Posts
ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ “โลกซึมเศร้า” สำหรับทุกคนที่ร่วมเดินทางกันมาถึงตอนสุดท้ายนี้ คำถามยอดฮิตเลยก็คือ เป็น โรคซึมเศร้าหายไหม ?
บทความนี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ของทีมงาน Alljit ที่เคยตกอยู่ในโลกซึมเศร้าเพียงเท่านั้น อาจจะมีบางมุมมองที่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนและเป็นจุดเล็ก ๆ ที่สร้างกำลังใจได้
สาเหตุที่ทำให้เป็นซึมเศร้า ?
เหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ
ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดที่สุดคือ big events ต่าง ๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิต เช่น การเลิกรา การสูญเสีย อุบัติเหตุ ความเจ็บป่วย เป็นต้น
การรับรู้และการตีความหมายต่อสิ่งต่าง ๆ
‘วิธีการให้ความหมายต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี่แหละ ที่ทำให้เรากลายเป็นผู้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้น’ เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ถ้าเรามองดีก็ดี เรามองแย่ก็แย่
อีกอย่างหนึ่งช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ หรือที่เรียกว่า ‘overwhelmed’ สิ่งที่อยากชวนทุกคนลองทำดู คือ รู้สึกเท่าที่เหตุการณ์ทำให้รู้สึก
ประสบการณ์ตอนที่ไปพบผู้เชี่ยวชาญ เป็นอย่างไร?
เป็นการเปิดโลกของเรามาก เพราะลายคนก็มีอาการคล้าย ๆ เราเขาก็ไปพบคุณหมอหมอกัน ความรู้สึก ณ ตรงนั้น คือไม่มีใคร ตัดสินเราเลย
เราได้พูดคุยกับนักจิตวิทยา ได้พูดคุยกับคุณหมอ เล่าทุกอย่าง ระบายความรู้สึก ซึ่งบ้างเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าฟัง แต่นักจิตวิทยารับฟังทุกอย่างและพูดให้ข้อคิดมาก ๆ
ประสบการณ์การรักษาเป็นยังไง?
เริ่มจากการไปหาหมอการวินิจฉัยว่าเราป่วยเป็นซึมเศ้ราหรือไม้ จากนั้นก็รับจ่ายยา ช่วงแรกคุณหมอจะนัดมาทุก ๆ สองอาทิตย์เพื่อปรับยา และเพื่ออัปเดตว่าเรามีอาการเป็นอย่างไรก็เล่าให้คุณหมอฟัง
จำได้ว่าการไปหาครั้งแรก ๆ ก็มีการปรับเพิ่มยา เพราะบอกคุณหมอว่าไม่ดีขึ้นเลย นอนก็ไม่ค่อยหลับเหมือนเดิม ก็ค่อย ๆ ปรับ ค่อย ๆ กินไป จนคุณหมอนัดเป็น 1 เดือนครั้ง 3 เดือนครั้ง และ 6 เดือน
ประสบการณ์การกินยาโดยส่วนตัวคิดว่ายังไงบ้าง
โดยความรู้สึกส่วนตัว คิดว่า กินยาแล้วช่วยได้มาก อย่างน้อยกินยาช่วยให้นอนหลับ และดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนวันหนึ่งรู้สึกว่า ดีขึ้นมากเลยเหมือนกันนะ แต่ไม่ได้หายขาด
เพราะบางวันก็รู็สึกเศร้า วน ๆ คิด ๆ แต่ไม่ทุกเวลา ไม่ทั้งวันเหมือนเดิมแล้ว รู้สึกมีแรงจะลุกไปทำอะไรบ้าง
เสริมเกี่ยวกับข้อควรระวังคือ อย่าหยุดยาเอง เพราะยาเหล่านี้มีผลต่อฮอร์โมน การกินยาไม่ตรงกับที่แพทย์สั่งอาจจส่งผลกับร่างกายได้
นอกจากการรักษา มีอะไรบ้างที่ช่วยให้หายจากซึมเศร้า?
