Posts

สิ่งที่เรียกว่า สนามอารมณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่สามารถระบายความโกรธกลับไปที่ต้นเหตุหรือสาเหตุของการเกิดเรื่องราว คนส่วนใหญ่มักมองหาเป้าหมาย สิ่งของหรือหาใครสักคนหนึ่งเพื่อระบายอารมณ์ของตัวเอง

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ

เคยรู้สึกว่าเราคือ สนามอารมณ์ ของใครไหม?

เวลาที่ใครอารมณ์เสียหรือโมโหร้ายเขามักจะคิดถึงเราเป็นคนแรก การที่เราเจอคนแบบนี้บ่อย ๆ ก็มักจะเกิดคำถามกับตัวเองว่า “ฉันทำอะไรผิดมากไหม” หรือ “ฉันอยู่ในความสัมพันธ์แย่ ๆ แบบนี้ได้อย่างไร” 

 

อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาขึ้นเสียง ตวาดใส่ จนถึงขั้นลงไม้ลงมือทุบตีเรา แม้แต่คนในครอบครัว คนรัก หรือคนใกล้ตัว มักระบายอารมณ์ ทำลายข้าวของเพื่อระบายความอึดอัด ความอัดอั้นตันใจของพวกเขามาลงที่เรา

 

เพราะอะไรเราถึงต้องเป็น สนามอารมณ์ ของพวกเขา?

เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่สามารถระบายความโกรธกลับไปที่ต้นเหตุหรือสาเหตุของการเกิดเรื่องราว คนส่วนใหญ่มักมองหาเป้าหมาย สิ่งของหรือหาใครสักคนหนึ่งเพื่อระบายอารมณ์ของตัวเอง

 

บางคนเลือกที่จะเอาขยะอารมณ์ไปเทใส่คนในครอบครัว คนรักหรือคนใกล้ชิดเพียง เพราะรู้สึกว่าครอบครัว คนรัก หรือคนใกล้ชิดรับได้และจะไม่มีทางเดินออกไปจากเขาตรงนี้

 

แต่ความเป็นจริงสิ่งเลวร้ายที่มันจะเกิดขึ้นก็คือเขาอาจจะต้องเรียนรู้ที่จะต้องอยู่คนเดียว เพราะตัวเขาเองเป็นคนผลักคนที่อยู่ใกล้ตัวเขาออกไป

 

ทำไมคนที่เกิดความรู้สึกแย่ ๆ ถึงต้องพาลใส่คนใกล้ตัว 

ความจริงแล้วการที่คนหนึ่งคนเกิดเป็นความรู้สึกคับข้องใจ รู้สึกไม่ดี เกิดความขัดแย้งภายในตัวเอง ซึ่งไม่สามารถแสดงออกหรือข่มอารมณ์บางอย่างของตัวเองไว้ จนกลายเป็นความคุกคามที่ทำให้จิตใจไม่สงบสุข

 

เมื่อจิตใจคนคนนั้นไม่สงบสุบก็จะกลายเป็นความไม่มั่นคงในจิตใจ ดังนั้นแต่ละคนจึงพยายามที่จะหาวิธีในการระบายอารมณ์ หาวิธีผ่อนคลายความเครียด แม้กระทั่งการบรรเทาอารมณ์ ความรู้สึกบางอย่างให้ลดลงอย่างเร็วที่สุด

 

เพื่อไม่ให้ตัวเองเกิดเป็นความทุกข์ใจหรือภาวะการเจ็บปวดทางด้านจิตใจ โดยใช้กลไกการป้องกันตัวเองอย่างที่พวกเขาเองอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้เช่นกัน กลไกเหล่านั้นคือกลไกที่เกิดขึ้นจากจิตไร้สำนึกที่จะช่วยให้เราปกป้องตัวเอง

 

ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ในสถานะใดก็ตาม หากปล่อยปะละเลยทิ้งขว้างความสัมพันธ์ ต่อให้ใกล้กันขนาดไหนแต่ทำร้ายกันมากขนาดนี้ความเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นได้ก็คือ การเรียนรู้ในการที่จะอยู่คนเดียว และพวกเขาจะไม่สามารถสนิทใจกับคนที่มองพวกเขาเป็นสนามอารมณ์ได้เลย

บางคน มีทุกอย่าง พร้อมแล้วแต่ทำไมกลับยังรู้สึกว่าไม่มีความสุขเลย มันเป็นไปได้ยังไงที่คนที่มีทุกอย่างพร้อมแล้วเขาจะยังรู้สึกไม่มีความสุขอยู่ ? ความจริงมันก็อาจจะเป็นแบบนั้น เพราะบางครั้งการที่เรามีทุกอย่างพร้อมอาจจะไม่ได้เท่ากับว่าเรามีความสุข

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ

เป็นไปได้อย่างไรกับการที่ “ มีทุกอย่าง แต่กลับไม่มีความสุข”

ความเป็นจริงแล้วใครหลาย ๆ คนที่มีพร้อมทุกอย่างแล้ว อาจจะไม่ได้แปรผันว่าสิ่งเหล่านั้นคือความสุข บางคนมีร่างกายแข็งแรง มีเงินจำนวนมาก มีคนรอบกายที่รักและเป็นห่วงแต่กลับยังรู้สึกไม่มีความสุข

 

จนเกิดเป็นคำถามต่อตัวเองว่า “เรามีสิทธิ์ที่จะมีความสุขเหมือนคนอื่นได้บ้างหรือเปล่า” 

ความจริงแล้วความรู้สึกที่ว่า “ มีทุกอย่าง แต่กลับไม่มีความสุข” เป็นเรื่องปกติของมนุษย์

ความรู้สึกเศร้าหรือความรู้สึกทุกข์ เป็นพื้นฐานที่ทุกคนต้องเผชิญในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง และต้องทำความเข้าใจว่าความสุขไม่ได้ผันแปรมาด้วยการที่เรามีทุกอย่าง

 

เช่นเดียวกับความทุกข์ที่ไม่ได้ผันแปรมากับการที่เรายังไม่ได้มีทุกอย่างในชีวิต เราสามารถหาความสุขได้จากการทำความเข้าใจตัวเอง การหาโอกาสให้ตัวเองได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ในชีวิต สิ่งเหล่านี้คือที่มาของการมีความสุขอย่างแท้จริง

 

ความเศร้าไม่เคยกีดกันใครทั้งนั้น

ไม่ว่าเราจะมีทุกอย่างหรือไม่มีอะไรก็ตาม ทุกคนก็สามารถเกิดความรู้สึกเศร้าหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขได้ บางคนถึงขั้นมองทุกอย่างที่มีในชีวิตของตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าเลยด้วยซ้ำ

 

ปัญหาคือเราไม่ทราบถึงความว่างเปล่าในชีวิตที่สมบูรณ์แบบของตัวเราเองมาจากอะไร การที่เรามีทุกอย่างในชีวิตแล้วไม่ได้เท่ากับความสมบูรณ์แบบในชีวิตที่เราต้องการ

 

อาจมีความขาด ๆ เกิน ๆ ที่เราเองนั้นมองไม่เห็นว่าต้องการให้อะไรเข้ามาเติมเต็ม เพื่อทำให้เราเองรู้สึกถึงการมีทุกอย่างรวมถึงความสุขของตัวเอง

 

รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข

มีจิตแพทย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้เข้าถึงจิตวิญญาณของตัวเอง หรือไม่ได้เข้าใจในเรื่องจิตใจของตัวเองอย่างแท้จริง คำกล่าวนี้ไม่ใช่คำอธิบายในเชิงศาสนาหรือกระทั่งในเชิงจิตวิทยา

 

แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นสามารถตอบคำถามได้ มีงานวิจัยที่หลากหลายที่กล่าวว่าการที่เราเข้าถึงจิตวิญญาณ หรือการเข้าถึงจิตใจของตัวเองได้อย่างแท้จริง จะทำให้ตัวเราเองสามารถมีสุขภาพจิตที่ดี มีอารมณ์ที่ดีรวมถึงมีร่างกายที่แข็งแรง

ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจถึง จิตวิญญาณหรือจิตใจของมนุษย์เราได้

ก่อนอื่นเราอาจจะต้องเข้าใจก่อนว่า การที่พูดถึงจิตวิญญาณในตัวตนของเราคือการที่ตัวเราเองมีความเชื่อ มีการยึดถือ ยึดติดกับความคิดอะไรบางอย่างกับตัวเราเอง

 

เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจหรือร่างกายเราเชื่อมเข้าหากัน หากเราไม่สามารถมีความเชื่อ ไม่สามารถมีอะไรที่ยึดถือได้อย่างชัดเจนก็จะทำให้เราไม่ได้เข้าใจตัวเอง ว่าลึก ๆ แล้วเรามีความต้องการอะไร

 

ฉะนั้นการเชื่อมต่อกับจิตใจของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราเข้าใจว่า อะไรคือสิ่งที่ขาดหายและสิ่งที่เราต้องการมาเติมเต็มให้เป็นคนที่มีความสุขได้

 

การเข้าถึงความสุข ไม่ใช่เพียงแค่การทำความเข้าใจตัวเองเพียงอย่างเดียว

เราต้องถามตัวเองว่า เรานิยามความสุขของตัวเราเองไว้ว่าอย่างไร อะไรกันแน่ที่เป็นความสุขที่แท้จริงสำหรับเรา คนส่วนใหญ่มักจะรู้และเห็นภาพตัวเองชัดเจนว่าอะไรที่ทำให้เราไม่มีความสุข หรืออะไรที่ทำให้เรามีความทุกข์

 

และต่อให้เราตัดความทุกข์ต่าง ๆ ไปได้ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะมีความสุขขึ้นมาทันที คำถามที่สำคัญมากในตอนนี้ที่เราควรถามกับตัวเองคือ “ในตอนนี้มีอะไรบ้างที่สามารถทำให้เรามีความสุขได้” 

 

ความทุกข์และความสุข ไม่ใช่อารมณ์ที่เป็นขั้วที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งคู่เลยก็ได้ ความสุขเกิดได้จากการเข้าใจตัวเอง มองเห็นสิ่งที่ตัวเองขาด

 

มองเห็นว่าอะไรคือความสุขในชีวิตของเรา และการพยายามเติมเต็มช่องว่างตรงนั้นต่างหาก ที่จะช่วยให้การมีทุกอย่างของเราตามมาด้วยการมีความสุขมากขึ้น 

” แต่งงาน ” คงเป็นความฝันของผู้หญิงหรือผู้ชายหลายๆ คน แต่ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป… การแต่งงานยังสำคัญอยู่หรือไม่? อยู่ก่อนแต่ง ได้หรือไม่? การแต่งงานอาจไม่ใช่สิ่งการันตีความรัก

 

อยู่ก่อนแต่ง ช่วยเรื่องความรักจริงไหม? 

สำหรับความหมายของการอยู่ก่อนแต่ง คือ การตกลงใจที่จะอาศัยอยู่และใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสหรือพิธีแต่งงาน

 

อยู่ก่อนแต่ง ทำให้รู้นิสัยใจคอกันมากขึ้น จึงช่วยเรื่องความรักได้มาก ๆ เพราะการที่เราได้อยู่บ้านเดียวกัน เจอกัน จะทำให้เรารู้จักเขาได้ดีมากยิ่งขึ้น 

 

 

อยู่ก่อนแต่ง นานแค่ไหนดี ถึงจะแต่งงานได้? 

Helen Fisher นักมานุษยวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมมนุษย์ กล่าวว่า โดยเฉลี่ยแล้ว 2 ปี เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดหากคู่รักจะเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ให้จริงจังยิ่งขึ้น

 

แต่นี่เป็นเพียงค่าเฉลี่ยเท่านั้น ปัจจัยที่จะบอกได้ประกอบด้วย บุคลิก ความคิด นิสัยใจคอ ความถี่ของการใช้เวลาร่วมกัน และความเต็มใจในการเรียนรู้และยอมรับตัวตนกันและกัน

 

 

ยุคสมัยเปลี่ยนไป อยู่ก่อนแต่งไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่

ในยุคก่อน สังคมมักจะบอกว่า การอยู่ก่อนแต่งขัดกับประเพณีอันดีงาม ชิงสุกก่อนห่าม ไม่รักนวลสงวนตัว พ่อแม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่ในยุคนี้การแต่งงานไม่ได้จำเป็นเสมอไป

 

อาจจะจริงสำหรับบางคู่ที่แต่งก่อนอยู่ แล้วคบกันได้นานจนแก่จนเฒ่า แต่บางครั้ง… การใช้ชีวิตร่วมกันคือหัวใจที่สำคัญมากกว่าการแต่งงาน เพราะได้เห็นทั้งข้อดี-ข้อเสียของอีกฝ่าย

 

 

จำเป็นไหม ที่จะต้องแต่งก่อนแล้วค่อยย้ายไปอยู่ด้วยกัน?

จากงานวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ชีวิตร่วมกันก่อนแต่งงานและคุณภาพของการแต่งงาน พบว่าคู่ที่อยู่ก่อนแต่งมักมีความพึงพอใจในการแต่งงานน้อยกว่า

 

แต่ละคู่มักจะมีการทะเลาะวิวาท ความขัดแย้ง และการนอกใจที่สูงกว่า นำมาซึ่งอัตราการหย่าร้างที่สูงกว่า ผลเสียดังกล่าวจึงถูกเรียกว่าเป็นผลเสียของการอยู่ก่อนแต่ง 

 

 

ข้อดี-ข้อเสียของการ อยู่ก่อนแต่ง

งานวิจัยชิ้นล่าสุดของ Rosenfeld และ Roesler ในปี 2019 ซึ่งศึกษาข้อมูลของคู่รักในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1970 ถึง 2015 พบข้อมูลที่ช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นว่า

 

การอยู่ก่อนแต่งงานนั้นเป็นประโยชน์กับคู่รักในปีแรกเพียงเท่านั้น แต่กลับส่งผลเสียในปีถัดไป กล่าวคือในปีแรกของการแต่งงาน คู่รักที่อยู่ก่อนแต่งจะมีสัดส่วนการหย่าร้างต่ำ

 

เนื่องจากพวกเขาสามารถปรับตัวและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตได้ แต่… คู่รักที่แต่งก่อนอยู่กลับเผชิญภาวะช็อค ปรับตัวไม่ทัน แต่จะกลับกันเมื่อผ่านปีแรกของการแต่งงาน

 

 

ข้อดี

1. ไม่เรียนรู้กันและกัน ทำให้รู้ว่าเรากับเขาไปต่อกันได้แค่ไหน ควรไปต่อหรือพ่อแค่นี้

2. ได้ลองใช้ชีวิตและปรับตัวเข้าหากัน เพราะการแต่งก่อนอยู่ ไม่ได้ลองใช้ชีวิตด้วยกัน อาจทำให้ต้องปรับตัวยากในภายหลัง

 

 

ข้อเสีย 

1. มีความเป็นไปได้ที่จะแต่งงานช้ากว่าที่ควรจะเป็น

2. เป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้ใหญ่ในบางสังคมหรือวัฒนธรรม

3. เพิ่มโอกาสปัญหาตั้งท้องที่ไม่พึงประสงค์และการทำแท้ง

 

 

แต่งก่อนอยู่ หรือ อยู่ก่อนแต่ง ?

