Posts
“ ลืมไป ว่าทุกวัน อาจไม่ได้เจอเธอเหมือนเดิม ลืมไปว่าชีวิตมันดีแค่ไหน ที่ได้พบความรักดีๆ ของเธอ ” ในชีวิตคนเราคงมีอะไรหลายๆอย่างให้ทำมากมายในแต่ละวัน จนทำให้รู้สึกว่าเวลาในวันๆหนึ่งได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และในบางครั้งเวลาก็ผ่านไปเร็วมากจนเราเผลอลืมอะไรบางไป
เพราะเพลง ลืมไป ทำให้นึกถึง
วันหนึ่งเรานั่งรถกลับบ้านกับพี่สาวของเรา แล้วเราก็เปิดเพลงกันในรถ พี่เราเปิดเพลง “ลืมไป” ของแว่นใหญ่ พี่เราบอกว่า ฟังแล้วคิดถึงแม่ ซึ่งแม่ของพี่เราก็เพิ่งเสียไปไม่นาน เราเลยลองตั้งใจฟังเพลงนี้ดู แล้วเจนก็อินมากจนร้องไห้ตามเพลงไปเลย
สำหรับเรามองว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ดีมาก ๆ เลย เป็นเพลงที่มีเนื้อหาที่ทำให้เราคิดอะไรได้หลาย ๆ อย่างเลย
เป็นเพลงที่ช่วยให้เราคิดอะไรได้หลาย ๆ อย่างเลยเหมือนกัน อยากให้ทุกคนลองไปฟังแล้วลองย้อนมาดูตัวเราเองกันนะ
อย่างแค่ท่อนแรกของเพลง ก็มีความหมายมาก ๆ แล้ว
มีผู้คนมากมายที่ต้องเจอในชีวิต
ใส่ใจให้กับเขาแต่ก็ไปลืมอีกนิด
ว่าฉันหันหลังให้กับใครที่ใกล้ชิด
และเขานั้นสำคัญขนาดไหน”
ลืมไป เพราะให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากเกินไป
เจนเป็นคนนึงเลยที่เมื่อก่อนตอนเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ มีเพื่อนใหม่ มีกิจกรรมใหม่ ๆ เราสนุกกับสังคมใหม่ กิจกรรมใหม่ ๆ ที่เราได้เจอ
จนเราลืมที่จะโทรไปหาครอบครัวของเรา ลืมที่จะถามแม่ว่ากินข้าวหรือยัง แม่โทรมาเราก็ลืมที่จะรับสายแม่ เราให้ความสำคัญกับคนอื่นมากเกินไป
เวลาเราสนุก เราไม่คิดถึงคนข้างตัวเลย แต่พอเราเหนื่อย เราเศร้า เราเสียใจ คนแรกที่เราคิดถึงคือครอบครัว เรามักจะโทรไปให้เขาปลอบ ให้เขาให้กำลังใจเสมอ
เพลงนี้มันทำให้เราเห็นคุณค่าของเวลา และความรักที่ดีรอบตัว
อย่างเจนพอได้ฟังท่อนนี้แล้วก็รู้สึกได้เลยว่าบางครั้งเราออาจจะดีกับคนรอบข้าง แต่เราลืมคนที่อยู่ข้าง ๆ ไปจริง ๆ
เราล้วนต่างวิ่งหาความสุข ตามหาความหมายของชีวิต
วันที่ชีวิตเราเต็มไปด้วยการแข่งขัน การเร่งรีบ ต้องเติบโต ต้องมีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บเยอะ ๆ และความต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เพื่อตัวเอง เพื่อคนที่เรารัก ซึ่งมันดีมาก ๆ เลยนะ
แต่บางครั้งเราทำหน้าที่นั้นเกินไปไหม เราลืมหรือเปล่าว่าเราคนมีหลายหน้าที่ในตัวเอง
บทบาท ตัวตน หน้าที่?
ตอนที่เราก้าวขาออกจากบ้านเราก็ไปรับอีกหน้าที่หนึ่งนั่น คือ ทำงาน เรากลับเข้ามาบ้านเราก็รับอีกหน้าที่หนึ่ง เราออกไปทำงานเราอาจจะเป็นหัวหน้างานที่น่าเชื่อถือ เรากลับเข้ามาในบ้าน เรามีหน้าที่เป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่อบอุ่น เป็นลูกที่กตัญญู
เราไม่จำเป็นต้องทำงานให้ดีอย่างเดียวก็ได้นะ แต่เราควรจะทำให้ดี ในทุก ๆ ด้าน ในแบบที่เราจะทำได้
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยโทร เดี๋ยวค่อยไปหา”
แต่ก็มีท่อนหนึ่งของเพลง ที่ทำให้เจนรู้สึกมาก ๆ เลย ว่าเราจะเดี๋ยวต่อไปแบบนี้เรื่อย ๆ ไม่ได้นะ คือ
“ลืมไปว่าทุกวันอาจไม่ได้เจอเธอเหมือนเดิม ลืมไปว่าชีวิตมันดีแค่ไหน ที่ได้พบความรักดี ๆของเธอ”
วันหนึ่งเราโทรไปหาป้าที่เลี้ยงเรามา แล้วป้าเรียกชื่อเราผิด กลับไปเรียนชื่อหลานอีกคน เรารู้สึกเสียใจมาก และน้ำตาก็ไหลออกมา มันเป็นความรู้สึกที่เสียใจ น้อยใจ รู้สึกว่าป้าไม่รักเราแล้วหรือเปล่า หรือป้าหลงลืมเราไปแล้ว
หรือเราเป็นคนผิดที่ไม่ค่อยได้ไปหาเขาเลย กว่าเราจะมามีสติ ก็คือในวันที่ป้าเริ่มจะลืมเราไปแล้ว
เวลามันเดินไปข้างหน้า มันเดินไปเรื่อย ๆ และเวลาไม่ได้เหลือเยอะแบบที่เราคิด
เรารักท่านแต่เราคงรักแค่ในใจไม่ได้แล้ว
เราจะไปโทษท่านก็ไม่ได้ มันก็เป็นความผิดของเรานั่นแหละ
เพราะท่านก็อายุมากขึ้นทุกวันและเราเองก็ไม่ค่อยได้ไปหา ถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่ต้องมาหาหรอกขับรถเหนื่อย ต้องมาทำงาน ไม่ต้องส่งอะไรไปให้หรอกเปลืองเงิน
แต่เชื่อไหมว่าเขาก็จะมีความสุขทุกครั้งแหละที่ได้เจอเรา และไม่อยากให้เรากลับ ถึงแม้เขาจะบอกเราเรารีบกลับไปทำงานก็ตาม
แต่เราก็เชื่อนะว่ายังไง ครอบครัวของพวกเราเขาก็เข้าใจพวกเรา ว่าเราก็มีหน้าที่ของเราเอง มีอนาคตที่เราจะต้องสร้างมันขึ้นมา ไม่ต้องรู้สึกผิดที่เรามาทำงานไกลท่าน เพราะท่านก็คงดีใจที่เห็นเรามาทำงาน เติบโตขึ้น และดูแลตัวเองได้
ยิ่งโตขึ้น เวลายิ่งผ่านไปไว
ยิ่งเราโตขึ้นเรื่อย ๆ เราจะยิ่งรู้สึกว่าเวลามันเดินเร็วมาก ๆ เลย แป๊ป ๆ ก็แก่ขึ้นอีกปีแล้ว เรายิ่งเข้าใจว่า เราไม่สามารถหยุดเวลาได้ มันมีแต่ไปข้างหน้า เราก็ควรจะใช้มันให้คุ้มค่าในแแบบที่เราจะทำได้
เราหลาย ๆ คน เจอเรื่องราวกันมาหนักหน่วงเลยกว่าจะโตมาขนาดนี้ เรามีวิธีจัดการดูแลตัวเองเสมอ และคนเราไม่เหมือนกัน
สำหรับเจน มันก็เป็นเพลงที่ช่วยเตือนสติให้เจนหมือนกันว่า เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน เห็นคุณค่าของเวลาที่มี และสิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนี้ และใช้ชีวิตให้มันบาลานซ์
ตอนนี้เมื่อไหร่ที่เจนฟังเพลงนี้เจนจะคิดถึงครอบครัว และน้ำตาไหลเกือบทุกครั้งเลย…
พ่อแม่ลำเอียง รู้สึกว่าพ่อแม่รักน้องรักพี่มากกว่า พูดอะไร ทำอะไร ก็ไม่มีใครให้ความสนใจ เหมือนถูกคนในครอบครัวลืม จนเกิดเป็นความรู้สึกน้อยใจและรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน พ่อแม่ที่รักลูกไม่เท่ากันมีจริงหรือเปล่า?
Alljit ร่วมกับคุณกวินทิพย์ จันทนิยม นักจิตวิทยาการปรึกษา ที่จะพาคุณมาทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่วัยรุ่นต้องพบเจอ และเรียนรู้วิธีรับมือในมุมมองของนักจิตวิทยา
พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน พ่อแม่ลำเอียง มีจริงไหม?
เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง พ่อแม่บางคนอาจจะรักลูกคนใดคนนึงมากกว่า แต่ก็แล้วแต่ครอบครัวของแต่ละคนด้วย พ่อแม่บางคนก็อาจจะรักลูกเท่า ๆ กัน แต่ถ้าอ้างอิงจากงานวิจัย หลาย ๆ งานวิจัยมีผลออกมาว่าส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่มีแนวโน้มที่จะรักลูกไม่เท่ากัน
ความรู้สึกว่า พ่อแม่ลำเอียง มาจากสาเหตุอะไร
อาจจะสังเกตได้จากการเอาใจใส่ของพ่อแม่ หรือพี่น้องได้รับความสนใจจากพ่อแม่มากกว่าเรา หรือพ่อแม่มีความเอ็นดูพี่น้องมากกว่าเรา มันเป็นการแสดงออกของพ่อแม่ที่เราสามารถรับรู้ได้ว่าเรากำลังถูกรักน้อยกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ
วิธีแก้ไขปัญหา พ่อแม่ลำเอียง
ต้องปรับแก้ทั้งสองฝ่าย ต้องเปิดใจพูดคุยกันแบบตรง ๆ อธิบายให้เห็นภาพให้เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย แล้วพยายามปรับแก้กันอาจจะคนละครึ่งทาง แล้วแต่จะตกลงกัน
เพราะถ้าแก้ฝ่ายใดฝ่ายนึง มันก็คงจะไม่มีอะไรที่ดีขึ้น ฝ่ายที่ปรับอยู่ฝ่ายเดียวก็จะรู้สึกเหนื่อย
ความสนิทกันในครอบครัวส่งผลต่อความรักไหม
ส่งผลต่อกันอย่างแน่นอน สัมพันธภาพในครอบครัวเป็นกุญแจสำคัญที่ส่งผลทำให้ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยาหรือลูก ๆ พี่น้องที่ได้อยู่ในครอบครัวอันอบอุ่น
จะรู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยกัน อยากทำกิจกรรมร่วมกัน มีความรักอันดีต่อกันทุกคนในบ้าน ส่งผลให้ครอบครัวนั้น ๆ มีความสุข
ส่วนใหญ่พ่อแม่มักจะห่วงลูกคนเล็กมากว่าคนโตเพราะว่าอะไร
พ่อแม่คงมีความคาดหวังว่าลูกคนโตหรือพี่คนโตนั้น มีความโตกว่าน้อง มีความเข้าใจและรู้เรื่องอะไรมากกว่าน้องมาก่อนแล้วเพราะเราเกิดก่อน
พ่อแม่คงมองว่าพี่คนโตต้องเข็มแข็งดูแลตัวเองได้ เป็นพี่ที่ต้องคอยปกป้องดูแลน้อง ๆ พี่คนโตต้องเก่ง
พ่อแม่เลยอาจจะไม่ห่วงมากเท่าน้องคนเล็กที่ยังมีความเป็นเด็กกว่าเราด้วยอายุหรือวุฒิภาวะต่าง ๆ พ่อแม่เลยต้องเอาใจใส่ลูกคนเล็กเป็นพิเศษ
ความรู้สึกของลูกคนกลางที่มักจะถูกลืม
ปัญหาลูกคนกลางหรือ “Middle Child Syndrome” มีความเชื่อกันว่าลูกคนกลางมักจะมีความรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก ถูกละเลย ไม่ได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควรจากพ่อแม่ซึ่งมีสาเหตุมาจากลำดับการเกิด (Order of Birth)
โดยปรากฏการณ์ลูกคนกลางที่ว่านี้มาจาก ทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคลของแอดเลอร์ (Adler’s Individual Psychology) ข้อสรุปถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบุคลิกของบุคคลไว้ 3 ประการ ซึ่งมีลำดับการเกิดของเด็กในครอบครัวเป็นหนึ่งในปัจจัยอีกด้วย
เขาบอกว่าลูกคนกลางส่วนใหญ่มีบุคลิกที่มีความทะเยอทะยานสูง ไม่กลัวต่ออุปสรรค เป็นคนมีความอดทนสูง แต่มักรู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้ามอยู่ตลอดจากคนในครอบครัว มีแนวโน้มที่จะเป็นคนดื้อรั้นและในส่วนลึกจะมีความรู้สึกอิจฉาพี่หรือน้องอยู่
เพราะส่วนมากจะมีความคิดว่า พ่อแม่เห่อลูกคนโตและชอบโอ๋น้องคนเล็ก ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตน กลายเป็นปมปัญหาทางใจให้ลูกคนกลางนั่นเอง
จัดการกับความรู้สึกว่าพ่อแม่ลำเอียงสำหรับพี่คนกลาง
ให้เราคิดว่าเรามีความเก่งอยู่ในตัวเอง เราดูแลตัวเองให้ดีได้ไม่แพ้พี่คนโตเลย และคิดในแง่ดีว่าเราไม่ต้องกดดันกับความคาดหวังของพ่อแม่เท่าพี่คนโตที่เค้าต้องแบกรับตรงนี้ไว้ แล้วเราก็ไม่ใช่เด็กแบบน้องคนเล็กแล้ว
พ่อแม่ไม่ต้องโอ๋เราขนาดน้องคนเล็กก็ได้ เราก็ต้องพยายามปรับตัวเองเพื่อให้มีความโดดเด่นขึ้นมา เพราะลูกคนกลางมักจะมีความพิเศษตรงที่ มักมีจิตใจที่แข็งแกร่งจากประสบการณ์ที่ต้องอยู่แบบคนตรงกลาง
เป็นคนที่ปรับตัวได้ง่ายเพราะต้องรับบทบาทถึงสองบทบาทในเวลาเดียวกัน
คือตำแหน่งน้องของพี่คนโตและตำแหน่งพี่ของน้องคนเล็ก และยังเป็นคนที่สามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเองได้เพราะพ่อแม่อาจจะไปเอาใจใส่พี่คนโตและโอ๋น้องคนเล็กทำให้ลูกคนกลางต้องพยายามทำอะไรด้วยตัวเองอยู่เสมอ
คงสรุปไม่ได้แน่ชัด ว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากันจริงไหม หลาย ๆ อย่างมันอาจจะมีเหตุผลในตัวของมัน แต่ถ้าการกระทำใด ที่เรารู้สึกว่าพ่อแม่ทำให้เราอึดอัดเสียใจ ลองบอกพ่อแม่ ว่าเรารู้สึกอย่างไร ท่านจะได้เข้าใจเรามากขึ้น
การเมือง เป็นเรื่องของทุกคนแต่ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถคิดเหมือนกันได้ทุกคนใน 100 คน ย่อมมีคนที่เห็นแตกต่างกันอยู่แล้ว ทั้งในครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือคนที่ดำเนินชีวิตร่วมกันกับเรา แต่เราจะสามารถอยู่ร่วมกับพวกเขาได้อย่างไรบ้าง..
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
กระแส การเมือง ทำให้หัวร้อน
กระแสทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น พอใครได้ยินคำว่า “การเมือง” ก็ทำให้ใครบางคนรู้สึกหัวร้อนขึ้นมาได้เลย
มันอาจจะดูไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้เห็นการแสดงความคิดเห็นที่มันแตกต่างกันใน Social,Facebook,Twitter เองก็ตามมี ความร้อนแรงในการเมืองบางครั้งมันก็เข้าไปกระทบกับความสัมพันธ์ในครอบครัวเพราะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
เราจะได้เห็นข่าวประมาณว่าครอบครัวไล่ลูกออกจากบ้านเพราะความคิดเห็นที่มันแตกต่าง ทางการเมืองซึ่งคนที่ไม่รู้จักกันบางทีก็เกิดเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกันได้เพียงเพราะเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของการเมือง
สิ่งที่มันแปลกไปมากกว่านั้นเลยก็คือการที่เรามองว่าเรื่องราวความขัดแย้งที่มันเกิดขึ้นตรงนี้มันเป็น เรื่องปกติ
เพราะอะไรเราถึงเคยชินกับความขัดแย้งทาง การเมือง
เคยสังเกตเคยสงสัยไหมว่าเพราะอะไรเราถึงรู้สึกชินชาหรือรู้สึกเคยชิน?
