Posts
เราชอบกินอะไร? ชอบไปเที่ยวที่ไหน? ชอบฟังเพลงอะไร? คำถามง่าย ๆ ทั่วไปที่ทุกคนน่าจะตอบได้ แต่ก็มีบางครั้งที่เราต้องใช้เวลานึกคำตอบสำหรับคำถามพวกนี้ แล้วแบบนี้แปลว่าเรา รู้จักตัวเอง แล้วหรือยัง
การ รู้จักตัวเอง ทางจิตวิทยาคืออะไร
การเรียนรู้การรู้จักตัวเองผ่าน ทฤษฎี The Johari Window ดังนี้
1. Open Self : ตัวตนส่วนที่เรารู้จักตัวเองดี และคนรอบตัวจึงรู้และเข้าใจตัวตนของเรา
2. Blind Self : ตัวตนส่วนนี้คนอื่นรอบตัวสัมผัสรับรู้ แต่ตัวเราเองกลับไม่รู้ว่าเรามีพฤติกรรมหรือความสามารถส่วนนี้ อย่างเช่น มีเพื่อน ๆ บอกว่าตัวคุณนั้นเป็นคนใจดี แต่คุณไม่รู้สึกว่าเป็นคนใจดี
3. Unknown Self : ตัวตนส่วนนี้มืดมิด ตัวเราเองก็ไม่รู้ คนรอบตัวก็ไม่รู้เลยว่าเรามีความสามารถ หรือทักษะประเภทนี้ด้วย
4. Hiddle Self : ตัวตนส่วนที่เป็นความลับ คือเรารับรู้แต่เราปิดบังไม่อยากให้คนอื่นรับรู้
นี่เป็นทฤษฎีที่เราสามารถนำมาใช้ในการทำความรู้จักตัวเองได้ โดยนักจิตวิทยากล่าวว่าเราควรรู้จักตัวเองในด้าน Open Self ให้ได้มากที่สุด
ทำไมเราต้อง รู้จักตัวเอง
การรู้จักตัวเองเป็นทรัพยากรหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาตนเอง หรือ นำมาปรับปรุงจุดบกพร่องให้ดีขึ้นได้
การรู้จักตัวเองในด้านอารมณ์และความรู้สึก
การเข้าใจ และรับรู้ถึงขีดจำกัดของตัวเอง เช่น การอดทนต่อความเครียด การอดทนต่อความเสียใจ เมื่อใดที่เราอดทนจนถึงขีดความสามารถของตัวเองจะทำให้เรากลับมาพักผ่อน
ก่อนที่จะอารมณ์และความรู้สึกของจะแย่กว่าเดิม แต่การทำความรู้จักตัวเองมักใช้เวลา โดยอาจเริ่มจากการ ถาม-ตอบกับตัวเอง เพื่อสะท้อนอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง
เช่น วันนี้เราประทับใจตนเองตรงไหน หรือในทางตรงกันข้าม เรื่องไหนที่เรายังรู้สึกทำได้ไม่ดี เพื่อนำมาแก้ไขในวันต่อไป
การเข้าใจตัวเองในด้านจุดมุ่งหมายของชีวิต
ในช่วงเวลา ยุคสมัยปัจจุบันเราหลาย ๆ คนมักเจอกับความกดดันที่มาในรูปแบบของ คำถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” หรือ “จุดมุ่งหมายในชีวิตคืออะไร”
แต่ทว่า เวลาในการรู้จักตัวเอง รู้ถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตของเรานั้นแตกต่างกันไป ในบางครั้งเราอาจค้นพบสิ่งที่ชอบโดยการเริ่มลงมือทำในสิ่งที่ไม่ชอบได้เช่นเดียวกัน
แบบทดสอบช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นจริงไหม
แบบทดสอบต่าง ๆ นั้นสามารถช่วยทำให้เรารู้จักตัวเองได้ในระดับผิวเผิน และไม่ได้การันตีว่าจะเป็นนิสัยของเราเองทั้งหมด เพราะในบางครั้งคำตอบของเราอาจจะเป็นสิ่งที่เราอยากเป็นแต่ไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นทั้งหมด
วิธีที่ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้นของนักจิตวิทยา
- การพูดคุยกับเพื่อน หรือคนรอบข้าง
- พบนักจิตวิทยา
- พูดคุยกับตัวเอง
การรู้จักตัวเองไม่มีขีดจำกัด เราสามารถทำความรู้จักตัวเองได้ในทุก ๆ วัน และการที่เราสามารถอธิบายเหตุผลในการกระทำของตัวเองได้ ว่าทำไมเราจึงรู้สึกแบบนี้
ทำไมเราจึงคิดแบบนี้ นั่นก็เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า รู้จักตนเองแล้ว 😀
เลิกกับแฟนเก่าไปนานแล้วแต่ยัง ” ฝันถึงแฟนเก่า ” อยู่ เพราะอะไร? จะจัดการตัวเองได้อย่างไร? มาร่วมพูดคุยผ่านมุมมองของนักจิตวิทยากับรายการพูดคุย Alljit X คุณวันเฉลิม คงคาหลวง นักจิตวิทยาการปรึกษา 🙂
ความฝัน คืออะไร?
อธิบายได้จาก 2 มุมมอง
1. มุมมองทางชีววิทยา (biological)
อาจเป็นเพราะหลับไม่สนิท หลับไม่ลึก นอกจากนี้ โดยพื้นฐาน มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีกระบวนการที่ทำให้เกิดความฝันอยู่แล้ว เพราะความฝันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรานอนหลับได้
ยิ่งถ้ามีสิ่งที่ทำให้รู้สึกอัดอั้นตันใจ ความฝันสามารถช่วยให้เราได้ระบายถึงสิ่งนั้นออกมา ในรูปแบบของสัญลักษณ์ (symbolic) ซึ่งทำความเข้าใจได้ผ่านการแปลความหมายความฝัน
2. มุมมองของจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis)
ความฝันเกิดจากสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ เรื่องนี้ถูกค้นพบและศึกษาอย่างละเอียดโดยนักจิตวิเคราะห์ชื่อ ซิกมัน ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เขาพบว่าความฝันเป็นประตูหรือสะพาน
ที่จะพาเราเข้าไปทำความเข้าใจกับจิตไร้สำนึก (unconscious) ซึ่งเป็นส่วนลึกในจิตใจที่ยากจะหยั่งถึง ไม่มีการรู้ตัว จากนั้นจะนำสิ่งที่อยู่ใน unconcious มาแปลความหมายเพื่อรักษาผู้ป่วย
ความฝัน เกิดจากอะไร?
ในมุมมองทางจิตวิทยา ความฝันเป็นตัวเชื่อมกับสิ่งที่เกิดขึ้น จากทฤษฎีจิตวิเคราะห์เกี่ยวกับกลไกของความฝัน คือ ความฝันจะเกิดขึ้นจาก 3 สาเหตุ ได้แก่
1. สภาพแวดล้อมตอนนอน
สภาพแวดล้อมตอนนอน ทำให้นอนหลับไม่สบายตัว รบกวนการนอนหลับ จึงทำให้เกิดความฝัน
2. ความเครียด
เมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ อาจทำให้ฝันถึงเรื่องนั้น ซึ่งความฝันอาจเป็นภาพความกลัว เป็นจินตนาการ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน
3. ปมในจิตใจ
เพราะมีปมในจิตใจ ปมนั้นจึงแสดงออกทางความฝัน แต่ว่าปมนั้นจะไม่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา จะมีการบิดเบือนและแปลงภาพ ออกมาในลักษณะสัญลักษณ์ (symbolic)
ฝันถึงแฟนเก่า เพราะอะไร ?
ความฝันอาจมีภาพเหตุการณ์เก่า ๆ ทั้งดีและแย่ ซึ่งการฝันถึงแฟนเก่าทั้งที่ผ่านมานานแล้วนั้นสะท้อนถึงปมในจิตใจ บางคนฝันถึงเพราะมีปมในจิตใจ คิดถึง อยากเจอ อยากกลับมาคบกัน
ซึ่งการจะเข้าใจความฝันนั้นได้ต้องผ่านการแปลความหมายจากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากการแปลความฝันจะทำให้เราเข้าใจความฝัน ปมในจิตใจ ยังทำให้เข้าใจตัวตนของบุคคลนั้นมากขึ้นด้วย
ซึ่งการแปลความฝันจะต้องเข้าใจประวัติ สภาพแวดล้อม ประสบการณ์ สิ่งที่แฝงอยู่ในจิตใจ ทุกอย่างจะประกอบรวมกัน การเข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ นี้ จะทำให้สามารถเข้าใจความฝันของตัวเองได้
ฝันถึงแฟนเก่า กระทบอย่างไร?
อาจทำให้นอนหลับไม่สนิท พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดการสะดุ้งตื่น เพราะความเจ็บปวด ความคาดหวัง ความโกรธ หรือมีภาพในความฝันที่มีทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เหตุการณ์ที่เราจินตนาการ
ฝันถึงแฟนเก่า แต่ไม่อยากฝันถึงแล้ว จัดการอย่างไร?
1. ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
ต้องยอมรับก่อนว่าในช่วงที่ยังเจ็บปวดอยู่อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจิตใจกำลังทำงาน แต่กระบวนการเหล่านี้จะรักษาตัวเองจากภายใน
2. เวลาจะช่วยเยียวยา
ความฝันจะหายไป เมื่อได้ระบายสิ่งลบ ๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจออกไปแล้ว ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาที่เหมาะสม
3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ถ้าหนักถึงขั้นที่ว่า ตื่นมาแล้วความรู้สึกในฝันพ่วงมาด้วย หรือมีอาการทางกาย เช่น เหนื่อย หอบ หลอน
อยากมี deep sleep หลับลึก หลับสนิท ทำอย่างไร?