 

ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่า อยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่จะดีหรือไม่ดี ทุกคู่มีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครสะดวกแบบไหน และสุดท้าย ไม่ว่าจะแบบไหน ก็ต้องเรียนรู้กันอยู่ดี

 

หันไปโฟกัสอีกเรื่องดีกว่า ว่าจะเรียนรู้ ปรับตัว พัฒนา ให้อยู่ด้วยกันอย่างไรแล้วมีความสุข กระทบกระทั่งกันน้อย เพราะการทำแบบนี้จะดีต่อความสัมพันธ์และดีต่อทั้งคู่ในระยะยาว

 

 

อยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่ เลือกไม่ได้ ลองปล่อยให้รักนำทาง 🙂

 

ความเครียด เป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนไม่อยากพบเจอเลย ความเครียดที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ สะสมไว้มันก็ทำลายสุขภาพเราได้เหมือนกัน

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ

 

ความเครียดเป็นสภาวะอารมณ์หนึ่งบางครั้งมันก่อให้เกิดเป็นความไม่สบายใจ วิตกกังวลที่มันเกิดขึ้นมา เพราะคนเราเวลาเกิดความเครียดจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายไม่เหมือนกัน

 

บางคนกินไม่ได้ ปวดหัว ไม่สบายเนื้อสบายตัว มันเลยทำให้หลาย ๆ ครั้งตัวเราเองไม่สามารถรู้เท่าทันได้ 

ทำความเข้าใจ ความเครียด

1. ตัวเราเองกำลังเผชิญกับสถานการณ์บางอย่าง กลัวการสอบไม่ผ่าน กลัวการทำงานที่ไม่คุ้นเคย หรืออยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย

 

2. การเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิต เปลี่ยนที่อยู่ สถานศึกษา เปลี่ยนแฟน เปลี่ยนสายงาน

 

3. การเจ็บป่วยจากตัวเขาเอง ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ปกติ

เราต้องทัน ความเครียด ของเราเราถึงจะจัดการความเครียดของเราได้ ซึ่งประโยชน์ฮอร์โมนของความเครียดก็มีข้อดีเหมือนกันทำให้เรารู้จักวิธีแก้ปัญหา กล้าที่จะทำวิธีใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา แต่ถ้ามันหลั่งออกมามากเกินไปมันจะเกิดผลเสียได้

วิธีจัดการกับ ความเครียด

การจัดการกับความเครียดไม่ใช่แค่เพียงลดความเสี่ยงทางร่างกายและทางโรค แต่มันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกสงบได้มากขึ้นด้วย

 

1. การออกกำลังกายไม่ใช่แค่ทำให้ตัวเราเองลดความเครียดได้ทันทีทันใดแต่มันจะหลั่งสารบางอย่างทำให้ลดความตึงของเราหมด การออกกำลังกายทำให้นอนหลับได้ง่ายมากขึ้น บางทีจะส่งผลให้ตัวเราเองเครียดน้อยลงด้วย

 

2. ก่อนนอนเข้านอนแบ่งเวลาสิ่งต่าง ๆ เพื่อทบทวนตัวเราเอง ทำให้เกิดความเข้าใจตัวเอง ลดความคาดหวังต่อสิ่งต่าง ๆ ให้พอดี

 

3. การตั้งเป้าหมายทีละวัน หรือสัปดาห์ค่อย ๆ ให้มันผ่านไปได้มันเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้เราเห็นภาพแต่ละวันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย

 

4. การกลับมาดูแลตัวเอง รับประทานอาหารที่ดี ลดแป้ง ลดน้ำตาล การที่ร่างกายเราได้รับอะไรดี ๆ ก็ทำให้ความเครียดเราลดน้อยลงไปด้วย

 

วิธีการกำจัดความเครีดยอาจจะดูง่ายแต่มันไม่ง่ายเลย เราต้องรู้ต้นตอของปัญหาและสาเหตุเพื่อรู้เท่าทันความเครียดของเรา ชีวิตของเราไม่ได้เต็มไปด้วยความเครียดอย่างเดียวอย่าลืมที่จะอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขด้วยนะ

สำหรับคนวัยทำงานที่ต้องเจอกับความเครียดและความกดดันมากมาย ที่อาจจะมาจากการทำงานและสภาพแวดล้อม จนอาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต มาร่วมกันทำความเข้าใจกับ Burnout Syndrome 

 

Alljit ร่วมกับคุณกวินทิพย์ จันทนิยม นักจิตวิทยาการปรึกษาและตอนนี้กำลังทำงานในตำแหน่ง HR (Human Resource / Human Resource Management)

Burnout Syndrome คือ 

Burnout Syndrome หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน เป็นโรคที่เป็นผลจากความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงาน ภาระงานหนัก และปริมาณงานมาก รวมถึงงานมีความซับซ้อนและต้องทำในเวลาเร่งรีบ หากปล่อยไว้สะสมนานวันเข้าอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าได้ 

 

ภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียด  มีความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ มีความเบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร รู้สึกสูญเสียพลังงานทางจิตใจ มองงานที่กำลังอยู่ในเชิงลบ ขาดความสุข ไม่สนุกในเนื้องาน

 

หมดแรงจูงใจในการทำ ประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง ความสัมพันธ์ในที่ทำงานเหินห่างหรือเป็นไปทางลบกับผู้ร่วมงาน

 

Burnout Syndrome กับ หมด Passion 

การหมด Passion จะแตกต่างอาการหมดไฟหรือ Burnout ตรงที่อาการ Burnout จะเป็นความทุกข์ทรมานจากความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และจิตใจ ซึ่งทำให้เกิดการหมด Passion ได้ 

 

ขณะที่การหมด Passion บางครั้งไม่ได้ทำให้เกิดอาการ Burnout เป็นเพียงอารมณ์รู้สึกที่ว่าไม่ได้หลงใหล ไม่ได้ชอบ หรือไม่ได้สนใจในสิ่งนั้น ๆ อีกต่อไป

 

ทำไมถึงมี Burnout Syndrome เกิดขึ้น

บางคนก็เกิดจากการที่เจอสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีความกดดันมาก ๆ เป็นเวลานาน ๆ บางคนก็เกิดความเครียดสะสมต่อเนื่องจากเรื่องงาน บางคนก็ทำงานหนักจนเกินไป ทำงานหนักติดต่อกันนาน ๆ งานล้นมือ ไม่ได้มีเวลาไปพักผ่อนคลายเลย

 

หรือบางคนก็เจองานที่ยากมาก ๆ งานยากเกินไปทำให้รู้สึกท้อ บางคนก็ต้องทำงานที่เร่งด่วนอยู่ตลอด ด่วนทุกงาน จนบางทีต้องสละเวลาส่วนตัวของตัวเองมาทำงานด่วนนี้

 

ใครบ้างที่เสี่ยง Burnout Syndrome

ถ้าเป็นในส่วนของคนวัยทำงาน ก็จะเป็นบุคคลที่เจอสภาพแวดล้อมการทำงานที่กดดัน งานที่ทำมีความเครียดสูงต่อเนื่องจนเครียดสะสม ทำงานหนักมาก ๆ การทำงานที่ยากมากจนเกินไป การทำงานที่รีบเร่ง เร่งด่วนบ่อย ๆ 

 

ภาวะ burnout นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ในกลุ่มวัยทำงาน แต่ยังสามารถเกิดได้ทุกวัย ทุกเพศ  เช่น นักเรียนนักศึกษาที่ต้องอยู่กับการเรียนออนไลน์ทุกวัน ใช้ชีวิตอยู่ในรูปแบบเดิม ๆ ขาดความยืดหยุ่น ก็อาจเกิดอาการเหล่านี้ได้เช่นกัน

 

สัญญาณเตือน Burnout Syndrome

การสังเกตสัญญาณเตือนว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน แบ่งออกเป็น 3 ด้านช