เพราะเหมือนตัวพวกเราเจอเรื่องราวแบบนี้อยู่ซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้ตัวเราอาจจะชินไปกับความรู้สึกว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติทั่วไป
ซึ่งการแบ่งฝ่ายทางการเมืองเป็นในเรื่องของทัศนคติแต่ว่าการเมืองมันเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยในช่วงตลอดเวลาเกือบจะ 10 ปีที่ผ่านมา
ส่งผลกระทบแบบโดยกว้างมาก ๆ ต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในไทย กระทบในเรื่องของกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ ความขัดแย้งเรื่องการเมืองที่มันเกิดขึ้นของคนไทยมันไม่ได้พึ่งมาเริ่มต้น
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2548 ความขัดแย้งมีการใช้ความรุนแรงทางการเมืองมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันยาวนานมาก ๆ จนบางทีเรามองไม่ออกเลยว่าคนไทยจะปรองดองกันได้ยังไงบ้าง
เพราะอะไรเราถึงไม่สามารถปรองดองกันได้
ต้องมาทำความเข้าใจตั้งแต่ความแตกต่างระหว่างมนุษย์ซึ่งมีนักจิตวิทยาแล้วก็มีนักสังคมมนุษย์วิทยาเคยเขียนเกี่ยวกับความแตกของมนุษย์
พฤติกรรมมนุษย์ตามหลักของทฤษฎีสรุปแบบรวมว่าจริง ๆ แล้วมันมีการศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ว่าเราเริ่มต้นจากการที่ไม่มีบุคคลสองคนที่เกิดมาเหมือนกันทุกอย่างเราต้องยอมรับตรงจุดนี้ก่อน
แม้ตัวเราเองจะเป็นพี่น้องหรือเป็นลูกเป็นพ่อเราก็ไม่สามารถที่เสมือนกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ทุก ๆ อย่าง
สติปัญญาของแต่ละคนมันอยู่ในพันธุกรรมที่มีความแตกต่างกันทำให้บางทีมีในเรื่องของการคิดการมองโลกหรือเหตุผลรวมไปถึงการเลี้ยงดูต่าง ๆ ที่เราเติบโตแตกต่างกันมันก็จะฟอร์มให้ตัวเราเองมีทัศนคติบางอย่างที่มันแตกต่างกันในระหว่างบุคคลด้วย
พอเติบโตขึ้นมาแล้วในวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าอะไรที่มันใช่อะไรที่มันไม่ใช่เราก็จะมีการรับเข้าและถอยออกจากสิ่งเหล่านั้น โดยส่วนมากแล้วมันก็จะเกิดจากประสบการณ์การเลี้ยงดูความเติบโตของตัวเราเองที่มันทำให้เกิดมาแล้วจะมีความแตกต่างกัน
คำตอบที่ว่าเพราะอะไรเราถึงไม่สามารถปรองดองกันได้คือเราไม่ยอมรับในความแตกต่างของกันและกันนั่นเอง
จะทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกับคนที่คิดเห็นแตกต่างกันได้
1. อย่าพยายามใช้ทัศนคติแบบเหมารวมแล้วก็ไปตั้งแง่กับคนที่เขาคิดเห็นต่างกับเราว่าเขาคือศัตรูเพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่าทุกคนเห็นต่างเท่ากับศัตรูตัวเราเองที่จะเป็นทุกข์เพราะเราเอง
เราก็จะรู้สึกว่าเราคุยกับใครไม่ได้เลยแล้วเข้ากับใครไม่ได้เลยเพราะมีความเห็นต่าง
2. แม้จะมีความเห็นต่างทางการเมืองเราก็ไม่ควรใช้คำพูดแขวะ แซะ คำพูดที่เป็นวาทกรรมที่จะย้อนกลับมาหาเราเอง บางทีมันเสียเพื่อนเสียความสัมพันธ์ได้ง่ายๆเลย
3. เรียนรู้จากความแตกต่างจากเขา ลองเปิดใจยอมรับในความเห็นต่างตรงนั้น อะไรที่ทำให้เขามีมุมมองที่แตกต่างจากความของเรา
4. ให้เกีรยติและยอมรับซึ่งกันและกัน ให้อิสระในการเลือกคิดและการเลือกมองเคารพการตัดสินใจตามทัศนคติแต่ละบุคคล ยิ่งเป็นคนในครอบครัวคนละช่วงวัยจะมีการปลูกฝังกันมาคนละแบบกับเรา
5. เปิดโอกาสให้ตัวเองได้พบปะกับคนที่หลากหลาย หลากหลายสังคม เพื่อที่จะได้เรียนนู้เข้าถึงเข้าใจถึงความแตกต่าง
เคยรู้สึกไม่มีความสุขกับสิ่งรอบข้างเลยไหม? ไม่มีความสุข ไม่อยากจะทำอะไร ไม่อยากคุยกับใครเลย กับสิ่งที่เคยชอบก็กลายเป็นไม่ชอบแล้ว จนกับบางคนถึงขั้นไร้เป้าหมายในการใช้ชีวิต ไม่มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตต่อ…
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
บางทีเราก็เกิดความรู้สึกไม่มีความสุขและเฉยชากับสิ่งรอบๆตัว บางคนรู้สึกไม่อยากจะทำอะไร ไม่อยากคุยกับใคร เบื่อหน่ายมากๆ ไม่อยากใช้ชีวืต ไม่อยากออกไปข้างนอก
จนมันกระทบให้รู้สึกว่าไร้เเรงบันดาลใจ ไม่มีเป้าหมายในการใช้ชีวิต ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวในการใช้ชีวิตต่อ
ฉันไม่มีความสุขเลย
การที่เราเจอกับเรื่องราวต่างๆ ปัญหาชีวิตที่ต้องแบกรับก็คงตามมาด้วยความรู้สึกไม่มีความสุข ถ้ามีความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้น เราต้องกลับมาจัดการกับตัวเอง
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราปล่อยให้ความรู้สึกนี้มันกัดกินหัวใจของเราไปเรื่อยๆ ตัวเราเองก็จะยิ่งไม่มีความสุข หมดแรงที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา หมดแรงที่จะใช้ชีวิต
ไม่มีความสุข ทำอย่างไร?
1.สังเกตตัวเอง
สังเกตตัวเองว่าความรู้สึกไม่มีความสุขที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความรู้สึกนึงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สภาวะของโรคซึมเศร้า ตัวเราเองเริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงการที่เราไม่มีความสุข
นั่นมันก็คือสัญญาณที่บอกว่าเรากำลังไม่มีความสุข เราก็ต้องกลับมาดูแลตัวเอง
2.สาเหตุของการไม่มีความสุข
ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราไม่มีความสุข เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราในตอนนี้ถึงทำให้เราเริ่มไม่มีความสุขในชีวิต จะช่วยให้ตัวเราสามารถมองเห็นว่าที่มาที่ไปของสภาวะไม่มีความสุข
หรือการที่ความสุขหายไปมันเกิดอะไรขึ้น ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า
-เรากำลังรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวอยู่หรือเปล่า?
-งานที่เรากำลังทำอยู่มันกำลังบั่นทอนเราอยู่ไหม?
-สิ่งที่เรากำลังทำมันขัดแย้งกับความต้องการลึก ๆ ของเราอยู่ไหม?
-การที่เราไม่ได้รับการตอบสนองแบบที่เราต้องการบางอย่างที่เรามีในจิตใจทำให้เราไม่มีความสุขอยู่หรือเปล่า?
การที่เรามีการฝึกตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้จะทำให้เราสำรวจที่มาที่ไปของสภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ แล้วเราก็จะมองเห็นว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไรได้บ้าง?
3.มองหาวิธีการเปลี่ยนแปลงและเตรียมตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
ความรู้สึกไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิต ที่ผ่านมาอาจจะมีความรู้สึกด้านลบเข้ามากัดกินความรู้สึกด้านลบของเรามาก มากจนตัวเราไม่สามารถจัดการและรับมือกับมันได้
บางคนอาจจะกลัวการเปลี่ยนแปลงหรือหงุดหงิดจากการทำงาน พอสิ่งเหล่านี้เข้ามามากๆ เเล้วเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกด้านลบของตัวเองได้ ก็จะทำให้เราไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต
4.วางเป้าหมายในชีวิต
ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามเราใช้ชีวิตแบบไม่มีเป้าหมาย มันเหมือนกับการที่เราใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ใช้ชีวิตแบบที่มันควรจะเป็นแต่ไม่ใช่แบบที่เราต้องการ ถ้าเราขาดเป้าหมายในชีวิต ก็จะทำให้ไม่รู้ที่มาที่ไปของปัญหาว่าลึก ๆ เรากำลังต้องการอะไร
ถ้าเราสามารถตั้งเป้าหมายกับตัวเราเองได้เราก็จะรู้ว่าตัวเราเองต้องการอะไร เราก็จะมีความสุขมากยิ่งขึ้น มันจะได้ไม่ขัดแย้งกับความต้องการลึกๆในใจเรา
การมีความสุขในชีวิตไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ มีเงินเยอะๆ มีชื่อเสียงที่โด่งดัง แต่กลับกันมันอาจจะเป็นแค่เรื่องใกล้ตัว เป็นแค่เรื่องที่เราสามารถใช้เวลาดีๆกับเรื่องง่ายๆ
เช่น งานอดิเรกที่เราชอบ อยู่กับคนที่เรารัก สังคมที่เราสบายใจ
สิ่งเหล่านี้คือความสุขรอบ ๆ ตัวเราที่บางทีเราอาจจะมองข้ามไปในวันที่เราไม่มีความสุขหรืออาจจะเป็นเพราะเรามีเเต่ความคิดด้านลบจนมันบดบังเรื่องดี ๆ
5.สร้าง Self-Compassion
คือการที่เราต้องรู้จักใจดีกับตัวเอง แบ่งความเข้าใจที่เรามีมาให้กับตัวเราเอง โดยเฉพาะเวลาที่เราประสบกับความล้มเหลวหรือความผิดพลาด
ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะใจดีกับตัวเองเลย ความเจ็บปวดนั้นก็จะกัดกินเรา ตัวเราเองก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุข
เมื่อเราตั้งใจที่จะสังเกตและสำรวจตัวเองเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองในวันที่เราไม่มีความสุขในชีวิต
แม้ว่าในระยะเเรก เราอาจจะไม่สามารถทำความเข้าใจกับตัวเองในทุกๆด้าน ไม่สามารถเข้าใจการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองได้ทันทีทันใด
แต่ในระยะยาวถ้าเราเรียนรู้ที่จะสำรวจตัวเอง ในวันนึงเราก็จะกลายเป็นคนที่สามารถมี Self-awareness กับตัวเองได้ เริ่มรู้จักตัวเองได้มากขึ้น มันก็จะทำให้เรามีความสุขได้ในระยะยาว
เชื่อว่าทุกคนส่วนใหญ่เวลาใช้ชีวิตจะมีความรู้สึก กลัวคนอื่นจะไม่ชอบเรา ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะทำให้เรามีความสุขน้อยลง รับมืออย่างไรดี?