1. นอนให้เป็นเวลา
2. ดึงสติ โดยการลองฝึกลมหายใจ หรือ ลองจดบันทึกความฝันเท่าที่จำได้
3. หายใจเข้าหายใจออก ปล่อยตัวสบาย ๆ ทำตัวสบาย ๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย อยู่ในสภาวะพร้อมนอนหลับ
4. พบผู้เชี่ยวชาญ ถ้าหากนอนไม่หลับเพราะเป็นโรคนอนไม่หลับหรือโรคเกี่ยวกับการนอนอื่น ๆ รีเช็คตัวเองได้จากการมีอาการผิดปกติมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไปแล้วไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง
ฝันถึงแฟนเก่า เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ถ้าฝันถึงแฟนเก่าจนส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวัน อาจต้องเริ่มกลับมาดูแลเอาใจใส่ตัวเองให้มากขึ้น ขอให้มีความสุขในทุก ๆ วันนะคะ 🙂
กลัวผีแต่ ” ชอบเรื่องผี ” เคยไหมที่กลัวผี แต่ชอบดูหนังผี ชอบฟังเรื่องผีก่อนนอน เพราะอะไรคนเราถึงกลัวผี ทั้งที่บางคนยังไม่เคยเห็นผีหรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับผี
เพราะอะไรคนเราถึง ชอบเรื่องผี
เพราะเป็นเรื่องลึกลับเหนือจินตนาการ มนุษย์ชอบความลึกลับที่จับต้องไม่ได้ อยากรู้อยากเห็น อยากสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่สามารถพบเจอได้ในชีวิตจริง
ทำให้บางคนกลัวผีมาก แต่อยากดูอยากฟัง เพราะสนใจในเรื่องผี บางคนกลัวผีแต่ดูหนังผี เพราะอยากหายกลัว อยากให้ตัวเองเคยชินกับเรื่องราวเกี่ยวกับผี
ถ้าพูดตามหลักจิตวิทยาสรีระ สมองคนเรามีสารสื่อประสาทหรือสารเคมีในสมองที่เวลารู้สึกกลัวจะทำให้ใจเต้นแรง เลือดสูบฉีด รู้สึกตื่นเต้น กลัวแต่รู้สึกสนุก
เพราะอะไรคนเราถึงกลัวผี ชอบเรื่องผี ทั้งที่พิสูจน์ไม่ได้
เพราะสมองคนเราชอบจินตนาการไปในทางที่น่ากลัว บางคนอาจจะถูกปลูกฝังโดยคนรุ่นเก่าที่เชื่อเรื่องผีสาง เล่าเรื่องผีให้ฟัง จนเชื่อว่าผีมีจริง
หรือบางคนอาจจะพบเจอเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ ทำให้เขาเชื่อว่าเขากำลังเจอผี หรือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมาได้
เพราะอะไรบางคนกลัวมาก บางคนไม่กลัว ชอบเรื่องผี
- สภาพจิตใจ
- ประสบการณ์ส่วนตัว
- การถูกปลูกฝังความเชื่อเรื่องผี
- สถานการณ์ที่พบเจอในตอนนั้น
- พันธุกรรมที่ทำให้บุคคลนั้นเป็นคนขี้กลัวหรืออ่อนไหวต่อเรื่องนี้
วัฒนธรรมมีผลหรือไม่ ต่อความกลัวผี ชอบเรื่องผี
มีผล เพราะบางวัฒนธรรมปลูกฝังว่าผีมีจริง บางวัฒนธรรมปลูกฝังว่าผีไม่มีจริงในโลก ซึ่งตามหลักจิตวิทยา สิ่งแวดล้อมหรือสภาพแวดล้อมที่เราอยู่หรือเติบโตมา มีผลอย่างมากต่อบุคลิกภาพและสภาพจิตใจ
ข้อดีและข้อเสียของการเสพเรื่องผี
ข้อดีของการเสพเรื่องผี
- สร้างความรู้สึกเชิงบวก สนุก คลายเครียด ตื่นเต้น
- ได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่จากการเสพเรื่องผี
- ได้เรียนรู้การใช้วิจารณญาณในการรับชมและรับฟัง
- ช่วยให้เราเข้ากับสังคมเพื่อนได้ หากว่าเพื่อนเราชอบฟังเรื่องผี
ข้อเสียของการเสพเรื่องผี
- เกิดความรู้สึกเชิงลบ หวาดกลัว ตกใจง่าย
- เกิดพฤติกรรมบางอย่าง เช่น เก็บไปฝันร้าย นอนละเมอ ไม่กล้าอยู่คนเดียว ไม่กล้าอยู่ในที่มืด
- หากจิตใจอ่อนไหว อาจส่งผลกระทบร้ายแรงถึงขั้นจิตหลุด สติแตก หูแว่ว เห็นภาพหลอน เป็นอาการของคนเป็นโรคจิตเภท
วิธีกำจัดความกลัวให้น้อยลง
- ตามหลักจิตวิทยา หากเรากลัวสิ่งเร้าไหน เราต้องเผชิญกับสิ่งเร้านั้นทีละนิดจนกว่าจะหายกลัว เช่น การดูหนังหรือฟังเรื่องผีกับเพื่อนสัปดาห์ละ 2-3 เรื่อง
- ฝึกจิตใจตัวเองให้ลดความกลัวลง พยายามควบคุมความคิดหรือจินตนาการ อาจด้วยการนั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือการสะกดจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ
- หากกลัวมากถึงขั้น Phobia ควรพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อบำบัดรักษา
ปลอบใจคนที่กลัวเรื่องผีอย่างไร
การปลอบใจด้วยคำพูดอาจไม่ค่อยได้ผล เพราะความกลัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ อยู่กับมนุษย์ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ถ้ำที่เป็นทั้งนักล่าสัตว์และเหยื่อ
ความกลัวจะช่วยให้บรรพบุรุษระมัดระวังภัยจนมีชีวิตรอดแล้วสืบพันธุ์ต่อมาถึงปัจจุบัน คงต้องปลอบด้วยการสัมผัส เช่น โอบกอด ลูบหัว ลูบหลัง ตบบ่า กุมมือ นั่งอยู่เคียงข้าง
การเสพเรื่องผีเพื่อความสนุก ผ่อนคลาย เป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าลืมหมั่นสังเกตและดูแลตัวเองไม่ให้เกิดความกลัวมากเกินไปจนกระทบชีวิตประจำวันนะคะ 🙂
เราเป็นคน ” Toxic ” ไหม? ถือเป็นคำถามสำคัญ เพราะหลายครั้งเราเผลอโฟกัสที่คนอื่นจนลืมไปว่าบางทีเราอาจจะไม่น่ารักได้เหมือนกัน
นิสัย Toxic คืออะไร
นิสัย Toxic คือ นิสัยด้านมืด (Dark Triad) ที่สร้างความเครียดและความไม่พอใจให้กับผู้อื่น หรือคนที่มีพฤติกรรมที่เพิ่มแง่ลบและอารมณ์เสียให้กับชีวิตของคนอื่น
ส่งผลให้บรรยากาศรอบตัว Toxic ไปหมด คน Toxic อาจกำลังเผชิญกับความเครียดหรือปัญหาของตัวเอง แต่ไม่รู้วิธีจัดการอย่างเหมาะสมจนกระทบชีวิตคนอื่น
ในทางจิตวิทยา อธิบายไว้ว่า คนที่มีนิสัย Toxic คือ คนที่มีพฤติกรรมเป็นพิษต่อคนรอบข้าง มักเป็นผลมาจากการที่คนๆ นั้นเคยได้รับบาดเจ็บอย่างลึกซึ้งในช่วงชีวิต
แล้วพวกเขายังไม่สามารถจัดการกับความเจ็บปวด ความรู้สึกโหยหาคนเข้าใจ และปัญหาในชีวิตได้ จึงมักจะมีพฤติกรรมแบบ Over-Identify พยายามทำให้ตัวเองมีตัวตน
ไม่ว่าจะในแง่การเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์ร้ายๆ ในชีวิต การเป็น Perfectionist เด่น เลอค่า หรือการเป็นผู้เสียสละที่น่าสงสาร และจะทำพฤติกรรมแบบนี้ซ้ำๆ แม้จะไม่ดีต่อสุขภาพจิต
รูปแบบของนิสัย Toxic
แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. แมคคิเวลเลียน (Machiavellianism)
มีนิสัยชอบเอาเปรียบ หลอกใช้ และควบคุมคนอื่น
2. ไซโคพาธี (Psychopathy)
มีนิสัยควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
3. หลงตัวเอง (Narcissism)
มีนิสัยสนใจแต่ตัวเอง และคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนอื่น
รีเช็คตัวเอง
1. สังเกตพฤติกรรมตัวเอง
สังเกตว่าเข้าข่ายหรือไม่ เปรียบเทียบจากรูปแบบของนิสัย Toxic ว่าตรงหรือไม่ตรงกับเราอย่างไร
2. สังเกตจากคนรอบข้าง
สังเกตว่าเขามีการตอบสนองอย่างไร เป็นไปในทางบวกหรือลบ หรืออาจจะถามคนรอบข้างอย่างตรงไปตรงมา
มีนิสัย Toxic แค่กับครอบครัว เพราะอะไร
เพราะครอบครัวคือคนใกล้ชิดที่สุดที่เราสามารถแสดงตัวตนทุกด้านออกมา เราคิดว่าพวกเขาคงรับได้ เพราะเราคือคนในครอบครัว ในเมื่อเขารักเรา ต้องรับทุกตัวตนเราได้
หรือบางคนอาจจะเห็นครอบครัวเป็นพื้นที่ safe zone จึงปลดปล่อยทุกอย่างออกมา โดยเฉพาะนิสัย Toxic ที่อาจจะทำร้ายจิตใจของคนที่เรารักและรักเราโดยที่ไม่รู้ตัว
หรือในอีกแง่มุมคือ คนในครอบครัวนั้นๆ อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันมาตั้งแต่ต้น แต่ละคนเลยแสดงพฤติกรรม toxic ต่อกันภายในครอบครัวก็สามารถเป็นไปได้
นิสัยไม่น่ารัก vs Toxic ต่างกันอย่างไร
นิสัยไม่น่ารักจะไม่ค่อยส่งผลกระทบในแง่ลบกับคนรอบข้าง แต่จะส่งผลกระทบต่อตัวเอง เพราะคนอื่นจะมองว่าเราไม่น่ารัก ไม่น่าคบหา
ส่วนนิสัย Toxic จะส่งผลกระทบในแง่ลบกับคนรอบข้าง ทำให้คนรอบข้างรู้สึกแย่ อึดอัด ไม่มีความสุข โดยที่ตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ตัว
จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไหม ทำอย่างไร
เปลี่ยนแปลงได้ แต่ค่อนข้างยาก ต้องใช้เวลา และอาศัยผู้เชี่ยวชาญอย่างจิตแพทย์และนักจิตวิทยา
1. พูดคุยให้คำปรึกษา
2. การบำบัดรักษาจิตใจ
3. การสะท้อนตัวตนให้เขารับรู้ว่าตัวเองมีนิสัย Toxic
4. การปรับพฤติกรรมและ mindset ให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
5. การให้ยาโดยจิตแพทย์ หากบุคคลนั้นมีอาการทางจิตเวช
การรู้ตัวให้เร็วเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อไม่ให้นิสัย Toxic ทำร้ายตัวเราเองและผู้อื่น อย่าลืมหมั่นสำรวจตัวเองและเติมความสุขอยู่เสมอนะคะ 🙂
ในวันที่ ‘ หมดกำลังใจ ’ หลาย ๆ ครั้ง คนเราเลือกที่จะมองหากำลังใจจากคนอื่นในวันที่แย่ ถ้าตอนนั้นเป็นเวลาที่เขาไม่พร้อมที่จะซัพพอร์ตเรา ไม่พร้อมที่จะให้กำลังใจเราล่ะ ? เราจะผ่านวันนั้นไปได้อย่างไร ?