มีการศึกษาเรื่องการอยู่กับอิริยาบถเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเองเพียงอย่างเดียวมีผลดีต่อโรคซึมเศร้า ภาษาจิตวิทยาคงเรียกได้ว่า Mindfulness แหละ เพราะทำให้สมองได้พักผ่อน
เช่น กินข้าวก็กินข้าวอย่างเดียว อาบน้ำก็อาบน้ำอย่างเดียว จดจ่ออยู่กับกิจกรรมนั้น อาจลองเอาวิธีนี้ไปพยุงจิตใจเบื้องต้นได้เช่นกัน
จุดไหนที่รู้สึกว่า นี่คือ ‘หายแล้ว’ จากประสบการณ์ส่วนตัว
คำถามว่า โรคซึมเศร้าหายไหม จุดที่ตัวเองไม่ต้องกินยาอีกต่อไปแล้ว เกิดความปกติของความรู้สึก เศร้าปกติ เสียใจปกติ ไม่ดิ่ง ไม่ดาวน์ ใช้ชีวิตได้ปกติ
โรคซึมเศร้าหายไหม
จากการหาข้อมูล โรคซึมเศร้าหายไหม หลายแหล่งบอกว่า ไม่หายขาด ไม่ใช่ว่าหายแล้ว ดีขึ้นแล้ว โรคซึมเศร้าจะไม่กลับมาอีก แต่อยู่ที่ว่าเราจะป้องกันยังไงให้มีโอกาสเกิดขึ้นอีกน้อยที่สุดและสร้างภูมิคุ้มกันจิตใจยังไงให้พร้อมรับมือ
ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่
ยุคนี้ที่สังคมให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพจิต จริง ๆ แล้วสุขภาพจิตคืออะไร? สุขภาพจิตที่ดี เป็นอย่างไร? มองโลกในแง่ดีถือว่ามีสุขภาพจิตที่ดีแล้วหรือยัง? สุขภาพจิตที่ดีนั้นเราจะสร้างได้อย่างไร?
มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือรับฟังได้ที่ Alljit Podcast
สุขภาพจิตคืออะไร
สุขภาพจิต ตีความง่าย ๆ คล้ายสุขภาพกายก็คือ มีความสุขสบายทางด้านจิตใจ ความแข็งแรงทางด้านจิตใจ ซึ่งประกอบไปด้วย ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของบุคคลที่ส่งผลต่อจิตใจของเรา
” ถ้าสุขภาพจิตที่ดี อะไรที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราก็ดีไปด้วย “
สุขภาพจิตที่ดี เป็นอย่างไร
เรามีความเเข็งแรงและปรับตัว ต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็น สถานการณื บุคคล ภาวะอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นกับคนอื่น หรือตัวเอง เราก็จะสามารถปรับสมดุลในตัวเองได้ อย่างเช่นเราโกรธ ไม่แปลว่าเราสุขภาพจิตแย่
แต่หมายถึงว่าเราเรียนรู้ที่จะปรับตัวกับความโกรธของเราอย่างไร แล้วเลือกแสดงออกพฤฟติกรรมอย่างไร ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนั้น สามารถหยึดหยุ่ดได้มากขึ้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา
มองโลกในแง่ดีถือว่ามี สุขภาพจิตที่ดี ?
ความคิดในแง่บวก ไม่ได้หมายความว่า คิดในด้านดีดี แต่มันคือการคิดแบบ Plus ที่แปลว่าบวก นั่นหมายความว่า เรามีความหลากหลายด้านความคิด
เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความคิดด้านดี หรือด้านบวกได้นั่นหมายความาว่า เราคงหาทางเลือกที่หลากหลายให้กับความคิดของตัวเองได้ด้วยเช่นกัน
สุขภาพจิตสำคัญอย่างไร
สุขภาพจิตสำคัญเช่นกับสุขภาพกาย เมื่อร่างกายเเข็งแรงไม่มีโรคภัย เราก็จะสุขภาพจิตดีไปด้วย มีแรงจูงใจไปทำอะไรหลาย ๆ อย่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถดูแลสุขภาพจิตให้ดี สดชื่น แจ่มใส โรคต่าง ๆก็อาจจะเกิดขึ้นช้า หรือไม่เกิดขึ้น
รีเช็คสุขภาพจิตได้อย่างไร
1.สังเกตที่ความคิด
– สังเกตเมือมีอะไรเกิดขึ้นในความคิดของเรามาด ๆ เราจะขาดสมาธิ จดจ่อได้ยาก
– กระบวนการคิดค่อย ๆ แย่ลง เกิดความลังเล ตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ค่อยได้
– ความคิดหมกหมุ่ม หรือคิดมาก ทั้ง ๆ ที่เราเองทราบว่าไม่มีประโยชน์ที่จะคิด
2. สังเกตที่อารมณ์
อ่อนไหว หงุดหงิด โมโห ได้ง่ายมากมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงจัดการ และควบคุมตัวเองได้น้อยลง อย่างเช่น เมื่อก่อนเมื่โมโหคนเสียงดังแค่ประมาณหนึ่ง
แต่พอมาวันนี้เสียงดังแค่นิดเดียวส่งผลกระทบต่อเรามาก แสดงว่า ภายในใจมีช่องว่างที่จะรับสิ่งเหล่านี้ได้น้อยลง ก็ทำให้เราอดทนต่ำลง
3.สังเกตพฤติกรรม
โดยการฟังคำสะท้อนจากคนรอบข้าง เช่น เพื่อน ๆ บอกว่าไม่ค่อยออกไปพบเพื่อน ไม่ค่อยพูดคุยเข้าสังคมเช่นเคย รวมไปถึง พฤติกรรมการกิน และนอนเปลี่ยนแปลงไป เช่น ทานข้าวน้อยลงมาก นอนไม่หลับ
สุขภาพจิตแย่ ทำอย่างไรดี
ประเมินตนเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร มีปัญหาใดที่เราควบคุมได้ แลปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ จากนั้นเราค่อย ๆ จัดการกับปัญหาที่จัดการได้ อย่างน้อยจากปัญหาหลายๆ อย่างที่มีก็ค่อย ๆ ลดลงได้
แต่ในส่วนของปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันก็สามารถเข้าไปพบผู้่เชี่ยวชาญได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก
สุขภาพจิตที่ดี สร้างได้อย่างไร
1. ลงมือทำในสิ่งที่เราชอบและมีความสุข
2. ทำในสิ่งที่เราอยากลองทำ เพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง
3. ฝึกคุยกับตัวเอง หมายถึง ค่อย ๆ เติมสิ่งที่ดีดี ที่เกิดขึ้นให้กับตัวเอง
4. ฝึกสติ เพื่อทำให้เราจัดการอารมณ์ คิด และตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่
เคยไหม… เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แล้วเก็บมาคิดว่าทำไมเรา ไม่ดีเท่าคนอื่น ไม่มีเหมือนคนอื่น ความรู้สึกแบบนี้ใคร ๆ ก็เป็นกันใช่ไหม? มีสาเหตุมาจากอะไร?
