Posts
ในวันที่ทุกข์ใจแต่ไม่รู้จะพึ่งพาใคร รู้สึกตัวคนเดียว ไม่มีคนซัพพอร์ต ทำอย่างไรดีกับความรู้สึกนี้ . .
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
ไม่มีคนซัพพอร์ต
การถูกซัพพอร์ตบางคนอาจจะนึกถึงการถูกซัพพอร์ตทางด้านร่างกาย วัตถุ จิตใจ มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการอยู่ร่วมกันในสังคมใหญ่ ปัจจัยการถูกซัพพอร์ตจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ
การอยู่ในสังคมอาจจะมองว่ามันใหญ่มาก ๆ แต่ที่จริงแล้วคนที่ต้องการคนซัพพอร์ตเขาเพียงต้องการใครสักคนหนึ่งที่พร้อมจะเข้าใจโดยไม่ตัดสินเขานั้นเอง
มนุษย์มักจะต้องการการซัพพอร์ตทางด้านอารมณ์ ในวันที่รู้สึกว่ามันเบื่อ มันเศร้า มันท้อแท้ ต้องการการพึ่งพาทางจิตใจพื้นที่ปลอดภัยการรับฟังที่ดี สิ่งเหล่านี้เรียกว่าการต้องการการซัพพอร์ตทางด้านจิตใจ
อีกด้านหนึ่งเลยคือการซัพพอร์ตทางด้านร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่การปกป้องเมื่อได้รับอันตรายแต่รวมถึง บ้าน วัตถุ มันคือความต้องการการซัพพอร์ตทางด้านร่างกายทำให้เรารู้สึกไม่ขาด สะดวกสบายทางด้านร่างกาย มันเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นเช่นกัน
การซัพพอร์ตทางด้านข้อมูลเรากำลังสับสน ไม่สามารถตัดสินใจได้ เราแค่ต้องการใครสักคนที่เข้ามาคลายความสงสัย ช่วยซัพพอร์ตข้อมูลที่ขาดหายของเราไป หรือแม้กระทั้งทำให้เราเห็นมุมมองต่าง ๆ ที่มันหลากหลายก่อนจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
การซัพพอร์ตที่ช่วยให้เราอยู่กับความเป็นจริง เช่น วันนี้เรารู้สึกไม่เก่งเลย เราต้องการให้ใครสักคนมาช่วยซัพพอร์ตว่าเราเป็นแบบนั้นจริง ๆ ไหม เราเป็นแบบที่เราเชื่อจริง ๆ หรือเปล่า
ในสิ่งที่กล่าวมาล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนย่อมต้องการให้คนอื่นมาซัพพอร์ตในวันที่เรารู้สึกไม่เหลือใคร รู้สึกหลงทาง แต่ถ้าเรามองในมุมกลับแล้วการที่มีคนซัพพอร์ตเรามันดีมากเลยจริง ๆ
และตัวเราได้เป็นที่ซัพพอร์ตให้คนอื่นไหม? การที่จะเป็นผู้ซัพพอร์ตให้คนอื่นที่ดีอยากให้ค่อย ๆ ลองทำสิ่งที่เราอยากได้รับจากคนอื่นไปซัพพอร์ตคนอื่นที่อยากได้แรงซัพพอร์ตจากเราเหมือนกัน
แค่การได้เล่าเรื่องอึดอัดใจก็อาจจะทำให้รู้สึกถึงทางออกแล้ว
รู้สึก ไม่มีคนซัพพอร์ต อาจเป็นเพราะ ..
อคติในใจเราอาจจะเป็นตัวปิดกั้นที่ทำให้ไม่เห็นว่ามีใครอยู่ข้าง ๆ เรา ในวันที่เรามีอคติกับใครหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะทำให้เราไม่เห็นความดีของพวกเขา ลองหันหลับมามองว่าถ้าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพราะตัวเรา
อาจจะลองปรับเปลี่ยนที่ตัวเราเอง แต่ถ้าเราทำเต็มที่ของเราแล้วแต่เรายังรู้สึกว่าไม่มีใครที่สามารถซัพพอร์ตเราได้เลย รู้สึกต้องการที่พึ่งทางใจจังเลย อยากให้ลองไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำ
รักทางไกล หรือ Long Distance Relationship แน่นอนว่าถ้าพูดถึงความรัก ย่อมมีปัญหาต่าง ๆ เข้ามา เพราะคงไม่ใช่ทุกคู่ที่จะเจอกับความรักที่ราบรื่นแบบที่เราหวัง
หนึ่งในปัญหาที่หลาย ๆ คู่เจอน่าจะเจอ เป็นเรื่องของระยะห่างระหว่างกัน
อาจจะด้วยสถานการณ์โควิด ทำให้หลาย ๆ คู่ต้องห่างกันหรืออาจจะเป็นเพราะโควิดหรือทำให้หลาย ๆ คนเลือกจะตามหาความรักจากโลกออนไลน์มากขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่า พอเลือกที่จะมีความรักจากโลกออนไลน์ก็มักจะมาพร้อมกับระยะทางที่ไกลกัน
Long Distance Relationship คืออะไร
Long Distance Relationship คือ ความสัมพันธ์ทางไกล การที่คู่รักไม่ได้อาศัยอยู่ใกล้กัน ขาดการปฏิสัมพันธ์แบบซึ่ง ๆ หน้า มีหลากหลายรูปแบบ อาจจะเป็น
1. ความสัมพันธ์ทางไกลตั้งแต่แรก คือรู้จักกันทางออนไลน์แล้วไม่สะดวกที่จะย้ายมาอยู่ร่วมกัน
2. ความสัมพันธ์ทางไกลแบบจำเป็น คือสถานการณ์ทำให้ต้องมีความสัมพันธ์ทางไกล เช่น มีเหตุให้ต้องย้ายไปทำงานที่อื่นแล้วต้องแยกกัน
ยิ่งไกลยิ่งรักน้อยลง?
ระยะทางยิ่งไกลยิ่งรักน้อยลง อาจจะแล้วแต่คู่ ถ้าไกลแล้วยังคุยกันทุกเรื่องสม่ำเสมอ หาเวลามาอยู่ด้วยกันก็อาจจะไม่น้อยลง ส่วนใหญ่ที่ไกลแล้วรักน้อยลง คือ
เราแชร์โมเม้นในชีวิตกันน้อยลง ข้าวก็ไม่ได้กินด้วย คุยกันระหว่างวันนิดหน่อย ถ้าทำแบบนี้นาน ๆ ไป ความรักที่เคยมีก็อาจจะน้อยลง
ระยะทางไม่เกี่ยวกับระดับของความรักสักเท่าไหร่ มันอยู่ที่ว่า เราแสดงออกความรักกันมากพอไหมมากกว่า เพราะลองคิดกลับกัน คู่รักที่อยู่ใกล้กัน แต่ไม่คุยไม่ยุ่งกันเลย การอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่ได้แปลว่าจะรักกันมาก
ปัญหาของรักระยะไกล ( Long Distance Relationship )
1.ทะเลาะกันบ่อยขึ้น เพราะสื่อสารลำบาก เวลาว่างไม่ตรงกัน
2.ไม่เชื่อใจ ระแวงกันมากขึ้น อาจจะเกิดจากการที่ทั้งเราและเขาไม่ได้เเชร์โมเม้นต์ด้วยกันสักเท่าไหร่
3.มีความคิดว่าความสัมพันธ์นี้เป็นไปได้ยาก
4.รู้สึกว่าเราอยู่ด้วยตัวเองได้เพราะความรักก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขขนาดนั้น
5.ไม่ได้ใกล้ชิดกันหรือสกินชิพ
6.อยากเจอแล้วไม่ได้เจอ มันก็จะเกิดเป็นความทุกข์
ข้อดีของรักระยะไกล ( Long Distance Relationship )
1.Endless honeymoon periods/phase
คู่รักทุกคู่จะมีช่วงที่เรียกว่า Honeymoon Period แต่กับคู่รักที่เป็น Long Distance Relationship อาจจะหมดช้ากว่า จะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เจอกัน เพราะนาน ๆ เจอกันที
2.เห็นคุณค่าของเวลา
เพราะนานๆเจอกันที ทั้งคู่ก็จะเห็นคุณค่าของเวลามากขึ้นเพราะเรามีเวลาน้อยที่จะได้อยู่ด้วยกัน
3.ได้มีเวลาให้ตัวเอง
เราจะได้อยู่กับตัวเอง เอนจอยกับตัวเองได้มากขึ้น เราจะมีการเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองในเวลาที่ห่างกันได้และทำให้เราทั้งคู่เคารพเวลาของกันและกันมากขึ้น มี space ระหว่างกัน
4. ระยะทางทำให้คิดถึงกัน
ความสัมพันธ์ระยะไกลก็มีมุมโรแมนติกอยู่ เพราะบางทีระยะห่างก็ทำให้ได้คิดถึงกัน
งานวิจัยของ kelmer และคณะ ในปี 2012 เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางไกลไว้ด้วยค่ะ กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้จะเป็นคู่รักที่มีความสัมพันธ์ทางไกล
ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คู่รักเหล่านี้มองว่าเป็นความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ ระดับของความทุ่มเทในการรักษาความสัมพันธ์จะสูง และ พวกเขาไม่รู้สึกถึงการถูกบังคับหรือรู้สึกว่าถูกจำกัด
Long Distance Relationship รอดหรือไม่รอด ?
