทบเสมอ ถ้าเรารับมือไม่ได้เราต้องมาคิดว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไรกับการใช้จ่ายที่เกินรายได้ของเรา และอาจจะทำให้ ทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเมื่อเราไปหยิบยืม

สัญญาณการใช้เงินเกินไป 

พอเราซื้อของเรามักจะลืมทั้งเรื่องดีและไม่ดีในหัวของเรา เพราะเราสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พอเราไม่ได้สนใจ ทำให้เราไม่ได้ตระหนักว่าเรากำลังใช้จ่ายเกินพอดี หลังซื้อแล้วมีความรู้สึกว่าไม่น่าซื้อมาเลย

 

เวลาได้ใช้เงินแล้วรู้สึกเหมือนเป็นผู้คุมเกม 

เราจัดการ Personal Control ไม่ได้ ทำให้เราใช้เงินเป็นตัวกลางในการจัดการกับความเครียด เพราะเหมือนเราเป็นนายตัวเอง เราสามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ ทำให้ลืมความเครียด

 

วิธีใช้เงินให้น้อยลง

นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ นอนเท่าไหร่ก็ยังอ่อนเพลีย เพราะเรากำลัง ” ติดหนี้การนอน ” อยู่หรือเปล่า? ติดหนี้การนอนคืออะไร? เราจะรับมืออย่างไรดีเพื่อให้มีพลังงานในการใช้ชีวิต?

 

นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอเพราะติดหนี้การนอน

รู้จัก ติดหนี้การนอน

ติดหนี้การนอน หรือ Sleep debt เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อใช้ชีวิตเกินขีดจำกัด ไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอติดต่อกันหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน ยิ่งนอนน้อยเท่าไหร่ยิ่งติดหนี้เท่านั้น 

 

ตัวอย่างจาก WebMD อธิบายไว้ว่า หากร่างกายคุณต้องการนอน 8 ชั่วโมง แต่คุณนอน 4 ชั่วโมง ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ 1 สัปดาห์เท่ากับว่า คุณติดหนี้การนอนอยู่ 4 ชั่วโมง x 7 วัน = 28 ชั่วโมง

 

แต่ปริมาณการนอนไม่ได้บ่งบอกว่าจะติดหนี้การนอน เพราะแต่ละคนต้องการเวลาในการนอนแตกต่างกัน บางคน 6 ชม. บางคนมากกว่า ทำให้ตัดสินไม่ได้ว่าอดนอนกี่ชั่วโมงจะติดหนี้การนอน

 

 

ภาวะที่เกี่ยวข้องกับ ติดหนี้การนอน

1. นอนดึกเพื่อล้างแค้น (Revenge Bedtime Procasination)

ไม่ยอมนอนเพราะอยากใช้เวลาเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่มีเวลาทำในช่วงกลางวัน  

2. นอนไม่หลับ (Insomnia) 

เกี่ยวข้องกันตรงที่นอนไม่หลับอาจทำให้ติดหนี้การนอนได้ เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ 

 

 

สาเหตุ 

1.  เป็นปัญหาของวัยทำงาน

เพราะต้องทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน (multitask) และต้องใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ (productive) 

2. ทำกิจกรรมมากจนเกินไป

คติ “work hard, play harder” บางคนทำกิจกรรมมากจนเกินไป เช่น ปาร์ตี้สังสรรค์ ดูซีรี่ส์ เยอะเกินไป 

3. ใจอ่อนกับตัวเอง

ใจอ่อนว่า อยากดู ดูไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ข้อดีคือกิจกรรมเหล่านี้ฮีลใจ แต่ข้อเสียคือตื่นมาไม่สดชื่น

4. ไลฟ์สไตล์

ไลฟ์สไตล์บางคนติดเกม บางคนติดชา ที่มีสารทำให้นอนหลับได้ยาก ฯลฯ อาจทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ

5. ความเครียด

เพราะพอเครียด มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ การคิดมาก จะทำให้นอนหลับได้ยาก พักผ่อนไม่เพียงพอ

6. นาฬิกาชีวภาพ

การปรับไลฟ์สไตล์อย่างไม่สอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพ อาจทำให้สุขภาพแย่ ประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตลดลง จนส่งผลให้นอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ

7. ความคิดว่า “เวลามีค่า”

เวลามีค่าแต่สุขภาพก็มีค่าเช่นกัน การพักผ่อนจึงสำคัญ ควรนำไปจัดสรรในเวลาชีวิตด้วย เพราะถ้าเราไม่พักผ่อน เราจะไม่มีแรงไปทำสิ่งต่าง ๆ ที่เราอยากทำ

 

 

ผลกระทบ 

1. อารมณ์ไม่ปกติ หงุดหงิดง่าย เพราะตื่นมาแล้วไม่สดชื่น 

2. พลังงานน้อย ทำอะไรหรือคุยกับใครจะรู้สึกเหนื่อยได้ง่าย

3. มีอาการทางร่างกาย เช่น ไม่สดชื่น เคลื่อนไหวช้า เมื่อยหน้า ปวดตา 

4. สมองทำงานได้ไม่เต็มที่ รู้สึกว่าสมองไม่ปลอดโปร่ง ยากที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์

5. มีความเสี่ยงในหลายด้าน เช่น โรคเบาหวาน โรคทางจิตเวช น้ำหนักขึ้น ความจำไม่ดี

 

 

ติดหนี้การนอน จัดการอย่างไร

1. พยายามกลับมานอนและตื่นในเวลาปกติ

2. หากระหว่างวันง่วง ลองงีบสัก 15-20 นาที 

3. จัดตารางชีวิตให้กับการพักผ่อนที่เพียงพอ

4. ใช้หนี้การนอน ให้ตัวเองพักผ่อนให้เพียงพอ

 

เมื่อพักผ่อนเพียงพอ จะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ และใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคนสามารถเป็นคนพลังงานที่มีความสุขได้ อย่าลืมดูแลตัวเองนะคะ 🙂

 

what-is-sleep-debt

Sleep Debt and Catching up on Sleep

Sleep Debt: Can You Ever Catch Up?