กำลังใจ และ หมดกำลังใจ คืออะไร
คำว่า กำลังใจ ตามพจนานุกรม ได้ให้ความหมายไว้ว่า สภาพของจิตใจที่มีความเชื่อมั่น และกระตือรือร้น พร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ
นั่นหมายความว่า การหมดกำลังใจ คือ “สภาพของจิตใจที่หมดความเชื่อมั่น และไม่มีความกระตือรือร้นที่จะเผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ ”
หมดกำลังใจ มีรูปแบบไหนบ้าง?
หมดกำลังใจ แบ่งตามแหล่งที่มา
1.ขาดกำลังใจจากตัวเอง
เพราะเรามีมุมมองทางลบต่อตัวเอง ไม่ชอบไม่รักในสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่สนใจความสำเร็จตัวเอง เพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ดีพอ
เช่น Imposter Syndrome เป็นภาวะที่เรารู้สึกเหมือนเรากำลังหลอกลวงคนอื่น ความสำเร็จที่คนอื่นเห็นไม่ใช่เรื่องจริง จริง ๆ เราไม่ได้ดีหรือเก่งแบบนั้นเลย
2.ขาดกำลังใจจากคนรอบข้าง
ไม่มี social support ไม่มี encouragement จากคนรอบข้าง เพราะบางคน ไม่มีเลยจริง ๆ คนที่คอยบอกว่า เป็นกำลังใจให้นะ เรารู้ว่า เธอเก่ง เธอทำได้ ลองจินตนาการดู มันเหนื่อยนะ
ถ้าต้องสู้และรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะขาดกำลังใจจากคนรอบข้าง ยิ่งถ้ากำลังใจจากคนรอบข้างเป็นสิ่งที่ต้องการจริง ๆ ถึงจะให้กำลังใจตัวเองมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกได้
หมดกำลังใจ แบ่งตามลักษณะ
1.ขาด Passion
passion ในทางจิตวิทยา apa ให้ความหมายว่า passion คือ แรงขับ ความรู้สึก หรือความเชื่อมั่น ที่แรงกล้าและเข้มข้น สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนมีกำลังใจในการใช้ชีวิต
ถ้า passion หายไป สำหรับคนที่ให้ความสำคัญว่าต้องมี passion กำลังใจในการใช้ชีวิตคงหายไปด้วย
2.หมดไฟ Burn out
ภาวะหมดไฟ Burn out อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Systematic review ในปี 2019 กล่าวว่า Burn out คือ กลุ่มอาการทางจิตวิทยา คนที่มีภาวะนี้จะมีความเหนื่อยล้าทางอารมณ์
นอกจากนี้ จะดูถูกและด้อยค่าความสำเร็จของตัวเองด้วย ทำให้ใช้ชีวิตแบบขาดกำลังใจ
3.เหนื่อยล้า Exhaustion , Fatigue , Tiredness
ทำงานหนักหรือใช้ชีวิตหนักเกินไป ไม่อนุญาตให้ตัวเองได้พักผ่อนและทำสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข จนไม่เหลือแล้วกำลังใจจะใช้ชีวิตต่อ เชื่อว่าหลายคนเป็น
ส่วนหนึ่งมาจากค่านิยมที่ว่า productive ถึงจะดี มีคุณค่า ใช้เวลาคุ้ม
4.ไม่มีแรงบันดาลใจ
แรงบันดาลใจ หรือ inspiration ในทางจิตวิทยา อ้างอิงจาก apa แรงบันดาลใจ คือ กระบวนการที่คนถูกกระตุ้นให้ทำบางสิ่งบางอย่าง ถ้าเราไม่มีแรงบันดาลใจคงไม่มีกำลังใจจะทำสิ่งต่าง ๆ
ทำไมถึง หมดกำลังใจ ในทางจิตวิทยา
จากบทความของเว็บไซต์ SARAKADEE LITE ได้อธิบายเกี่ยวกับการหมดกำลังใจ โดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ ที่เคยเขียนเล่าถึงสาเหตุการหมดกำลังใจในนิตยสารสารคดี
เขาแบ่งกลุ่มที่มีแนวโน้มจะหมดกำลังใจเอาไว้ 2 กลุ่มด้วยกัน
1.หมดกำลังใจจากสถานการณ์ภายนอก
เนื่องจากเจอกับความล้มเหลวบ่อยครั้ง จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่อยากทำ ไม่อยากเจออะไร ไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว
2.หมดกำลังใจจากการหล่อหลอมพฤติกรรมบางอย่างขึ้นในจิตใจ
กลุ่มหลัก ๆ เรียกว่า As if Low Ability หรือ การชอบคิดว่าตัวเองมีความสามารถต่ำ ทั้ง ๆ ที่ความจริงอาจจะไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นเลย
โดยกลุ่มนี้ยังแยกย่อยออกไปได้อีกหลายด้านตามพฤติกรรม
1.การมองโลกในแง่ร้าย
2.การมองว่าตัวเองมีปมด้อย
3.ตั้งความหวังไว้สูงเกินไป
4.ชอบโทษตัวเอง
5.รอคอยคำชื่นชมจากคนอื่น
6.ไม่สามารถชื่นชมตัวเองได้
7.ต้องพึ่งพาคนอื่น
การเปรียบเทียบก็ทำให้ หมดกำลังใจ ได้เหมือนกันนะ
อีกสิ่งนึงที่เป็นสิ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนหมดกำลังใจ เพราะชอบเปรียบเทียบ ยิ่งในตอนนี้ที่เราเห็นชีวิตของคนอื่นได้ง่าย ก็จะทำให้คนเราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นได้ง่ายเช่นกัน
“คนนั้นเก่งจัง สอบได้คะแนนเต็มด้วย ดูเราสิ อ่านเเทบตายผ่านครึ่งมานิดเดียวเอง”
“คนนั้นสวยจัง แต่งตัวอะไรก็สวย”
คำพูดเเบบนี้ดูทั่วไปมาก แต่ถ้าเราพูดแบบนี้กับตัวเราเองบ่อย ๆ เชื่อไหมว่า กำลังใจเราจะลดลง เพราะการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในรูปแบบนี้ เป็นการกดตัวเอง ทำให้เรารู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองเป็น
แง่คิดของ John Acuff ซึ่งอาจจะทำให้เราหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เขาบอกว่า “Don’t Compare Your Beginning to Someone Else’s Middle”
คือเวลาที่เรากำลังวางเป้าหมายอะไรสักอย่าง พอเราลงมือทำแล้วเห็นใครสักคนนึงที่ทำเป้าหมายเดียวกับเราแต่เขาไปได้ไกลหรือเริ่มประสบความสำเร็จแล้ว เราจะ…
1.เปรียบเทียบ
2.หมดกำลังใจ
เพราะฉะนั้นอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่เขามาได้ครึ่งทางแล้ว เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน เริ่มต้นมาไม่เหมือนกัน บางทีจุดมุ่งหมายก็อาจจะไม่เหมือนกันด้วย
กำลังใจสำคัญอย่างไร?
เมื่อเรามีกำลังใจมากพอ เราจะมีความสามารถในการก้าวผ่านปัญหาหนักเบาในชีวิตไปได้ หรือกำลังใจทำให้เราทำเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าได้
กำลังใจที่เรามีมากพอทำให้เราส่งต่อกำลังใจให้กับคนอื่นได้ กำลังใจเป็นต้นทุนที่ทุกคนมี เป็นสิ่งที่ให้คนอื่นได้แค่การกระทำเล็ก คำพูดเล็ก ๆ ก็ made the day ให้เขาได้
แต่เชื่อไหมว่าเวลาที่ตัวเราเองเจอกับสิ่งที่ Suffer ในชีวิต การมองหากำลังใจเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ยิ่งหายิ่งไม่เจอ เพราะปัญหาที่เจอมันบดบังวิสัยทัศน์ของเราไปหมดเลย
เหมือนใช้ชีวิตผ่านแว่นตาสีดำ แค่กำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เหมือนแสงสว่างที่ลอดเข้ามาให้เราได้เห็นถึงหนทางไป
สร้างกำลังใจให้ตัวเอง ในวันที่ หมดกำลังใจ
“กำลังใจจากคนอื่นไม่สำคัญเท่ากำลังใจจากตัวเอง” เราอาจจะต้องมาลองซัพพอร์ตตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองในวันที่แย่ การรอให้คนอื่นมาเติมเต็ม บางครั้งมันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ
เพราะคนอื่นก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองที่จะต้องจัดการ เราเลยต้องเรียนรู้ที่จะให้กำลังใจตัวเองให้เป็น
กำลังใจจากคนอื่น VS กำลังใจจากตัวเอง
กำลังใจจากคนอื่นเป็นอะไรที่เราควบคุมไม่ได้ ทั้งช่วงเวลาในการให้กำลังใจและรูปแบบการให้กำลังใจ
แต่ในขณะที่การให้กำลังใจตัวเอง เราจะให้กำลังใจตัวเองเมื่อไหร่ก็ได้ และแน่นอนว่ามันมันอิมแพคมากกว่า เข้าไปลึกถึงจิตใจเรามากกว่า เราได้ยินเสียงของตัวเองชัดกว่า
เพราะก็เป็นตัวเราเองนั่นแหละที่รู้ว่าเราอยากได้กำลังใจแบบไหน
ให้กำลังใจตัวเองยังไง?