ถ้ามองแบบกลาง ๆ เลยคือ ความพันธ์จะรอดเมื่อ
“ทั้งสองฝ่ายโอเคกับความสัมพันธ์แบบนี้ทั้งคู่”
“มีทัศนคติที่ตรงกัน”
ประคับประคองยังไงถ้าต้องห่างไกลกัน
1.เรียนรู้ที่จะจัดการความคิดตัวเอง
2.ไม่ทำให้รู้สึกว่าต้องรอคอย
3.แชร์โมเม้นต์
4.ให้เวลากันและกัน นัดเจอกันบ้าง
5.ให้กำลังใจ บอกรัก ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ
6.ให้เวลากับตัวเองบ้าง
No-distance Relationship แล้วถ้าไม่มีระยะห่างเลย ?
close-proximity romantic relationships หรือ proximal relationship ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ไม่มีระยะห่างระหว่างกันเลย จนอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัด
ทุกคนต้องการพื้นที่ของตัวเอง พื้นทีที่เขาได้เอนจอยกับตัวเอง อาจจะต้องสื่อสารกันให้ชัดเจนเลย ว่าเวลานี้เราทำอะไร ๆ เคารพเวลาของเราทั้งคู่
การสื่อสารเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ เพราะการทำความเข้าใจกัน ด้วยการพูดคุย แลกเปลี่ยนกันว่าฉันต้องการอะไร เธอต้องการอะไร เป็น key ของการรักษาความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ
เคยไหมที่รู้สึกว่าตัวเองเป็น คนพลังงานน้อย เหนื่อยง่าย เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน
วันนี้ Alljit Podcast กับรายการ Learn & Share จึงอยากจะชวนทุกคนพูดคุยถึงการใช้ชีวิตฉบับคนพลังงานน้อย
คนพลังงานเยอะ vs คนพลังงานน้อย
คนพลังงานเยอะ คือ คนที่แอคทีฟ คนที่รู้สึกว่าการทำกิจกรรมเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังชีวิต ในขณะที่คนพลังงานน้อย คือ คนที่เหนื่อยง่าย หมดแรงง่าย ในการใช้ชีวิตประจำวัน
1. พลังงานน้อยเพราะเป็นลักษณะเฉพาะตัว
- กลุ่ม Introvert ที่จะเหนื่อยง่ายเมื่อต้องทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
- กลุ่ม Highly Sensitive Person (HSP) ที่จะเหนื่อยง่ายเพราะไวต่อการรับรู้สิ่งรอบตัวมากเกินไป
2. พลังงานน้อยเพราะขาดการดูแลตัวเอง
- การกินไม่เหมาะสม กินน้อยหรือกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จะทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
- การนอนไม่เหมาะสม มี 2 กรณี คือ นอนน้อยเกินไปจนพักผ่อนไม่เพียงพอ และ นอนมากเกินไปจนร่างกายเกิดภาวะ Excessive Daytime Sleepiness ทำให้ตื่นตัวน้อยและง่วงมากผิดปกติ
ขี้เกียจกับพลังงานน้อยแตกต่างกัน พลังงานน้อยคือไม่มีแรงที่จะทำ ในขณะที่ขี้เกียจ ถึงแม้จะมีแรง กลับไม่อยากทำเมื่อคนพลังงานน้อยต้องอยู่ร่วมกับคนพลังงานเยอะ
อาจส่งผล 2 รูปแบบ คือ รู้สึกฝืน หรือตรงกันข้าม คือ รู้สึกมีพลังตาม สดชื่น อยากทำกิจกรรม
สัญญาณเตือนเมื่อพลังงานน้อย
แน่นอนว่าการใช้ชีวิตในแต่ละวัน มีเรื่องให้ต้องทำและรับผิดชอบมากมาย สัญญาณเตือนเมื่อพลังงานน้อยของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป เช่น
1. คิดและประมวลผลช้าลง
2. การโต้ตอบกับคนรอบข้างช้าลง
3. ควบคุมสีหน้าและร่างกายได้ไม่ดี
ผลกระทบจากการเป็น คนพลังงานน้อย
1. รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่สนุกกับงานที่ทำ งานมีประสิทธิภาพน้อยลง
2. กระทบกับการเข้าสังคม อาจทำให้ถูกมองว่าแปลกหรือเข้ากับคนอื่นยาก
3. กระทบกับความปลอดภัย เช่น การขับขี่ยานพาหนะ อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้นเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า
ใช้ชีวิตฉบับคนพลังงานน้อย
เป็นคำถามสำคัญเลย ว่าคนพลังงานน้อยจะทำอย่างไรได้บ้าง ให้ใช้ชีวิตได้อย่างไม่ติดขัด
1. หาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ถูกจุด ดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
2. รู้จักและเข้าใจตัวเอง ว่าพลังงานน้อยมาจากสาเหตุอะไร เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตให้สอดคล้องไปกับสิ่งที่เป็นได้
3. วางแผนเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำ เวลาที่ต้องทำ และพลังงานที่ต้องใช้ หากแบ่งเวลาอย่างชัดเจน จะทำให้มีเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนด้วย
4. ยอมรับตัวเองและไม่กดดันตัวเอง คำพูดที่ใช้กับตัวเองควรเป็นคำพูดในเชิงบวกที่เสริมสร้างกำลังใจ ไม่งั้นอาจจะยิ่งลดทอนพลังงานให้น้อยลงกว่าเดิม
เพราะอะไรเราถึงดีไม่เท่าคนอื่น สวยไม่เท่าคนอื่น หล่อไม่เท่าคนอื่น หรือว่ารวยไม่เท่าคนอื่น เวลาที่มีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นกับเราแล้วหลาย ๆ คนจะรู้สึก น้อยใจโชคชะตา ของตัวเอง
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
น้อยใจโชคชะตา
เวลาความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นมันบั่นทอนความรู้สึกเรามาก ๆ เลยเวลาที่เกิดเป็นความรู้สึกน้อยใจต่อโชคชะตาบางทีเราอาจจะเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าอะไรที่ทำให้เราต้องมายืนจุดนี้
แต่ในขณะเดียวกันมีใครหลาย ๆ คนเลยที่เขาสามารถเดินไปได้ไกลกว่าเราความรู้สึกแบบนี้เวลามันเกิดขึ้นแล้วมันอาจจะต้องมองกลับมาด้วยว่ามนุษย์เราทุกคนที่เกิดมามีความแตกต่างกัน
มีต้นทุนแต่ละอย่างในชีวิตที่มันไม่ได้เท่าเทียมกันบางคนเกิดมาบนกองเงินกองทองเกิดมาบนพื้นฐานของครอบครัวที่มีความพร้อมในการที่จะ support ให้สามารถก้าวเดินต่อได้
หรือกลับบางคนเขาก็เกิดมาบนครอบครัวที่มีความพร้อมทั้งด้านการเงินมาก ๆ การเริ่มต้นในชีวิตของเขาเองมันก็ดูเหมือนง่ายดายกว่าเรา
แต่ในขณะเดียวกันหลาย ๆ คนก็มองว่าถ้ามันเป็นแบบนั้นแล้วเราสามารถมีความรู้สึกแบบนั้นกับตัวเองได้ไหม?