นาฬิกาชีวิตของแต่ละคน เหมือนกันหรือไม่ ?

 

 

ความคิดเป็นสิ่งที่เราห้ามได้ยาก บางทีเราก็คิดบวก แต่ส่วนใหญ่ของคนเรามักจะชอบมี คิดลบ กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว

 

ความ คิดลบ เป็นอย่างไร 

คิดลบ คือ การคิดทางลบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการมองโลกในแง่ร้าย มองตัวเองในแง่ลบ บั่นทอนจิตใจตัวเอง เหมือนว่าโลกกลายเป็นสีดำทั้งหมด เมื่อเราคิดลบจะส่งผลร้ายต่อความคิดของเรา

 

เราจะหาข้อติของทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวต่อให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ตาม เป็นความคิดที่ทำให้เราหมดกำลังใจและอาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วย 

 

คิดบวกคืออะไร

การคิดบวก คือ ไม่ว่าจะอยู่สถานการณ์ไหนจะมองหาข้อดี สิ่งที่ดีในสถานการณ์นั้น มองหาจุดที่มันสามารถแก้ไขปัญหาจากสิ่ง ๆ นั้นได้ และต้องคิดตามพื้นฐานความเป็นจริงด้วย

 

ทำไมคนชอบ คิดลบ มากกว่าคิดบวก

กลไกลของสมองจะจูงความคิดลบได้ง่ายกว่าความคิดบวก เพราะการคิดลบจะทำให้สมองเราคิดเรื่องในแง่ร้ายก่อน

 

เช่น ถ้าเราทำไม่ได้จะทำอย่างไรดี แต่การคิดในแง่ร้ายก็มีข้อดีทำให้เราระมัดระวัง มีแผนสำรองเมื่อสถานการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้น

 

สมองส่วน อะมิกดะลา (Amygdalae) จะทำหน้าที่คอยเตือนภัย เฝ้าระวังอันตราย เป็นสมองในส่วนปกติของมนุษย์ที่ทำหน้าที่คอยระวังเวลาเจอสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ไม่สามารถคาดเดาได้

 

ทำไมคนชอบบอกให้เลิกคิดลบ

 

คิดลบเป็นเรื่องธรรมชาติจริงไหม?

คิดลบเกิดขึ้นอยู่กับสิ่งที่หล่อหลอมเรามา ประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต เช่น ถ้าเราอยู่ในครอบครัวที่คิดลบเราจะซึมซับและโตมากลายเป็นคนคิดลบได้

 

หรือเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องสู้ชีวิตแล้วชีวิตสู้กลับทำให้กลายเป็นคิดลบได้ 

 

คิดลบ มีข้อดีไหม?

ทำให้มีแผนสำรองเมื่อเกิดสถานการณ์ตรงหน้ากลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่ดี แต่เราก็ควรมีความคิดด้านบวกและด้านลบที่พอดี คิดในความเป็นจริงและเป็นไปได้

 

อยากเลิกคิดลบเพื่อเข้ากับสังคมทำได้ไหม?

หลาย ๆ คนอาจจะเลิกยาก ต้องค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนมุมมอง ลองหาสิ่งที่ดี ลองเปลี่ยนเป็นด้านบวก การเปลี่ยนก็เหมือนการมุมมองของเรา

 

คิดบวกหรือโลกสวย

คนทั่วไปอาจจะมองว่าสองสิ่งนี้คือสิ่งเดียวกัน แต่การบวกคิดต้องขึ้นอยู่กับความเป็นจริง คิดแบบโลกสวยจะมีความเพ้อฝันผสมเข้ามาด้วย หลายคนมักจะใช้คำว่า โลกสวย เป็นคำตัดสินเวลาที่มีคนคิดบวก

 

คิดยังไงให้มีความสุข

เราเกิดมาทำไม ? คำถามที่เรามักจะไม่ค่อยถามตัวเองอย่างจริงจัง ทำไมมนุษย์ถึงเกิดมา 

 

เราเกิดมาทำไม

 

คำตอบของคำถามนี้แต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน เพราะความหมายของการเกิดมาอยู่ที่ปักเจกบุคคลไม่มีอะไรที่ตายตัว มีทั้งในทางเชิงปรัชญา ศาสนา

 

แต่ความหมายในการเกิดมาที่จะมากล่าวถึงวันนี้คือ เราเกิดมาเพื่อที่จะทำอะไรบางอย่าง ได้โอกาสอะไรบางอย่าง หรือมีเป้าหมายอะไรบางอย่างไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ หรือยิ่งใหญ่ก็ตาม 

 

ความสุขในทางจิตวิทยา 

ในมุมของนักจิตวิทยา Well-Being สุขภาวะทางจิต คือ การไม่เจ็บไข้ได้ป่วยทางกายและใจ ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นไม่มีอะไรมาติดขัด ถ้าเราป่วยหนักมากในระยะยาวสภาพจิตใจก็จะย่ำแย่ลง

 

ถ้าเราเจ็บป่วยทางจิตใจจะส่งผลกับร่างกายได้เหมือนกัน จะเห็นได้ว่าร่างกายกับจิตใจสองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน

 

เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม 

เราไม่มีทางรู้ว่าเราเคยทำอะไรมา ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าเรามีกรรมอะไรที่ต้องแก้ พยายามให้ความสำคัญกับปัจจุบัน สุดท้ายแล้วสัจธรรมของมนุษย์คือการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

 

ทำทุกวันให้ดีเพราะถ้าปัจจุบันดีจะส่งผลให้อนาคตของเราเกิดสิ่งดี ๆ ตามไปด้วย เราจะไปข้างหน้าได้ต้องทิ้งบางสิ่งไว้ข้างหลัง ถ้าเราต้องพกอดีตไปกับเราทุกที่จะทำให้เราเดินทางในการใช้ชีวิตอย่างลำบาก 

 

เมื่อมีคำถามว่า เราเกิดมาทำไม ?