แล้วถ้าวันหนึ่งเราเกิดความรู้สึกแบบนี้จะรับมือกับมันยังไงดี? มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือรับฟังได้ที่ Alljit Podcast
ความรู้สึกว่า ไม่ดีเท่าคนอื่น เกิดจากอะไร
การที่เราเอาตัวเองไปวางไว้บนไม้บรรทัดของคนอื่น เราใช้เกณฑ์มาตรฐานของคนอื่น ซึ่งบางครั้งไม่สอดคล้องกับศักยภาพของตัวเอง จึงทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ดีเท่าคนื่น ทำไม่ได้เท่าคนอื่น
เพียงเพราะเราเห็นมาตรฐานของคนอื่น ว่าแบบนี้เท่ากับดี แบบนี้เท่ากับเก่ง เราก็จะประเมินตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริงเสมอ เมื่อเห็นแบบนั้นบ่อย ๆ เราก็จะใช้ชีวิตแบบกังวล ว่าทำยังไงดีถึงจะเก่งเท่าคนอื่น
แต่ถ้าลองมองย้อนมาที่ตัวเองจริง ๆ เราก็จะมีมุมที่เก่งในแบบของเรา อะไรที่เราทำได้ ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะทำได้เหมือนกับเรา บางที่ที่เราทำอะไรไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะพัฒนาไม่ได้
ต้นเหตุของความรู้สึกไม่ดีเท่าคนอื่น
เกิดได้หลายหลายขึ้นอยู่กับการตีความของเรา บางครั้งที่เรารู้สึกดีไม่พอ อาจมีอะไรซ่อนอยู่ข้างหลัง เช่น ไม่เก่ง เพราะรู้สึกไม่ภูมิใจในตนเอง รู้สึกดีไม่พอ นั่นเกิดขากความรู้สึกอิจฉาที่อยู่ลึก ๆ ในใจเป็นต้น
การเปรียบเทียบเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นหรือไม่
การเปรียบเทียบเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพราะการเปรียบเทียบมีทั้งดีและแย่ หากเราเปรียบเทียบแล้วทำให้เห็นว่าเราอยู่จุดไหน และนำไปพัฒนาตนเองก็สามารถไปต่อได้
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากเราเปรียบเทียบมากเกินไป จนรู้สึกแย่และมองไม่เห็นสิ่งดีดีที่มีอยู่ในตนเอง ก็ไม่ก่อเกิดผลดีใด ๆ และไม่ควรให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ
ความรู้สึกดีไม่พอสามารถเป็นแรงผลักดันให้เราได้ไหม
ในวันที่เรารู้สึกไม่ดี เราคงไม่อยากทำอะไร แต่หากเราอยากทำให้เป็นแรงผลักดัน เราต้องรู้ว่าเราแย่เพราะอะไร แล้งลงไปจัดการกับปัญหาตรงนั้น
จากนั้นแปรเปลี่ยนมาเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำ เพื่อให้เราได้ไปต่อ มีแรงผลักดักที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น และสามารถพัฒนาต่อยอดสิ่งนั้น ๆ ต่อได้
โซเชียลมีเดียมีผลหรือไม่
โซเชี่ยลทำให้เราเห็นชีวิตคนอื่นได้ง่ายขึ้น แต่การเห็นชีวิตคนอื่นได้ง่ายขึ้นก็สะท้อนมาถึงตัวเราเองได้ง่ายขึ้น การที่เราเห็นเขาดีบนโซเชี่ยลมีเดีย แต่เราไม่รู้หรอกว่าข้างหลังเขากำลังใช้ชีวิตอย่างไรอยู่
ดีแค่ไหนถึงเรียกว่าดีเท่าคนอื่น
ชีวิตแค่แข่งกับตนเองก็เหนื่อยแล้ว เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องแข่งกับคนอื่น แค่ดีในแบบที่เราพอใจ ไม่ต้องดีเท่าคนอื่น หรือดีเท่าอะไร ขอให้ดีอย่างมีความสุขที่ได้เป็นแบบนี้ ไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่าตัวเราเอง
เพราะฉะนั้น การที่เราจะคิดว่าต้องดีเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าดีพอเหมือนกับเรายังคงเอาตัวเองไปวางไว้บนบรรทัดฐานของคนอื่นแข่งกับตัวเองให้ได้มาตรฐานในรูปแบบของตนเอง จะช่วยให้เราวัดระดับของตัวเองได้ดีกว่า