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
กลัวคนอื่นจะไม่ชอบเรา
เชื่อว่าในสังคมไทยยังมีก้อนความคิดที่แคร์คนอื่นมากว่าแคร์ตัวเอง ความคิดของคนอื่นมีอิทธิพลกับตัวเอง ทั้งในเรื่อง การแต่งหน้า รูปร่าง สถานะความเป็นอยู่ บางคนเอาเรื่องเหล่านี้มาคิดจนจิตตก ขาดความมั่นใจในตัวเอง
ที่มากไปกว่านั้นเลยบางคนเอาความคิดเห็นของคนอื่นมาเป็นอิทธิพลทำให้กลัวการคิดแตกต่างจากคนอื่น ไม่เป็นตัวของตัวเอง และสุดท้ายเราก็ไม่ชอบนิสัยนี้ของตัวเองเลย
วิธีรับมือกับตัวเอง
1. ตั้งคำถามกับตัวเอง ย้อนกลับมามองว่าเพราะอะไรเราถึงแค์คนอื่นมาขนาดนั้น?
ในสังคมไทยมักจะเกาะกลุ่มกันอยู่ทำให้ตามมาด้วยต้องการ ความยอมรับ จากคนอื่น ทำให้ใครหลายๆคนกลัวที่จะพูดอะไรออกไป กลัวว่าถ้าไม่ได้ทำตามที่สังคมวางมาตรฐานไว้
ไม่ว่าจะออกมาทางที่ดีหรือไม่ดีลองถามตัวเองว่าเพราะอะไรเราถึงต้องแคร์เขามากกว่านั้น และกำหนดจุดยืนตัวเองให้มั่นคงไม่เอา
2. อยู่กับขณะปัจจุบันของตัวเอง
อยู่กับตัวเองในปัจจุบันพยายามหยุดความฟุ่งซ่านไม่ให้มันใหญ่ขึ้น บางทีคำพูด ความคิด ที่เรารับจากคนอื่นมามันอาจจะไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นก็ได้
3. ไม่มีใครสนใจเรา 100%
ไม่มีใครมาโฟกัสที่เราขนาดน้้นเท่าเราโฟกัสตัวเอง ถ้าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเราเขาก็ไม่ได้มาสนใจในตัวเราอยู่แล้ว
4. โฟกัสตัวเองเป็นหลัก
เราไม่ต้องไปสนใจคนที่มีความคิดแย่ ๆ ที่เอาความคิดแย่ ๆ มาใส่เรา ไม่มีใครชอบให้คนอื่นมากระทำอะไรแย่ ๆ เราก็ไม่ต้งไปสนใจ เราต้องกลับมาใส่ใจในความคิดความรู้สึกตัวเอง
5. รักและยอมรับในตัวเองให้ได้ก่อน
ความรักในตัวเอง คือแก่นแท้ของการสร้างความมั่นใจในตัวเอง ต้องรู้จักรักและยอมรับในตัวเองถ้าเราไปยืนในความคิดของคนอื่นตลอดเวลา เราก็จะขาดความมั่นใจในตัวเอง ฝึกรักตัวเองให้ได้ในทุก ๆ วัน
เช่น การเลือกอาหารที่มันอร่อย การฟังเพลง การทำกิจกรรมที่เรามีความสุข
6. เราไม่สามารถทำให้ใครพอใจได้ 100%
นี่คือสัจธรรมความเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถทำให้ใครทุกคนได้ จะทำให้ตัวเราเองมองเห็นว่าเขามีสิทธิที่จะคิดแบบนั้นได้ เราก็มีสิทธิเช่นกัน
ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง
ทุกคนต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของตัวเอง ความรู้สึกตัวเอง เราอยากจะเลือกให้ชีวิตเราเดินไปทางไหน เลือกใครเข้ามาในชีวิต เราล้วนเป็นคนที่ต้องตัดสินใจ อย่ามัวไปคิดถึงความคิดเห็นของคนอื่น
ชอบฟังเพลงเศร้า แต่ไม่ได้เศร้า เศร้าทิพย์บ่อย ๆ แปลกไหม? ในช่วงชีวิตของเราคงมีการผ่านความรู้สึกมาค่อนข้างหลากหลายทั้งอารมณ์ด้านบวกที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขกับการใช้ชีวิต แล้วก็อารมณ์ที่เราเรียกมันว่าความทุกข์ ความเสียใจ
บางทีก็เราก็ดิ้นรนเพื่อให้เราพ้นจากความทุกข์ตรงนั้นไปแต่กับบางคนความรู้สึกเศร้าเวลามันเข้ามามันคงไม่มีใครที่อยากจะประสบพบเจออยู่แล้ว
ถ้าเราอยู่ในภาวะของอารมณ์ที่เศร้ามาก ๆ ปล่อยให้ตัวเองอยู่กับภาวะอารมณ์อย่างนั้นในระยะเวลานาน ๆ มันก็มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้
บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
ชอบฟังเพลงเศร้า
เศร้าทิพย์
มีใครหลายๆ คนที่นิยามคำว่า เศร้าทิพย์ คำว่าเศร้าทิพย์ไม่ใช่คำนิยามใหม่ที่มีการถูกพูดถึงกันแต่ว่ามีการ เขียนเป็นนิยามขึ้นมาได้ค่อนข้างชัดเจนขึ้นในช่วงยุคหลัง ๆ ของการที่สุขภาพจิตเป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้นมันคงเป็นภาวะอารมณ์ที่
“โอ้นี่มันเกิดขึ้นเวลาที่เรารู้สึกว่าเราฟังเพลงเศร้า เราดูซีรีส์ที่มันเศร้า หรือว่าดูหนังอะไรที่มันอกหัก” จะตามมาด้วยความรู้สึก เศร้าซึ่งใครที่เคยมีประสบการณ์ว่าเกิดเป็นความรู้สึกเศร้ าๆ เวลาที่ฟังเพลงเวลาที่ดูหนัง ดูซีรีส์
แต่พอหันกลับมาในชีวิตจริงเราก็รู้สึกว่าชีวิตเรามันก็ยังมีความสุขดีนะมันก็ยังแฮปปี้ดีนะเพราะอะไรเราถึงดูอิ่มเลยกับความรู้สึกตรงนั้นของเรามากเกินกว่าที่ชีวิตจริงเรามันจะเกิดขึ้นได้
ความรู้สึกเศร้าทิพย์ไม่ได้เกิดขึ้นในทุก ๆ วันซึ่งมันคล้ายกับคนที่ชอบกิจกรรมผจญภัยที่ต้องการความตื่นเต้นในแต่ละวัน
ทำไมคน ชอบฟังเพลงเศร้า
คนที่มีความรู้สึกดี แฮปปี้ในชีวิตเวลาที่ฟังเพลงเศร้าอาจจะทำให้เขาจิตใจค่อย ๆ สงบมากยิ่งขึ้น เพราะจริง ๆ ความเศร้าทิพย์มันทำให้จิตใจของเราสงบและค่อนข้างเยือกเย็น มันมีประโยชน์เหมือนกันนะเวลาที่เรารู้สึกเศร้า
เศร้าเพื่อมีความสุข
ในทางวิทยาศาสตร์ทางการแพยท์คนที่ประสบกับความเศร้แล้วมีการปลดปล่อยทางอารมณ์จะทำให้รู้สึกดีขึ้น เวลาที่เราระบายออกมาจะหลั่งฮอร์โมน โปรแลคติน เมื่อมันออกมาแล้วจะทำให้รู้สึกสงบขึ้น ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
ความเศร้าก็ไม่ได้แย่เสมอไปมันอาจจะช่วยเรากระตุ้นความรู้สึกบางอย่าง ถ้าเรารู้จักที่จะเศร้าอย่างพอดีมีสติเท่าทันตัวเราเองก็จะมีข้อดีที่เรารู้สึกเศร้า
ในหนึ่งวันเราเจอสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มันหลากหลายมากเลย ความรู้สึกของเรามันก็คงแตกต่างกันออกไปในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่นเดียวกันเจอหลายอย่างมากขึ้นจนทำให้เกิด ความรู้สึกแย่
ทุก ๆ คนก็คงมีวิธีการรับมือในการจัดการความรู้สึกแย่ ๆ ที่มันเกิดขึ้นในทุก ๆ วันของตัวเองอยู่แล้วบ้าง บางครั้งก็ใช้วิธีการเดิม ๆ ไปแบบเดิม ๆ ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาก็แบบเดิม ๆ เช่นเดียวกัน
ทำให้ก้อนความรู้สึกแย่ ๆ ของเรามันก็ยังคงอยู่กับเราเพียงเพราะว่าตัวเราเองไม่สามารถเลือกวิธีการใหม่ ๆ ในการจัดการกับมัน บทความนี้ Alljit Podcast X รัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นในเรื่องสุขภาพใจ
ทำความรู้จักกับ ความรู้สึกแย่ ว่าเกิดมาจากอะไรได้บ้าง?