ถ้าหากว่ามีคนอื่นที่เป็นตัวแปรให้เราตั้งคำถาม เช่น คนอื่นถามว่าเราเกิดมาทำไมในเชิงที่เป็นลบ แล้วเรารู้สึกว่ามันไม่สมควร ไม่ถูกต้อง เราอาจจะต้องสู้เพื่อตัวของเราเองเพื่อไม่ให้เขามาตั้งคำถามที่ไม่ดีกับเรา 

 

แต่หากเราเกิดคำถามนี้กับตัวเอง ความหมายของชีวิตที่เราเกิดมาอยู่ที่แต่ละคนจะตามหา อาจจะเป็นสิ่งที่เราอยู่ด้วยแล้วเราสบายใจในการใช้ชีวิตก็ได้

 

อาการหมดไฟส่งผลให้เราไม่มีเป้าหมายชีวิตไหม?

อาการหมดไฟ เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เราไร้เป้าหมาย ความรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มั่นใจในความสามารถตัวเอง ไม่อยากที่จะทำในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว สิ่งเหล่านี้ผสมรวมกันกลายเป็นอาการหมดไฟได้

 

และเมื่อเรามีอาการหมดไฟในสิ่งที่เราทำในชีวิตประจำวันมีความรู้สึกอยากลาออก หรือเปลี่ยนสิ่งที่ทำอยู่จะเกิดความรู้สึกโหวงในใจ ไม่รู้ว่าถ้าเราเปลี่ยนอะไรบางอย่างในชีวิตประจำวันไปจะมีสิ่งไหนมารองรับเราไหม

 

ส่งผลให้เกิดการไร้เป้าหมาย หมด Passion ได้

 

วิธีการหาเป้าหมาย

 

คนเราจำเป็นต้องมีความฝันไหม?

การจะมีความฝันหรือว่าไม่มีความฝันไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องมี แต่อย่างน้อยที่ควรมีคือ ขั้นบันได ที่จะก้าวขึ้นไป ถึงจะเป็นก้าวเล็ก ๆ ก็สำคัญมาก ๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีความฝันตั้งแต่เกิ

 

เราสามารถใช้เวลาที่เราเผชิญสิ่งต่าง ๆ บนโลก เวลาเจอสิ่งที่ชอบเรานำสิ่งนั้นมาเป็นความฝันของเราได้

 

การตั้งคำถามกับตัวเองก็สำคัญมาก ๆ เช่น ช่วงนี้เราชอบทำอะไร อยู่กับอะไรแล้วมีความสุข การตั้งคำถามเล็ก ๆ อาจจะเป็นบันไดไปสู่คำตอบว่าเราเกิดมาทำไม 🙂

การเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่เรากำลังอยู่ในวิกฤตที่เรียกว่า ” Quarter-life crisis ” อยู่หรือเปล่า? เราจะรับมืออย่างไรในวันที่รู้สึกว่าชีวิตไม่เป็นในแบบที่เราตั้งใจ?

 

Quarter-life crisis เพราะการเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย

สารบัญ

รู้จัก Quarter-life crisis 

จากเว็บไซต์ frontiers in บทความที่มาจากงานวิจัย ให้ข้อมูลไว้ว่า Quarter-life crisis เป็นวิกฤตทางพัฒนาการอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่หรือมีอายุประมาณ 18-30 ปี มีลักษณะสำคัญ คือ 

1. เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ รู้สึกติดขัด รู้สึกว่าอยากเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง 

2. รู้สึกสับสนกับความเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง รู้สึกเหมือนตัวเองติดอยู่ตรงกลางระหว่างคำว่า “วัยรุ่น” กับ “วัยผู้ใหญ่”

 

นิยามของคำว่า Quarter-life crisis 

1. เป็นช่วงเวลาของการทำความรู้จักตัวเองและโลกใบนี้

2. เป็นช่วงเวลาที่บทบาทและความสัมพันธ์ยังไม่มั่นคง

3. เป็นช่วงเวลาที่กำลังปรับตัว พยายามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้มีอนาคตที่ดี

 

4 ขั้นของ Quarter-life crisis

จากเว็บไซต์ mindbodygreen กล่าวว่า Quarter-life crisis มี 4 ขั้น ได้แก่ 

1. the initial crisis

เป็นช่วงเริ่มต้นของวิกฤต เริ่มรู้ตัว เริ่มรู้สึกว่าตัวเองติดขัด ไม่มีจุดมุ่งหมาย สับสนในตัวเองและอนาคต 

2. the grappling 

เป็นช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก รู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกกลัวที่จะต้องใช้ชีวิตต่อ ในขั้นนี้ทำให้เกิดความพยายามที่จะต่อสู้

3. making strides 

เป็นช่วงที่พอต่อสู้กับวิกฤติไปสักระยะ ในขั้นนี้เราจะเริ่มรู้สึกว่ามีทางออก มีสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง เลยเริ่มลงมือทำ 