” เรามีคนเดียวบนโลกไม่มีทางที่ใครจะเหมือนเรา และเราจะเหมือนใคร “
รับมืออย่างไรเมื่อรู้สึก ไม่ดีเท่าคนอื่น
1. ชื่นชมตัวเองเมื่อรู้สึก
เมื่อเรารู้สึกไม่ดีเท่าคนอื่นฝึกชื่นชมบ่อย ๆ ว่าเราทำอะไรได้ดีบ้าง เราจะมีคลังคำศัพท์ของการทำเรื่องดีดีของตัวเองเยอะ ๆ อาจจะลองจดบันทึกไว้ อย่างน้อยก็สามารถกลับมาดูในวันที่รู้สึกแย่
2. เรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง
ถ้าเราเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเอง เราจะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง หรือไม่ดี แต่อาจจะเกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง เราก็นำสิ่งนั้นกลับมาเป็นบทเรียนที่จะพัฒนาอย่างไรไม่ให้ผิดหวังอีกครั้ง
3.ไม่ควรมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ ที่ตัวเองทำได้ดี
วัน ๆ หนึ่ง มีเรื่องเกิดขึ้นกับเรามากมาย แต่สิ่งที่สำคัญคือ การมองเห็น และชื่นชมกับสิ่งเล็ก ๆ ที่เราได้ทำลงไป อย่างเช่น กล่าวของคุณพี่ ๆ พนักงาน แบ่งบันน้ำดื่ม หรือขนมให้เพื่อนร่วมงาน
4 . การเข้าพบผู้เชี่ยวชาญ
การที่เราเข้าไปพูดคุยกับนักจิตวิทยาจะทำให้เราเห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง ให้มันชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในหลาย ๆ มิติ และทำให้เราสามารถนำเรียนรู็และพัฒนาจิตใจของเราได้
ไม่มีทางที่เราจะดีที่สุดในทุก ๆ เรื่อง ไม่มีทางที่เราจะเก่งได้ในทุก ๆ เรื่อง เราเป็นมนุษย์หนึ่งคนที่ผิดพลาดได้ เราไม่สมบูณ์แบบ
ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่
ทำร้ายตัวเอง = โรคซึมเศร้า? หลายคนคงเคยเห็นภาพที่คนเป็นซึมเศร้า ทำร้ายตัวเองหรือ พบเจอคนทำร้ายตัวเอง แล้วมักบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ไหม หรือไม่ใช่ทุกคนเสมอไปที่ทำแบบนั้น
วิธีการระบายความเจ็บปวดข้องเรานั้นแตกต่างกัน ในบางคนการเจ็บปวดก็แสดงถึงการมีอยู่ ในบางคนเลือกที่จะสักผิวหนัง บางคนเลือกที่จะร้องไห้ แล้วสำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเขาเลือกการทำร้ายตังเองจริงไหม
วันนี้เรามาร่วมพูดคุยกันในรายการ “โลกซึมเศร้า” กับหัวข้อ เป็นซึมเศร้าต้องทำร้ายตัวเองหรือเปล่า ?
คนเป็นโรคซึมเศร้าต้องทำร้ายร่างกายตัวเองจริงไหม?
ไม่อยากให้ให้หลาย ๆ คนเข้าใจผิดคิดว่าโรคซึมเศร้าต้องทำร้ายตัวเอง หรือเห็นใครทำร้ายตัวเองและบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้าเลย เพราะแต่ละคนมีวิธีจัดการความรู้สึกเศร้าคนละแบบ
แต่ถ้ามีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง อยากบอกว่าจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องสื่อสารกับคนรอบข้างหรือนักวิชาชีพ ที่สำคัญคือโรคซึมเศร้าไม่ใช่อย่างเดียวที่เป็นปัจจัยในการทำร้ายตัวเอง
โรคทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น จิตเภท หรือ คนที่มีภาวะเห็นภาพหลอน หูแว่ว อาจมีพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นอันตรายเหมือนกัน เช่น คิดว่ามีตัวอะไรอยู่ในผิวหนัง เลยพยายามแคะแกะจนเป็นแผลเลือดออกแตกต่างกันไป
อะไรที่ทำให้อยากทำร้ายร่างกายตัวเอง ?