หลายคนมีความไม่เท่าเทียมกันตั้งแต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์บางคนเลือกที่จะสร้างตัวในช่วงอายุเท่านี้ เพียงเพราะว่าเขามีต้นทุนทางด้านการเงินแต่กับใครหลาย ๆ คน
ก็รู้สึกว่าจะต้องผลักดันตัวเองจะต้องถีบตัวเองขึ้นมาเพื่อให้มีจุดที่เท่าเทียมกับคนอื่น
ในปัจจุบันสิ่งเหล่านั้นมันอาจจะไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้เราจะต้องยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเองเพียงแค่ความรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาที่เรามีไม่เท่าคนอื่น
แต่ถ้าเรามีความรู้สึกว่าเราอยากจะทำให้โชคชะตาตรงนั้นผันแปรมาเป็นการพัฒนาตัวเอง เพิ่มพูนทักษะให้กับตัวเอง หรือแม้กระทั่งไม่หยุดในการที่จะทำให้ตัวเราเอง ดีขึ้นจากจุดเดิม
สาเหตุที่เรามีความรู้สึก น้อยใจโชคชะตา
1. เราเอาตัวเราเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะว่าตัวเราเองถูกเลี้ยงดูมาภายใต้ความรู้สึกมีคุณค่าไม่มากพอหรือความคิดของคนอื่นมีผลแล้วก็มีอิทธิพลต่อเรามาก ๆ
2. มนุษย์เป็นสัตว์สังคมมีการลอกเลียนแบบกันและกัน เลยทำให้เวลาที่ตัวเราเอง มองเห็นว่าใครดีกว่าหรือใครสามารถทำอะไรได้มากกว่าเรา เราก็จะมาเปรียบเทียบตัวเอง
แล้วก็เกิดเป็นความน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองได้เหมือนกัน
3. ค่านิยมที่จะต้องมีความเหมือนกัน เท่าเทียมกัน มีความเห็นพ้องต้องกัน ความคาดหวัง และมุมมองของคนอื่นมีอิทธิพลตัวต่อตัว
อยากให้เราลองปรับเป็นเราจะต้องแบบพัฒนาตัวเองยังไง หรือจะต้องยืนอยู่ตรงจุดไหนที่ตัวเราเองจะสามารถเกิดเป็นความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองได้บ้าง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาหรือน้อยใจในโชคชะตา
ที่เราไม่มีมีเหมือนคนอื่นบางทีมันก็มาบดบังศักยภาพในตัวเรา ทำให้เราหลงลืมไปว่าตัวเราเองก็มีทรัพยากรที่ดีที่อยู่ในตัวเราได้เหมือนกัน และที่เราหลงลืมศักยภาพของตัวเองความรู้สึกน้อยใจ ความรู้สึกไม่สมหวัง
กับโชคชะตาที่เราคาดหวังไว้มันก็มักจะกัดกินความรู้สึกของเราเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ต้องหันกลับมามองตัวเองกลับมาดูแลตัวเอง
แล้วก็หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเพื่อให้ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเราเองมันค่อย ๆ จางลงไป
“การทำงานร่วมกัน” แน่นอนว่าต้องมีคนมากกว่าสองคนขึ้นไป แน่นอนว่าต้องมีหลากหลายความคิด หลากหลายทัศนคติ หลากหลายประสบการณ์ และสิ่งที่ตามมาจากความหลากหลายนั้นก็คือ ปัญหากับ เพื่อนร่วมงาน
Alljit ร่วมกับคุณกวินทิพย์ จันทนิยม นักจิตวิทยาการปรึกษาและตอนนี้กำลังทำงานในตำแหน่ง HR (Human Resource / Human Resource Management)
วิธีรับมือกับ เพื่อนร่วมงาน ที่ทำให้การทำงานราบรื่น
บางครั้งเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำงานร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเราได้ แต่เราก็ต้องทำงานร่วมกับเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามทำงานร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเราให้ได้ โดย อาจจะใช้วิธี ดังต่อไปนี้
1.โฟกัสที่งานอย่างเดียว
มีสมาธิและความสนใจไปที่งานของเราเท่านั้น อย่าพยายามไปใส่ใจสิ่งอื่นๆจากเขาคนนั้น ทำงานของเราออกมาให้ดีที่สุดก็พอ
2.หลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องอื่นนอกเหนือจากงาน
ให้พยายามพูดคุยกับเขาคนนั้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานก็พอ จะได้ไม่เกิดการปะทะกันมาก
3.เปิดใจคุยกันแบบไร้อคติ
ถือโอกาสปรับความเข้าใจกันระหว่างทำงาน ถ้าเป็นไปได้ ใช้เวลาที่ทำงานด้วยกันนี้ในการปรับความเข้าใจกัน เพื่อที่จะลดความไม่ชอบกันลง พูดคุยกันแบบตรง ๆ ไปเลยจะได้เข้าใจมุมมองของเขาและเรา
“เหนื่อยงานไม่เท่าเหนื่อยกับ เพื่อนร่วมงาน ”
บางทีเราคิดว่างานที่ทำนั้นเหนื่อยแล้ว แต่พอเจอคนในที่ทำงานที่มีความเยอะสิ่งมาก ๆ นั่นแหละ ทำให้เราเหนื่อยมากยิ่งกว่างานที่ทำอีก บางทีงานที่ทำเรายังมีวิธีจัดการงานได้ง่าย ๆ แต่กับเรื่องคนนี่ค่อนข้างยาก
เพราะคนเรามีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายนิสัยใจคอ อยู่ที่ว่าเราจะเจอแบบไหนบ้าง เพราะฉะนั้นเหนื่อยงานก็ยังไม่เท่ากับเหนื่อยคน
เราควรพูดคุยกับคนที่นินทาเราไหม
สามารถพูดคุยได้ แต่เราต้องเว้นระยะและระวังในเรื่องที่จะพูดคุยด้วย หรือถ้าสามารถทำได้ก็ควรพูดคุยแค่เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานเท่านั้น เรื่องส่วนตัวยิ่งไม่ควรเลย เพราะเราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเค้าจะเอาเราไปพูดไปนินทาเรากับใครบ้าง
และสิ่งที่เค้าจะเอาไปพูดจะเป็นเรื่องจริงแค่ไหน จะเพิ่มเติมใส่อะไรเข้าไปบ้าง ถ้าเค้าเป็นคนที่ชอบนินทาอยู่แล้วยิ่งไว้ใจและเชื่อใจได้ยาก เพราะฉะนั้นเราควรพูดคุยกับเค้าในเรื่องงานมากกว่าหรือไม่ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว
โดน เพื่อนร่วมงาน เอาเปรียบ ทำอย่างไรดี ?
ปัญหาที่เจอในการทำงานอย่างหนึ่งเลยก็คงมีเรื่องเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบเรา อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังไม่มีความสุขในการทำงาน จนบางครั้งเรารู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องทำงานกับเพื่อนร่วมงานบางคน ความรู้สึกไม่สบายใจจะยิ่งมีมากขึ้น
เมื่อรู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานกำลังเอาเปรียบเรา ทำงานโดยไม่ได้ใส่ใจว่าการกระทำของเขาจะทำให้เราเดือดร้อนหรือไม่ แต่เราก็อาจจะเลี่ยงไม่ได้ถูกมั้ยคะต้องทำงานร่วมกัน เพราะฉะนั้นเราต้องมีวิธีรับมือกับเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ คือ
1.คุยแบบตรงไปตรงมา
ให้พูดคุยอย่างตรงไปตรงมาควรจะเปิดใจพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน บอกให้เพื่อนร่วมงานคนนั้นรู้ว่าเรารู้สึกไม่สบายใจอย่างไรบ้าง เราไม่ชอบพฤติกรรมส่วนไหนของเขาบ้าง และสิ่งเหล่านั้นทำให้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร
2.ให้หัวหน้าเข้ามาช่วย
ขอให้หัวหน้าเข้ามาช่วยจัดการแก้ไข ให้เราบอกหัวหน้าในสิ่งที่เราเจอหรือเป็นกังวล แล้วขอให้หัวหน้าช่วยเหลือเรา ให้ช่วยตักเตือนเพื่อนร่วมงานที่กำลังสร้างความเดือดร้อนให้เรา
3.หัดปฏิเสธ
อย่ามัวแต่เกรงใจ อะไรก็ได้ พยายามหาเหตุผลมาบอกเพื่อนร่วมงานคนนั้นว่าทำไมเราถึงต้องปฏิเสธงานที่เค้าวานให้เราทำให้ด้วยเหตุผลอะไรเราต้องหัดพูดหัดปฏิเสธให้เป็นบ้าง
เจ้านายที่เวลาเสนออะไร ไม่รับฟังเลย
1.ลองเปลี่ยนวิธีการนำเสนอใหม่
บางทีที่หัวหน้าไม่รับฟัง อาจเป็นเพราะสิ่งที่เราเสนอไปไม่ดึงดูด ไม่มีหลักการมากพอก็เป็นได้ ลองเสนอด้วยการอธิบายเหตุผลพร้อมข้อมูลหรือตัวเลขประกอบ จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้น เข้าใจง่ายน่าเชื่อถือ
2.การพูดถึงประโยชน์ที่จะได้รับ