4. resolution 

เป็นช่วงที่เราจะรวบรวมตัวเองกลับมา แล้วเดินต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแรงขึ้น มีความมั่นใจ มีการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง และรู้สึกว่าชีวิตถูกเติมเต็ม

 

 

Quarter life crisis กับ เบญจเพศ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

เบญจเพศ แปลว่า 25 เป็นความเชื่อหนึ่งว่า เมื่ออายุ 25 ปี ทุกคนต้องซวย ต้องเจอเรื่องไม่ดี ต้องเจอกับเหตุการณ์ร้ายแรงที่เปลี่ยนชีวิต 

 

เทียบกับ Quarter life crisis ทั้ง 2 อย่างเหมือนกันตรงที่พูดถึงความยากลำบากบางอย่างที่จะต้องเจอในช่วงเวลาหนึ่ง แต่แตกต่างกัน ดังนี้

1. ช่วงอายุ

เบญจเพศจะพูดถึงในช่วงอายุ 25 อย่างเดียวเท่านั้น แต่ Quarter life crisis จะพูดถึงช่วงอายุที่มี range กว้างกว่านั้น คือ ประมาณ 18-30 ปี

2. ลักษณะ

เบญจเพศจะเอนเอียงไปทางความเชื่อมากกว่า แต่ Quarter life crisis จะพูดถึงปัญหาที่ต้องเจอในวัยนั้น เช่น กังวลกับอนาคต ไม่รู้จักตัวเองดีพอ

 

เบญจเพศ วิกฤตที่มากกว่าความเชื่อ

นักวิจัยจาก Harvard Business Review กล่าวไว้ว่า เมื่ออายุ 25 ปี จะเป็นปีที่ระดับความกังวลและความเครียดเพิ่มขึ้น เพราะช่วงก่อนอายุ 25 ปีจะเป็นช่วงที่เรามองโลกในแง่ดี 

 

แต่หลังจากนั้น ความจริงในชีวิตจะทำให้เรามีความเครียดทางจิตใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องตกอยู่ในวิกฤตเบญจเพศ แต่อารมณ์เชิงลบเหล่านี้จะบรรเทาลงเมื่อมีอายุ 30 ปีขึ้นไป

 

เพราะเราได้เรียนรู้การจัดการอารมณ์เเละปรับเปลี่ยนมุมมองของตัวเอง ซึ่งนักจิตวิทยาเชื่อว่า นั่นคือตอนที่เราเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น มีความสุขขึ้น ด้วยอารมณ์ของเราเองแล้ว 

 

ปัจจัยที่ทำให้เกิด Quarter-life crisis

1. ตกงาน เจอกับความไม่มั่นคงในการทำงาน

2. เลิกรา จบความสัมพันธ์ที่มีความหมาย

3. ย้ายที่อยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก

4. อยู่คนเดียวเป็นครั้งแรก

5. มีความไม่มั่นคงทางการเงิน

6. ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

7. แต่งงานหรือมีความสัมพันธ์ที่ผูกมัด

8. เรียนจบแบบไม่มีแผนที่จะทำอะไรต่อไป

 

Quarter-life crisis และ Mid-life crisis แตกต่างกันอย่างไร

1. ช่วงอายุต่าง

Quarter-life crisis จะเป็นช่วงอายุ 18-30 แต่ Mid- life crisis จะเป็นช่วงอายุ 40-50 ที่เริ่มเข้าสู่วัยกลางคน

2. ปัญหาต่าง 

เพราะจุดสำคัญของ Quarter-life crisis คือ ความรู้สึกที่สับสนในช่วงวัยเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ แต่ Mid-life crisis จะเป็นวิกฤตของคนที่เป็นผู้ใหญ่มาหลายปีแล้ว

3. จุดสำคัญต่าง

Quarter-life crisis จะเน้นไปที่ “ความเร่งรีบ” ที่จะเป็นผู้ใหญ่แบบที่ควรจะเป็น แต่ Mid-life crisis จะเป็นเรื่องของ “การหมดเวลา” และความเศร้า เสียดาย และไม่พอใจในชีวิต

 

จากเว็บไซต์ helpguide บอกไว้ว่า Mid-life crisis ซึ่งเมื่อตกอยู่ในวิกฤตินี้จะมีอาการ คือ 

1. รู้สึกเศร้า รู้สึกเสียดาย

2. ฝันกลางวัน เพราะรู้สึกเบื่อกับรูทีนเดิม ๆ 

3. ไม่พอใจตัวเองและสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน 

4. โหยหาถึงอดีต

5. มีพฤติกรรมตามใจตัวเอง 

6. ความต้องการทางเพศเปลี่ยนแปลงไป 

 

สาเหตุที่ทำให้เกิด Quarter-life crisis

1. ผู้ใหญ่ในวัยนี้ มักคิดวนแต่เรื่องเกี่ยวกับ ฉันอยากทำอะไร ฉันอยากมีอาชีพแบบไหน แล้วพอสิ่งที่เป็นขัดกับสิ่งที่อยากเป็น ทำให้ยากที่จะรับมือกับความจริงนั้น

2. เกิดจากการเปรียบเทียบ  เช่น เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันใช้ชีวิตนำหน้าไปแล้ว  ทำให้กลับมาสงสัยกับตัวเองว่า แล้วฉันล่ะ? แล้วฉันทำอะไรอยู่? ฉันผิดปกติตรงไหน? 