สาเหตุมีได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เป็นการลงโทษตัวเองอย่างหนึ่ง หรือเป็นวิธีจัดการความรู้สึกอย่างหนึ่ง บางคนใช้วิธีนี้เพื่อปลดปล่อยหรือเบี่ยงเบนตัวเองจากความเจ็บปวดข้างใน หรืออีเป็นเรื่องของรสนิยมความชอบส่วนตัว
วงจรการ ทำร้ายตัวเอง จาก western tidewater
1. emotional suffering = รู้สึกแย่ รู้สึกเจ็บปวดทางใจ
2. emotional overload = ความรู้สึกนั้นจะท่วมท้น
3. panic = ตื่นตระหนก
4. self harm = ทำร้ายร่างกายตัวเอง
5. temporary relief = จะรู้สึกโล่งขึ้นระยะหนึ่ง
6. shame/grief = แต่สุดท้ายจะกลับมารู้สึกผิดที่ทำลงไป
การทำให้ตัวเองเจ็บ = การทำร้ายร่างตัวเองจริงไหม ?
ข้อมูลจาก GQ Thailand กล่าวว่า การสักและการเจาะถือเป็นการทำให้ตัวเองเจ็บที่ไม่อันตราย ไม่ใช่การทำร้ายตัวเองโดยตรง เช่น ดึงผม แกะผิว กรีดผิวหนัง อีกอย่างการทำร้ายตัวเองจะประสงค์ร้ายและขาดการควบคุมตัวเอง
“ความเจ็บ” ช่วยตอกย้ำ “การมีอยู่”
บางคนบอกว่าการทำร้ายตัวเองก็เป็นเหมือน “วงจร” ที่เข้ามาแล้วหาทางออกได้ยาก มักจะเริ่มต้นเพื่อบรรเทาแรงกดดันจากความคิดและความรู้สึกที่ทับถมใจเรา
เมื่อทำไปแล้วรู้สึกว่าสิ่งนี้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางอารมณ์ของเราได้ชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี แต่สิ่งสำคัญคือหลายคนไม่ทันรู้ตัวว่ามันไม่ใช่ทางออกที่จะพาเราออกจากโลกที่เจ็บปวดได้จริง
วิธีระบายความรู้สึก
ทุกคนจะมีวิธีการระบายความรู้สึกที่แตกต่างกันไป แล้วแต่รูปแบบของแต่ละบุคคล เช่น
- ร้องไห้ เป็นสิ่งที่ช่วยได้ เสมือนเป็นการระบายความรู็สึกอย่างหนึ่ง
- เดินออกไปตะโกนดัง ๆ หรือคุยกับตัวเอง เพื่อช่วยปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู๋ภายในใจ
- พูดคุย ระบายแบบให้เต็มที่ ไปเลยกับใครซักคน
การทำร้ายร่างตัวเองนำไปสู่จบชีวิตตัวเองจริงหรือ ?
Non suicidal self-injury : NSSI เป็นการทำร้ายตัวเองโดยไม่มีเจตนาที่จะให้อันตรายถึงชีวิต จาก National Library of Medicine กล่าวว่า
Non suicidal self-injury มักเกิดขึ้น เพื่อลดอารมณ์ทางลบ,เพื่อให้ได้ปลดปล่อย, และเพื่อลงโทษตัวเอง ส่วนน้อยที่จะต้องการทำร้ายตัวเองเพื่อให้กระทบกับคนอื่น
“ถ้าไม่ไหว ไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญสิ” ผู้เชี่ยวชาญคือใคร นักจิตวิทยา และจิตแพทย์ ทำหน้าที่อะไรในการรักษาผู้ป่วย ถ้าเครียด เศร้า อกหัก ไปหานักจิตวิทยาได้ไหม
และวิธีเช็คตัวเองว่าตอนไหนที่เราควรไปพบผู้เชี่ยวชาญ มาร่วมพูดคุยในรายการพูดคุย Alljit X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือรับฟังได้ที่ Alljit Podcast
นักจิตวิทยาคือใคร
นักจิตวิทยา คือ วิชาชีพที่ได้รับการเรียนรู้ หรือมีโอกาสได้ศึกษาสภาวะจิตใจ การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ หรือแม้กระทั่งอารมณ์และ ความรู้สึกต่าง ๆ ของมนุษย์
โดยการเรียนรู้ลงไปว่า เพราะอะไรเราถึงมีการคิดแบบนี้ ,โตมาแบบไหนถึงมีพฤติกรรมแบบนี้ รวมไปถึงความขัดแย้งในตัวเองที่ส่งผลตอการแสดงออกอย่างไร เรียนเพื่อให้เข้าใจคนหนึ่งคน
นักจิตวิทยาและจิตแพทย์ต่างกันอย่างไร