หากดำเนินการตามที่เสนอมา โดยเน้นประโยชน์ที่มีต่อตัวผู้ฟังก่อนเป็นอันดับแรก จะทำให้ดูน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น
3.ลองนำเสนอกับคนอื่นดูก่อน
ก่อนนำเสนอหัวหน้า ลองนำความเห็นนี้ ไปเล่าให้คนอื่น ๆ ฟัง โดยเฉพาะคนที่มีตำแหน่งสูงกว่า หรือทำงานมานานกว่า เพื่อจะได้ลองทดสอบไอเดียและขอความเห็น ก่อนที่จะนำเสนอจริงกับหัวหน้า
4.ค่อย ๆ อธิบาย
เวลานำเสนอแก่หัวหน้าควรมีความใจเย็น ค่อย ๆ อธิบาย อย่าใช้อารมณ์และควรมีความสุภาพอ่อนน้อม
สภาพแวดล้อมการทำงานที่ toxic
สภาพแวดล้อมการทำงานที่ Toxic หรือ Toxic work environment เป็นสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงานอย่างเป็นสุขและทำให้งานไม่มีประสิทธิภาพ” หรือ “บรรยากาศการทำงานเป็นพิษ”
การทนทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ Toxic หรือ เป็นพิษ ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของคนทำงานอย่างมาก เพราะจะทำให้พนักงานรู้สึกไม่มีกะจิตกะใจในการทำงาน หมดเรี่ยวหมดแรง
เนื่องจากความเครียดที่มีต่อร่างกายและจิตใจและจะส่งผลทำให้เกิดอัตราการลาออกของพนักงานสูงด้วย
ทำงานออนไลน์ WFH รับมือกับ เพื่อนร่วมงาน และหัวหน้าอย่างไรได้บ้าง
ในกรณีทำงานแบบออนไลน์ เราและทีมงานอาจจะต้องมีการ meeting อัพเดตงานกันอยู่เป็นระยะ เพื่อป้องกันให้เกิดความผิดพลาดในงานน้อยที่สุด
ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีโปรแกรมวีดีโอคอลที่ทันสมัยและมีลูกเล่นหลากหลายโปรแกรม ที่สามารถนำเข้ามาช่วยในการทำงานหรือติดต่อสื่อสารผ่านทางออนไลน์ วีดีโอคอลได้ง่ายขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม zoom, Team, Google Meet หรือ โปรแกรม Slack
วิธีการปรับตัวกับ เพื่อนร่วมงาน
1.เริ่มจากการผูกมิตรและเปิดใจให้คนอื่น
โดยเริ่มต้นชวนเพื่อนร่วมงานคนอื่นคุยบ้าง ค่อย ๆ เรียนรู้นิสัยใจคอ ความชอบของเพื่อนร่วมงานแต่ละคน หากรู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่เป็นไร คุยกันแค่เรื่องงานก็ได้
2.ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน
เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกดี เพราะเป็นลักษณะของคนที่มีความอ่อนโยน สุภาพ ที่ใครพบเห็นก็ต้องรู้สึกเอ็นดูอยากเข้าหา
3.ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่เราสามารถจะช่วยได้
เช่น เสนอตัวช่วยเหลืองานต่าง ๆ อย่างงานเล็ก ๆ น้อย ๆ และควรทำด้วยความเต็มใจ รวมทั้งงานบางอย่างที่ไม่ใช่งานในหน้าที่ แต่เราสามารถช่วยได้และไม่เป็นการเบียดเบียนงานประจำของเรา ก็ควรเสนอตัวเข้าช่วยเหลือ
เราอาจรู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำความเข้าใจกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างานที่มีปัญหากัน แต่มันก็เป็นเหมือนบททดสอบหนึ่ง ถ้าเราสามารถแก้ปัญหาและปรับความเข้าใจกันได้
เราอาจจะรู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกเหมือนได้ปลดล็อคความรู้สึกหนักอึ้งที่แบกมาตลอดได้ บรรยากาศการทำงานก็อาจจะดีขึ้น ถ้าเราสามารถรับมือกับปัญหาที่เจอได้ ในครั้งหน้าเราก็จะมีภูมิต้านทานและสามารถรับมือกับมันได้แบบชิล ๆ เลยก็ได้
“บางครั้ง เราก็ไม่สามารถปฏิเสธที่จะไม่ทำงานกับคนที่เราไม่ชอบได้”
เป็น พี่คนโต ดียังไง? เป็นลูกคนเดียวคงจะดีกว่าไหม? หรือการเป็นน้องคนเล็ก พี่คนกลางมันดีกว่ากันนะ?
พี่คนโต ต้องเจอกับอะไรบ้าง?
การเป็นพี่คนโตแน่นอนว่าสิ่งที่ต้องเจอในตอนที่เราเกิดมาเพียงคนเดียว เป็นลูกของแม่คนเดียว การมีใครสักคนเกิดมาร่วมกับเราคงจะเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งดีใจที่ได้มีเพื่อน
และอาจจะทั้งน้อยใจที่ต้องแบ่งสิ่งต่าง ๆ กับน้อง แต่ความรู้สึกนี้มักจะเกิดขึ้นไม่นานเมื่อโตขึ้นเราจะค่อย ๆ เข้าใจว่าการที่มีพี่น้องมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
พี่คนโต ต้องแบกรับความคาดหวัง
เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่แล้วแต่ครอบครัวด้วยอย่างบางครอบครัวการเป็นพี่คนโตก็จะถูกฝังมาตั้งแต่เด็กเลยว่าพี่ต้องดูแลน้อง พี่ต้องแบ่งให้น้อง ถ้าพ่อแม่เป็นอะไรไปต้องดูน้องด้วย ซึ่งคำพูดเหล่านั้นมันเหมือนเป็นสิ่ง กดทับ สำหรับพี่คนโต
มันอาจจะทำให้พี่น้องหลายคู่ไม่ชอบกันเพราะคำพูดจากพ่อแม่ไปเลย ความรู้สึกของพี่ก็คงจะ เราขอเป็นคนธรรมดาได้ไหม? ขนาดตัวเราเองเรายังต้องดูแลลุ่ม ๆ ดอน ๆ เลย เราจะไปดูแลคนอื่นได้ยังไง?
ซึ่งถ้าใครที่เป็นพ่อแม่อยากให้ทำความเข้าใจกันใหม่อยากให้ลองมองมุมกลับว่าเราก็เคยเป็นเด็ก เคยสวมบทบาทในการเป็นลูกมาก่อน การที่เราถูกวางความคาดหวังในบทบาทต้องดูแลคนอื่น ด้วยคำพูดที่กดทับตั้งแต่เด็ก
มันคงจะเจ็บปวดมาก ๆ เลย หากเราเปลี่ยนจากคำว่า พี่น้องดูแลน้อง น้องต้องเชื่อฟังพี่ เป็นการเลี้ยงลูกให้เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันมันคงจะดีกว่า
ลูกคนเดียวต้องเจออะไรบ้าง?
1. เชื่อว่าทุกคนต้องเคยนึกถึงว่าวันนึงถ้าพ่อแม่จากเราไป พวกเขาค่อย ๆ แก่ลง เราโตขึ้น การโตขึ้นของเราเท่ากับพวกเขาใกล้จะจากเราไป และเมื่อวันนั้นมันมาถึงเท่ากับ
เราอาจจะต้องอยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนคู่คิดใช่ไหม การต้องแบกอะไรหลายอย่างไว้คนเดียวมันจะเหงาน่าดู แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่เป็นก็ขึ้นอยู่แต่ละบุคคลด้วย
2. ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว ถามเรื่องส่วนตัวทุกเรื่อง
3. ถ้าพ่อแม่ไม่ใช่พื้นที่สบายใจ ก็ไม่มีเซฟโซน
ปรากฏการณ์ลูกคนกลาง Middle child syndrome
ปรากฏการณ์ลูกคนกลางที่ว่านี้มาจาก ทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคลของแอดเลอร์ (Adler’s Individual Psychology) โดยอัลเฟรด แอดเลอร์ (Alfred Adler) ทำการหาคำตอบว่า ลำดับการเกิดของคนเรามีผลต่อบุคลิกภาพหรือไม่?
เขาได้กล่าวไว้ว่า ลูกคนกลาง ส่วนใหญ่มีบุคลิกที่มีความทะเยอทะยานสูง ไม่กลัวต่ออุปสรรค มีความอดทนสูง แต่มักรู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้ามอยู่ตลอดจากคนในครอบครัว
มีแนวโน้มที่จะเป็นคนดื้อรั้นและในส่วนลึกจะมีความรู้สึกอิจฉาพี่น้องของตัวเองจึงพยายามจะเอาชนะหรือแสดงความสามารถที่เหนือกว่าพี่และน้องออกมา
เนื่องจากลูกคนกลางมักคิดว่าพ่อแม่หรือ ปู่ ย่า ตา ยาย จะรักพี่คนโตและน้องคนสุดท้องมากกว่าตัวเอง ทำให้รู้สึกไม่มีตัวตน กลายเป็นปมปัญหาทางใจให้ลูกคนกลางรู้สึกมีความรู้สึกว่าน้อยใจและคิดว่าถ้าแบบนี้ไม่ต้องมีเขาก็ได้จริง ๆ
สุดท้ายแล้วไม่มีคำตอบไหนที่สามารถตอบได้ว่า ลูกคนเดียว หรือมีพี่น้องดี? แบบไหนดีกว่ากัน คำตอบนี้มันขึ้นอยู่กับครอบครัว ค่าใช้จ่าย ความพร้อมต่าง ๆ มากกว่า
การที่เราจะมีลูกเท่ากับว่าเราต้องพร้อมที่จะมีพร้อมที่จะมอบความรักการดูแลใครสักคนหนึ่งจริง ๆ
เคยรู้สึกว่าเป็นที่ รองรับอารมณ์ ใครไหม? ใครที่อารมณ์เสียหรือโมโหก็มักจะคิดถึงเราเป็นคนแรก บางทีพอเจอแบบนี้บ่อย ๆ เราก็จะรู้สึกว่าฉันทำอะไรผิดหรือฉันกำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่มันแย่แบบนี้ได้ยังไง?