3. เกิดจากความรู้สึกท้อแท้ เพราะการที่จะต้องก้าวสู่โลกแห่งความเป็นจริง ต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง มันเป็นการก้าวผ่านที่รวดเร็ว ทำให้ความเครียด

4. เพราะไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จึงเกิดความหวาดกลัว ทำให้ปรับตัวและตั้งรับหน้าที่ต่างๆ ที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดไม่ทัน 

5. มีความจำเป็นในชีวิต เพราะทุกคนมีเงื่อนไขในชีวิตต่างกัน บางคนมีความจำเป็นในชีวิตที่กดดันและบังคับให้รีบใช้ชีวิต รีบค้นหาตัวเอง รีบทำงาน ทำให้เกิดความเครียด

6. เร่งรีบในด้านการงานมากจนเกินไป หางาน วางแผนทางอาชีพ สัมภาษณ์งาน มากเกินไป ทำให้เกิดความเครียดและความกังวล เพราะเร่งรีบโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าต้องการอะไร

 

ผลกระทบจาก Quarter-life crisis

จากเว็บไซต์ Choosing therapy กล่าวไว้ว่า วิกฤตนี้นำไปสู่อะไรได้หลายอย่าง

1. มีอาการซึมเศร้า (depression)

2. มีอาการตื่นตระหนกฉับพลัน (panic attack)

3. มีอาการติดบางสิ่งบางอย่าง (addiction)

4. มีอาการวิตกกังวล (anxiety)

5. มีความรู้สึกหมดหวัง (hopelessness) 

 

จัดการตัวเองอย่างอย่างไร

1. สำรวจตัวเอง 

สำรวจความคิดของตัวเอง แล้วลองแทนที่ด้วยความคิดที่มีเหตุมีผลมากขึ้น

2. ค้นหาและทำสิ่งที่ทำให้มีความสุข

ลอง Audit your days ด้วยการเลือกช่วงเวลาในทุกวัน เขียนสิ่งที่ทำ ความคิด ความรู้สึก เมื่อย้อนกลับไปอ่าน เราจะเห็นรูปแบบของกิจกรรมที่ทำให้มีแรงบันดาลใจและกิจกรรมที่ทำให้หมดแรง

3. วางแผนเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้

เพราะการวางแผนจะช่วยบรรเทาความรู้สึกสับสน ความรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก การตั้งสติแล้วกลับมาดูเป้าหมาย มาดูแผนมี่วางไว้ ว่ามีแนวโน้มจะพาเราไปจุดที่ต้องการหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญ 

4. ปรึกษาคนรอบข้างที่เคยประสบกับปัญหานี้หรือผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าการสำรวจและดูแลเอาใจใส่ตัวเองไม่ได้ผล ยังไม่สามารถจัดการตัวเองได้ การปรึกษาคนรอบข้างที่เคยประสบกับปัญหานี้หรือผู้เชี่ยวชาญ จะทำให้เรารู้จักตัวเอง รู้จักวิกฤต และหาแนวทางที่เหมาะสมได้

 

https://www.frontiersin.org/articles/10.3389/fpsyg.2020.00341/full

https://www.choosingtherapy.com/quarter-life-crisis/

https://www.mindbodygreen.com/articles/quarter-life-crisis

https://www.facebook.com/sachminhtam.book/photos/a.568756763156069/4224109654287410/

https://www.arts.chula.ac.th/~artsgoz/wordpress/index.php/archive/quarter-life-crisis/

https://www.betterup.com/blog/quarter-life-crisis

 

ความรู้สึก โดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยวที่ไม่ว่าทำอย่างไรความรู้สึกนี้ก็ไม่หายไป ไขข้อสงสัยเรื่องความรู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนอยู่ตัวคนเดียวทั้งที่มีคนรอบกาย 🙁

ความรู้สึก โดดเดี่ยว ?

อ้างอิงถึง Existential Psychotherapy เป็นแนวทางการบำบัดมุ่งเน้นหาความจริงของชีวิต คำว่าโดดเดี่ยวเทียบคำว่าภาษาอังกฤษได้ว่า Loneliness ในตำราหมายความว่า ความโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง 

 

ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นถ้าลองมองย้อนกลับไปอาจเป็นเพราะเรามีความรู้สึกที่ไม่ได้รับการเติมเต็มจากครอบครัว ซึ่งครอบครัวเปรียบเสมือนสิ่งแรกที่เราได้ทำความรู้จัก ได้รับความอบอุ่นหัวใจ

 

แต่เรากลับไม่ได้รับความรู้สึกนั้นมา และในขณะที่เราเติบโตขึ้นเราอาจจะขาดสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจของเรา แต่บางคนอาจจะเจอจุด Triger แรง ๆ ที่ทำให้เกิดความสูญเสียจนรู้สึกโดดเดี่ยวเลยก็ได้

 

ความรู้สึกโดดเดี่ยว กับ ความรู้สึกเหงา เหมือนกันไหม?

ทั้งเหมือนทั้งแตกต่างสามารถคาบเกี่ยวกันได้ ความเหงา คือความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวแต่ไม่ถึงขั้นโดดเดี่ยว ยังรู้สึกตัวว่าในความสัมพันธ์ใครแคร์เราหรือเราแคร์ใคร

 

แต่ถ้าเป็นความโดดเดี่ยวเราจะรู้สึกว่าไม่มีเลย ไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ เราเลย

 

ความรู้สึกโดดเดี่ยว กับความรู้สึกอ่อนไหวจะมาพร้อมกันไหม?