1.เหนื่อยก็พัก หา Safe Zone ของตัวเอง
คนเราไม่ใช่หุ่นยนต์ ต้องมีอาการเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบใช้แรงกาย หรือว่าการทำงานแบบใช้สมอง ก็ทำให้เหนื่อยเมื่อยล้าได้เหมือนกัน
และการที่ต้องทำอะไรต่อทั้ง ๆ ยังคงเหนื่อยอยู่ก็ไม่ได้เป็นผลดีอะไร ควรหยุดพักตัวเองให้หายเหนื่อยก่อน เราก็จะมีความพร้อมที่จะกลับมาทำงานอย่างเต็มที่ได้มากขึ้นกว่า
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังงานจำกัด ถึงคุณจะแอคทีฟ จะมีพลังงานเยอะแค่ไหน ก็ต้องมีบ้างแหละ วันที่คุณเหนื่อย วันที่คุณหมดกำลังใจ ค่านิยมที่ว่าต้อง productive ตลอดเวลา
มันสวนทางกับธรรมชาติของคนเรามาก ต้องหาเวลาพัก แบ่งเวลาให้กับงาน กับคนรอบข้างแล้ว อย่าลืมแบ่งเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนหรือทำสิ่งที่ชอบบ้าง
Small Trick:
ทุกครั้งที่เครียด ลองหลับตาลง จินตนาการถึงพื้นที่ปลอดภัยที่อยากไปอยู่ จะเป็นที่ไหนหรืออะไรก็ได้ บางคนชอบทะเลก็คิดภาพทะเล บางคนชอบห้องเงียบก็นึกถึง
มันจะแฟนตาซีแบบไปอยู่ในประสาทที่มีแต่ขนม อะไรก็ได้ ขอแค่คุณชอบ ไม่ผิดค่ะ การจินตนาการแบบนี้ เพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง ให้ความเครียดน้อยลง เพื่อให้ใช้ชีวิตต่อไปได้
อาจจะเอาไปใช้ข้างนอกได้ ถ้ามีอะไรมากระทบให้เครียดมาก ๆ หาเวลาสักเล็กน้อย อาจจะไปเข้าห้องน้ำ หรือเข้าไปในห้องที่ไม่มีคนแล้วลองทำดูก็ได้
2.Positive self-talk
เพราะในตอนที่เรารู้สึกแย่มาก ๆ ตัวเราเองก็น่าจะมองเห็นแต่อะไรที่มันลบ ๆ จนมองไม่เห็นด้านดีเลย พอตัวเราเลือกที่จะมองแต่มุมนั้น เราก็จะยิ่งแย่ลง Positive self-talk เป็นเหมือนการย้ำกับตัวเองว่าเราทำได้
เราทำได้ดีแล้ว เรามีดีในแบบของเรา เมื่อเราทำแบบนั้นบ่อย ๆ เราก็จะเชื่อแบบนั้นจริง ๆ มันเหมือนการ Cheer up ตัวเอง
เราลองชื่นชมตัวเองและมองหาเรื่องดี ๆ ที่เรามีในตอนนั้นก็เป็นการสร้างกำลังใจให้ตัวเองได้เหมือนกัน
“ไม่เป็นไรนะ เอาใหม่”
“ทำให้เต็มที่ก็พอ”
3.Embrace yourself
ถ้าแปลแบบตรงตัวเลยก็คือการโอบกอดตัวเอง แต่ถ้าเรามองให้ลึกถึงสัญญะของการกอด เป็นการเเสดงออกถึงการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเราเองตัวเราเอง ข้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัดหรือสิ่งที่เราทำได้ดี
Butterfly hug Hug of self love ท่าโอบกอดตัวเองบำบัดความเครียดหรือที่เรียกว่า อ้อมกอดผีเสื้อ Hug therapy เห็นครั้งแรกจากซีรีส์เรื่อง It’s okay to be not okay
เป็นฉากที่พระเอกสอนนางเอกให้รู้จักการรับมือกับความเสียใจด้วยท่า Butterfly Hug คือการไขว้แขนเป็นตัว x แล้วตบไหล่ตัวเองเบาๆ เหมือนกับผีเสื้อที่กำลังกระพือปีก
จากนั้นหายใจเข้า-ออกช้าๆ ปลอบโยนตัวเองว่าเราเก่งมากๆเลย วันนี้ทำได้ดีมากๆ ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ตรงนี้ เป็น Possitive message
เมื่อใช้ท่า Butterfly Hug ที่มีลักษณะโอบกอด ร่างกายแบบนั้น จะช่วยทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยได้ จึงทำให้จิตใจสงบและสั่งการให้ร่างกายลดความตึงเครียดได้ดีขึ้น
รู้สึกเหมือนได้ฮีลจิตใจและผ่อนคลายความกังวลลง
เพราะการให้กำลังใจใครสักคนเป็นเหมือนการบอกรักอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นหมายความว่าการที่เราให้กำลังใจตัวเองก็เป็นเหมือนการบอกรักตัวเองด้วยเช่นกัน
4.ติดตามคอนเทนต์ดี ๆ
การติดตามคนที่มีทัศนคติดี ๆ กระจายพลังบวกเก่ง ๆ ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นจริง ๆ เช่น spencer barbosa คอนเทนต์หลัก ๆ ที่เขาทำคือ คอนเทนต์สำหรับผู้หญิง สร้างความมั่นใจ สร้างความรักและพอใจในตัวเอง
แล้วมีหลายครั้งเลยที่คำพูดเขาสร้างกำลังใจมากๆ แต่คนนี้อาจจะไม่ใช่ cup of tea ของทุกคนก็ได้ point สำคัญคือ อยากให้ลองหาช่องทางหรือคอนเทนต์ดี ๆ มาไว้รอบตัว
เอาที่เหมาะกับสไตล์และความชอบของเรา อาจจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยสร้างกำลังใจให้เราได้
5.หากำลังใจจากคนรอบข้าง
- ขอกำลังใจตรง ๆ สื่อสารออกไปให้คนรอบข้างรู้ เพราะบางครั้งคนอื่นอาจจะแค่ไม่รู้ว่าเราเผชิญกับปัญหาหรือเรื่องยาก ๆ อยู่
- สำหรับคนที่ไม่ถนัดการสื่อสาร ไม่กล้าพูดตรง ๆ อาจหากำลังใจจากคนรอบข้างทางอ้อมก็ได้ ในทางจิตวิทยา มีการเรียนรู้ด้วยการสังเกต ที่เรียกว่า observational learning , apa นิยามว่า เป็นการรับข้อมูล สกิล หรือพฤติกรรม ผ่านการสังเกตคนอื่น ทั้งการเห็นคนนั้นทำโดยตรงหรือเห็นคนนั้นทำผ่านสื่อวิดีโอ อยากชวนให้ลองมองไปรอบตัวดูหรืออาจจะหาบนโลกโซเชียลก็ได้ ว่ามีใครที่ให้กำลังใจตัวเองเก่งบ้างไหม? มีใครที่สร้างพลังใจให้ตัวเองเก่งไหม? ลองสังเกตและนำวิธีของเขามาปรับใช้
6.หาหมอขอคำความช่วยเหลือ
เพื่อการเข้าใจตัวเองและได้วิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ตรงจุดที่สุด
อ้างอิง
–https://www.sarakadeelite.com/better-living/why-dont-you-have-the-courage/
– https://www.frontiersin.org/articles/10.3389/fpsyg.2019.00284/full
Seasons Change ภาพยนต์ไทยในปี 2549 เป็นเรื่องที่อยู่ในใจของใครหลาย ๆ คน
ภาพยนต์แนวดนตรี ความรัก การตามหาความฝัน ทำในสิ่งที่ชอบ ซึ่งภาพยนตร์นี้เป็นของค่ายหนังชื่อดังอย่าง GTH ได้ผู้กำกับฝีมือดีของค่าย อย่าง คุณต้น นิธิวัฒน์ มากำกับ
ถ้าใครได้ตามหนังไทยอย่าง แฟนฉัน คิดถึงวิทยา หนีตามกาลิเลโอซึ่งเป็นผลงานของคุณต้น นิธิวัฒน์ ก็พอจะคุ้น ๆ กับความอบอุ่นที่หนังเรื่องนี้มอบให้แน่นอน
Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
ป้อม กับ ดาว เคยอยู่โรงเรียนตอน มัธยมต้น มาด้วยกัน ป้อมแอบชอบดาว แต่ดาวไม่เคยรู้จักป้อมเลยตอน ป้อมรู้ว่าดาวจะไปอยู่มัธยมปลายที่มหิดลเรียนดนตรี ทำให้ป้อมตามดาวไปเรียน
แต่การตามไปของป้อมคือป้อมชอบดนตรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่โกหกที่บ้านว่าเรียนสายวิทย์คณิต เพื่อจะได้เรียนแพทย์ตอนมหาลัย
ตอนที่ปฐมนิเทศป้อมดันไปเจอพ่อของ อ้อม พ่อของอ้อมสนิทกับพ่อป้อม ทำให้ป้อมต้องทำความรู้จักกับอ้อมเพื่อให้อ้อมช่วยโกหก
เพราะป้อมยังไม่อยากบอกพ่อ พอป้อมรู้จักอ้อมก็ทำให้สองสนิทกัน จึงเป็นความแปรปรวนของหัวใจของป้อม
ตัวละคร
ป้อม
นักเรียนมัธยมคนหนึ่ง ที่เข้าโรงเรียนดนตรีเพราะ ดาว เพื่อนร่วมชั้นที่ตัวเองแอบรัก เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการตีกลอง ในเรื่องจะเห็นได้ว่าป้อมชอบดนตรีสากล
แต่เปลี่ยนเวย์ตัวเองไปเล่นดนตรีคลาสสิคเพราะอยากอยู่ใกล้ ๆ ดาว สำหรับป้อมเปรียบเสมือน ฤดูฝน ที่แปรปรวน ยังไม่รู้ความชอบของตัวเองคืออะไร
ตัวป้อมมีความคิดความอ่านตามหลังเพื่อนคนอื่น ๆ เยอะมาก แต่หลัง ๆ มาจะเห็นว่าเริ่มคิดอะไรมากขึ้น เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น และเมื่อรู้จักตัวเองมากขึ้น เราก็เห็นว่าเขาเริ่มทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น
และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ไปฮังการี เพราะฮังการีเป็นความฝันของดาว ไม่ใช่ความฝันของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะถอนตัวจากการรับทุน แล้วเลือกกลับมาตามหาเส้นทางฝันของตัวเองให้ชัดเจนมากขึ้น
ป้อมเป็นตัวอย่างของนักเรียนหลาย ๆ คนเลย ที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เพราะฉะนั้นระหว่างทางของการใช้ชีวิต การค้นหาตัวเองเพื่อให้รู้จักตัวเองมากขึ้นเลยสำคัญมาก ๆ
สิ่งสำคัญคือ ไม่ต้องกดดันตัวเอง ว่าคนอื่นเจอตัวเองแล้วเราต้องเจอให้เร็วเท่าเขา หรืออะไร เพราะทุกคนก็มีจังหวะการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
อ้อม
อ้อมเปรียบเสมือน ฤดูร้อน มีความสดใส ร่าเริง เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านดนตรี แต่ทักษะการเล่นคือติดลบ แต่ความชอบของอ้อมก็ไม่ได้ทำให้เขาอยากที่จะเลิกเล่นดนตรี