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
เพราะอะไรเราถึงต้องกลายเป็นที่ รองรับอารมณ์ ของใครหลาย ๆ คนด้วย
ในสายตาของพวกเขาเหล่านั้นเราอาจจะเป็นเพียงถังขยะถังหนึ่งที่เขาพร้อมจะเอาอะไรมาลงตรงนั้นก็ได้ คำว่าถังขยะคนฟังอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นคำที่ดูรุนแรงเป็นคำที่เปรียบเทียบให้ความรู้สึกเจ็บปวดจังเลย
แต่กลับเป็นคำเดียวที่มองว่ามันเป็นคำจำกัดความค่าของคนที่อยู่ในสถานการณ์ของการถูกกระทำทั้งด้านอารมณ์ได้อย่างชัดเจน แล้วก็รู้สึกว่ามันเห็นภาพมากที่สุดด้วยเพราะเวลาเรานึกถึงถังขยะเราก็มักจะนึกถึงสิ่งเดียว
ที่เราไม่ต้องการอะไรแล้วหรือเรารู้สึกว่าเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนี้แล้วเราก็ไม่อยากจะเก็บอะไรไว้แล้วก็จะเอาไปใส่ในถังขยะซึ่งไม่ต่างกันกับเวลาที่ใครบางคนมีความรู้สึกเครียดความรู้สึกกดดันความรู้สึกคับแค้นในจิตใจ
ความรู้สึกโมโห เครียดกดดัน อะไรก็ตามแต่ที่มันเกิดขึ้นกับเขา พวกเขาเพียงมองหาเหยื่อสักคนนึงที่มาคอยรองรับอารมณ์หลาย ๆ อย่างของเขา
ซึ่งไม่ใช่คนอื่นคนไกลเพราะอารมณ์เหล่านั้นมักจะเป็นคนใกล้ตัวหรือกับคนใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์อะไรก็ ตามแต่ที่เขารู้สึกว่าเราเลือกทำกับคนนี้ได้
บางครั้งคนใกล้ชิดเราก็มักจะคิดเสมอว่าเราคงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนหรอกที่เราจะเข้าใจเขาเป็นอย่างดีหรือมากไปกว่านั้นเลยเขาก็มองว่าคนที่อยู่ในครอบครัว หรือคนที่อยู่ในบ้าน คนที่เป็นคนรักของเรา
เขาเป็นที่สบายใจ เป็นเซฟโซน หรือเป็นที่กักเก็บความรู้สึกดี ๆ ของเขาได้แต่กลับบางคนมันก็จะตรงกันข้ามบางคนอาจจะรู้สึกว่าคนยิ่งใกล้ตัวเท่าไหร่ยิ่งใกล้ ชิดมากเท่าไหร่ยิ่งง่ายต่อกันนำมาใช้เป็นสนามอารมณ์
หรือเป็นถังขยะในการรองรับ อารมณ์มากเท่านั้นเพราะเขามองว่ามีคนใกล้ตัวหรือคนใกล้ชิดเป็นคนที่เขาเข้าใจจริง ๆ คงไม่มาตวาดกันไม่ไม่มาใช้คำพูดหยาบคายมาด่าทอ
เพราะอะไรกันคนหนึ่งคนที่เกิดเป็นความรู้สึกแย่ ๆ ขึ้นต้องพาลใส่คนใกล้ตัวด้วย
ความจริงมันก็คือเวลาที่คนหนึ่งคนเกิดเป็นความรู้สึกคับข้องใจเป็นความรู้สึกไม่ดีความรู้ จัดการข่มอารมณ์บางอย่างของตัวเองเอาไว้ได้ จนมันกลายเป็นความรู้สึกที่จิตใจเขาไม่สงบสุขจน
มันก็กลายเป็นความรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจแล้วก็เกิดเป็นความรู้สึกไม่ปลอดภัยในภาวะอารมณ์ของเขา ดังนั้นแต่ละคนจึงพยายามที่จะหาวิธีในการระบายอารมณ์หรือผ่อนคลายความเครียดของตัวเอง
แม้กระทั่งการบรรเทาอารมณ์หรือความรู้สึกบางอย่างให้ลดลงอย่างเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองเกิดเป็นความรู้สึกทุกข์ใจหรือภาวะของความเจ็บปวดทางด้านจิตใจด้วยการใช้กลไกการป้องกันตัวเอง
เขาเองก็จะไม่ทันรู้ตัวก็ได้ซึ่งกลไกเหล่านี้มันเป็นกลไกที่เกิดขึ้นจากจิตไร้สำนึกของเขาที่จะช่วยให้เขาสามารถปกป้องตัวเองจากสิ่งที่มันเป็นความรู้สึกข้างในหรือสิ่งที่มันเป็นความรู้สึกที่เราไม่อยากจะเจ็บปวดเกิดความคับข้องใจ
เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่สามารถบังคับใครให้กลับมาทำดีกับเราได้ เราไม่สามารถบังคับใครให้เลือกวิธีการในการจัดการอารมณ์ได้ หากเขาคนนั้นไม่อยากที่จะเลือกวิธีการที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
ยังมีคนที่แย่กว่านะ บางครั้งในชีวิตเราต้องการคำพูดปลอบ แต่หลาย ๆ ครั้งคำพูดที่ถูกพูดถึงดีหรือเอามาใช้ในการปลอบใจเรามักจะมาในรูปแบบของคำพูดที่เปรียบเทียบหรือเปรียบเปรยเรากับคนอื่นอยู่เสมอ
ไม่เห็นเป็นไรเลยชีวิตคนอื่นก็แย่กว่าเราตั้งเยอะในวันที่เรารู้สึกแย่มาก ๆ ต้องการคำปลอบใจเราได้ยินคำแบบนี้เนี้ยเราอาจจะรู้สึกว่าแล้วตอนนี้ชีวิตเราไม่แย่ยังไง?
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
ยังมีคนที่แย่กว่านะ
เราเหนื่อยล้ามาก ๆ แล้วรู้สึกแย่มาก ๆ เรารู้สึกว่าตอนนี้เราแบบไม่ไหวอยากจะพูด ว่าเราไม่ไหวแล้วเราเหนื่อยจังเลยแต่มีคนมาพูดกับเราว่า ยังมีคนที่แย่กว่าแกตั้งเยอะเลย เป็นคำพูดที่พอฟังแล้วมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
คำพูดเหล่านี้มันเหมือนกับเรามักจะใช้โดยปกติมาก ๆ โดยสามารถมองว่ามันเป็นคำพูดที่สามารถใช้ได้แล้วก็เป็นคำพูดที่เราเอามาใช้ในการผลักดันกันเพื่อให้สามารถก้าวผ่านอุปสรรคตรงนั้นไปได้ หรือบางคนมีมุมมองว่า
คนอื่นแย่กว่ามากกว่านี้เยอะเลย หรือคนอื่นเขายังต้องเหนื่อยกว่านี้อีกตั้งเยอะเลยมันเป็นคำพูดที่ช่วยให้เราเป็นแรงเพื่อไปสู่ความสำเร็จได้มากขึ้น
ในมุมมองนักจิตวิทยาจริง ๆ แล้วการเลือกใช้คำพูดแบบนี้มันมีมุมที่ดีในวันที่เขาไม่ได้รู้สึกแย่ แต่ในขณะเดียวกันถ้าคำพูดเหล่านี้บางทีมันเหมือนเป็นการทับถมมันเหมือนการที่ทำให้เขารู้สึกว่าไอ้ความรู้สึกแย่ของเขาใน
ตอนนั้นมันไม่สำคัญหรอเพราะอะไรถึงต้องชี้ประเด็นไปที่คนอื่น อะไรทำให้ต้องมองแล้วก็เปรียบเทียบไปที่บุคคลอื่นอยู่ตลอดเวลา การพูดแบบนี้บางทีมันทำให้มันบั่นทอนมาก ๆ
พอได้คำปลอบใจหรือคำปลอบประโลมแบบนี้จะดึงให้เรารู้สึกแย่แล้วก็แย่ลงไปกว่าเดิมอีกได้ โดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกแย่มาก ๆ ต้องการพึ่งพิงใครสักคนที่คอยรับฟัง
เวลาที่มีใครมาบ่นกับเราหรือมาพูดกับเราว่าเขาเหนื่อยจังเลยเขารู้สึกแย่จังเลย ชีวิตเขามันแย่จังเลย เราใช้คำพูดว่าเฮ้ยมันแย่ยังไงคนอื่นแย่กว่านี้
มันเหมือนไปกระทบกับความรู้สึกลึก ๆ ว่า จริง ๆ ว่าความรู้แย่ของเขาตอนนี้มันไม่ใหญ่หรอ? ความรู้สึกที่เขากำลังเผชิญอยู่ตรงนี้มันมันไม่สำคัญหรอ?