เราต้องมีคำนิยามให้กับตัวเองก่อนว่าความรู้สึกหลากหลายที่มันเกิดขึ้นของตัวเราเองมันคืออะไร? มันเกิดจากอะไร? มันมีที่มาที่ไปยังไง?
ซึ่งความรู้สึกแย่มันก็จะเป็นอารมณ์ด้านลบของตัวเราเองที่มันเกิดขึ้นไม่ว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ข้างหลังก็ตามแต่มันคงมีเหตุการณ์บางอย่างไปกระตุ้นทำให้ตัวเราเองมีความรู้สึกด้านลบเกิดขึ้น
สิ่งเหล่านั้นมันก็ตามมาด้วย ความรู้สึกแย่ ๆ เพราะตัวเราเองไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ตรงนั้นได้หรือบางทีมันก็เป็นความรู้สึกบางอย่างที่มันติดตัวเรามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
บางทีมีคนไปสะกิดนิดหน่อยเจ้าความรู้สึกแย่ก็จะโผล่ขึ้นมาได้ง่ายมาก ๆ มันอาจจะเรียกว่าความรู้สึกเกลียด ความรู้สึกไม่ชอบ ความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกสูญเสีย
หรือมันอาจจะเป็นความรู้สึกหึงหวงความรู้สึกอะไรก็ตามแต่ที่มันเกิดขึ้นมาแล้วตัวเราเองรู้สึกว่าเราไม่ได้อยากมีความรู้สึกแบบนี้ติดตัวเรา
สิ่งเหล่านี้เป็นคำที่เราอาจจะเอามาช่วยขยายความคำว่า ความรู้สึกแย่ ของใครหลายคนได้ชัดเจน
เวลาความรู้สึกแย่เกิดขึ้นใครหลาย ๆ คนมักจะมองว่ามันก็คงเป็นความรู้สึกนึงที่มันเกิดขึ้นแล้วมันจะค่อย ๆ หายไป แต่ต้องบอกก่อนว่าเวลาที่เราเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาก็ตามไม่ว่าจะเป็นทั้งบวกหรือเป็นทางลบ
มันมักจะตามมาด้วยความคิดบางอย่างที่เอามา Support ความรู้สึกของตัวเราเอง บางทีความรู้สึกแย่ของตัวเราเองมันมักจะตามมาด้วยความรู้สึกที่เป็นด้านลบ
มันเหมือนเป็นแพ็คเกจคู่กันมาสมมุติว่าเรารู้สึกเศร้าความคิดเราก็จะรู้สึกว่าเราเนี่ยดีไม่พอเอาซะเลยหรือบางทีเรารู้สึกแย่คนอื่นทำไม่ดีกับ
บางคนอาจจะรู้สึกว่าความรู้สึกแย่ที่มันเกิดขึ้นมันเกิดจากการที่มีใครคนนึงทำตัวไม่น่ารักกับเราไม่ยุติธรรมกับเราเลย แล้วก็อาจจะเกิดเป็นความรู้สึกโกรธเป็นความคิดที่เป็นแพ็คเกจตามมาจะรู้สึกว่าฉันไม่ควรได้รับสิ่งนี้
พอรู้สึกด้านลบมันอยู่กับเราสักพักนึงถ้าเราจัดการมันความรู้สึกก็จะติดตามมาด้วย
เราจะจัดการความรู้สึกแย่ได้อย่างไรบ้าง?
1. ให้เวลากับตัวเอง
เวลาที่รู้สึกว่ามันมีความรู้สึกแย่เกิดขึ้นมาให้เราลองให้เวลากับความคิด ความรู้สึก ตัวเองก่อนหยุดนิ่งอยู่กับตัวเองอย่าเพิ่งไปหาคำตอบกับการรู้สึกแย่ของตัวเองว่าฉันกำลังรู้สึกแย่อยู่หรือฉันกำลังรู้สึกไม่ดีอยู่แต่ให้หยุดแล้วก็ชะลอความคิดของตัวเอง
ความรู้สึกของตัวเองด้วยการหายใจเข้าลึก ๆ การหายใจออกค่อย ๆ ปล่อยออก ทำซ้ำ ๆ จนเรารู้สึกว่าเราอะนิ่งมากพอแล้ว
2. ให้เวลากับความคิด
พอเราหยุดชะลอความคิดความรู้สึกของตัวเราเองแล้วเราเริ่มกลับมามีสติกับตัวเองอีกครั้งนึงเราค่อย ๆ คิดว่าความรู้สึกแย่ที่มันเกิดขึ้นมามันเกิดมาจากอะไร
จับมันแยกออกมาว่าเราแย่ในเรื่องไหน เรื่องของงาน เรื่องของคน เพื่อที่เราจะได้จัดการกับสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง
ความรู้สึกแย่ที่มันเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นได้ในทุกเมื่อทุกวันทุกเวลาหรือบางทีมันค่อย ๆ เกิดขึ้นแล้วมันสะสมจนมันก้อนโตขึ้นการหาพลังบวกเข้ามาในชีวิตหรือว่าการอยู่ในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่ามันสร้างความสุขให้กับตัวเราเอง
เราอาจจะดูหนังฟังเพลงหาหนังสืออ่านไปทำกิจกรรม Adventure ข้างนอกหามันก็จะเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เจ้าก้อนความรู้ สึกแย่ๆของเราค่อย ๆ เบาบางลงด้วย
การตั้งคำถามกับสิ่งที่เรารู้สึกมันจะทำให้เรานำไปสู่การจัดการที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้นเชื่อว่าวันหนึ่งเจ้าก็ความรู้สึกแย่ ๆก็จะค่อย ๆ เล็กลงเล็กลงยอมรับว่าบางทีความรู้สึกแย่จะไม่ได้หายไป
เพราะสุดท้ายแล้วตัวเราก็คงยังต้องเผชิญกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่มันอยู่ในชีวิตอยู่ในทุก ๆ วัน
เคยรู้สึกว่า โลกใบนี้ใจร้าย ไหม? ทำไมโ,กถึงเหวี่ยงแต่อะไรแย่ ๆ มาให้เราได้ทดสอบเสมอเลย บางทีการเจอเรื่องอะไรยาก ๆ บ่อย ๆ ก็ทำให้เหนื่อยจนไม่อยากจะก้าวต่อไปด้วย
Alljit X รัชดาภรณ์ นักจิตวิทยาคลินิก พูดคุยทุกประเด็นสุขภาพจิตใจ
โลกใบนี้ใจร้าย
เวลาที่เราโตขึ้นอายุเรามากขึ้นประสบการณ์เรามากยิ่งขึ้นความเหนื่อยมันก็ทวีคูณเพิ่มขึ้นด้วยบางทีเราก็รู้สึกว่าโลกดูใจร้ายกับเราจังเลย.ทำไมโลกถึงไม่เข้าข้างเราบ้าง เรารู้สึกว่าโลกทิ้งอะไรก็ไม่รู้ที่เป็นเรื่องยากใส่ตัวเรา
แม้ในวันที่ โลกใบนี้ใจร้าย กับตัวเรามากแค่ไหนตัวเราเองก็สามารถเลือกที่จะใจดีกับตัวเองแล้วหรือยัง?