อ้อมเคยบอกกับป้อมว่า แค่ได้ฟังดนตรีก็มีความสุขแล้ว อ้อมจึงเหมือนตัวแทนว่า ถึงแม้ว่าในสิ่งที่เรารักเราจะมีข้อบกพร่อง แต่เราก็สามารถเดินทางร่วมไปกับมันได้
ด้วยวิธีการของอ้อมคือไม่ต้องเล่นไวโอลิน หรือเล่นเครื่องดนตรีแต่เปลี่ยนเป็นการเรียบเรียงทำนอง ทำเพลงให้คนอื่นเล่น
ดาว
เป็นคนที่รู้จักตัวเอง และมุ่งมั่นมาก ๆ รู้ว่าชอบไวโอลิน ก็ไปจนสุดทาง ไปถึงต่างประเทศเลยในตอนท้าย
ดาวเปรียบเสมือน ฤดูหนาว มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักดนตรีมืออาชีพ มีความเพอเฟคชั่นนิส เราจะรู้สึกได้เลยตอนดูว่าดาวคือคนที่มุ่งมั่นในสายดนตรีจริง ๆ ตื่นมาซ้อมไวโอลิตตั้งแต่ตี 4
พอเรียนเสร็จก็ซ้อมถึงดึก เป็นคนที่เลือกจะเดินก้าวไปตามความฝันในดนตรีมืออาชีพจริง ๆ เป็นตัวแทนของคนที่มุ่งมั่นกับเส้นทางฝันของตัวเอง และเป็นตัวอย่างที่ผู้กำกับต้องการจะใช้บอกกับคนดูว่า
คนเราถ้าเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะทำ แล้วลุยกับมันอย่างเต็มที่ไปจนสุดทาง เราจะพบกับความสำเร็จในที่สุด
ข้อคิด
1.ไม่จำเป็นต้องเก่งในสิ่งที่เราชอบก็มีความสุขได้
ได้มาจากตัวละคร อ้อม เพราะอ้อมเป็นนักเรียนคนนึงที่ สามารถแยก note ดนตรี ได้ ซึ่งถือว่าเป็นความสามารถพิเศษเลย แต่พอเล่นเครื่องดนตรีอะไรก็เพี้ยนไปซะหมด
แต่อ้อมก็รักดนตรี แล้วก็มีความสุขในการเล่นดนตรีอยู่ดี
2. การค้นหาตัวเอง
บางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราเก่งอะไร ลองรับฟังเสียงคนรอบข้างแล้วพัฒนาจากจุดนั้น ถึงจะไม่รู้ตัวเองตอนแรกก็ไม่เป็นไร หาตัวเองไปเรื่อย ๆ
เพราะสุดท้ายแล้วปลายทาง มันคุ้มค่า เหมือนที่ป้อมค้นพบตัวเอง ว่าอยากเป็นนักดนตรีจริง ๆ
3. การสนับสนุนจากคนที่เรารัก
หนังสะท้อนในมุมพ่อแม่ด้วย ที่เป็นห่วง กลัวว่าทางที่ลูกเลือกจะทำให้ลูกลำบาก แต่ตอนที่เพื่อนพ่อบอกว่า พ่อแม่อยู่กับลูกไปไม่ได้ตลอดหรอก
แต่สิ่งที่ลูกชอบจะอยู่กับลูกไปตลอด เป็นมุมมองนึงที่จริงมาก ๆ เลย ถ้าลูกไปสุดในทางที่ตัวเองเลือก จะทางไหนก็น่าภูมิใจทั้งนั้น
4. เวลามีความรักอย่าลืมที่จะเป็นตัวของตัวเอง
จากที่เห็นในเรื่องคือป้อมชอบดาว แต่ป้อมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย วันหนึ่งที่ป้อมกับดาวได้มีโอกาสรู้จักกันมากขึ้น ดาวมักจะบอกให้ป้อมกินผักเพราะว่ามันอร่อย ป้อมที่ไม่ชอบกินผักก็ฝืนกิน
แต่สุดท้ายแล้วพอดาวรู้ว่าป้อมไม่ชอบ ดาวก็ถามว่า ไม่ชอบกินผักทำไมไม่บอก คิดว่าในมุมของอีกฝ่ายนึง ที่เขารักเราเหมือนกัน เขาอาจจะไม่ได้โอเคกับการที่เราฝืนตัวเองเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชอบก็ได้
เกร็ดความรู้
พูดถึงตัวละครป้อม อยากสอดแทรกจิตวิทยาความรักด้วย ว่าทำไมเวลาเรารักใคร เราถึงมองเห็นเขา เหมือนมีออร่าออกมาจากตัว? เจอแล้วหัวใจเต้น?
รายการเกาหลี All the butlers มีผู้เชี่ยวชาญทางสมองมาออก เขาบอกว่า ความรัก แบ่งได้ 3 ช่วงตามฮอร์โมนส์
ช่วงแรก อะดรีนาลีน ช่วงนี้ร่างกายเราจะถูกกระตุ้นอยู่ตลอด ทำให้มีอาการต่าง ๆ ที่ชัดที่สุดคือหัวใจเต้น เลือดสูบฉีด
ช่วงต่อมา โดพามีน ช่วงนี้ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่า รักร้อนแรง จะเป็นช่วงที่เราหมกมุ่นมาก ๆ นึกถึงเขาตลอดเวลา
และ ช่วงสุดท้าย ออกซิโทซิน จะเป็นช่วงที่ความรักอยู่ในรูปแบบของความสบายใจ ต่างคนต่างทำอะไรของตัวเอง แค่อยู่ด้วยกันแบบสบาย ๆ ก็มีความสุขแล้ว ถ้าตามในหนัง ป้อมอยู่ในช่วงแรกเลยคือ อะดรีนาลีน
เพลงประกอบ
เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยินเพลง ฤดูที่แตกต่าง ที่เนื้อเพลงร้องว่า อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เป็นเพลงที่ดีมาก ๆ เลย
เป็นเพลงที่เวลาที่เรารู้สึกท้อ หรือหมดหวังอะไรสักอย่าง แต่อยากให้เราฮึบกับตัวเองไว้ เชื่อว่ามันไม่มีแค่สิ่งไม่ดีหรอก วันที่สดใสมันจะมาหาเราแน่ ๆ 😀
การ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำให้เราต้องเจอกับเรื่องราวและปัญหามากมาย เราจะทำอย่างไรให้ไม่เจ็บปวดเกินไป ตอนที่เราเป็นเด็กเรารู้สึกว่าทำไมมันดีจังเลยนะ
ทำไมกันนะตอนเราเป็นเด็กถึงอยากจะรีบโตไว ๆ อยากเป็นผู้ใหญ่จัง อยากมีอิสระ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วรสชาติของการเป็นผู้ใหญ่มันทั้งขม และไม่ได้สนุกอย่างที่เราคิดเลย
ในวัยเด็กทุกคนต้องเคยวาดฝันไว้ว่า โตมาเราอยากเป็นแบบไหน? อยากทำอาชีพอะไร? อยากไปเที่ยวที่ต่าง ๆ เมื่อเราโตขึ้น?
ความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างที่ต้องเจอ เมื่อ เติบโตเป็นผู้ใหญ่
ปัญหาที่ต้องเจอ เปลี่ยนแปลงไป
เพราะถ้ามองกันจริง ๆ ในวัยหนึ่งเรามีภูมิคุ้มกันเท่านี้ ปัญหานี้อาจจะหนัก แต่ถ้าเราเติบโตไปสู่อีกวัยหนึ่ง เรามีประสบการณ์ เข้าใจคนเข้าใจโลกมากขึ้นแล้ว
ปัญหาเดิมที่เคยเจออาจจะเบาปัญหาที่ต้องเจอ มีรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม ไม่ใช่หนักขึ้นสำหรับทุก ๆ คน ปัญหาที่ต้องเจอแตกต่างกันไปแต่ละวัย
การอยากได้การยอมรับ
อยากเป็นที่ยอมรับจากคนที่เรารักจนกดดันตัวเองมากเกินไปจนทำให้เราไม่มีความสุข
อารมณ์ ความรู้สึก
นอกจากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ร่างกาย คงจะเป็นเรื่องอารมณ์ ความรู้สึกของเรา เรื่องที่เราเคยร้องไห้ตอนเด็กโตมาเราอาจจะไม่ร้องไห้แล้ว
เมื่อเราโตขึ้นเราจะมีประสบการณ์ในการรับมือกับปัญหาที่มากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าบางปัญหาเราจะสามารถรับมือได้เพียงคนเดียว การที่มีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ นั้นสำคัญมาก
การมีคนอยู่เคียงข้าง บางครั้งเราไม่สามารถก้าวผ่านปัญหาบางอย่างไปได้ด้วยตัวคนเดียว ถ้าเอาตามธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ต้องพึ่งพากันและกันอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะต้องนำมาตอกย้ำทำร้ายตัวเองซ้ำ ๆ เลย คนที่บอกตัวเองว่า เพราะเราแย่ ฉันไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ที่จะจัดการกับสิ่งนี้
การยอมรับให้ได้ว่าเราอาจจะต้องการความช่วยเหลือบ้างเป็นเรื่องสำคัญ
เปรียบเทียบชีวิตและความสำเร็จของคนอื่นเมื่อเติบโตขึ้น
ขออนุญาตอ้างอิงถึงบทความ “คนกระโปกแห่งยุคสมัย 199x ทำไมเด็กเจนวายไม่ยอมโต” ของ The 101 World Life & Culture
ส่วนใหญ่เด็ก Gen Y มักจะรู้สึกผิดหวังที่เห็นว่าตัวเองไม่โต ยังใช้ชีวิตไม่มีคุณภาพ สภาพการเงินยังไม่มั่นคง
อีกจุดที่เห็นด้วยกับบทความนี้คือ กรอบทางสังคมกดดันว่าต้องเก่ง ไม่งั้นจะถูกรุ่นหลังแซง เป็นเหตุให้คนเจนวายมักจะแสวงหาความสุขทางใจ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นอะไรที่เชื่อมโยงกับวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูน เกม รวมถึงมีการกระทำไม่มีวินัยไม่เป็นผู้ใหญ่
น่าคิดเหมือนกันนะว่า แล้วใครกำหนดว่าต้องอายุเท่าไหร่ต้องทำอะไรหรือต้องมีอะไร หลาย ๆ ครั้ง การยึดตามกรอบความคิดค่านิยม ทำให้เราเกิดความทุกข์โดยไม่จำเป็นเลย
บางคนอาจเลยเถิดไปถึงขั้นว่า รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า
เติบโตอย่างไรให้มีความสุข
อยากแชร์โควทของ คิมแทรี จากซีรีส์ Twenty Five Twenty One “สำหรับฉัน ความสำเร็จคือการมีจิตใจที่ยืดหยุ่น ฉันต้องการเป็นคนที่แม้จะอยู่ในวัยชรา ก็ไม่ถูกจำกัดด้วยความคิด และจะทำอะไรก็ได้”
เป็นโควทที่ปลอบใจได้ทุกวัย ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ขอให้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ
ยอมรับว่าจะต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงแล้วปรับตัวไปตามสถานการณ์ เราไม่รู้หรอกว่าเราจะเจอกับอะไร ปัญหาที่เราได้ยินมา อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นกับเราไม่มีใครรู้
แต่ถ้าเรารู้จักยืดหยุ่น ค่อย ๆ ปรับ ค่อย ๆ แก้ เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยพาตัวเองผ่านวันยาก ๆ เหล่านั้นไปได้