คนที่โครงสร้างทางจิตใจที่ไม่มั่นคง เปราะบาง ความโดดเดี่ยวกับความอ่อนไหวอาจจะมาพร้อม ๆ กันได้

 

รู้สึกโดดเดี่ยวขนาดไหนถึงต้องเข้าพบผู้เชี่ยวชาญ 

ความคิดถึง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ไม่ว่าเราจะคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน คิดถึงแฟน หรือแม้แต่สิ่งของ สถานที่ วันนี้มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับ ความคิดถึง ผ่านมุมมองของนักจิตวิทยา

 

นิยามของ ความคิดถึง

ความคิดถึงคือ ความต้องการอย่างแรงกล้า ต่อสิงใดสิ่งหนึ่ง หรือ บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ไกล ไม่สามารถเข้าหา หรือไม่ได้รับการตอบสนองจากสิ่งนั้น 

 

ความคิดถึงมาจากไหน 

ความคิดถึงมาจากการตอบสนองทั่วไปต่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเมื่อเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต เช่น การเติบโตเป็นผู้ใหญ่, วันเกษียณ ,การย้ายถิ่นฐาน หรือแม้แต่การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี เป็นต้น 

 

ความคิดถึงมักเกิดจากอารมณ์เชิงลบเป็นหลัก แต่โดยทั่วไปความคิดถึงมาพร้อมกับรสชาติที่หวานหอมและขมขื่น เนื่องจากเราไม่สามารถสัมผัสช่วงเวลาที่คิดถึงได้อย่างเป็นรูปธรรม 

 

คิดถึงอย่างไรให้มีความสุข 

การคิดถึงโดยไม่เป็นทุกข์ นั่นขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าจะสามารถกำกับตัวเองได้มากน้อยเพียงใด เพราะการคิดถึงนั่นก็อาจจะไม่ได้ทำให้ทุกอย่างแย่ลงเสมอไป

 

และอาจจะต้องมีความรู้สึกเช่นนี้บ้าง เพื่อให้เราได้เห็นคุณค่า หรือสะท้อนให้ชีวิตได้เห็นอะไรบ้างอย่าง

 

ประโยชน์ของความคิดถึง

1. ความคิดถึงสามารถพาเราออกจากความเจ็บปวด หรือความว่างเปล่าได้ในช่วงเวลาหนึ่ง

2. พาชีวิตให้มีสีสัน

3. มองเห็นมุมมองที่หลากหลายในชีวิต

 

ความคิดถึงเกิดขึ้นได้ช่วงเวลาไหนบ้าง 

ความคิดถึงเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ เวลา หากความคิดถึงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอาจจะต้องเข้าพบคุณหมอ เพราะอาจจะมีอาการของจิตเวชบางประการเกิดขึ้น 

 

คิดถึงจนเป็นทุกข์ทำอย่างไร

สิ่งแรกที่ทำได้ คือ ทำความเข้าใจความทุกข์ที่เกิดขึ้น ว่าเกิดจากอะไร มีความรู้สึกใดซ่อนอยู่ เมื่อเข้าใจแล้วให้เราเข้าไปจัดการกับความรู้สึก มากกว่าจัดการกับสภาวะคิดถึงที่เกิดขึ้น  

 

คิดถึง และ นึกถึง ต่างกันอย่างไร 

นึกถึง คือ การใช้สมองเพียงอย่างเดียวในความคิดนั้น แต่ความคิดถึง จะใช้ทั้งใจ และความรู้สึกร่วมด้วยในความคิดนั้น

มีความสุขจังเลย,วันนี้รู้สึกไม่มีความสุขเลย แท้จริงแล้ว ความสุขคืออะไร ในทางจิตวิทยา

 

ความสุขคืออะไร ในทางจิตวิทยา 

ช่วงเวลาที่หัวใจเต้นแรง และจิตใจจะสัมผัสได้ถึงความพองโต รู้สึกถึงความสดใสที่เข้ามาในชีวิต 

 

นิยามความสุขโดยส่วนตัวของนักจิตวิยา 

การใช้ความรู้สึกของตัวเองบอกตัวเองว่าสิ่งนี้คือความสุขของเรา 

 

ในวันที่เกิดควาทุกข์ขึ้นจะเกิดความสุขได้อย่างไร 

ในวันที่เราเจอกับความทุกข์ ไม่ต้องรีบมองหาความสุข แต่อยากให้ทำความเข้าใจความทุกข์ที่เกิดขึ้น รับมือให้ได้ด้วยวิธีของตัวเอง 

 

ความสุขและความสุขที่แท้จริงคือสิ่งเดียวกันไหม 

ความสุขและความสุขที่แท้จริงเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ความสุขที่ไม่แท้จริง คือสิ่งที่เราคิดว่าหากทำลงไปจะมีความสุข แต่เมื่อลงมือทำแล้วความสุขไม่ได้เกิดขึ้นจริง 

 

ความสุขที่มีคุณภาพ อาจเป็นความสุขที่มั่นคง ถาวร มาตามช่วงเวลาไม่เกิดจากการหลอกตัวเอง

 

การสร้างความสุขสู่คนรอบข้าง 

การส่งต่อความสุขให้คนอื่นได้โดยการ ไม่เข้าไปเป็นเรื่องแย่ ๆ ให้กับคนอื่น  ยื่นมือช่วยเหลือบางครั้งที่มีโอกาส 

 

บางครั้งการทำให้ผู้อื่นมีความสุขอาจสร้างทุกข์ให้กับตัวเอง ฉะนั้นการหยิบยื่นความสุขให้คนอื่นก็ต้องคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ 

 

สรุป 

ความสุขมีหลายระยะ เริ่มจาก ความสุขใกล้ตัว ไกลตัว หรือไกลมาก ๆ แต่สิ่งที่สำคัญคือเรามองความสุขของเราเป็นอย่างไร อะไรคือความสุขของเรา

 

วันนี้อาจยังไม่เจอคำตอบ และหากถามตัวเองไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเจอคำตอบที่เป็นของตัวเองก็ได้ 

 

การ พูดคนเดียว คุยคนเดียว หรือว่า Self Talk ใคร ๆ ก็ทำกัน บางครั้งเราก็เผลอทำในที่สาธารณะทำให้คนที่มองมาคิดว่าเราไม่ปกติ ไขข้อสงสัยกับนักจิตวิทยาการพูดคนเดียวเป็นเรื่องปกติไหม?