วิธีการสร้างความรู้สึกดี ๆ กับตัวเองในวันที่โลกใบนี้ใจร้าย
1. ให้เวลากับตัวเอง
เวลาที่เราพูดถึงการใจดีกับตัวเองเคยสังเกตไหมว่าตัวเราเองเคยให้เวลาใจดีกับตัวเองบ้างหรือเปล่า? เพราะการให้เวลาใจดีกับตัวเองเพื่อที่ตัวเราเองจะได้ใจดีกับคนอื่นมากขึ้นด้วยเป็นสิ่งที่สำคัญแล้วก็ควรทำมาก ๆ
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่าโลกมันร้ายทุกอย่างรอบตัวมันมันดูเหนื่อยมันดูหักโหม อย่าลืมใจดีกับตัวเอง ให้เวลากับตัวเองได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะเป็นสัตว์สังคมชอบอยู่ร่วมกันกับคนอื่นต้องการการยอมรับจากคนอื่น
แต่การที่เราอยู่กับตัวเองจะทำให้ตัวเราเองสามารถพัฒนาความรู้สึกจากภายในของเรามากขึ้นบางทีเมื่อตัวเราเองได้กลับมาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ทั้งอารมณ์ ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นอย่าง
มันก็จะทำให้จิตใจเราสงบลง และเราก็จะสามารถควบคุมมันได้ดีมากยิ่ง
2. เราไม่จำเป็นต้องมองหาความหมายของการใช้ชีวิตอยู่ตลอดเวลา
คำนี้คุณผู้ฟังคงรู้สึกว่าถ้าเราไม่มีความหมายต่อการใช้ชีวิตเราก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแต่สิ่งที่ อยากจะบอกจริง ๆ ในชีวิตเรามันคงมีอะไรที่จะต้องทำหรือควรทำอยู่
แต่ว่าการให้เราพยายามสร้าง To Do List กับตัวเองหรือพยายามบอกตัวเองว่าจะต้องทำอะไรบ้างควรทำอะไรบ้าง
หรือมีสิ่งไหนบ้างที่เราจะต้องไปให้มันถึงตรงนั้น บางทีมันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเตือนเราเพื่อจัดระเบียบชีวิตของเราให้เดินได้อย่างถูกต้องแต่มันก็เหนื่อยเหมือนถ้าเราจะต้องหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น
แล้วก็มุ่งมั่นอยู่กับความพยายามที่เราจะต้องไปถึงตรงนั้นอยู่ตลอด ทำให้ตัวเราเองบางทีมันรู้สึกว่ามันเหนื่อยล้าความคิดด้านลบของเรามันก็จะวิ่งเข้ามาและเราก็จะมองว่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวมาดูโหดร้ายกับเราจังเลย
3. เรียนรู้ที่จะสร้างมิตรภาพกับคนรอบข้าง
สิ่งเหล่านี้มันก็จะช่วยให้เราใจดีกับตัวเองได้ ถ้าเราเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเองแล้วการสานสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็เป็นเรื่องนึงที่ถือว่าเป็นการสร้างความใจดีกับตัวเองได้ในรูปแบบของการที่เรา ใจดีและก็เห็นอกเห็นใจคนอื่น
นั่นแปลว่าตัวเราเองมีการสร้างความใจดีกับตัวเองแล้วในระดับหนึ่งเราถึงแผ่ขยายความรู้สึกใจดีแล้วก็เห็นอกเห็นใจไปที่ผู้อื่นได้เหมือนกัน
4. เปิดโอกาสให้ตัวเอง
เปิดโอกาสให้ตัวเองได้พบกับความสุขในปัจจุบันของตัวเอง เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจมปลักอยู่กับอดีตหรือคิดกังวลกับอนาคตที่มันยังมาไม่ถึงการปล่อยวางเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ตัวเราเองสามารถกลับมามีความสุขได้กับปัจจุบัน
เพราะในเวลาที่เรามัวแต่กังวลเรื่องที่มันยังไม่เกิดขึ้นหรือว่ากลับไปเครียดกับสิ่งที่มันเคยผ่านมาแล้วมันก็จะไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับตัวเราเองแน่ ๆ ถ้าเราลองสังเกตตัวเองได้บางทีสิ่งเหล่านั้นมันกลับมาทำร้ายตัวเราเองด้วยซ้ำ
อาจจะไม่ใช่แค่โลกภายนอกที่มันทำร้ายเรา ทางที่ดีลองเปิดโอกาสให้ตัวเราสามารถพบกับความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันได้ เราไม่จำเป็นที่จะต้องเสพอะไรที่มันจะต้อง Active อยู่ตลอดเวลาจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
คนเราควรจะได้เอ็นจอยกับสิ่งที่อยู่รอบตัวของเราได้ เอ็นจอยกับโมเมนต์เล็ก ๆ เช่น การกินอะไรอร่อย ๆ แค่ได้อยู่กับที่บ้านดูหนังเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกมีความสุขจังเลย แค่นี้ก็เป็นวิธีการให้เราสามารถแบบสร้างความใจดีกับตัวเองได้
ถ้าเรากลับมาให้รางวัลเธอเองให้เวลาตัวเองมีการทำสิ่งที่อยากจะทำตามใจตัวเองบ้างมันคงไม่กระทบกับการที่เราจะมุ่งไปถึงเป้าหมายของเรามากเท่าไหร่ ฝึกในการชื่นชมตัวเองอยู่บ่อย ๆ แม้เรื่องเล็กน้อยที่มันเกิดขึ้น
ถ้าเราชื่นชมตัวเองมันไม่ใช่เพียงแต่เราบอกตัวเองในใจแต่อยากจะให้คุณผู้ฟังลองฝึกกับหน้ากระจกลองมองตัวเองในกระจกสร้างความเชื่อถือความชื่นชอบในตัวตนของตัวเราเอง
หนังสือ Goals (กฏการตั้งเป้าหมาย) เขียนโดย Brian Tracy
หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้เอาไหน คือ เอาที่เราอยากบรรลุเป้าหมายจริง ๆ หรืออันไหนที่เราอยากบรรลุเพื่อเป็นที่ยอมรับในสังคม หนังสือเล่มนี้จะเปิดเผยถึง 21 หลักการตั้งเป้าหมายที่ใช้ได้ผลตลอดชีวิต
โดยเป็นหลักการที่ผู้เขียน Brian Tracy ได้ใช้เป็นหลักการนี้วางแผนให้ผู้เขียนประสบความสำเร็จในการตั้งเป้าหมายในชีวิต โดยจะนำบางหัวข้อที่อยากแนะนำให้ผู้อ่านมาสรุปให้อ่านกัน
Alljit ร่วมกับ mini reader รายการที่จะสรุปข้อคิดดี ๆ จากหนังสือ เพื่อปรับใช้ในการพัฒนาชีวิตและจิตใจ เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เริ่มจากการพัฒนาสิ่งเล็ก ๆ ในทุก ๆ วัน
จุดเริ่มต้นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอาจจะไม่ใช่จุดที่เราอยู่แต่เป็นจุดที่เรากำลังจะมุ่งไป
การใช้ชีวิตโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนก็เหมือนกับการขับรถท่ามกลางหมอกหนา ๆ ไม่ว่าเราจะมีรถที่ดีแค่ไหนเราก็จะขับอย่างเชื่องช้าและไม่มั่นใจที่สำคัญเราต้องตัดสินใจแน่ชัดว่าเราต้องการอะไร
รับผิดชอบชีวิตของคุณ
ในการที่พูดว่าจะรับผิดชอบสิ่งนี้จะทำให้เราไม่รู้สึกผิดหรือโกรธเมื่อพูดคำนี้เพราะเราเป็นนายตัวเอง ถ้าเราสามารถควบคุมชีวิตของเราได้รับผิดชอบได้จะทำให้เรามีความมั่นใจและเข้มแข็งในการใช้ชีวิต
กำหนดค่านิยมของคุณให้ชัดเจน
ยิ่งค่านิยมชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่การกระทำยิ่งชัดเจนมากขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามาจากไหน
แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางไหนยิ่งสิ่งที่เราทำสอด คล้องกับอุดมคติของตัวเองมากเท่าไหร่เรา ก็จะยิ่งชอบเคารพตัวเองและมีความสุขมากขึ้น
วิเคราะห์ความเชื่อของตัวเรา
อย่าดูถูกตัวเองหรือมั่นใจมากเกินไป เพราะความเชื่อเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาไม่ใช่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ความเชื่อที่เรามีอยู่ในทุกวันนี้เป็นความเชื่อที่เราถูกปลูกฝัง ผู้เขียนแนะนำให้เราเลือกเชื่อว่าเราถูกลิขิตมาให้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในชีวิตจงแกล้งทำไปว่าเราทำได้จนกว่าเราจะทำได้จริง ๆ
เราคิดอะไรเราก็มาจะได้อย่างนั้นถ้าเราคิดว่าตัวเองทำไม่ได้เราก็จะทำไม่ได้เลย เพราะว่าหากเราเชื่อว่าตัวเองถูกลิขิตมาให้ประสบความสำเร็จเราจะทำอะไรให้แตกต่างได้จากเดิมมากกว่าที่เราคิดในทางลบ
2 ประการที่ขัดขวางความสำเร็จ
1. ความกลัว
2. ความเคลือบแคลงใจ
โดยเฉพาะความเคลือบแคลงใจในตัวเองหรือความไม่เชื่อมั่นในตัวของตัวเอง เราเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง เปรียบเทียบตัวเองว่าด้อยกว่าผู้อื่นอยู่หรือเปล่า ไม่ว่าเราจะเชื่อว่าตัวเองสามารถทำสิ่งนั้นได้หรือไม่ได้สิ่งที่เราเชื่อมันคือสิ่งที่ถูกต้อง
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราถึง เถียง ไม่ได้? อธิบายทำไมต้องหาว่าเถียงอยู่เรื่อยเลย เเล้วเราจะมีสิทธิที่จะพูดความรู้สึกหรือความคิดของตัวเองบ้างหรือเปล่า?