จิตแพทย์
จะทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตเวช เช่น การตรวจวินิจฉัย ให้ยาในการรักษา ทำการบำ
นักจิตวิทยา
ไม่สามารถตรวจ และวินิจฉัยโรคทางจิตเวช และจ่ายยาได้ ทำได้เพียงการประเมิน เพื่อทำความเข้าใจในบุคคลนั้น
เครียด เศร้า อกหัก ไปหานักจิตวิทยา
สามารถไปหาได้หมดทุกความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใด ๆ ก็สามารถเข้าไปพบนักจิตวิทยา เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือเพียงแค่หาใครซักคนที่รับฟัง เพื่อเอาบางสิ่งที่อึดอัดในใจออกมา
หน้าที่ของนักจิตวิทยา
นักจิตวิทยาถูกแบ่งออกเป็นหลากหลายสาขา เช่น นักจิตวิทยาคลีนิค นักจิตวิทยาการปรึกษา นักจิตวิทยาในองค์กรค์ นักจิตวิทยาวัยรุ่น เป็นต้น ซึ่งในแต่ละสาขาก็จะเรียนแตกต่างกันออกไป
แต่ทุกสาขาวิชาถูกปูพื้นฐานมา เพื่อให้เข้าใจคนคนหนึ่งได้แบบภาพรวม โดยทำหน้าที่รับฟังและเป็นกระจกสะท้อนในมุมที่เขาไม่เคยเห็นหรือ ให้เขามองเห็นตัวเองแบบสอดคล้องกับโลกของความเป็นจริง
เคยไหมที่นักจิตวิทยารับฟังจนรู้สึกไม่ไหว
ในช่วงแรก ๆ ของการทำงานเกิดขึ้นบ่อย เพราะคาดหวังว่าทุก ๆ อย่างจะออกมาดี และจะช่วยเหลือเขาอย่างไรได้บ้าง ช่วงหลัง ๆ เมื่อประสบการณ์เพิ่มขึ้น เข้าใจวิธีการทำงานมากขึ้น ก็ทำให้รจัดการได้ความคิดได้มากขึ้น
หากรู้สึกว่าบางเคสเกินศักยภาพของตนเอง ก็สามารถวางแผนในการส่งต่อเคสไปยังนักจิตวิทยาท่านอื่นที่มีความเหมาะสมในการดูแลคนไข้มากกว่า
ในมุมของผู้รับคำปรึกษาสามารถขอเปลี่ยนนักจิตวิทยาได้หรือไม่
ผู้รับคำปรึกษามีสิทธ์ในการขอเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยา เพียงแค่ควรหาเหตุผลว่าเพราะอะไรเราจึงอยากเปลี่ยนนักจิตวิทยา
นักจิตวิทยาเครียดจะเลือกคุยกับใคร
นักจิตวิทยาจะเลือกคุยกับใครขึ้นอยู่ความเครียดนั้นเป็นเรื่องอะไร ถ้าเป็นความเครียดด้านการทำงาน ก็จะเลือกปรึกษาอาจารย์ หรือเพื่อนที่อยู่ในวิชาชีพเดียวกัน แต่หากความเครียกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับงานก็จะเลือกปรึกษาคนใกล้ตัว
มีอาการจิตเวชสามารถเรียนจิตวิทยาได้หรือไม่
ควรประเมินตนเองว่าไหวหรือไม่ จะเรียนไปต่อได้หรือไม่ เพราะการเรียนจะทำให้รู้จักตัวเองชัดขึ้น มากไปกว่านั้นคือ มีความหนักในหน้าที่เพราะอาจต้องทำงานกับคนที่มีปัญหาคล้าย ๆ กับเรา
เมื่อไหร่ที่ควรเข้าไปพบผู้เชี่ยวชาญ
สังเกตว่าอะไรที่เกินปกติ โดยวัดกับไม้บรรทัดของตัวเอง เช่น เคยทำได้ จัดการได้มาตลอด แต่ ณ ตอนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว และต้องการใครซักคนที่จะทำให้เราเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
โดยไม่ต้องรอให้มีอาการอย่างชัดเจนเช่น นอนไม่หลับ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนอื่น เป็นต้น
ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่
โดนแบนจากกลุ่ม โดนปฏิเสธจากกลุ่มเพื่อนรู้สึกเข้ากับคนอื่นไม่ได้.. หรือที่เรียกว่า Social Rejection เพราะอะไรการไม่เป็นที่ยอมรับ ถึงทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด
การปฏิเสธทางสังคม โดนแบนจากกลุ่ม ( Social Rejection ) คืออะไร ?