1. ด้านอารมณ์ 

จะรู้สึกหดหู่ หงุดหงิดโมโหง่าย อารมณ์แปรปรวนง่าย ไม่พอใจในงานที่ทำ ขาดแรงจูงใจในการทำงาน ไม่มีอารมณ์อยากที่จะไปทำงาน เบื่อหน่ายไปหมดทุกสิ่งอย่าง ไม่อยากทำอะไร มีความสุขในการใช้ชีวิตและการทำงานน้อยลง

2. ด้านความคิด

มองคนอื่นในแง่ลบในแง่ที่ไม่ดี มักชอบโทษคนอื่น มีความระแวง และมีทัศนคติที่ไม่ดีกับงานและเพื่อนร่วมงาน

3. ด้านพฤติกรรม

ผัดวันประกันพรุ่ง ขาดความกระตือรือร้น บริหารจัดการเวลาไม่ได้ ไม่มีสมาธิในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง burnout จะส่งผลต่อสภาพจิตใจ และสภาพร่างกาย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยตลอดเวลาทำให้สุขภาพย่ำแย่

 

ผลกระทบจาก Burnout Syndrome

1.ด้านร่างกาย 

จะมีความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยร่างกายตามตัว

2.ด้านจิตใจ 

จะรู้สึกหมดหวัง มีความท้อแท้ในการทำงาน ไม่มีกำลังใจที่จะทำงานต่อ นอนไม่หลับ 

3.ด้านการทำงาน 

ขาดงานบ่อย ลางานบ่อย ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ทำงานผิดพลาดได้ง่าย และสุดท้ายคือการลาออกจากงาน

 

วิธีจัดการภาวะหมดไฟ

1.ปรับทัศนคติในการทำงาน

ก่อนอื่นเราต้องปรับทัศนคติในการทำงาน ทำความเข้าใจในเนื้องาน เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานและองค์กรที่ทำงานด้วย เปิดใจให้คนรอบข้าง

 

อย่าลังเลที่จะปรึกษาเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน หรือคนรอบข้าง หากรู้สึกไม่ไหวหรือเหนื่อยเกินไป

2.กำหนดเวลาการทำงาน

กำหนดเวลาการทำงานให้เหมาะสมในแต่ละวัน ไม่เสียเวลาจัดการงานที่ทำไม่ ได้หรือติดขัดนานเกินไป จนส่งผลให้ทำงานไม่สำเร็จสักชิ้นเดียว

3.เปลี่ยนบรรยากาศ

ลองเปลี่ยนสถานที่ทำงานดูบ้าง โดยการทำงานแบบ hybrid คือ wfh บ้าง สลับกับการเข้าออฟฟิศบ้าง หรือการทำงานแบบ workation คือ work+vacation ทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วยก็ได้ 

4.หากิจกรรมทำ

หากิจกรรมที่ผ่อนคลายทำในยามว่าง เป็นกิจกรรมที่เราชอบทำ ทำแล้วมีความสุข จะช่วยผ่อนคลายได้

5.ใช้สิทธิ์ลาพักร้อน

อย่ากลัวที่จะใช้สิทธิ์ลาพักร้อน หากทำได้ให้ ลาพักร้อน เพื่อห่างไกลจากงานสักพัก

6.พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้เราได้มีพลังกายที่ดี

7.เข้ารับคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าท้ายที่สุดมันหนักจริง ๆ การเข้ารับคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาก็เป็นแนวทางหนึ่งในการที่จะช่วยทำให้เราดีขึ้นจากภาวะที่เป็นอยู่

 

 

การขาด Work-Life Balance อาจจะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองขาด balance ก็อาจจะทำให้เรา  burnout โดยไม่รู้ตัว

 

ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีสภาวะดังกล่าว ลองหมั่นสังเกตตัวเองบ่อย ๆ อาจจะหา Burnout Self-Test หรือแบบประเมินการหมดไฟในการทำงาน ทำเบื้องต้นก่อน

 

ในแอปพลิเคชั่น Alljit เองก็มีแบบประเมินเบื้องต้น เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ประเมินตัวเองเบื้องต้น และถ้าเรารู้สึกว่ามันหนักมากแล้ว การไปพบจิตแพทย์เพื่อปรึกษาก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

เชื่อว่าทุกคนคงทราบกันดีว่า “ เวลาไม่เคยรอใคร ” และเราเองก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ถึงแม้ว่าอยากจะกลับไปแก้ไขมากแค่ไหนก็ตาม อย่างนั้นเราลองพูดคุยกันว่า 1 ปีที่ผ่านมาเราได้ เรียนรู้ อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง ?  

 

 

จริง ๆ แล้วพอผ่านช่วงเวลาที่หนัก ๆ มาเราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างกลับมาพร้อมกันเหมือนกัน…

สิ่งที่ได้ เรียนรู้ และเอามาปรับใช้

1.การปล่อยวางอดีต และอยู่กับปัจจุบัน 

 

ฟังดูเหมือนมันจะง่าย  แต่เชื่อว่าหลาย ๆ ครั้งเราทำมันไม่ได้ และเอาอดีตมาเป็นปัจจุบันคิด คิดวนเวียนไปมา คิดว่าวันนั้นมันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น  มันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเราเลย เสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว มันก็สมเหตุสมผล

 

กับบางเรื่องที่เราจะคิดถึงมันแล้วเศร้าบ้าง แต่ถ้าบางเรื่องคิดแล้วมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันยิ่งพาเราแย่ลง เครียด มันไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้นเลย คงต้องปล่อยมันไป วิธีที่ช่วยเจนปลดล็อคความรู้สึกนั้นได้เลยคือ เจนไปเจอ คำพูดของนักจิตวิทยาว่า 

“ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เราก็ยังจะเลือกแบบเดิมอยู่ดี เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราในตอนนั้น”

2.การให้อภัยอย่างจริงใจ ทำให้ใจเราเองเป็นสุข 

บ่อยครั้งเลยที่มีอะไรหลาย ๆ อย่างไม่ได้ดั่งใจของเรา แล้วเราก็โกรธ โมโห หงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจากตัวเราเอง เรื่องที่เกิดจากคนอื่น เช่นคำพูด พฤติกรรม คำสัญญา เราต่างรู้ว่าถ้าทำผิดก็ขอโทษ ถ้ามีคนทำผิดแล้วขอโทษเราก็ให้อภัย

 

แต่จริง ๆ แล้ว ลองถามตัวเองก่อนว่า การให้ให้อภัยของเรา เราให้อภัยจริง ๆ ไหม เรารู้สึกอยากให้อภัยจริง ๆ หรือเปล่า ไม่ใช่พูดว่าให้อภัยแล้วใจเรายังหนักอยู่ ยังเก็บมันไปคิดอยู่ มันจะทำให้เรายังค้าคาใจอยู่ แบบนี้ก็ไม่มีความสุขแน่นอน

 

ถ้าเราให้อภัยด้วยใจที่อยากจะให้อภัยจริง ๆ เราก็จะรู้สึกเบาลง ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ใจเรายังไม่พร้อมให้อภัย ให้เวลาตัวเองโกรธ โมโห และไตร่ตรองกับมันก่อน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าใจ เราเองก็อาจจะพร้อมที่จะให้อภัยใครสักคนจริง ๆ

3.เข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุผล จะทำใจเราสบายมากขึ้น

เราเคยเห็นอะไรที่มันไม่ได้ดั่งใจเราไหม อะไรที่เกิดขึ้นแล้วเราไม่ชอบใจ ลองยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น เหมือนมีเพลงหนึ่งที่เจนฟังบ่อย ๆ คือท่อนที่บอกว่า 

 

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป มีสุขสม ผิดหวัง  ต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น และยอมรับความจริงให้ได้ แล้วใจเราก็จะเป็นสุข