Alljit ร่วมกับคุณกวินทิพย์ จันทนิยม นักจิตวิทยาการปรึกษา ที่จะพาคุณมาทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่วัยรุ่นต้องพบเจอ และเรียนรู้วิธีรับมือในมุมมองของนักจิตวิทยา
แสดงความคิด ≠ เถียง แต่ทำไมผู้ปกครองชอบมองว่าเราเถียง
ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ปกครองแต่ละคน
- ผู้ปกครองบางท่านเค้าก็จะเปิดรับความคิดเห็นหรือให้เราแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
- ผู้ปกครองบางท่านเค้าก็จะคิดว่าสิ่งที่เราพูดออกไปกลายเป็นการเถียงไปซะอย่างนั้น
ซึ่งในบางทีต้องดูที่ตัวเราเองด้วยว่าในการพูดแสดงความคิดเห็นออกไป เราพูดในลักษณะแบบไหน ใช้น้ำเสียงในการพูดแบบไหน ใช้อารมณ์ในการพูดออกไปหรือเปล่า
ถ้าเราพูดด้วยท่าทีหงุดหงิด ใช้อารมณ์ เสียงดังใส่ผู้ปกครอง อันนี้ก็จะดูเป็นการที่เราดูเหมือนกำลังเถียงเค้าอยู่
แต่ถ้าเราควบคุมการพูด การใช้อารมณ์ของตัวเองได้ ใช้น้ำเสียงปกติ และพูดด้วยหลักการและเหตุผล ผู้ปกครองก็น่าจะรับฟังเรามากขึ้น ใช้ความใจเย็นเข้าสู้ ผู้ปกครองก็น่าจะเห็นตรงจุดนี้ว่าเราใช้เหตุผล ในการแสดงความคิดเห็นอยู่
อาบน้ำร้อนมาก่อน?
คำว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน ตอนนี้อาจจะใช้ได้กับแค่บางเรื่องบางกรณี เพราะตอนนี้ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป การที่ผู้ใหญ่เอาคำนี้มาพูด ในบางเรื่องมันก็ใช้ไม่ได้แล้ว
เพราะบางทีประสบการณ์ของผู้ใหญ่ในสมัยก่อน กับประสบการณ์ที่เด็กสมัยนี้เจอมันแตกต่างกันมาก
เด็ก ๆ สมัยนี้มีความคิดและมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ถึงแม้ในบางเรื่องอาจจะมีคนเตือนแล้ว แต่เด็ก ๆ ก็อาจจะอยากลองทำดูอยู่ดี
วิธีที่สามารถทำให้ผู้ปกครองเปิดใจรับฟังมากขึ้น
บทความจากเว็บไซต์ที่มีชื่อว่า ชูใจโปรเจค บทความชื่อว่า “วัยรุ่นจะคุยกับพ่อแม่ยังไงให้เข้าใจ (วิธีการสื่อสารกับผู้ใหญ่ไม่ให้พังพินาศ)”
4 วิธีการสื่อสารกับผู้ใหญ่ให้ราบรื่น
1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี
“ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง” พอเราเป็นวัยรุ่นเราอาจจะเริ่มเป็นตัวเองมากขึ้น ความคิด นิสัยบางอย่างก็เปลี่ยนไปตามวัยที่โตขึ้น ความสนิทกับพ่อแม่ก็เลยลดลงเพราะเราในตอนนี้ก็ไม่เหมือนกับเราเมื่อก่อนเสียทีเดียว
อีกทั้งความเข้าใจของเราที่มีต่อพ่อแม่ก็จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนตอนเด็ก ๆ ความสัมพันธ์จึงต้องมีการสร้างเพื่อความแน่นแฟ้นมากขึ้น การมีช่วงเวลาที่ดีกับพ่อและแม่
2. ไวในการฟัง
การสื่อสารที่ดีต้องเริ่มต้นจากการฟัง สิ่งสำคัญของการฟังไม่ใช่เพียงแค่ให้เราได้ยินเนื้อหาหรือจับใจความสิ่งที่พ่อแม่พูดเท่านั้น แต่มันคือ “การฟังจนรับรู้ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ของผู้พูด โดยไม่รีบพูด ไม่รีบตัดสิน หรือด่วนสรุปจนเร็วเกินไป”
3.การพูดอย่างฉลาด
การพูดเป็นสิ่งที่ควรฝึกฝนอย่างมากและมีหลากหลายเทคนิคแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น การพูดสะท้อนความรู้สึก เช่น การที่เราพูดว่า “ผมเข้าใจว่าแม่กังวล”
การพูดแบบนี้จะทำให้คนที่เป็นพ่อแม่รับรู้ว่าลูกเข้าใจความหวังดีของตัวเขา ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
การใช้ I message คือ ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ฉัน/หนู/ผม/ลูก และตามด้วยความรู้สึก หรือสิ่งที่อยากจะเห็น การพูดแบบนี้ ทำให้การสื่อสารชัดเจน และทำให้คนฟังเข้าใจว่า เราต้องการ หรือรู้สึกอะไร
4.สร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง
“การจะให้คนยอมรับ เราก็ต้องทำตัวให้เป็นคนที่ไว้วางใจได้ด้วย!” เมื่อพูดอะไรเราก็ควรรักษาคำพูด สิ่งนี้จะค่อย ๆ สร้างความไว้วางใจให้พ่อแม่รู้ว่าเรามีความรับผิดชอบและดูแลตัวเองได้
อาจจะต้องใช้เวลาพิสูจน์ให้คุณพ่อคุณแม่เห็นในครั้งแรก ๆ ว่าเราสามารถทำได้ตามที่พูดจริง ๆ
เขาอาจจะไว้ใจบ้างหรือไม่ไว้ใจบ้างก็ไม่เป็นไรเพราะพ่อแม่ก็แค่ห่วง แต่หากเรารักษาคำพูด สร้างความน่าเชื่อถือ รับผิดชอบคำพูดอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดท่านก็จะไว้ใจเรา และก็จะมอบอิสระให้การคิด ตัดสินใจ และปล่อยให้ดูแลตัวเองมากขึ้น
GAP ที่ต่างกันทำให้มีความคิดเห็นที่ต่างกัน อธิบายอย่างไรให้พวกเขาเข้าใจ ≠ เถียง
#ช่องว่างระหว่างวัย หรือ #Generation Gap เป็นปัญหาที่มีมานาน เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย เกิดจากการที่แต่ละคนแต่ละ gen มีความคิดความเข้าใจที่แตกต่างกัน ซึ่งตอนนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ๆ บางทีพ่อแม่ก็ตามยุคสมัยไม่ทัน
เราก็ต้องทำความเข้าใจพ่อแม่ด้วยว่าบางทีท่านตามเราไม่ทัน ตามสิ่งใหม่ ๆ ไม่ทัน ทำให้ท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำเลยมีมุมมองที่แตกต่างจากเรา
เราก็ไม่ควรที่จะไปหงุดหงิดใส่พ่อแม่เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันและทะเลาะกันไปใหญ่
เราควรใช้เวลาค่อย ๆ อธิบายให้พ่อแม่ฟัง ว่าตอนนี้สมัยนี้มันเป็นไปแบบนี้ ๆ นะ ต้องทำอะไรแบบไหนถึงจะโอเค อธิบายให้ท่านได้พอมองเห็นภาพ ต้องใจเย็น ๆ ให้ท่านได้ใช้เวลาค่อย ๆ ปรับตัวและทำความเข้าใจในยุคสมัยของเรา
ที่มา: https://www.choojaiproject.org/2018/08/how-to-talk-to-your-parents/
พ่อแม่ ไม่เชื่อใจ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็คอยระแวงว่าเราจะออกนอกกรอบที่วางไว้ จนเราอึดอัดและห่างเหิน รู้สึกเหมือนถูกจำกัดในทุกเรื่อง เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้เราจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้กระทบกับความสัมพันธ์
Alljit ร่วมกับคุณกวินทิพย์ จันทนิยม นักจิตวิทยาการปรึกษา ที่จะพาคุณมาทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่วัยรุ่นต้องพบเจอ และเรียนรู้วิธีรับมือในมุมมองของนักจิตวิทยา
ความ ไม่เชื่อใจ เกิดจากสาเหตุอะไร
1.เกิดจากที่เขาเห็นสังคมรอบตัวเกิดเหตุการณ์ที่มันไม่ปลอดภัยขึ้น
2.เป็นประสบการณ์ของพ่อแม่
3.พ่อแม่มีความห่วงลูกมากจนเกินพอดี
พ่อแม่ที่เป็นห่วงหรือปกป้องลูกมากเกินไป หรือที่เรียกว่า “overprotective parents” จะเป็นการเลี้ยงลูกที่มีแต่ความกลัว ความกังวลว่าลูกจะได้รับอันตราย กังวลว่าลูกจะไม่ประสบความสำเร็จ..