อีกอย่างคือ ลองให้เวลาและไม่กดดันตัวเองจนเกินไป สำรวจตัวเองดี ๆ ว่าในช่วงวัยที่เราอยู่ เราต้องการอะไร เราทำอะไรแล้วมีความสุข ถ้ารู้แล้วลองใช้เวลาของเราเอนจอยไปกับช่วงวัยนั้นได้น่าจะดีไม่น้อยเลย
อย่าลืมว่าเราไม่จำเป็นต้องสู้ตัวคนเดียวตลอด เวลาเราไม่ไหว เราต้องการความช่วยเหลือ การพึ่งพาคนรอบข้างที่ไว้ใจได้ไม่ใช่เรื่องผิด
วิธีการมีความสุขของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน บางคนแค่ดูหนัง ฟังเพลง ก็มีความสุข แต่สำหรับบางคนที่ไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร
อยากให้ลองสำรวจตัวเองว่า เราหัวเราะหรือยิ้มกับอะไรบ่อย ๆ สิ่งนั้นแหละอาจจะเรียกว่าความสุขของเรา
แนวคิด The Theory of Well-Being แบบจำลองการมีความสุขแบบ PERMA model
PERMA model ย่อมาจาก
Positive Emotion = ความรู้สึกเชิงบวก
ความรู้สึกอารมณ์เชิงบวกที่มากกว่าความสุข ได้แก่ ความหวัง ความสนใจ ความสุข ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ถ้าเราสามารถจัดการความรู้สึกให้มีความคงที่และสามารถยืดหยุ่นกับอารมณ์เชิงบวกได้
ก็จะทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ถ้าบางทีเราไม่อยากรู้สึกเชิงบวก รู้สึกไม่ดีมาก ๆ ไปเร่งเวลาให้ผ่านช่วงลบไว ๆ
จะเหมือนการกดความรู้สึกตัวเอง ถ้าเรารู้จักการยืดหยุ่นความรู้สึก อารมณ์ตัวเอง จะทำให้เราได้พบกับความสุขที่แท้จริง
Engagement = การมีส่วนร่วม
การอยากเป็นที่ยอมรับของสังคม การมีส่วนร่วมเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ หากเราสามารถแบ่งปันช่วงเวลา
มีส่วนร่วมการทำกิจกรรมต่าง ๆ กับคนในชีวิตของเราได้จะสามารถทำให้เรามีความสุขมากขึ้นและรับรู้ถึงคุณค่าการใช้ชีวิต
Relationships = ความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ที่ดี จะประกอบไปด้วย ความยินดี เสียงหัวเราะ ความภาคภูมิใจในความสำเร็จ อยากมอบความรัก ความหวังดีให้คนรอบข้างด้วยความรู้สึกด้วยใจปิติ
การที่เรามีความสัมพันธ์กับคนอื่นจะทำให้เรารู้สึกได้รับรู้ถึงการมีความหมายของชีวิต
Meaning = การมีความหมาย
ความรู้สึกของความหมายและความรู้สึกถึงการมีชีวิตไม่ใช่แค่เพื่อตัวของเราเพียงอย่างเดียวแต่รวมถึงการอยู่ร่วมกับคนอื่น
มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น ครอบครัว อุดมคติ เมื่อตระหนักว่าชีวิตเรามีความหมายก็จะทำให้มีความสุขมากขึ้น
Accomplishment = ความสำเร็จ
ความสำเร็จ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญสามารถทำให้เรามีความสุขได้ เพราะธมชของมนุษย์คือการอยากทำบางอย่างในชีวิตให้สำเร็จ
เช่น การแข่งขันที่เราได้ที่ 1 หรือการทำอะไรสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็ทำให้มนุษย์มีความสุขได้ ความสำเร็จที่ทำให้เราดีขึ้น พัฒนาตัวเองมากขึ้น
รับมืออย่างไรกับคำพูด คนอื่นเจอปัญหาหนักกว่านี้อีก
หลาย ๆ ครั้ง คำพูดที่หวังดี แต่แฝงการกดดันและการเปรียบเทียบระหว่างวัย อย่างเช่น พ่อแม่พูดกับลูก
“แค่นี้ทำไมรับไม่ได้ โตไปทำงานเดี๋ยวเจอปัญหาหนักกว่านี้อีก” หรืออะไรทำนองนี้ แน่นอนว่าผู้ฟังจะต้องรู้สึกแย่ไม่มากก็น้อย เราจะจัดการความรู้สึกตัวเองอย่างไรได้บ้าง
ในกรณีที่เป็นพ่อแม่เราเป็นคนพูด พ่อแม่เราก็ยากที่เราจะเปลี่ยนนิสัยพวกเขาเหมือนกัน บางทีเราก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเป็นแบบนี้ การจะไปพูดให้เขายอมลดคำพูดที่มันเจ็บปวดสำหรับเรา
ในบางครอบครัวอาจจะทำได้ แต่บางครอบครัวการพูดอาจจะทำให้ทะเลาะกันกว่าเดิม
ระบายให้เพื่อนฟังหา social support เลือกคนที่เราจะพูดปัญหาของเราให้ฟัง อันนี้สำคัญจริง ๆ เราจะรู้ด้วยตัวเองว่าคนไหนเราพูดเรื่องไหนด้วยได้ มันจะช่วยลดความเสี่ยงที่เราจะรู้สึกแย่กว่าเดิมได้เยอะเลย
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ เพื่อนแต่ละคนจะแตกต่างกันมาก บางทีแค่อยากระบายจะพูดกับเพื่อนคนนี้ หรือบางครั้งอยากได้ข้อคิดเห็นจะพูดกับเพื่อนอีกคน
อ้างอิง :
คนกระโปกแห่งยุคสมัย 199x ทำไมเด็กเจนวายไม่ยอมโต – The 101 World Life & Culture
ความเครียด สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนเราเสมอ แต่หากว่ามันมาบ่อย ๆ และกลายเป็นความเครียดที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ เราจะจัดการความเครียดได้อย่างไรบ้างในทางจิตวิทยา
ความเครียด คืออะไร
เราต่างก็เคยมี ความเครียด ไม่ว่าจะเครียดน้อยหรือเครียดมาก ต่างก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เป็นสิ่งที่ตอบสนองกับสมองเป็นหลัก
เป็นธรรมชาติสร้างให้มนุษย์เพื่อให้เรารู้เกี่ยวกับภัยที่จะเกิดขึ้น
ความเครียด มีหลายรูปแบบ
1.ความเครียดเฉย ๆ เมื่อรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
2.ความเครียดเฉียบพลัน เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีจากสิ่งนั้น ๆ อาจจะเป็นเจ้านายคือสิ่งกระตุ้น
3.ความเครียดเรื้อรังคือเราไม่สามารถปล่อยวางความเครียดจากเรื่องนั้นได้เลย สะสมมาเรื่อย ๆ เป็นเวลานาน
4.ความเครียดก็คือความเครียดที่สร้างความสุข เหมือนว่าความเครียดที่เกิดขึ้นเมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาไปได้ด้วยดีก็จะสร้างความสุขให้เรา
ความเครียดส่งผลกระทบอะไรกับเราบ้าง
ทางด้านร่างกายส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน เครียดลงกระเพาะ มวนท้อง หรือทำให้มีอาการเป็นเหน็บชา ตะคริว ทางด้านจิตเวชก็มีอาการเครียดจนมือสั่น มืออ่อนแรง เหงื่อออก แพนิค ใจสั่น
วิธีจัดการกับความเครียด เรื้อรัง ความเครียดเฉียบพลัน
สิ่งที่ดีที่สุดของการจัดการความเครียดคืออย่าให้ความเครียดเกิดขึ้นจะดีที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก สิ่งที่เราเครียดเรื้อรั้งอาจจะไม่ใช่กลไกทางสมอง แต่เป็นกลไกทางจิตใจร่วมด้วย
เพราะต้องมีสิ่งที่ทำให้เรายึดติดหรือมีประสบการณ์บางอย่างที่ฝังใจ การจัดการที่ดีคือควรจัดการความเครียดโดยตรง เพื่อไม่ให้เกิดเป็นความเครียดสะสม คือการจัดการกับเหตุการณ์นั้น ๆ ที่ทำให้เกิดความเครียด
ต้นเหตุของความเครียด หากเราจัดการที่ต้นเหตุและไม่มีอะไรแอบแฝง ความเครียดเราจะหายไปเร็วขึ้น ไม่คิดถึงเหตุการณ์ต่อจากนี้จนเกิดความกังวล
แต่หากเป็นความเครียดเรื้อรังควรพบจิตแพทย์ นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญเพราะว่าอาจจะมีปมในใจซ่อนอยู่ เพื่อปลดล็อคจิตใจเรา การพบแพทย์คือทางเลือดที่ดีอีกหนึ่งทาง
ความเครียดมีข้อดีไหม?
ความเครียดก็มีข้อดีเพราะทำให้เรารู้ว่าสิ่งไหนสำคัญ ไม่สำคัญ แต่ในจุดที่เราเกิด ความเครียดก็อาจจะมองข้ามได้ว่าความเครียดมีข้อดี แต่ก็ไม่ได้แปลว่าความเครียดคือสิ่งที่ดี
เพียงแต่ทำให้เรารู้ว่าควรทำอะไรและรับมืออย่างไรต่อเหตุการณ์นั้น ๆ เหมือนเป็นภูมิคุ้มกันอีกหนึ่งชั้นหากเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราสามารถนำมาเป็นบทเรียนได้
การเครียดโดยไม่รู้ตัวควรรับมืออย่างไร
ควรรู้จักตัวตนของตัวเองก่อนว่าเราเป็นอย่างไร มีสิ่งไหนที่เกิดขึ้น ความรู้สึก ณ ตอนนั้น เป็นแบบไหน เพื่อให้เราเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น
สามารถทำให้เรารู้ว่าเรามีอาการอะไรและควรจัดการตัวเองด้วยวิธีแบบไหนถึงจะดีต่อเราในเวลานั้น
วิธีจัดการความเครียดแบบจิตวิทยา
เลือกที่จะใช้ชีวิตให้มีคุณภาพ เครียดให้เป็นและถูกเวลา สามารถจัดการและวางแผนให้ตัวเองได้ ควรรู้ว่าควรพักอย่างไร รับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรกับชีวิต
การรับมือที่ดีที่สุดของความเครียดคือไม่ใช่ทำให้หายไป แต่ต้องอยู่กับเครียดได้ เข้าใจกับความเครียด และใช้ความเครียดให้เป็นประโยชน์
ออกจากบ้านไปทำกิจกรรมแปปเดียวเหมือนจะหมดแรง คุยกับใครแปปเดียวก็หมดพลัง หรือเรากำลังเป็นคน พลังงานน้อย
พลังงานน้อย คืออะไร ?