4.ฟังเรื่องของคนอื่น และพูดถึงคนอื่นให้น้อยลงคือเรื่องที่ควรทำ 

อันนี้เจนหมายถึงเวลาเราพูดเรื่องในทางไม่สร้างสรรค์ เช่น นินทา บูลลี่ ดูถูก ดุด่าคนอื่น เพราะเวลาเจนอยู่ในวงสนทนา เจนจะได้ยินเรื่องของคนอื่นบ่อยมากและเจนก็มานึกดูว่า

 

เราพูดถึงคนอื่นทำไม เพราะอะไรเราถึงนินทาคนอื่น เป็นเพราะเราขาดการนับถือในตัวเองหรือเปล่า พอเราพูดถึงคนอื่นในแง่ที่ไม่ดี เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า

 

หรือบางทีเราดูชีวิตคนอื่นในโลกโซเชียลก่อนเลย ตื่นนอนมาก็ดูก่อนว่าเขาทำอะไร เอเนอจีแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่

 

เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะพูดถึงคนอื่น ลองไตร่ตรองและสำรวจลึก ๆ ในใจว่าเราพูดถึงคนอื่นทำไม มีประโยชน์ไหม เราพูดถึงคนอื่นมากเกินไปจะทำให้เราไม่ได้พัฒนาตัวเอง อาจจะรู้สึกไม่ชอบตัวเอง ลองหันมาหาพลังดีๆ พลังบวกให้กับตัวเอง

5.พูดชมคนอื่นบ่อยขึ้น 

ข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อที่แล้ว เพราะการพูดชมเป็นการสร้างพลังบวกให้กับคนอื่นและตัวเราเอง เวลาเจอหน้ากันไม่รู้จะพูดอะไร ลองกล่าวชื่นชมกันบ้าง

 

การชมคนอื่นจริง ๆ ทำให้เราดูเป็นคนที่มีความสุข และคนที่ได้รับคำชมก็จะรู้สึกดีด้วยเช่นเดียว ลองเปลี่ยนจากการตั้งคำถาม หรือสงสัยในตัวคนอื่น เป็นพูดชมคนอื่นบ่อย ๆ มันช่วยสร้างพลังบวกให้กับเราได้ 

6.นอนให้เพียงพอสำคัญมาก ๆ 

พอโตขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่าการนอนสำคัญมาก ถ้านอนไม่พอ จะให้วันถัดมาเป็นวันที่แย่มากๆ จะทำอะไรไม่ค่อยได้เลย หงุดหงิด สมองไม่แล่น คิดงานไม่ออก เพราะฉะนั้นการนอนสำคัญมาก ๆ 

7. กล้าที่จะตัดความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่ออกไป

เจนว่าทุก ๆ เคยตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่มันไม่ใช่ อยู่แล้วไม่เเฮปปี้เท่าที่ควร เหมือนมันไม่ใช่ที่ของเรา เราคงต้องใช้ความกล้า และเข็มแข็งมาก ๆ ในการตัดความสัมพันธ์นั้นออกไป  และบางคนอาจจะเสียดายเวลาที่ใช้ไป

 

แต่อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้ว่า ถ้าเราบังเอิญเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์แบบนั้นอีก เราก็จะได้ถอยออกมา 

8.อยู่กับคนที่เห็นคุณค่า และดึงข้อดีของคุณออกมา 

ข้อนี้สำคัญมาก ๆ เลย เราทุกคนมีทั้งข้อดี ข้อเสียในตัวเอง แล้วก็อาจจะมีบางคนนะ ที่อยู่กับเราแล้วมองเห็นแต่ข้อเสีย ลากมันออกมายำยี่ โดยไม่ดึงข้อดีของเราออกมาเลย อยู่กับคนที่เขาดึงข้อดีของเราออกมาและเห็นคุณค่าของเราจริง ๆ 

9.หาความสุขของตัวเองให้เจอ 

หาความสุขให้เจอ เจนแค่หมายถึงความสุข ความชอบเล็ก ๆ ที่เราสามารถทำได้ เวลาที่เราเครียด เหนื่อย เสียใจ ให้หาความสุขที่เราใช้คลายความทุกข์ และดึงเราออกมาจากความเสียใจได้

ในระหว่างทางของการใช้ชีวิตเราเคยทำอะไรผิดพลาดไปบ้างไหม? จนเรารู้สึกเสียดายมากจนอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งนั้น

 

วันนี้เรามาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่อง “About Time ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก” ที่ตัวละครมีความสามารถพิเศษนั้นคือการย้อนเวลาได้

 

Alljit ร่วมกับ มิ้น พนิดา มิตรวงษา จะมาแนะนำ รีวิว วิเคราะห์ ชวนทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ดีต่อใจ

 

About Time ย้อนเวลาให้เธอปิ๊งรัก

ออกฉายในปี 2013 กำกับโดย ริชาร์ด เคอร์ติส นำแสดงโดย Domhnall Gleeson และ Rachel McAdams 

 

เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ทิม ชายที่มีความสามารถในการย้อนเวลาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น

 

วิธีการคือ ไปอยู่ในที่ที่มืดสนิท หลับตา กำหมัดไว้ข้างตัว แล้วนึกถึงช่วงเวลาที่ต้องการย้อนกลับไป เท่านั้นจะสามารถย้อนกลับไปช่วงเวลานั้นได้ 

About Time : ตัวละคร

1.ทิม

ชายหนุ่มที่เกิดและเติบโตในคอร์นวอลล์ มีความสามารถในการย้อนเวลา วันหนึ่งตัดสินใจย้ายไปอาศัยอยู่ที่ลอนดอนเพื่อสร้างอนาคต นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับความรักมาก

1.เเมรี่

หญิงสาวที่ทิมบังเอิญได้เจอและทำความรู้จักด้วยในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ภายนอกดูดีแต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง

เกร็ดความรู้

“เรียนรู้อคติไปกับร้านอาหารที่มืดสนิท”

ใน About Time ร้านอาหารที่ทิมกับแมรี่ได้พบและทำความรู้จักกัน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากร้านอาหาร Dans Le Noir (ดอน เลอ นัว) แปลว่า In the dark ก่อตั้งในปี 2004 ที่กรุงปารีส

 

ภายในร้านจะมืดสนิทและพนักงานทุกคนจะเป็นผู้พิการทางสายตา 

 

Concept ของร้านชวนให้ฉุกคิด ซึ่งคุณกนกอร ตั้งกุลบริบูรณ์ตั้งคำถามไว้ได้น่าสนใจ “หากคุณมองไม่เห็นว่าอาหารหรือเครื่องดื่มของคุณหน้าตาแบบไหน

 

หรือหากรู้ทีหลังว่าอาหารมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่น่ารับประทาน จะยังรู้สึกว่าอาหารนั้นอร่อยหรือเปล่า?”