หรือบางคนอาจจะรู้สึกว่าความรู้สึกที่เขากำลังมีอยู่ตอนนี้หรือความเป็นตัวตนของเขาจริง ๆ มันดูไร้ค่าต่อปัญหาที่เขากำลังเผชิญจังเลย ซ้ำยังเป็นความรู้สึกเหมือนเจ็บปวดอยู่ข้างใน
เรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่มีใครให้ความสำคัญกับมันเลย โดยเฉพาะในเรื่องของความรู้สึกแย่ที่เขามีอยู่ในตอนนั้นไม่มีใครมองเห็นเลย
บางคำพูดเราอาจจะเลือกมาจากความรู้สึกแล้วก็มาจากจิตใจของเราจริง ๆ แต่สิ่ง สำคัญเลยก็คืออยากจะให้มองที่จุดประสงค์ของการที่เราจะพูดหรือว่าการที่เราเลือกใช้คำพูดในการที่จะสื่อสารกับเขา
เลือกใช้คำพูดให้เหมาะสม
มันออกแย่แต่ว่าเราอยู่ตรงนี้นะมีอะไรให้เราช่วยไหม? หรือบางทีก็ เรื่องนี้มันหนักมาก ๆ เลยมันดูเลวร้ายมาก ๆ สำหรับเธอเราสามารถแบ่งเบาอะไรได้บ้างไหม?
หรือคอย support ใช้เป็นภาษาทางด้านร่างกายแทนด้วยการตบไหล่เขาเบา ๆ หรือแม้กระทั่งการบีบมือ
สิ่งเหล่านี้มันแสดงออกได้ดีถึงการปลอบใจการปลอบประโลมความรู้สึกสำหรับคนที่เขากำลังรู้สึกแย่ได้ไม่มากก็น้อย
แต่อย่างที่บอกไปว่าบางทีมันอาจจะไม่ได้มีคำพูดอะไรที่มันถูกต้องที่สุดหรือว่าดีที่สุดในการที่เราจะเอาไปใช้ในการปลอบโยนแต่การที่เรามีความหวังดีแล้วเราก็รู้สึกว่าเราอยากจะช่วยเขารู้สึกดีขึ้นเท่านี้มันก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว
อีกวิธีหนึ่งที่คือ การรับฟัง
การรับฟังหรือการที่เรานั่งลงข้าง ๆ เขาแล้วไม่มีเสียงอะไรออกมาเลยก็เป็นอีกวิธีนึงที่สามารถปลอบใจหรือปลอบโยนให้เขาสามารถกลับมารู้สึกดีขึ้นได้ในโมเม้นต์ ณ ตอนนั้น
เพราะเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเลือกใช้คำพูดที่มันดูเข้าใจหรือสามารถสะท้อนความรู้สึกของเขาได้ในตอนนั้นแต่การที่เราแค่รับฟังหรือการอยู่ข้าง ๆ เขา
เพียงแค่การทำให้เขารู้สึกว่าเรากำลังพยายาม เรากำลังอยากจะช่วยเหลือเขาเพื่อให้เขากลับมาฮึดกลับมาใช้ชีวิตต่อ หรือกลับมารู้สึกดีขึ้นกับตัวเองแต่ถ้าเรามีความกลัวในการที่จะพูด
มีความกลัวในการที่จะรับมือกับสถานการณ์ในการที่จะตอบสนอง เพราะว่าเรากลัวที่จะไปทำร้ายจิตใจของเขาเสิ่งนั้นอาจจะเป็นการทำให้เขารู้สึกว่าเขารู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นหรือรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นก็ได้
เพียงแค่แต่เราเลือกใช้วิธีการที่เรารู้สึกว่ามันดีที่สุดสำหรับเราและมันไม่เป็นการที่ไปทิ่มแทงเขาในอีกมุมหนึ่ง
เท่านี้มันก็คงดีที่สุดแล้วกับความตั้งใจในการที่เราจะพยายามข้อความเข้าใจใครสักคนนึงหรือเป็นการที่เราอยากจะปลอบใจหรือปลอบประโลมใครสักคนนึง
ไม่ว่าใครก็รู้สึกแย่กับความรู้สึกเหมือนเกิดมาพร้อมกับคำว่า ขี้แพ้ เชื่อว่าเราทุกคนคงจะมีวันที่รู้สึกแย่กับตัวเอง จะมองไปทางไหนก็เหมือนจะไร้หนทางไปหมดจนเกิดคำถามกับตัวเองว่า ทำไมชีวิตเรามันดูแย่จังเลย ?
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
รู้สึกหมดหนทางที่จะไปต่อ
อาจจะเป็นวันที่เรามองไปทางก็มืดมนไปหมดเลย เรารู้สึกมองไม่เห็นหนทางที่จะไปต่อกับตรงนี้ อาจจะเป็นวันที่เราเกิดคำถามกับตัวเองว่าทำไมชีวิตเราแย่จังเลย
และไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดีและบางทีเราก็หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลย นี่อาจจะเป็นสัญญาณที่เราจะต้องมองหา Step นึงของชีวิตหรือเปล่า?
ยังไม่ได้คำตอบกับตัวเองก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปเร่งรัดกับตัวเองมากนัก บางทีคำถามบางคำถามมันก็อาจจะไม่ได้ต้องการคำตอบ ปล่อยให้มันเป็นคำถามปลายเปิด ทิ้งมันไว้ตรงนั้น
วันนึงที่เราพร้อมจะตอบเราก็คงพร้อมที่จะพาตัวเองไปฟังคำตอบนั้นด้วยตัวเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกของเราที่มาพร้อมกับคำถามนั้น เช่น ทำไมชีวิตเรามันแย่จังเลย ก็มักจะมาพร้อมกับความรู้สึกว่า ฉันไม่เก่งเอาซะเลย เพราะอะไรเราถึงเป็นคนขี้แพ้แบบนี้
หลายคนคงมีช่วงเวลาที่รู้สึกแบบนี้ บางคนอาจจะแค่แว๊บเข้ามาในความคิดแล้วหายไป แต่บางคนอาจจะปักธงไว้เลยว่าตัวเองคือ “คนขี้แพ้” ตั้งแต่เกิดมาเลย
ซึ่งการที่เราคิดแบบนี้อาจจะส่งผลให้เรากลายเป็นคนที่มองว่า ความสำเร็จที่ได้มาไม่ใช่เพราะตัวเราเอง เราไม่คู่ควรกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น
ขี้แพ้ ?
คำว่า ขี้แพ้ มันอาจจะเป็นคำที่เราใช้กันติดปาก เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองและถูกนำมาใช้ในหลาย ๆ บริบท รวมไปถึงบางสถานการณ์คำว่าขี้แพ้ก็ถูกนำมาใช้อย่างไม่เหมาะสม
คำว่า ขี้แพ้ อาจจะหมายถึงคนที่เขาอยากจะประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นเเต่เขาอาจจะทำแบบนั้นไม่ได้ หรือเขาอาจจะรู้สึกอยากทำอะไรสักอย่างแต่มันไม่เป็นแบบที่ใจเขาต้องการสักที เขาก็อาจจะรู้สึกว่านี่แหละคือนิยามของคำว่าขี้แพ้
แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
เราอาจจะอยากไปยืนอยู่จุด ๆ เดียวกับคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันคนที่มุมมองกับตัวเองว่าเป็นคนขี้แพ้ แต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำด้วยซ้ำ
อาจจะเป็นเพราะว่าเรามีมุมมองกับตัวเองว่าไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ เพราะฉะนั้นการสำเร็จอาจจะเป็นไปได้ยาก
ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับคำว่า ขี้แพ้
แต่อาจจะเกิดจากประสบการณ์แย่ ๆ คนรอบข้าง การปลูกฝังด้านลบที่ทำให้เรารู้สึกว่า ใช่ ฉันคือคนขี้แพ้ เป็นการตอกย้ำกับตัวเองว่าสิ่งที่เราคิดเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นคำว่าขี้แพ้ มันเป็นเรื่องของความคิดและความเชื่อของบุคคลมากกว่า
ขี้เเพ้ เป็นเกราะป้องกัน?
การที่เรามีความคิดว่าเราเป็นคนขี้แพ้ติดตัวมา ลองถามตัวเองว่าเราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองไหม เพราะบางทีการที่เรามีความคิดแบบนี้ มันก็เป็นเกราะป้องกันที่ทำให้เราไม่ต้องไปเผชิญกับความเครียด ความกดดัน ความรับผิดชอบหนัก ๆ
เพราะคำว่าขี้แพ้จะทำให้เราไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าเรามีการติดป้ายให้กับตัวเองว่าเราเป็นคนขี้แพ้ก็อาจจะไม่เฮลตี้กับตัวเองเท่าไหร่ ก็ต้องแลกมากับการที่เราไม่มีความสุขกับชีวิตเพราะมีมุมมองกับตัวเองและโลกค่อนข้างแย่
ไม่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากอยู่แบบเซฟ ๆ อาจจะทำให้เราเสียโอกาสหลาย ๆ อย่าง
ก้าวออกจากคำว่า ขี้แพ้
1.ลองถามตัวเองว่าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองไหม?