คนพลังน้อยคล้ายกับรถยนต์ที่มีรอบวิ่งที่อาจจะต่ำกว่ารถทั่วไปแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคุณภาพ สามารถขับเคลื่อนและทำงานได้แต่มีลิมิตของตัวเอง คนพลังน้อยอาจจะเป็นคนทำสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่เยอะ
ทำแล้วรู้สึกว่าหมดพลังแต่คนพลังงานน้อยไม่ได้หมายความว่าทำงานได้ไม่ดี แต่ทำได้ปริมาณน้อยทำได้เป็นเฉพาะอย่าง ๆ ไป
คนพลังน้อยเกิดจากอะไร?
มีได้หลายสาเหตุ การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม รูปแบบการใช้ชีวิตที่มีมาตั้งแต่เด็ก เป็นความคุ้นชินและความกระตือรือร้น หากเราไม่มีแรงผลักดันแต่พลังงานเยอะก็ไม่อยากใช้
เพราะเราไม่ได้ใช้ในสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ รูปแบบการใช้ชีวิตในแต่ละวันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพลังงานน้อยได้ อาจเคยชินกับการทำแบบเดิมทุกวัน เมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่เคยทำก็ทำให้พลังงานลดลงเรื่อยๆ
ความพยายามเปลี่ยนจากพลังงานน้อยเป็นพลังงานเยอะได้ไหม
สามารถได้ ตามวิธีการฝึกฝนตัวเอง 20 วัน 30 วัน จนเกิดเป็นมีวินัย แต่ตามหลักแล้วต้องเริ่มฝึกที่ 30 วันขึ้นไป เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ต้องไม่ฝืนทำมากเกินไป ค่อย ๆ ให้เวลาฝึกฝนทีละนิดแบบไม่กดดันตัวเอง
ข้อดีของการเป็นคนพลังงานน้อย
หากเราจัดสรรเวลาตัวเองได้ดี ก็เหมือนรู้ขีดจำกัดของตัวเอง พอเราใช้เวลาอยากมีคุณภาพจะมีเวลาในการพักผ่อนมีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น
ข้อเสียของการเป็นคนพลังงานลบ
ถ้าเราใช้ทุกอย่างเต็มที่มากเกินขีดจำกัดตัวเองก็อาจจะส่งผลต่อสิ่งที่เรา ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร หากรู้ข้อจำกัดของตัวเองก็อาจจะทำให้ส่งผลดีต่อเรากับสิ่งที่เราทำได้เช่นกัน
คนพลังงานน้อยกับคนพลังงานเยอะสามารถอยู่ร่วมกันได้ไหม
อยู่ร่วมกันได้ แต่ต้องหาจุดกึ่งกลางระหว่างความสัมพันธ์ มองเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์หากทำแล้วส่งผลดีกับความสัมพันธ์ก็อาจจะลองหาจุดที่ปรับกันก่อนได้
แต่ก็ต้องเคารพสิทธิส่วนตัวของกันและกัน ว่าชีวิตของแต่ละคนชอบอะไรไม่เหมือนกัน ขีดจำกัดไม่เท่ากัน ลองพูดคุยกันก่อนเพื่อให้เข้าใจความต้องการของแต่ละคน
คนพลังงานน้อยเหมือน Introvert ไหม
แตกต่างกัน แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเป็นเหมือนกัน เพราะคนที่เป็น Introvert ไม่ใช่คนที่มีพลังงานน้อยเพียงแต่เป็นคนที่สนใจในตัวเองมากกว่าโลกภายนอก
แต่คนที่เป็น Introvert ที่มีพลังงานน้อยก็มีเช่นกัน อาจจะเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรหนักและชอบการอยู่กับตัวเอง ซึ่งยากที่จะตัดสินได้ว่าคนพลังงานน้อยเหมือนคนเป็น Introvert หรือไม่เหมือน
คนพลังงานน้อยคือคนขี้เกียจและไม่เข้าสังคมจริงหรือเปล่า ?
แม้ว่าเขาจะเป็นคนพลังงานน้อยที่ขี้เกียจก็ไม่ควรตัดสินเขา เพราะเขาอาจจะมีความสุขและสบายใจกับจุดตรงนี้มากกว่า เป็นการใช้ชีวิตในแบบที่เขาเลือกเอง การไม่เข้าสังคมก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเฉยชา
พลังงานน้อย หมดพลัง เพราะทักษะการเข้าสังคมมีได้หลายแบบ คนที่มีพลังงานน้อยแต่มีมนุษยสัมพันธ์ดีก็มีได้เช่นกัน และต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน ว่าเราต้องการพลังงานแบบไหนและเพื่ออะไร
หากเราไม่มีแรงขับเคลื่อนที่จะเข้าสังคม ก็ไม่ผิดเลย เพราะบางครั้งคนพลังงานน้อยก็สามารถอยู่กับคนพลังงานน้อยเป็นสังคมอีกกลุ่มหนึ่งได้
และไม่ได้หมายความว่าคนพลังงานน้อยคือคนไม่เข้าสังคมและเป็นคนขี้เกียจเลย บางครั้งคนที่มีพลังงานน้อยก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการใช้ชีวิตแค่ไม่ทำอะไรให้เดือดร้อนคนอื่นก็ถือว่าสามารถทำได้ อยู่ที่เราสบายใจกับชีวิตแบบไหน
” การรักตัวเอง ” เหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ทุกคนทำได้ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะหลาย ๆ ครั้งเรายังคงมีคำถามกันอยู่เลยว่าแบบไหนคือ ” รักตัวเอง ” ?
รักตัวเอง คืออะไร
รักตัวเองคืออะไร? แตกต่างจากใจดีกับตัวเองอย่างไร? อ้างอิงจากเว็บไซต์ positive psychology
” การรักตัวเอง ” Self-love
หมายถึง การรักและรับรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง ซึ่งความรู้สึกนี้… มาจากการกระทำที่มุ่งหวังให้ตัวเองเติบโตทั้งทาง ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
” การใจดีกับตัวเอง ” Self-compassion
หมายถึง เมื่อเจอเรื่องแย่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวหรือความผิดพลาดจะใจดีและเข้าใจตัวเอง ปฏิบัติกับตัวเองเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
รักตัวเอง กับ หลงตัวเอง
เว็บไซต์ positive psychology ได้เน้นจุดสำคัญของ 2 คำนี้ว่าแตกต่างกัน ตรงที่การรักตัวเองจะไม่มีการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นให้รู้สึกดีขึ้น ไม่โหยหาการยอมรับจากใคร
เพราะงั้นการรักตัวเองอย่างแท้จริง อาจเป็นในแง่ของการรักและยอมรับตัวเองโดยไม่ได้คิดว่าตัวเองมีดีกว่าคนอื่นในด้านนั้น ๆ เช่น เรียนเก่งกว่า ทำงานเก่งกว่า รวยกว่า สวยกว่า
รักตัวเอง กับ เห็นแก่ตัว
การรักตัวเองไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่รักตัวเองอาจกลายเป็นการเห็นแก่ตัว ถ้าเราหันกลับมาใส่ใจตัวเอง โดยไม่สนใจความรู้สึกและความต้องการของคนอื่น
ดังนั้น ต้องคำนึงถึงตัวเองและคนอื่นก่อนทำสิ่งที่เรียกว่า ” การรักตัวเอง ” เพราะเมื่อไหร่ที่เราทำโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดี อาจมีผลเสียที่จะกระทบอีกฝ่ายได้
สาเหตุที่ทำให้ไม่รักตัวเอง
จากบทความเว็บไซต์ Mediam บอกไว้ว่า โลกออนไลน์มีส่วน เพราะเรามักจะเห็นชีวิตของผู้คนอื่นที่ดูสมบูรณ์แบบ เป็นชีวิตที่เราต้องการ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอ ไม่มีคุณค่ามากพอให้ถูกรัก
ทำให้หลายคนสงสัยว่า เพราะอะไร? การรักคนอื่นถึงง่ายกว่าการรักตัวเอง เพราะตั้งแต่เด็กจนโต ทุกคนต่างถูกสอนให้รักและดูแลคนอื่น ใครดีกับเราเราควรดีตอบ จนทำให้หลงลืมที่จะรักตัวเอง
เมื่อไหร่ควรหันมารักตัวเอง
1. ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต เพราะไม่ชอบตัวเอง
2. เครียดหรือคิดมากกับปัจจัยภายนอก
3. สุขภาพกายและจิตย่ำแย่
รักตัวเอง ทำอย่างไร
1. เป็นเพื่อนที่ดีให้กับตัวเอง
จะดีแค่ไหนถ้ามีใครสักคนที่เข้าใจเรา ให้อภัยเรา ยอมรับเราในแบบที่เราเป็น ซึ่งเราสามารถมีทัศนคติแบบนั้นต่อตัวเองได้ ไม่ต้องไปหาจากใคร
2. แสดงออกถึงความเป็นตัวเอง
เพราะการเป็นตัวของตัวเองคือการกระทำที่สนับสนุนการยอมรับในตัวเอง เช่น เล่าให้คนอื่นฟังว่าตัวเองชอบอะไร แต่งตัวในแบบที่ชอบ เป็นต้น
3. หาและติดตามคอนเทนต์สร้างพลังบวก
เพราะหลาย ๆ ครั้ง การติดตามช่องทางที่สร้างคอนเทนต์ให้พลังบวก คนที่มีทัศนคติที่ดี รักและพอใจในตัวเอง จะเป็นแบบอย่างให้ปรับใช้ได้
4. พาตัวเองไปทำสิ่งที่อยากทำ ใช้ชีวิตในแบบที่อยากใช้
เพราะเมื่อได้ทำสิ่งที่อยากทำ เราจะชอบตัวเองที่ได้ทำ จะรู้สึกรักและขอบคุณตัวเอง ที่พาตัวเองมาทำสิ่งนี้
5. พยายามปล่อยสิ่งที่ทำร้ายเราออกไปให้ไวที่สุด
วันนี้เจอเรื่องอะไรที่ไม่ชอบ ทำให้เสียใจหรือทำให้เครียด ควรรีบหาทางปล่อยสิ่งที่ทำร้ายเราออกไปให้เร็ว
6. พาตัวเองไปอยู่กับคนที่เห็นคุณค่าในตัวเรา
เพราะต่อให้เราพยายามรักตัวเอง แต่การอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นคุณค่ จะทำให้เรารับรู้คุณค่าของตัวเองยาก
รักตัวเอง ส่งผลดีอย่างไร
1. ดีต่อสุขภาพ
ดีต่อสุขภาพจิต เพราะเมื่อรักตัวเอง เราจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น มีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเอง แล้วพอสุขภาพจิตดีสุขภาพกายจะดีตาม
2. สร้างโอกาสให้ตัวเอง
ถ้าเรารักตัวเอง เราจะไม่ปิดกั้นตัวเอง เราจะมีความสุข เราจะพาตัวเองไปทำสิ่งต่าง ๆ รู้จักผู้คนใหม่ ๆ ที่อาจจะนำพาโอกาสดี ๆ เข้ามาสู่ชีวิตได้
3. ไม่ต้องทนกับสิ่งที่ไม่ดีต่อเรา
เพราะถ้ารักตัวเองมากพอ เราจะพยายามดูแลตัวเองให้ดีในทุก ๆ ด้าน สร้างพลังบวก เรียนรู้ที่จะปล่อยสิ่งแย่ ๆ ที่ทำร้ายเราออกไปให้เร็วที่สุด
อ้างอิง
https://positivepsychology.com/self-compassion-self-love/#meaning-self-compassion
https://medium.com/invisible-illness/why-is-self-love-so-difficult-4b4d374a8372
“ คุยกับแม่ซื้อเหรอ? ” คำถามที่เรามักจะถูกถามเวลาที่เราแอบพึมพัมกับตัวเองแล้วคนอื่นแอบได้ยิน หรือเราเองก็อาจจะเคยถามเวลาเห็นคนอื่น พูดคนเดียว เช่นกัน
นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ทุกคนต้องเคยผ่านการพูดคนเดียวมาก่อน แล้วการพูดคนเดียวถือเป็นเรื่องปกติไหม?