 

อคติที่มนุษย์มี ตามธรรมชาติแล้ว ตราบใดที่มองเห็น เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ตัดสิน  เพราะฉะนั้นการฝึกรับรู้ให้เท่าทันความคิดของตัวเองจึงสำคัญมาก เพราะจะทำให้จัดการกับอคติได้ดีขึ้น

 

เพราะการตัดสินโดยที่ยังไม่ได้ศึกษาบางสิ่งหรือบางคนมากและนานพอ อาจทำให้พลาดโอกาสดีๆ ไป 

“ความรักของทิมและแมรี่”

ทิมและแมรี่ตกหลุมรักกันได้อย่างไรในความมืด ? ว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ อ้างอิงจากหนังสือชื่อ 500 ล้านปีของความรัก

 

เขียนโดย นายแพทย์ ชัชพล เกียรติขจรธาดา การรักกันชอบกันของมนุษย์ เป็นผลมาจากการประเมิน 

 

การพูดคุย ที่ถึงแม้จะไม่ได้เห็นหน้า เป็นกระบวนการที่มนุษย์ใช้ประเมินระดับสติปัญญาของอีกฝ่าย ว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันหรือไม่

 

ซึ่งจะมีผลต่อความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบอีกฝ่ายนอกจากนี้การเกี้ยวพาราสี ล้วนแล้วแต่เป็นการทดสอบไหวพริบระหว่างกัน 

“เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว”

ในวันเกิดลูกสาวทิมกับแมรี่ น้องสาวของทิมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างทาง ทิมไม่รอช้า รีบใช้ความสามารถพิเศษย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนแปลงอดีต

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกเปลี่ยนคน จากลูกสาวเป็นลูกชาย ทิมรับไม่ได้ จึงย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนแปลงอดีตอีกครั้งเพื่อให้ได้ลูกคนเดิม 

 

เหตุการณ์นี้อธิบายได้ด้วย “ทฤษฎีผีเสื้อขยับปี (Butterfly Effect)” เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย หากเปลี่ยนแปลงรายละเอียด ไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดไหน

 

อาจสร้างผลกระทบใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ ดังประโยค “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว”

ข้อคิด

“ถึงจะย้อนเวลาได้ ก็ไม่สามารถทำให้ใครรักคุณได้”

ก่อนพบกับแมรี่ ทิมเคยชอบชาร์ล็อต ทิมใช้ความสามารถย้อนเวลา ทำทุกวิถีทาง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความรักครั้งนี้สมหวัง แต่ความผิดหวังกลับทำให้ทิมได้มีโอกาสพบและทำความรู้จักกับแมรี่ ซึ่งความรักของทั้งคู่ดีซะจนทำให้คิดว่าการรอคอยของทิมไม่ใช่เรื่องที่สูญเปล่าเลย

“ชีวิตที่ดีอาจไม่ใช่ชีวิตที่ได้ทุกอย่างที่ต้องการ”

ดูเหมือนจะโชคร้ายที่ฝนฟ้าไม่เป็นใจในวันแต่งงาน ทิมถามแมรี่ว่า “อยากให้เลือกวันที่ฝนไม่ตกไหม” แต่แมรี่ปฏิเสธ เพราะถึงแม้ชีวิตจะไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ แต่ทุกรายละเอียดต่างน่าจดจำในแบบของมัน ทำให้การย้อนเวลาไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น

“ย้อนเวลาไม่ได้แปลว่าจะแก้ไขได้ทุกอย่าง”

ในวันที่คุณพ่อของทิมป่วยเป็นมะเร็งปอด จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขคงไม่ได้ เพราะคุณพ่อสูบบุหรี่ตั้งแต่ก่อนลูกเกิด หากไปย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนแปลงอดีต คุณพ่อกับทิมคงไม่ใช่พ่อลูกกัน 

“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนดีเสมอ”

บางครั้งสิ่งที่ทำให้เราเป็นเราได้ในวันนี้อาจเป็นอุปสรรคในชีวิต หากเปิดรับและเรียนรู้จากประสบการณ์นั้น อาจทำให้เราเก่งขึ้น เข้มแข็งขึ้น และอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขขึ้น

เพราะอะไรทำไมเรา จำเรื่องที่แย่ได้ดีกว่า ? ทำไมสมองเราเลือกจดจำสิ่งที่ร้ายกว่ามากกว่าเรื่องที่ดี . .

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ

สมองของเราเลือกที่ จำเรื่องแย่ได้ดีกว่า

สมองของเราจัดการบริหารด้านความจำเรื่องความจำที่ดีกับเรื่องเลวร้ายแตกต่างกัน และความแปลกไปกว่านั้นเลยสมองเรามักจะจดจำประสบการณ์เชิงลบมากกว่าเรื่องดี

เหตุผลที่ จำเรื่องแย่ได้ดีกว่า

อารมณ์เชิงลบมันต้องใช้สมองประเมินผล ทบทวน กับการจัดการตัวเอง มันต้องใช้ความยากความหนักกว่าอารมณ์เชิงบวกของตัวเอง

 

เช่น เราได้โบนัสเข้ามาในวันที่เราทำงานหนัก โบนัสเป็นจำนวนเงินที่ภูมิใจเราจะจดจำความรู้สึกของการได้โบนัสเพียงเสี้ยววินาที ความภูมิใจจะหายไปเมื่อมีสิ่งอื่น ๆ เข้ามา

 

แต่ในขณะเดียวกันเจ้าก้อนโบนัสแต่ในเวลาต่อมาเราต้องเอาโบนัสไปจ่ายหนี้ พอเงินก้อนนั้นมันหายไปความรู้สึกไม่เหมือนเดิม เราจะจดจำเรื่องโบนัสที่หายไปจ่ายหนี้จำมากกว่าการมีความสุขที่ได้โบนัส

 

เวลาที่มีอะไรก็ตามเข้ามากระทบจิตใจก่อให้เกิดความรู้สึกแย่ ๆ มันจะเข้ามากระตุ้นสัญชาตญาณได้ดีกว่า ทำให้เรามีการเอาตัวรอดจากประสบการณ์

กลไกทางจิตใจจะทำงานได้รวดเร็ว การปิดกั้นตัวเอง การผลักไสอะไรแย่ ๆ ออกไป สาเหตุนี้ทำให้เราจดจำเรื่องที่แย่กว่าเรื่องที่ดี

เวลาที่เราเจออะไรก็ตามที่มันเข้ามาเป็นประสบการณ์เลวร้ายของตัวเราเอง เรามักจดจำแล้วก็สร้างบาดแผลในจิตใจอย่างไม่ทันได้รู้ตัวก็มี เพราะฉะนั้นเวลาที่เรารู้ว่าอะไรที่มันเป็นประสบการณ์เลวร้ายของตัวเราเอง

เราต้องยอมรับและผ่านมันไปความเลวร้ายเหล่านั้นใช้มาเป็นเกราะในการป้องกันตัวเองแทนที่การที่จะนำภาพหรือความทรงจำเหล่านั้นให้มันกลับมาทำร้ายเรา

เคยตั้งคำถามกันไหมว่า ความสุข คืออะไร ? แล้วเพราะอะไรเรายิ่งตามหาความสุขเหล่านั้นก็ยิ่งหาไม่เจอ และแต่ละคนก็คงให้นิยามความสุขแตกต่างกันไปมันคงขึ้นอยู่กับว่าตัวเราเองให้นิยามความสุขนั้นขึ้นอยู่กับอะไร ?

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ 

นิยามของ ความสุข คืออะไร?  

แต่ละคนให้คำนิยามของความสุขต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร อะไรเข้ามาทำให้เรามีความสุข บางคนอาจจะประเมินจากความชอบโดยรวมของตัวเอง

 

การที่เราบอกว่าเรามีความสุข อาจจะมาจากสิ่งที่เราชอบ เราพึงพอใจกับชีวิตของตัวเองในแบบนั้น 

 

คนที่มีความสุขมักจะไม่มีอารมณ์กังวลกับเรื่องอะไร เขาอาจจะแค่ชอบสนุกสนานกับเพื่อนฝูง หาประสบการณ์ใหม่ ๆ ทำอะไรใหม่ ๆ

 

คนที่มักจะหาความสุขกับเรื่องง่าย ๆ ได้ เขามักจะมีอารมณ์ที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย และมักจะมองว่าชีวิตตัวเองจะได้พบเจอกับสิ่งดี ๆ 

 

คนที่ไม่มีความสุขมักจะมองตัวเองในทางแย่ ๆ มองสิ่งรอบตัวไปในทางแย่ ๆ จนมีความรู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่า ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความคิดที่ว่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ “เพราะความสุขเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยหล่อหลอมชีวิตเราได้”

 

เงิน ซื้อ ความสุข ได้จริงไหม? 