Social Rejection คือ การถูกปฏิเสธทางสังคม การโดนแบน การโดนไล่ออกจากกลุ่ม สังคม ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง หรือการที่เราโดนปฏิเสธจากใครสักคน เช่น เลิกกับแฟน นับว่าเป็นการปฏิเสธทางสังคมได้หมด
การกีดกันทางสังคมหรือการปฏิเสธจากกลุ่มจัดเป็นวิธีการลงโทษทางสังคมวิธีหนึ่ง โดยคนถูกกีดกันทางสังคมจะรับรู้ว่าโอกาสที่ตนจะใช้ชีวิตหรืออยู่รอดในสังคมลดน้อยลง ในบางวัฒนธรรม
การกีดกันทางสังคมเปรียบได้กับ เป็นความตายทางสังคม เพราะการไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มหรือสังคม ก็จะทำให้บุคคลไม่มีคุณค่าทางสังคม เสมือนว่าไม่มีตัวตนอยู่ในสังคมอีกต่อไป
Social Rejection โดนแบนจากกลุ่ม มีแบบไหนบ้าง?
1. การแบนจากสังคม
อาจเกิดจากการที่เราทำผิด หรือ ทำให้ใครไม่พอใจ หรือ อาจจะไม่ได้ผิดจริง แต่ทำให้สังคมรอบข้างแบน เพราะรู้สึกว่าเราทำไม่เหมือน ไม่ถูกต้อง
หรือในกรณีที่เราทะเลาะกับใครซักคน แล้วเขาเอาเรื่องราวไปพูดเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้อีกหลาย ๆ คนในกลุ่มแบนเรา
2. การเชิญออกจากงาน
การถูกไล่ออกจากงาน คิดว่าเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างใหญ่กับชีวิต และมีผลทำให้รู้สึกว่า ไม่เป็นที่ยอมรับ และมากไปกว่านั้น อาจเกิดคำถามว่าทำไมถึงเป็นเรา การปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่
ตัวอย่าง กรณีที่เพื่อนใหม่ ไม่คุยด้วย อาจจะมีทั้งแบบตั้งใจกีดกันหรือ ไม่ได้ตั้งใจกีดกัน เพียงแค่ยังไม่คุ้นเคย ยังไม่รู้จะเข้าหาพูดคุยกันอย่างไร อาจทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนปฏิเสธจากสังคมได้
3. ความแตกต่าง วัฒนธรรม , สีผิว , เชื้อชาติ หรือฐานะ
เรื่องนี้เรามักสังเกตพบเห็นได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะในชีวิตจริง หรือตามหนัง ซีรีย์ ที่เป็นเรื่องของการบูลลี่ กลั่นแกล้ง คนที่เป็นส่วนน้อยในสังคม และแตกต่างจากตัวเอง
4. การบูลลี่
การถูกกลั่นแกล้ง ล้อเลียน รังแก จากเพื่อนหรือสังคม ย่อมทำให้เรารู้สึกแย่และ รู้สึกแตกต่าง ก็เป็นเหตุผลหลัก ๆ เลยที่ทำให้เกิดความรู้สึก ว่าตนถูกปฏิเสธ
Social Rejectionหรือ โดนแบนจากกลุ่ม กระทบด้านไหน ?
1. พฤติกรรม
มีการวิจัยค้นพบว่า คนที่ถูกปฏิเสธทางสังคม จะมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและรุนแรงขึ้น
2. ความเจ็บปวดทางอารมณ์
งานวิจัยจาก Ethan Kross ศาสดาจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมิชิแกน และ Edward Smith จากมหาวิทยาลัย โคลัมเบีย อธิบายว่า การถูกปฏิเสธจากสังคมส่งผลกระทบต่อสมองไม่ต่างจาก เจ็บปวดทางร่างกายเลย
3. Self-esteem
ความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่ง อาจจะทำให้ Self-esteem ลดลงได้ เช่น เวลาโดนเพื่อนแบน แล้วเรารู้สึกว่า เราไม่ดีพอ เราไม่มีคุณค่าหรือประโยชน์อะไร เพื่อนถึงไม่ต้องการ
งานวิจัยพบว่าหากบุคคลถูกกีดกันหรือ ถูกปฏิเสธจากกลุ่มเป็นประจำหรือในระยะเวลานาน บุคคลจะเกิดความสิ้นหวังจากการเรียนรู้อีกด้วย
4. สุขภาพจิต
Social Rejection จะทำให้มีความรู้สึกทางลบมากขึ้น เช่น วิตกกังวล เศร้า โกรธ ซึ่งสามารถนำไปไปสู่ภาวะซึมเศร้า หรือ ปัญหาทางสุขภาพจิตอื่น ๆ
5. ชีวิตประจำวัน
ลดความสามารถในการทำงานที่ต้องใช้ความคิดและสติปัญญา อันนี้จะรวมทุกอย่าง ไม่ว่าจะการทำงาน การตัดสินใจ การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
จุดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ เราไม่จำเป็นต้องโดนปฏิเสธแบบโต้ง ๆ ตรง ๆ ถึงจะรู้สึกแย่เท่านั้น การไม่ได้รับความสนใจมากพอที่จะตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของเรา อาจทำให้รู้สึกแย่เหมือนกัน
เช่น ไปงานสังสรรค์ของที่ทำงานใหม่ แล้วไม่มีใครคุยด้วย กรณีนี้อาจจะไม่ใช่ว่า เพื่อนร่วมงานตั้งใจกีดกันเรา แต่เขาอาจจะแค่ยังไม่คุ้นเคย ไม่รู้จะเข้าหาหรือพูดคุยยังไงเฉย ๆ
เพราะอะไร Social Rejection ถึงส่งผลกระทบ ?