 

พูดคนเดียวไม่ปกติจริงไหม?

ย้อนไปในเรื่องจิตเวชที่เข้าสู่ประเทศไทยใหม่ ๆ ความเด่นในช่วงนั้นคือโรค Schizophrenia หรือโรคจิตเภท เป็นอาการของหู่แว่ว ประสาทหลอน เวลาคนภายนอกมองเข้ามาก็อาจจะดูเหมือนคนบ้า

 

ส่งผลให้คนที่พูดคนเดียวในที่สาธารณะหรือบ่นพึมพัมกับตัวเอง คนอื่นอาจจะมองว่าไม่ปกติได้ เพราะมีภาพจำและค่านิยมผิด ๆ จากความรู้เรื่องโรคจิตเวช

 

ขึ้นอยู่กับว่าคุยอะไรกับตัวเอง บางทีเราไม่ได้อยู่ในโลกที่คุยกับคนอื่นได้ทุกคน การที่เรา Self Talk เพื่อทบทวนกับตัวเองถือว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน

 

และการ Self Talk ทำให้เรา Self-awareness หรือตระหนักรู้ พัฒนาตัวเองได้ด้วย

 

พูดคนเดียวในที่สาธารณะแปลกไหม?

การพูดคนเดียวกับสิ่งที่ไม่ตอบโต้คืนกลับมา นั้นอาจจะสะท้อนว่าเพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ตอบกลับเราได้ เลยเลือกที่จะไปคุยกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต อย่ามองว่าแปลกไม่แปลกเพราะจะกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคม

 

พูดคนเดียวแบบไหนถึงเรียกว่าไม่ปกติ?

ถ้าอันไหนที่ดูจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่มีจริง เห็นภาพหลอน คนภายนอกพร้อมจะตัดสินเราเสมอ เราต้องเลือกเวลา เลือกสถานที่ให้เหมาะสมด้วย

 

ในทางจิตวิทยาการพูดคนเดียวมีข้อดีไหม

เป็นกระบวนการที่สร้างข้อดีให้กับเรา ทบทวนสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของเรา ทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นถ้าเราทำกระบวนการพูดคนเดียวได้ดี ได้ยินเสียงความรู้สึกของตัวเองชัดขึ้น

 

แต่ถึงแม้จะเห็นชัดแล้วแต่กระบวนการแสดงออก ผลลัพธ์ของการพูดคนเดียวอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป จะนำไปปรับใช้ไหมขึ้นอยู่กับตัวเรา

 

คุยคนเดียวอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพจิต

1. เรารู้สึกอย่างไร ความรู้สึกของเราเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าเรารู้สึกอย่างไร ตอบตัวเองให้ได้จะค่อย ๆ จัดการชีวิตได้
2. จัดระเบียบความคิดของเราได้

 

“Doraemon Stand By Me เพื่อนกันตลอดไป 2” โดราเอมอน เป็นการ์ตูนที่หลาย ๆ คนต้องเคยผ่านตาและเคยดู อาจจะเป็นการ์ตูนในดวงใจของใครหลาย ๆ คน

 

ซึ่งโดเรม่อน stan by me จะเป็นแอนิเมชั่น 3 มิติ ซึ่งแตกต่างจากแบบที่เราเคยดูโดเรม่อนทั่วไปและมีเนื้อหาที่ค่อนข้างจะโตกว่านิดนึงด้วยแต่ก็ยังสามารถรับชมได้ทุกวัยอยู่ 🙂

 

เรื่องย่อ

โนบิตะได้ทำการเจอตุ๊กตาหมีตัวเก่าที่เคยเล่นสมัยเด็ก ทำให้คิดถึงคุณย่าเลยชวนโดเรม่อนย้อนกลับไปโลกในอดีต และคุณย่าก็เอ่ยว่า อยากจะพบเจ้าสาวโนบิตะสักครั้ง โนบิตะกับโดเรม่อนเลยเดินทางไปโลกอนาคต

 

ในวันแต่งงานของโนบิตะกับชิสุกะ อยู่ ๆ โนบิตะหายตัวไป ทำให้โนบิตะตอนเด็กและโดราเอมอนต้องเดินทางมายังโลกอนาคตเพื่อช่วยเหลือโนบิตะ ความวุ่นวายและมิตรภาพที่ลึกซึ้งจึงเกิดขึ้น

 

ตัวละคร

โนบิตะ

เด็กผู้ชายประถม ที่เชื่อว่าตัวเองไม่เอาไหน เพราะเรียนก็ไม่ดี กีฬาก็ไม่เก่ง โนบิตะก็ยังเป็นโนบิตะที่ทุกคนคงรู้กันว่าเขาเป็นยังไง ถึงแม้ว่าเขาจะโตในโลกอนาคตจนวันแต่งงานแต่เขาก็ยังมีความกลัว

 

ยังมีความงอแงเหมือนเด็ก ๆ อยู่ซึ่งตอนดูก็ค่อนข้างหงุดหงิดใจเหมือนกันว่าทำไมโนบิตะถึงไม่เปลี่ยนไปเลยแต่สุดท้ายเขาก็เอาชนะความกลัวของเขาได้

 

โดราเอมอน

โดราเอม่อนเป็นสัญลักษณ์ของ Social Support ค่ะ Social Support หรือ การสนับสนุนทางสังคม ในทางจิตวิทยาหมายถึง การช่วยเหลือทุกรูปแบบ