บางคนอาจจะมองว่า “จริง” บางคนอาจจะมองว่า “ไม่จริง” 

 

ความรวย กินดีอยู่ดีที่ทำให้เรามีความสุขได้ แต่ในทางกลับกัน มีบทความวิชาการบอกไว้ว่า เมื่อเรามีทุกอย่างที่จำเป็นในชีวิตสิ่งต่าง ๆ อาจจะไม่จำเป็น คนที่เขารวยติดอันดับต้น ๆ บางทีเบื้องหลังของความรู้สึกของเขา อาจจะไม่ใช่ความสุขก็ได้ 

“ความสุขที่ได้มาอาจจะไม่ได้สอดคล้องกับเงินเสมอไป”

 

อะไรบ้างที่ทำให้เรามี ความสุข ได้? 

1.นับถือตัวเอง

คนที่ชอบตัวเอง มองตัวเองในแง่บวก มองว่าตัวเองเป็นคนเก่ง สุภาพ เข้ากับคนอื่นได้ เขามักจะทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่เราอยากจะทำ นั่นเป็นสิ่งแรกที่เราอาจจะต้องกลับมามองตัวเองว่า เราเองมีความนับถือในตัวเองแล้วหรือยัง?

 

หากเรามีสิ่งเหล่านี้ เราจะทำให้เราชื่นชอบในตัวเอง แล้วเราก็จะมีความสุขที่ออกมาจากใจเราจริง ๆ

2.รู้สึกว่าสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้

คนที่รู้สึกว่าชีวิตเป็นของเขาจริง ๆ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร ตัวเองเป็นคนกำหนดชีวิตของเรา จะดี ร้าย ประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว เราสามารถเลือกและตัดสินใจได้ว่าเราจะเดินไปในทิศทางไหน โดยไม่ต้องรอโชคชะตา 

 

คนที่เชื่อแบบนี้ เขามักจะทำอะไรออกมาได้ค่อนข้างดี เพราะเขาจะต้องคิด ไตร่ตรอง คิดวิเคราะห์อะไรต่าง ๆ มาอย่างดีก่อนที่จะเลือกทางเดินให้ตัวเอง 

3.มองโลกในแง่ดี

การเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม สามารถมองหามุมมองในแง่บวกหรือแง่ดีให้กับทุก ๆ เรื่องได้ การมองในแง่บวกไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนโลกสวย

 

แต่เป็นการมองมุมใหม่ที่แตกต่างจากที่เคยมอง อาจจะสอบถามคนนั้นคนนี้มากขึ้น อ่านหนังสือหรือรีเสิร์จอะไรเพิ่มมากขึ้น 

 

ถ้าเราเป็นคนแบบนี้ เราก็จะสามารถหาความสุขให้กับตัวเองได้ และที่สำคัญที่สุด การมองในแง่บวกจะเป็นอะไรที่ดีต่อสุขภาพจิตของเราด้วย

4.เป็นคนเปิดเผย แสดงออกทางความรู้สึก

เวลาที่เขาดีใจหรือตื่นเต้นเขาก็จะแสดงออกมาอย่างเปิดเผย ไม่ปกปิดความรู้สึก เราจะสัมผัสถึงความรู้สึกของเขาได้ บางคนที่รู้สึกว่าเราหาความสุขไม่ได้เลย

 

อาจจะเกิดจากการที่เราเองพยายามกดความรู้สึกตัวเองไว้ ไม่เอาขึ้นมาจัดการ การที่เราไม่จัดการก้อนความรู้สึกแย่ ๆ ของตัวเราเอง ก็ไม่มีทางที่ความรู้สึกดีจะเกิดขึ้นได้

 

เคล็ดลับ การมีความสุข

“การหัวเราะ”

การหัวเราะมีประโยชน์และสร้างรอยยิ้ม สร้างความสุขให้เราได้ มันสามารถหลั่งสารแห่งความสุขได้จากร่างกายเราจริง ๆ กระตุ้นไปถึงความคิดสร้างสรรค์และสามารถเยียวยาความรู้สึกของตัวเราเองได้

“เวลาที่เราหัวเราะเราจะรู้สึกดีไปกับมัน”

เห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ ยิ่งรู้สึกไม่เอาไหน ทำไมเราถึงมีความรู้สึกแบบนี้

 

บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ

เวลาเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ . .

 

มากเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกหดหู่และไม่อยากใช้ชีวิตต่อ เวลาที่เราเห็นคนอื่นมีความสุขเลย ประสบความสำเร็จจังเลย แต่เรายังอยู่จุดเดิม อยู่ที่เดิม

 

เวลาที่ความคิดเหล่านี้มันแวบเข้ามามันกระทบอารมณ์ความรู้สึกตัวเองมากเลยทีเดียว เราจะจัดการตัวเราอย่างไรดี?

 

เห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ แล้วรู้สึกแย่เพราะอะไร?

 

คำถามเหล่านี้วนอยู่ในหัวเราทำให้รู้สึกอิจฉา หดหู่บ้าง ด้อยค่าตัวเองบ้าง โดยที่เรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัว มันอาจจะไม่ใช่ปัญหากับใครหลาย ๆ คน แต่บางคนอาจจะเอาชีวิตของคนอื่นไปเปรียบเทียบกับตัวเอง จนเรารู้สึกท้อแท้ ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่นเลย

 

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วเกิดคำถามเหล่านี้ ปัจจุบันผู้คนมากมายจะใช้ชีวิตด้วยความอิจฉาไม่ยินดีกับความสำเร็จที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา ทำให้อิจฉาคนอื่นจากภายใน 

 

มันโอเคมาก ๆ เลยที่คนอื่นจะมีในสิ่งที่เราไม่มีเราจำเป็นต้องคิดในสิ่งนี้เสมอ เราสามารถใช้ชีวิตได้ปกติมาก ๆ เลยเพราะคนอื่นอาจจะไม่มีในสิ่งที่เรามีเช่นกัน 

 

เราไม่มีทางรู้เลยว่าเบื้องหลังที่พวกเขาประสบความสำเร็จเขามีบาดแผล หรือเจ็บปวดไหม เพราะคนเรามักจะแสดงตอนที่สำเร็จมากกว่าล้มเหลว

 

การที่เราเห็นใครสักคนประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นว่าเขาสำเร็จได้เพราะโชคชะชาแต่มันอยู่ที่พยายาม เช่น กว่าที่เราจะสอบได้ที่ 1 หรือสอบติดที่ไหนสักที่ ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน เพราะความสำเร็จกับความพยายามเป็นของคู่กัน

 

จะรับมืออย่างไรถ้าเรารู้สึกแย่เวลา เห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ

1. เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ลีกเลี่ยงตัวเองในการเปรียบเทียบกับคนอื่่น

 

2. พยายามทำความรู้จักมากกว่าการไปตัดสินคนอื่น พยายามอย่าไปคิดเหมารวมว่าพวกเขาเป็นแบบคนที่เราเคยเจอมาเพราะทุกคนไม่เหมือนกัน

 

3. หยุดเน้นย้ำจุดอ่อนของตัวเอง ถ้าเราจดจ่อแต่จุดอ่อนของตัวเองมันอาจจะทำให้ตัวเราเองยิ่งโกรธเคืองคนอื่นในสิ่งที่เราไม่มี โฟกัสจุดแข็ง ความสามารถในตัวเองดึงสิ่งเหล่านั้นที่เป็นจุดแข็งโชว์ขึ้นมา ถ้าเราไปโฟกัสแต่สิ่งไม่ดีทำให้เราบั่นทอนในทุก ๆ วัน

 

สิ่งเหล่านี้มันก่อให้เกิดความรู้สึกแย่ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราได้ค้นหา ได้รู้ว่าทำไมเรามีความรู้สึกแบบนี้มันอาจจะทำให้เราปรับเปลี่ยนความคิดบางอย่างและทำให้เราดีขึ้น