2.วางเป้าหมายในการใช้ชีวิตของตัวเอง
3.ลงมือทำตามที่เราวางแผนไว้
4.รู้เท่าทันความคิดของตัวเราเอง
5.อย่าใช้เวลาของเราจมอยู่กับปัญหานานเกินไป
เรามักจะเคยได้ยินใครหลาย ๆ ที่พวกเขา ชอบทำร้ายตัวเอง เพื่อต้องการที่จะถึงแก่ชีวิตแต่เราจะมาพูดถึงประเด็นของการที่เขาเลือกทำร้ายตัวเองแต่เขาไม่ได้จะทำให้ตัวเองถึงแก่ชีวิต
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
ชอบทำร้ายตัวเอง แต่ไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต
หลายคนคงจะงงกับคำพูดนี้ว่าการทำร้ายตัวเองแบบไหน? คือการที่เขาจะไม่คิดว่ามันจะต้องถึงแก่ชีวิตของตัวเอง จริง ๆ แล้วในสังคมไทย ณ ปัจจุบันนี้มีใครหลาย ๆ คน เลือกใช้วิธีการทำร้ายตัวเองจนกลายเป็นการทำให้ตัวเองบาดเจ็บ
เป็นการทำให้รู้สึกว่าตัวเองกลับมารู้สึกดีได้มันก็เป็นวิธีการทำร้ายตัวเองอย่างนึงเหมือนกันที่พอเราพูดถึงการทำร้ายตัวเองแบบนี้แล้วใครและคนก็มักจะคิดถึงสิ่งที่มันจะต้องทำให้เกิดถึงความรุนแรงเกิดเป็นบาดแผล
เป็นความบาดเจ็บที่ยิ่งใหญ่แต่กลับบางคนเลือกใช้วิธีการทำร้ายตัวเองในมุมของเขาเพื่อเป็นการบรรเทาความรู้สึกหรือว่าเป็นการระบายความเจ็บปวดที่อยู่ในจิตใจของเขาออกมา
เพื่อการทำร้ายตัวเองที่ไม่ได้เป็นการพยายามทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต บางทีมันเป็นความก้ำกึ่งระหว่างความชอบและความไม่ชอบในตัวเองของเขา
กลับบางคนอาจจะเกิดจากตัวโรคจากภาวะอารมณ์บางอย่างที่ทำให้เขาเลือกใช้วิธีการจัดการอารมณ์วิธีการจัดการปัญหาของตัวเองในรูปแบบนั้น
แต่ในขณะเดียวกันในทางการแพทย์มันจะมีการพูดถึงพฤติกรรมเหล่านี้ว่ามันเหมือน เป็นการที่เขาเลือกใช้พฤติกรรมเพื่อแสดงออกในการที่จะจัดการกับปมปัญหาที่มันซับ ซ้อน
เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถจัดการกับมันได้โดยการที่จะตั้งใจจงใจทำร้ายตัวเองแต่ไม่ได้เจตนาที่จะทำให้ตัวเองถึงแก่ชีวิตหรือว่าฆ่าตัวตาย แต่มันเป็นเพียงแค่เขาอยากจะทำให้ตัวเองเจ็บปวด
หรือว่าพยายามห้ามตัวเองเพื่อให้ตัวเขาเองกลับมารู้สึกมีตัวตนกลับมารู้ สึกกับตัวเองได้อีกครั้งนึงแล้วการทำร้ายตัวเองมันมักจะเป็นมันเป็นวงจรในที่นี้หมายถึงว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอสถานการณ์แล้วเกิดเป็นความรู้สึกบางอย่างไม่สามารถจัด
การได้วงจรต่อมาก็คือการพยายามทำร้ายตัวเองเพื่อให้กลับมารู้สึกดี
เพื่อเป็นการระบายความรู้สึกของตัวเองออกมาแล้ววงจรแบบนี้มันก็จะหมุนวนไปเรื่อย ๆ วนไปเรื่อย ๆ จนบางครั้งพอทำร้ายตัวเองในครั้งแรก ๆ อาจจะเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยแล้วก็ระบายความรู้สึกหรือความอึดอัด
ที่มันอยู่ข้างในออกมาได้เต็มที่แต่พอเราใช้วงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ บางทีมันทวีคูณความเจ็บปวดมากขึ้นเราก็ต้องเลือกใช้วิธีการในการทำร้ายตัวเองให้มันใหญ่ขึ้นเพื่อระบายความเจ็บปวดที่มันใหญ่ตามมาในความรู้สึกของเราไปด้วย
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือเวลาที่เรารู้สึกว่าเราด้อยค่าหรือเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถมองเห็นคุณค่าในตัวเองได้เราไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกว่าเรามีค่ายังไงบ้างมันก็จะเกิดเป็นความทุกข์ในแง่ของอารมณ์เกิดขึ้นได้
ที่เรารู้สึกแบบแบบนี้ไม่สามารถรับรู้คุณค่าในตัวเองได้ แล้วความทุกข์มันถมไปเรื่อย ๆ ถมไปเรื่อย ๆ มันเหมือนแบบเวลที่เราโดนครูดุโดยไม่สมเหตุสมผลแล้วเราไม่สามารถตอบโต้กับคุณครูได้
เราไม่สามารถทำอะไรกับคุณครูได้เลย เราทำได้เพียงเก็บความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์นั้นไว้ในการที่ถูกบีบคั้นด้วยการทำอะไรไม่ได้หรือจัดการกับสิ่งที่มันอยู่ตรงหน้าไม่ได้จัดการกับปัญหาตรงนั้นไม่ได้แล้วมันถมไปเรื่อย ๆ ก็มาจะเลือกวิธีการทำร้ายตัวเอง
เพื่อเป็นการจัดการกับปมความรู้สึกตรงนั้นของตัวเองเพื่อทำให้เราสามารถรู้สึกดีขึ้นมาได้ถ้าพูดแบบนี้แล้วต้องบอกว่าความเจ็บปวดที่เขาเลือกทำร้ายตัวเองมันอาจจะแสดงถึงการที่เขากลับมามีตัวตนกลับมาเป็นตัวของเขาเองได้อีกครั้งนึงนั้นเอง
เริ่มต้นของพฤติกรรมการทำร้ายตัวเองที่มันจากเล็ก ๆ ขยายขึ้นไปใหญ่ขึ้นมาก ๆ บางทีมันอาจจะเกิดจากการที่เขาพยายามทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ความเจ็บปวดในช่วงล่างของมันเจ็บมากเลยแต่ด้วยความเคยชินกับความเจ็บปวดตรงนั้น
บางทีมันทำให้การทำร้ายตัวเองของเขามันใหญ่ขึ้นเพราะเขาอาจจะไม่รู้สึกแล้วกับการทำร้ายตัวเองในวิธีการเล็ก ๆ หรือว่าอยู่ในการกระทำที่มันดูเล็กน้อยตรงนั้นพอเราขยายความเจ็บปวดของเราให้มันใหญ่ขึ้นแล้ว
เราเคยชินกับความเจ็บปวดที่มันเคยได้รับมาก่อนจากการทำร้ายตัวเอง
บางทีมันจะก่อให้เกิดพฤติกรรมการทำร้ายตัวเองที่มันรุนแรง และก็รุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย ลองสังเกตตัวเองบางทีเราโมโหมาก ๆ เราหงุดหงิดใจมาก ๆ เราไม่สามารถทำอะไรกับคนตรงข้ามได้ไม่สามารถควบคุมกับสถานการณ์ที่มันอยู่ตรงหน้าเราในตอนนั้น
บางคนก็ใช้วิธีการกรีดร้องวิธีการแบบจิกมือตัวเองหรือบางคนจิกขาตัวเองหรือกลับบางคนก็มีการดึงผมตัวเองเพื่อทำให้เขาระบายกับความรู้สึกที่มันอัดอั้นใจกับการควบคุมสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
เวลาที่เรารู้สึกอึดอัดแล้วมันไม่มีวิธีการในการจัดการเราจะเลือกวิธีการทำร้ายตัวเองแต่ที่บอกแบบนี้ ไม่ได้บอกว่ามันคือวิธีการในการจัดการหรือวิธีการจัดการปัญหาที่มันดีที่สุด
แต่ว่าถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำอะไรกับความอึดอัดใจของเราไม่ได้แล้วเรารู้สึกว่าไม่สามารถที่จะจัดการกับมันได้แล้วเลือกทำร้ายตัวเองมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเราสามารถเลือกใช้วิธีการอื่น ๆ
มันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่เราเลือกใช้ในวันนั้นหรือในโมเม้นตอนนั้น แต่ในการที่จะจัดการกับตัวเองในการที่จะรับมือกับปัญหาถ้าหากเรากำลังมีพฤติกรรมแบบนี้หรือในวงจรแบบนี้แนะนำให้พบผู้เชี่ยวชาญไปพบจิตแพทย์หรือพบทางจิตวิทยาคลินิก
เพื่อให้เขาประเมินแล้วก็ให้เขาให้การชื่อหรือยังเหมาะสมมากยิ่งขึ้นใกล้อยู่ในวงจรนี้มันอาจจะหลุดออกมาได้ยากการที่เราจมดิ่งอยู่กับกันทำร้ายตัวเองในการระบายแล้วก็บรรเทาความเจ็บปวดภายในจิตใจ
มันอาจจะไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุดแต่มันอาจจะเป็นวิธีการที่เรารู้สึกว่ามันรวดเร็วที่สุดสำหรับเราในตอนนั้นก็ได้ มันเข้าใจได้แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเราสามารถเลือกใช้วิธีอื่น ๆได้ในการที่เราจะไม่ต้องทำร้ายตัวเอง
แล้วเราก็จะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวดทั้งด้านร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันความรู้สึกเจ็บปวดภายใน จิตใจมันก็สามารถถูกนำออกมาแล้วก็จัดการได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้นด้วย