ผลกระทบที่เกิดจากความ ไม่เชื่อใจ
1.ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัด
2.ทุกก้าวที่เดินในเส้นทางของชีวิตจะเต็มไปความกังวล
3.ไม่มั่นใจในการทำอะไรด้วยตัวเอง
4.ต้านทานต่อความล้มเหลว ความผิดพลาด หรือความผิดหวังได้ยาก
วิธีลดความระแวงจากพ่อแม่
1.ความจริงใจ
การไม่จริงใจกับพ่อแม่มีแต่จะทำให้พวกเขาไว้ใจเราน้อยลง เราต้องบอกความจริงทุกอย่างกับพ่อแม่ ห้ามโกหกไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
2.ยอมฟังที่พ่อแม่พูดหรือบอกเรากลับบ้าง
การสื่อสารที่ดีและได้ผล จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทั้งพูดคุยกัน และรับฟังกัน เราต้องพยายามเข้าใจพ่อแม่บ้าง บางสิ่งบางอย่างเราก็ต้องรับฟังและยอมทำตาม
3.มีความรับผิดชอบและพิสูจน์ให้เห็นด้วยการกระทำ
เราต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้ เช่น เราอยากไปเที่ยวกับเพื่อนๆในวันหยุด เราก็ต้องทำการบ้าน ทำงานบ้านที่เป็นหน้าที่ที่เรารับผิดชอบให้เสร็จ
ที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่เองก็ต้องเข้าใจลูกว่าอย่างน้อยเขาเองก็ต้องฝึกทำอะไรได้ด้วยตัวเองบ้าง เพื่อเพิ่มทักษะให้กับตัวเองและได้ทำตามในสิ่งที่ชอบ
“ความระแวงและไม่เชื่อใจของพ่อแม่กำลังทำร้ายลูก”
การที่พ่อแม่ระแวงและไม่เชื่อใจลูก จะทำให้ลูกอึดอัด เครียด กดดัน เพราะลูกจะไม่มีอิสระในการทำอะไรเลย พ่อแม่ระแวงอยู่ตลอดเวลา ลูกจะทำอะไรพ่อแม่ก็คอยจับตาดูอยู่ตลอด มันก็จะส่งผลต่อสุขภาพจิตของลูก แล้วผลเสียหลาย ๆ อย่างก็จะตามมา
เช่น ลูกก็จะกลายเป็นเด็กมีปัญหา โกหกเอาตัวรอดเพราะไม่อยากถูกระแวงหรือจับผิดจากพ่อแม่ เกิดการดื้อเงียบมีการต่อต้านอยู่ลึก ๆ กลายเป็นเด็กเก็บกดหรืออาจจะกลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย ขาดทักษะการตัดสินใจ
“พอเติบโตไปก็อาจจะกลายเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตได้”
วิธีที่จะทำให้พ่อแม่วางใจและเชื่อใจเรา
1.ความจริงใจต่อพ่อแม่
2.ยอมฟังและยอมทำตามสิ่งที่พ่อแม่บอก(ในเรื่องที่สามารถทำได้)
3.มีความรับผิดชอบและพิสูจน์ให้ท่านเห็นด้วยการกระทำ
ครอบครัวเป็นห่วงมาก ไปไหนทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ปล่อยให้ มีอิสระ ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ พ่อแม่ก็ไม่สนับสนุน เป็นปัญหาหนักใจของทั้งตัวเด็กและผู้ปกครอง จนบางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดความห่างเหินกัน…
Alljit ร่วมกับคุณกวินทิพย์ จันทนิยม นักจิตวิทยาการปรึกษา ที่จะพาคุณมาทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่วัยรุ่นต้องพบเจอ และเรียนรู้วิธีรับมือในมุมมองของนักจิตวิทยา
ความสำคัญของการปล่อยให้เด็ก มีอิสระ
การที่เราได้ปล่อยให้เด็กได้มีอิสระ ได้ไปทำอะไรที่เค้าชอบเป็นการเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง เราไว้ใจเด็กเค้าว่าเค้าสามารถทำได้ด้วยตัวเองได้ ไม่ปิดกั้นจนเกินไป
แต่การให้อิสระเด็ก ๆ ไม่ใช่การปล่อยปละละเลย เราให้อิสระเค้าแต่เราต้องคอยดู คอยประคับประคองเค้าอยู่ห่าง ๆ คอยบอกคอยสอน การให้อิสระเด็กมีข้อดี คือ เขาจะกล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง มีความมั่นใจ สุขภาพจิตดี
ผลกระทบของการขาดอิสระ
1.ขี้กลัว ไม่กล้าตัดสินใจ
2.ดื้อเงียบ ต่อต้านพ่อแม่
3.ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดไม่เป็น
4.เก็บกด เครียด
5.มีปัญหาด้านสุขภาพจิต
ทำไมพ่อแม่ไม่กล้าปล่อยให้ลูก มีอิสระ?
“ห่วงลูกมากเกินไป กลัวลูกไม่ปลอดภัย”
อาจจะมีความเป็นห่วงลูกมากเกินไป กลัวลูกไม่ปลอดภัย กลัวหลาย ๆ อย่าง จนไม่กล้าปล่อยให้ลูกได้มีอิสระของตัวเอง
“เคยเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีกับตัวเองมาก่อน”
แล้วพอมีลูกเลยกลัวลูกจะไปเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีแบบที่ตัวพ่อแม่หรือผู้ปกครองเจอมาก่อนก็เป็นได้ เลยไม่กล้าปล่อยให้ลูกได้มีอิสระและจำกัดขอบเขตของลูก
ไม่กล้าปล่อยให้ลูก มีอิสระ ต้องทำอย่างไร?
ให้คิดว่าเราก็สามารถดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ได้ คอยเตือน บอกเค้า ไม่ใช่บังคับไปหมดซะทุกอย่าง บางอย่างพ่อแม่ ผู้ปกครองก็ควรให้เด็กเค้าได้เผชิญด้วยตัวเองบ้าง
เพื่อให้เค้าได้เกิดการเรียนรู้และกล้าที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองในอนาคตต่อไป ถ้าเค้าไปเจอสถานการณ์แบบเดิม เค้าก็จะได้รู้จากประสบการณ์เดิมว่าควรที่จะทำอย่างไรต่อไป
ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองมัวแต่จำกัดอิสระ เด็กจะไม่เกิดการเรียนรู้อะไรด้วยตัวเองเลย ไม่กล้าคิดไม่กล้าตัดสินใจในอนาคตถ้าเค้าไปเจอสถานการณ์ต่าง ๆ อาจจะสร้างความลำบากให้เด็กได้เพราะไม่รู้จะจัดการอย่างไร
ข้อดี ข้อเสียของการปล่อยให้เด็กมีอิสระ
ข้อดี
1.มีความมั่นใจในตนเอง
2.สุขภาพจิตดี
3.กล้าจะเข้าสังคมใหม่
ข้อเสีย
1.ถ้าปล่อยปละละเลยเกินไปก็อาจทำให้เด็ก ๆ ไร้วินัย
2.อาจถูกชักจูงไปในทางที่ไม่ดีได้ง่าย
พ่อแม่ไม่สนับสนุนในสิ่งที่เราชอบเลย ทำอะไรก็ห้ามตลอด ทำอย่างไร?
“อธิบายว่าเพราะอะไรเราถึงชอบสิ่งนั้น”
บอกพ่อแม่ไปตรง ๆ ว่าเราชอบสิ่งนั้นเพราะอะไร เราทำสิ่งนั้นแล้วเรามีความสุข ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือเป็นสิ่งที่ทำให้ใครเดือนร้อน อธิบายให้พ่อแม่ได้เข้าใจหรือขอโอกาสจากพ่อแม่ให้ได้ลองทำในสิ่งที่เราชอบ
ทำให้ท่านได้เห็นว่าสิ่งที่เราชอบนั้นมีประโยชน์หรือมีคุณค่าต่อตัวเราอย่างไรบ้าง