พูดคนเดียว คืออะไร?
การพูดคนเดียว หรือว่า Self Talk จะมีทั้งการพูดกับตัวเอง และการพูดในใจด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการพูดให้กำลังใจตัวเอง บ่นกับตัวเอง หรือว่าการพูดชื่นชมตัวเองนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
แต่เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่ช่วยจัดการกับความคิดของตัวเราเอง ช่วยจัดระเบียบความคิดที่ยุ่งเหยิงให้กับตัวเราเองอีกด้วย
พูดคนเดียว ผิดปกติไหม?
ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งที่เราจะพูดคุยกับตัวเอง Self Talk ไม่ถือเป็นอาการทางจิต แต่ถือเป็นเรื่องธรรมดาและยังส่งผลดีต่อตัวของเราเองด้วยเช่นกัน
การพูดคนเดียวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ตัวอย่างสำหรับการศึกษาเอง สำหรับบางคนก็อาจจะเรียนในสิ่งที่ต้องได้รับการฝึกฝน
เช่น ถ้าเราเรียนด้านภาษา มันอาจจะเป็นโอกาสที่น้อยมากที่เราจะได้ฝึกฝนการพูด เพราะเราไม่ได้อยู่ในประเทศของเจ้าของภาษานั้น ๆ
ดังนั้น การพูดกับตัวเองในภาษาที่เราเรียนหรือภาษาที่เรียนสนใจ ก็เป็นการช่วยฝึกฝนสำเนียง การออกเสียงและเป็นตัวเลือกการฝึกภาษาที่ดีเช่นกัน
ข้อดีของการ พูดคนเดียว
- เป็นการฝึกฝนตัวเอง
- ได้ย้ำความคิดของตัวเอง ทำให้จดจำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
- เป็นการจัดระเบียบความคิดของตัวเองได้ด้วยเหมือนกัน
- ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น เมื่อเราตกอยู่ในสภาวะที่ไม่สู้ดี หรือว่าบั่นทอนความรู้สึกของตัวเอง
- ทำให้เราเองได้ทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
ข้อเสียของการพูดคนเดียว
- ถ้าเราพูดกับตัวเองในด้านลบ ก็จะทำให้ในความคิดของเราอยู่กับสิ่งที่เป็นลบ ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่กับตัวเอง
- กระทบต่อ Self-esteem
พูดคนเดียว แบบไหนที่ผิดปกติ?
- การพูดคนเดียวที่ผิดปกติ อาทิเช่น การพูดคนเดียว แบบที่เราได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหัวของเราเองเลย และพูดออกมาได้เป็นเรื่องราว
- การสร้างตัวตนอีกคนหนึ่งขึ้นมา เพื่อตอบโต้ พูดคุย ข้อนี้อาจจะเข้าข่ายโรคจิตเภทได้เช่นกัน อาจจะต้องเข้ารับการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน
พูดคนเดียวอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
การพูดคนเดียวในเชิง Positive ทำให้ตัวเองรับรู้ถึงพลังงานบวก ให้กำลังใจตัวเองในสิ่งที่ตัวเองเจอ ชื่นชมกับสิ่งเล็ก ๆ น้อยที่ตัวเราทำได้ดี
หรือเป็นการระบายความรู้สึกหนักอึ้งที่อยู่ในใจเราออกมา ทำให้เรารู้สึกเบาลงได้:)
.
.
.
“เพราะ ไม่มีใครเข้าใจตัวเราได้ดีไปกว่าตัวเราเอง”
หากว่าพูดถึงคำว่า ‘ ความสุข ’ แต่ละคนก็อาจจะมีความคิดเกี่ยวกับคำ ๆ นี้ที่ต่างกันไป แต่หลาย ๆ คนก็อาจจะมีความคิดที่เหมือนกันว่า
‘ความสุข คือ สิ่งที่เราทำแล้วมันความสุข ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน สบายใจที่จะทำ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้นาน’
สำหรับบางคน คำว่าความสุขอาจจะเป็นคำ ๆ นึงที่นิยามออกมาได้ยาก เพราะบางครั้งการทำสิ่งที่เรามีความสุขมันก็ไม่สามารถทำได้เสมอไปเหมือนกัน
เหมือนกับว่ามีเงื่อนไขบางอย่างเข้ามามีส่วน อาทิเช่น การเงิน และเวลา ซึ่งแต่ละคนมีนิยามความสุขที่แตกต่างกันไป ไม่มีใครนิยามออกมาได้เหมือนกันเสมอเช่นกัน
เงื่อนไขของ ความสุข
การที่เราจะมีความสุขได้นั้นจริง ๆ แล้วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวบุคคลเองด้วยเช่นกัน ว่าแต่ละคนจะมีเงือนไขอย่างไรกับสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข
บางคนก็อาจจะเป็นเรื่องของเงินทอง หรือว่าบางคนก็อาจจะมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้มาเช่นกัน หรือบางคนก็อาจจะเป็นเรื่องของการประสบความสำเร็จในการทำงาน เช่นกัน
เงื่อนไขของแต่ละคนเองก็เช่นกันที่ไม่เหมือนกัน แต่บางคนก็ไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไรที่จะมีความสุขกับตัวเองได้เช่นเดียวกัน
การใส่ใจสิ่งที่ทำให้ตัวเราเองมีความสุขก็ย่อมต่างกันเช่นกัน บางคนก็อาจจะใส่ใจกับตัวเองในแต่ละวัน บางคนก็อาจจะมีความสุขกับตัวเองได้เเล้วเหมือนกัน
แน่นอนนอกจากการใส่ใจกับตัวเองแล้ว การใส่ใคนรอบข้างก็เปรียบเสมือนกับการขยายความสุขของเราเองให้กว้างขึ้นเช่นกัน และมีความสุขกับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นและมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เพราะอะไรถึงไม่มี ความสุข
คนอื่นอาจจะมองว่าเราควรจะมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ในขณะนั้นแต่นั่นคือความคิดของเขาเอง แต่ลึก ๆ แล้วสิ่งที่เราเจอเขาเหล่านั้นไม่ได้มารับรู้ หรือว่าพบเห็น รู้สึกได้กับความรู้สึกของเราเองเช่นกัน
เรารู้ตัวเองที่สุด ว่าสิ่งที่เราเจออยู่นั้น เขาอาจจะไม่ได้เข้าใจเราในจุด ๆ หนึ่งว่าเราต้องผ่านอะไรมาบ้าง ปัญหานั้นหนักสำหรับเราเองแค่ไหน
เพราะฉนั้น พยายามเข้าใจเขาว่าเค้าไม่ได้มาเจอกับเราเหมือนกัน เพียงแต่เขาหวังดีอยากให้เรามีความสุขเท่านั้นเอง
ภูมิต้านทานความทุกข์ของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน
แต่ละคนมีภูมิต้านทานความทุกข์ของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน เป็นเรื่องจริง จากการเลี้ยงดูในวันเด็กก็มีส่วนเช่นกัน การที่เราจะมีภูมิต้านทานต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน
เพราะฉนั้น พยายามไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือว่าเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเองเช่นกัน นอกจากนั้นสำหรับบางคนที่อาจจะมีครบทุกอย่าง
แต่ยังไม่มีความสุขนั้นก็อาจจะหมายถึง เค้ายังคงต้องการบางสิ่งบางอย่างอยู่ ถึงทำให้เขาไม่มีความสุขคงพูดไม่ได้เว่าเค้ามีทุกอย่างแล้วจริง ๆ เช่นกัน
ทุกคนแตกต่างกัน การที่เรามีครบทุกอย่างไม่ได้แปลว่าเรามีความสุขเสมอไปเหมือนกัน เพราะอย่างไรเรายังต้องเจอความไม่สบายใจต่าง ๆ อยู่ได้เสมอ
ความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ทำอย่างไรดี
ในหลาย ๆ ครั้ง เราจะต้องใช้ชีวิตประจำวัน ไปทำงาน ไปเรียน หรือว่าวัยไหนก็แล้วแต่เป็นไปได้ที่จะตกอยู่ในความทุกข์ หรือว่าสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่า Toxic
อย่างเช่นการทำงาน ที่ต้องอยู่กับเพื่อนร่วมงานหรือว่าหัวหน้างานที่ Toxic แต่จะให้ลาออกก็ไม่ได้ เพราะงานเป็นสิ่งที่หายากในช่วงนี้
หากว่าเราตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ การเข้าพุ่งชนกับปัญหาและคิดในทางบวก ลองท้าทายกับปัญหากันดูสักครั้ง แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ การเลือกทำใจ ให้ตัวเองได้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เราอาจจะต้องอยู่กับสิ่งนั้นไปสักพัก
แต่เมื่อใดมีโอกาสได้เจอกับสิ่งที่ดีกับตัวเอง ลองคว้าเอาไว้ และไปทำสิ่งนั้นที่เราเลือเพราะมันก็อาจจะทำให้เราได้เจอกับสิ่งที่ดีเหมือนกัน
แต่หากเราทุกข์กับตัวเอง น้อยใจกับตัวเอง หรือกับบางคนที่รู้สึกว่าเรามีความสุขด้วยตัวเราเองไม่ได้เลย ลองกลับมาถามตัวเองกันก่อนสักนิด ว่าตอนนี้เราเอาความสุขของตัวเองไปผูกไว้กับใครอยู่หรือเปล่า
ความสุขของแต่ละคนแตกต่างกันไป การได้ลองออกไปค้นหาตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เราสุข สุขที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้นาน ได้ทั้งวันเลย
เป็นสิ่งไหนหรือว่าใครก็ตามที่เราอยู่ใกล้ สิ่งไหนบ้าง ที่ทำแล้วมีความสุข ลองให้เวลากับตัวเอง และค้นหาสิ่งเหล่านั้นกันก่อนบ้าง ก็เป็นอีกสิ่งที่ดีที่เราทำเพื่อตัวเองได้เช่นกัน