 

ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านการเงิน หรืออื่น ๆ เพื่อให้บุคคลสามารถก้าวผ่านปัญหาในชีวิตไปได้ 

 

การ Support ควรไปในทางที่ดีด้วย อย่างตอนที่โนบิตะขอยืมไม้เท้าหลงลืมไปใช้กับแม่ แม่จะได้ลืมเรื่องที่โนบิตะสอบได้ 0 คะแนน

 

โดราเอม่อนบอกว่า “ใครจะให้นายยืมไปทำเรื่องแบบนั้นเล่า” เพราะเป็นการ support ที่หวังให้โนบิตะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ตามใจทุกอย่าง

 

ชิสุกะ

เป็นเพื่อนวัยเด็กที่เติบโตมาเป็นคู่รักของโนบิตะ น่ารักและกล้าหาญ หลาย ๆ ครั้งที่โนบิตะต้องเจอเรื่องที่ยากลำบาก ชิสุกะมักจะคอยดูแลและปกป้องอยู่เสมอ 

 

ชิสุกะก็คือ คนที่พร้อมอยู่เคียงข้างโนบิตะเสมอและคนที่ทำให้โนบิตะมั่นใจในตัวเอง พร้อมที่รับทุกอย่างที่โนบิตะเป็นซึ่งน่ารักมาก ๆ เลย 

 

ไจแอนท์ & สึเนะโอะ

สองตัวละครนี้สะท้อนเรื่องการ Bully ว่าเป็นสิ่งที่ยังเกิดขึ้นในสังคมอยู่ แต่การที่คน ๆ หนึ่งเป็นแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าคน ๆ นั้นจะเป็นแบบนี้ตลอดไป

 

เชื่อว่า “ทุกคนเปลี่ยนแปลงได้”  ควรทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องผิด ทำให้เขารู้ว่าการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ช่วยเหลือกันสร้างสังคมที่เป็นมิตรเป็นเรื่องสำคัญ

 

ข้อคิด

“เพราะทุกคนต่างต้องการ Social Support” 

โดราเอม่อนเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ Social Support ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่มีใครเก่ง ไม่มีใครเพอร์เฟค ไปซะทุกวัน บางวันเราอาจจะพลาดบ้าง บางเวลาเราอาจจะห่วยบ้าง

 

แต่การมีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้าง เชื่อมั่นในตัวเราในวันที่ไม่เหลือความเชื่อมั่นในตัวเอง คงทำให้มีแรงฮึดสู้ต่อในแต่ละวันไม่มากก็น้อยเลย  

 

“เพราะชีวิตจริงไม่มีของวิเศษ” 

หลังดูโดราเอม่อน เชื่อว่าต้องมีบ้างที่ฝันอยากได้ของวิเศษมาใช้ แต่ถ้าเราทำอะไรได้หรือผ่านอะไรไปได้ด้วยของวิเศษจะทำให้รู้สึกมีความสุขได้จริงหรือเปล่า

 

ชีวิตที่ผิดบ้างพลาดบ้างอาจไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะทำให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้นมากมาย

 

“เพราะทุกคนต้องเจอความสูญเสีย”

ในเรื่องฉากที่โนบิตะพาคุณย่าไปดูเจ้าสาวน่าประทับใจมาก ๆ แต่ในชีวิตจริงไม่มีไทม์แมชชีน เพราะฉะนั้นการใช้เวลาร่วมกับคนที่รักในปัจจุบันให้ดีที่สุดจึงสำคัญมาก จะได้ไม่เสียใจและเสียดายภายหลัง 

 

“เพราะไม่มีใครเพอร์เฟค” 

ฉากที่โนบิตะ ไจแอนท์ สึเนะโอะ ช่วยกันต่อกรกับรุ่นพี่มัธยม ชิสุกะรู้ว่าโนบิตะไม่ได้ต่อสู้เก่ง เลยพูดว่า “เธอไม่ต้องฝืนตัวเองก็ได้ เป็นแบบที่เธอเป็นก็ดีอยู่แล้ว”

 

“ความรักจะเอาชนะความกลัว”

ชิสุกะบอกว่าไม่ว่าโนบิตะเป็นยังไงก็รักอยู่ดี

 

เกร็ดความรู้

1. เคยอ่านเจอเกี่ยวกับความสามารถในการยิงปืนของโนบิตะ ว่าจริง ๆ แล้วอยู่ในระดับที่เรียกว่าเป็นพรสวรรค์ได้เลย แต่น่าเสียดายที่พ่อแม่ไม่ใส่ใจจุดนี้แล้วสนับสนุนลูก แต่โฟกัสกับเรื่องคะแนนสอบมากกว่า

 

พอย้ำบ่อย ๆ ทำให้โนบิตะเชื่อว่าตัวเองไม่เก่ง ตัวเองไม่มีอะไรดี การสนับสนุนจากครอบครัวสำคัญสำหรับลูก ๆ จริง ๆ ที่จะทำให้ไปต่อในอนาคตได้อย่างมีคุณภาพ 

 

2. สิ่งที่โนบิตะตอนโตเป็น เรียกว่า Cold Feet คือ กลัวหรือไม่มั่นใจมาก ๆ ขึ้นมากระทันหัน ซึ่งในเรื่องโนบิตะเลยหนีงานแต่ง นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปเพื่อคิดและตัดสินใจใหม่อีกครั้ง

 

โนบิตะทำแบบนั้นเพราะรู้สึกกลัวว่าจะทำให้ชิสุกะไม่มีความสุข เพราะตัวเองทั้งห่วยทั้งซุ่มซ่าม