คุณค่าของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณงานที่คุณทำ การขยันทำงานเป็นเรื่องที่ดีต่อองค์กรและดีต่อตัวเราจริงๆ หรือเปล่า? “ความขยัน” อาจกำลังทำร้ายเราโดยไม่ทันตั้งตัว

 

 

ความขยัน ที่ไม่ได้ส่งผลดี

 “ยุคที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ” ในปัจจุบันเรามักจะเห็นประโยคนี้บ่อย ๆ ด้วยค่านิยม ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิต ที่แข่งขันสูง อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียสร้างช่องทำมาหากิน

 

ทำให้หนุ่มสาวที่ยังเรียนไม่จบเริ่มต้นเร็ว บางคนประสบความสำเร็จก่อนคนที่เรียนมหาลัยหรือคนที่ทำงานแล้ว ทำให้คนเหล่านั้นเกิดกดดันขึ้นมาว่าฉันจะต้องรีบ จะต้องขยัน

 

 

แอคทีฟมากขึ้น ฝืนตัวเองจนไม่มีความสุข 

มีงานศึกษาวิจัยออกมายืนยันว่าการ WFH มีประโยชน์และสามารถช่วยเพิ่ม Productivity ของพนักงานได้ Productivity เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาการทำงาน 

 

บางคนมีน้อย บางคนมีมาก แต่ถ้ามีมากไปจนทำร้ายตัวเองอาจไม่ดีสักเท่าไหร่ หลายคนเชื่อว่า ฉันต้องยุ่งตลอด ฉันต้องมีงานตลอด จนขาด work-life balance ไปเลยก็มีเยอะ

 

 

Toxic Productivity ความขยัน ที่ทำร้ายเรา

Toxic productivity หมายถึง ความต้องการที่จะใช้ชีวิตให้ productive อยู่ตลอดเวลา การพยายามทำอะไรให้เยอะเข้าไว้ ทำงานทั้งวัน ทำกิจกรรมทั้งวัน 

 

บางคนเลือกที่จะออกกำลังกายต่อ เรียนคอร์สออนไลน์ต่อ หรือทำอะไรบางอย่างที่ต้องใช้แรงกายแรงสมองเกินที่จำเป็นต้องทำ หลังจากที่ตัวเองเลิกงาน

 

ไม่อนุญาตให้ตัวเองพักผ่อนเพราะกลัวจะต้องเจอกับความรู้สึกผิดความรู้สึกกังวลว่าตัวเองจะทำไม่มากพอทำไม่ดีพอ แล้วจะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม

 

 

วิธีรับมือ ความขยัน ที่ไม่ส่งผลดี

1. ฝึกการใช้ Work-life balance

Work-life balance คือ การแบ่งเวลาให้ทั้งกับงานและชีวิตส่วนตัว การกำหนดไว้อย่างชัดเจนเลยว่า วันไหน ทำอะไร แบบละเอียด

 

2. มี Self-talk และ Self care ที่ดี

มีการศึกษาทางจิตวิทยาเกี่ยวกับ self-talk มากมายที่พบว่า self-talk มีผลต่อการทำสิ่งต่าง ๆ อย่าลืมชื่นชมและดูแลเอาใจใส่ตัวเอง

 

3. เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

ฝึกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นให้น้อยลง สำรวจตัวเอง ให้มั่นใจว่าเราต้องการอะไร เราต้องการใช้ชีวิตแบบไหน แล้วโฟกัสกับชีวิตตัวเอง

 

 

เพราะทุกคนมีจังหวะการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน จะขยันมาก ขยันน้อย ก็มีความสุขได้ 🙂

สู้ๆ ’ คำให้กำลังใจที่เรามักได้ยินกันบ่อย ๆ หรือบางครั้งเราอาจจะเป็นคนพูดเองเวลาอยากจะให้กำลังใจใครสักคน เป็นคำพูดที่พูดง่ายที่สุด แต่อาจลืมไปว่าคำนี้อาจไม่ได้ช่วยปลอบใจได้ในทุกสถานการณ์ 

 

คำว่า สู้ๆ ในมุมมองของคนทั่วไป

คำนี้เป็นเหมือนคำให้กำลังใจที่ทำให้เรามีแรงฮึด โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เราต้องการแรงใจ เช่น การสัมภาษณ์งาน การสอบ ยิ่งถ้ามีการสัมผัส สายตา น้ำเสียง คำว่า สู้ๆ จะช่วยสร้างแรงใจให้อย่างมาก

 

 

คำว่า สู้ๆ ในมุมมองของคนเป็นโรคซึมเศร้า

คำว่า สู้ๆ เป็นเหมือนคำที่เเสดงถึงการเมินเฉยความรู้สึก เหมือนการปล่อยให้เขาสู้ตามลำพัง ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนถูกผลักออกมา คนฟังอาจจะรู้สึกว่า เขาสู้มามากแล้ว จะให้เขาสู้กับอะไรอีก 

 

 

ถ้าไม่ใช่คำว่า สู้ๆ เป็นคำว่าอะไรได้บ้าง

1. พูดมาได้เลยนะ เดี๋ยวเราจะคอยรับฟัง

2. เราอยู่ข้าง ๆ เสมอนะ

3. เราเป็นกำลังใจให้นะ

4. เธอเป็นคนสำคัญนะ

 

 

ถ้าไม่ใช่คำพูด เราทำอะไรได้บ้าง?

1.ให้สัมผัสทางกาย เช่น กอด จับมือ

การสัมผัสทางกายเป็นสิ่งที่สร้างความอบอุ่นและสื่อความรู้สึกได้ เขาจะรู้สึกว่ามีคนอยู่เคียงข้าง เข้าใจเขา รับฟังเขา เขาจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

2.การเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังด้วยใจ

ลองรับฟังเขาก่อน อาจจะมีคำตอบที่ดีกว่าคำว่าสู้ ๆ ที่สำคัญคือ ต้องรับฟังจริง ๆ โดยไม่ตัดสิน

3.ถามคำถามปลายเปิด

ลองถามคำถามปลายเปิด เพื่อให้เขาระบายความรู้สึกออกมา เราจะได้เข้าใจเขามากขึ้น 

 

 

ควรพูดอะไร/ทำอย่างไรกับคนเป็นโรคซึมเศร้า

1. บอกให้เขารู้ว่าเราห่วงใยและคอยอยู่เคียงข้าง

คำง่าย ๆ อย่างคำว่าห่วงใย”อาจมีความหมายมาก ๆ กับคนที่อาจรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังใจร้ายกับพวกเขา  สิ่งสำคัญคือต้องบอกให้เขารู้ว่าพวกเขาสำคัญ

3. บอกกับเขาว่าเรา “เข้าใจ” ในสิ่งที่เขาเป็น

บอกว่า เราเข้าใจนะ ระหว่างที่พูดคุยกันจะช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่โดดเดี่ยว ที่สำคัญคือเราควรที่จะถามปลายเปิด คอยตอบโต้เขา ใส่ใจในคำพูดและท่าทีเขา

4. บอกกับเขาว่า “ไม่เป็นไร” ที่จะรู้สึก

บอกพวกเขาว่า ไม่เป็นไรถ้าจะรู้สึกแบบที่เป็นอยู่ ไม่ต้องกดดันตัวเองว่าเราจะต้องรีบโอเค รีบหายเศร้า หรือว่าโตแล้วต้องห้ามร้องไห้ เพื่อให้เขาผ่อนคลายขึ้น

5. ทำให้เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้อ่อนแอ

ทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแอหรือบกพร่องเลย  การที่เขารู้สึกแบบที่รู้สึกเป็นอะไรที่เกิดได้ขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ จะเสียใจก็ไม่เป็นไร

 

 

สู้ ๆ คนฟังอาจตีความได้หลากหลายแบบ อย่าลืมใส่ใจกันและกันให้เยอะๆ นะคะ 🙂