ใคร ๆ ก็เคยโกรธ บางครั้งก็เป็นแค่ ความโกรธ เล็กน้อย แต่บางครั้งก็เป็นความโกรธแบบใหญ่โต จนเราเองก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองในขณะที่โกรธได้ จนเผลอพูดหรือทำการกระทำอะไรไม่ดีออกไป
แต่แน่นอนไม่มีใครอยากที่เป็นเป็นแบบนั้น วันนี้ Jane Story จะมาเล่าถึงประสบการณ์ที่ทำให้โกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่เราจะระงับความโกรธและมองความโกรธให้เป็นเรื่องตลกกัน:)
ความโกรธ ที่เกิดขึ้น
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเจนเจอกับเรื่องน่าหงุดหงิดใจ คือ เจนไปกินข้าว กินเสร็จแล้วก็เดินกลับมาขึ้นรถ ระหว่างที่กำลังขึ้นรถก็มีรถคันข้างๆเป็นรถตู้จอดอยู่ แล้วก็มีคนยืนอยู่ข้าง ๆ รถตู้ และป้าคนหนึ่งนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์
คุณป้าพูดกับคนขับรถตู้ว่า “เมื่อกี้ทำโทรศัพท์ตกไว้ตรงนี้ เห็นไหม?” คนขับก็บอกว่าไม่เห็น… คุณป้าก็ทำเสียงดังและพูดกลับไปประมาณว่าแน่ใจนะ เจนก็งง ๆ เดินขึ้นรถมาเพราะไม่เกี่ยวกับเราและขับออกมา
เจนก็ก้มหน้าเล่นมือถือปกติ แล้วขับไปได้สักพักก็เห็นป้าขับรถมอเตอร์ไซค์มาตัดหน้าแล้วก็จอดขวางหน้ารถแล้วชี้หน้าบอกประมาณว่าโทรศัพท์ตก เป็นป้าที่เราเจอหน้าร้านอาหาร คุณป้าท่าทีไม่เป็นมิตรเลย
เราเลยบอกว่าหลบก่อน แล้วจอดรถไปคุยกัน ระหว่างที่เจนกำลังเดินไปคุยกับป้า ป้าก็ทำท่าคลำหาอะไรสักอย่างที่ตัว เสร็จแล้วก็ขับออกไปเลย
เจนก็เลยโกรธและหงุดหงิดมาก ๆ พอขึ้นรถมาเลยคุยกับแฟนว่ายังไม่ทันได้คุยเลย ป้าไปซะแล้ว ด้วยอารมณ์โมโห แฟนเลยบอกว่า
“มองให้เป็นเรื่องตลกแล้วกัน ไม่เป็นไรหรอก” เเล้วเจนก็รู้สึกว่าจริงด้วย ถ้าเรามองให้ตลกใจเราจะเบาลง
จัดการ ความโกรธ อย่างไร?
1.สำรวจตัวเองว่าเรารู้สึกอย่างไร
2.ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
3.ทำความเข้าใจและให้อภัย
4.ระบายความรู้สึก
สิ่งสำคัญของการระบายความรู้สึกเวลาเกิด ความโกรธ
เราต้องระบายกับคนที่เราไว้ใจได้ ระบายด้วยเหตุและผล ให้เรามองว่าที่เขาทำกับเราแบบนี้น่าจะเป็นเพราะอะไร ระบายแล้วต้องจบ ต้องไม่โกรธเพิ่ม ไม่เกลียดเพิ่ม
ลองมองความโกรธเป็นเรื่องอื่นหรือมุมมองอื่น มองให้เป็นเรื่องตลก เช่น การแก้ปัญหาของคุณป้านี่ตลกจริง ๆ นะ มันจะมีใครสักคนที่ขับรถมาตัดหน้าเราแบบนี้ ชี้หน้าคนอื่นว่าเป็นขโมยแบบนี้
หรือเราลองมองให้มันลึกไปกว่านั้นเพราะอะไรเขาถึงทำแบบนี้ มันอาจจะเป็นนิสัยของเขาที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรือเปล่า ตัวเราก็จะเบาลง
เคยรู้สึก เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ กันบ้างไหม? หรืออยู่ ๆ ก็อยากร้องไห้ขึ้นมา แต่มันดันเป็นความรู้สึกภายในที่เกิดขึ้นมาเองอัตโนมัติ เป็นเพราะอะไรกันนะทำไมอยู่ดี ๆ ถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้
เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ
เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกเศร้าและแน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องปกติเช่นกันที่เราจะไม่รู้สาเหตุว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะ ความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นกับเรา ความทรงจำที่ไม่ดี ปัญหาที่เกิดขึ้น
ที่เราอาจจะคิดว่ามันผ่านมาแล้ว เราไม่ได้รู้สึกเครียดกับมันแล้ว แต่จริง ๆ สิ่งเหล่านั้นอาจจะฝังรากลึกอยู่ในความรู้สึกของเรา และเราอาจจะไม่มีเวลาที่จะทบทวนตัวเอง …
เศร้า VS ซึมเศร้า
ความรู้สึกเศร้า เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยืนยันว่าเรายังมีความรู้สึกอยู่และเป็นความรู้สึกที่ดีต่อสุขภาพจิตเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความเศร้า ไม่ใช่ความรู้สึกที่เราชอบ
แต่จริง ๆ ความเศร้าเป็นสิ่งที่ดีนะ มันจะสอนให้เรารู้จักตัวเอง และเรียนรู้ที่จะจัดการความรู้สึกของตัวเอง
1. เศร้านานไปไหม
เราจะเศร้าหรือเสียใจเมื่อเราเจอกับความผิดหวัง เราสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป ความเศร้าก็มักจะเกิดขึ้น เมื่อระยะเวลาผ่านไปก็มักจะหายไป แต่ถ้าความเศร้ามันอยู่กับเรานาน อันนี้อาจจะเป็นอะไรที่มากไปกว่าความเศร้าโดยทั่วไป
2. เรายังใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิมไหม
นอกจากระยะเวลาที่ยาวนานของความเศร้าแล้ว อีก point ที่สำคัญเลยคือ การที่เราจะรู้ว่า ความเศร้านี้ ไม่ใช่เศร้าธรรมดา ๆ แล้ว คือการสังเกตว่า เรายังใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิมไหม
ความรู้สึกของเรามันมากซะจนทำให้ ไปทำงานไม่ได้ ไปเรียนไม่ได้หรือเปล่า? เพราะพอความเศร้าทั่วไปพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว เราจะเศร้าอยู่ตลอด ไม่มีแรง ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากยุ่งกับใคร
มีความคิดลบ หรือกระทั่งมีความคิดฆ่าตัวตาย ถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะต้องเริ่มปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดู จะได้จัดการได้ก่อนที่จะสายเกินไป
3. ความเศร้าเป็นอาการหลัก แต่ ไม่ใช่อาการเดียว
อาการซึมเศร้าส่งผลต่ออารมณ์ของเรา ซึ่งหมายความว่าความเศร้าเป็นอาการหลัก แต่ก็ไม่ใช่อาการเดียว ซึมเศร้าจะเปลี่ยนวิธีที่เรามองตัวเองและโลกรอบตัวเรา มันเหมือนกับการใช้ชีวิตที่สวมผ้าปิดตา ทุกอย่างดูมืดมน
สิ่งที่ทำให้ผ่านช่วงเวลา เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ ไปได้?
1. การขอความช่วยเหลือ
หลาย ๆ คนไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เพราะไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ถึงความอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้ว ทุกคนต่างมีช่วงเวลานั้นเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น คือมันโอเคมาก ๆ ที่เราจะไม่โอเค
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราขอความช่วยเหลือ ได้ระบายออกไป เหมือนความเศร้าเรามันจะลดลงตามไปด้วย
2. หาเวลาพักผ่อนเพื่อทบทวนตัวเองว่าทำไม เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ
การที่ปล่อยให้ความรู้สึกแย่วนลูป จนสุดท้ายกลายเป็นคิดลบทุกวัน ร้องไห้ทุกวันอาจจะทำให้เราไม่รู้สาเหตุของความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการกลับมาสนใจความรู้สึกของตัวเองเลยเป็นอะไรที่สำคัญมาก ๆ
เพราะเรื่องนั้นมันอาจจะไม่ถูกปลดล็อคและวนเวียนทำให้เราเศร้ากับมัน เครียดกับมันอยู่แบบนั้น
จัดการอย่างไรดีถ้า เศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ ?
1. ทำความเข้าใจ
2. หาเวลาทบทวน ระบุความรู้สึกให้ได้ ถามตัวเองว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป
3. ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ครอบครัวหรือผู้เชี่ยวชาญ