1. มนุษย์มีความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
มนุษย์ต้องการการยอมรับเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตามวิวัฒนาการของสัตว์สังคม หากจะอยู่รอดได้ต้องมีเผ่าพันธุ์ นักจิตวิทยาหลายท่านเสนอความคิดเห็นว่า เมื่อสมัยก่อนเวลามนุษย์จะต้องออกล่าสัตว์
จำเป็นต้องไปกันเป็นกลุ่ม หาอาหารเป็นกลุ่ม หิวหรือกระหายก็ไม่สามารถที่จะทำคนเดียวได้ ความต้องการการยอมรับของเรากลายเป็นกลไกเพื่อความอยู่รอด การที่โดยกลุ่มทอดทิ้งนั้นแน่นอนจะทำให้เกิดความเจ็บปวด
ทางกาย ทางใจ ตามมาแน่นอน เมื่อมนุษย์เกิดการวิวัฒนาการขึ้น การอยู่คนเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เช่น โดนทอดทิ้ง แต่ว่าความรู้สึกในเรื่องความเจ็บปวดยังคงฝังรากลึกอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์อยู่เสมอ
2. การได้รับการยอมรับเป็นความต้องการพื้นฐาน
ตามทฤษฎี Hierarchy of needs จะมีขั้นที่เรียกว่า love & belonging แปลว่า ความรักและการเป็นเจ้าของ เพราะมนุษย์ต่างต้องการความสัมพันธ์
จัดการความรู้สึกอย่างไร?
ข้อมูลจาก APA ทางวิทยาศาสตร์บอกว่า การมีปฏิสัมพันธ์ทางบวกกับคนใกล้ชิด เช่น ครอบครัว จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสาร opioids ออกมาทำให้รู้สึกดีขึ้น
ฉะนั้น ถ้าเราโดนปฏิเสธจากที่ทำงาน ลองกลับมาหาครอบครัวหาเพื่อนสนิท คนที่ไว้ใจได้ การกระทำอื่น ๆ ที่ช่วยให้สารนี้หลั่งมีอีกหลายอย่าง เช่น ออกกำลังกาย อาจช่วยได้เช่นกัน
Guy Winch นักจิตวิทยากล่าวว่า
“อันที่จริงการถูกปฏิเสธส่วนมากเกิดจากความเข้ากันไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่ลดลง”
เมื่อเพื่อนแบน รับมือยังไง?
1. คลี่คลายปัญหาความสัมพันธ์
ถ้าเพื่อนแบนด้วยสาเหตุว่า เรามีเรื่องผิดใจกัน ทะเลาะกัน อาจจะต้องใช้การสื่อสารและการปรับจูนกัน ว่าจะเจอกันตรงกลางได้อย่างไร
2. รับมือกับการถูกปฏิเสธ ด้วยการถามว่าทำไม
เคยตั้งคำถามไหมว่าภายใต้การปฎิเสธนั้นมีความรู้หรือความรู้สึกใดแอบซ่อนอยู่ ดังนั้นเป็นเรื่องดีกว่ามากหากเราจะเริ่มจากการตั้งคำถามและมองว่าเหตุผลที่เราถูกปฏิเสธมีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน
หากพิจารณาแล้วว่าเหตุผลของผู้ปฏิเสธฟังขึ้นจริง ๆ เราก็จะสามารถนำความเห็นดังกล่าวไปพัฒนาความคิดเดิมที่เราวางไว้ให้ออกมาเป็นแผนงานที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในอนาคต
กล่าวโดยง่ายว่าทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่พร้อมรับมือเมื่อถูกปฏิเสธ คือการพร้อมรับฟังความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่น
3. สำรวจตัวเอง
ว่าเรามีได้พูดหรือทำอะไรให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีหรือ ให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเปล่า ถ้าเราทำ เราก็แก้ไข แต่ถ้าเราไม่ได้ทำ เราจะต้องยอมรับและหาเพื่อนกลุ่มใหม่ที่เข้ากันได้ ไปกันได้ ยอมรับในสิ่งที่เป็นของกันและกัน
4. ระบายอารมณ์
เราจะเรียนรู้จากปัญหาไม่ได้เลย หากไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดเป็นปัญหาจริง ๆ กลไกนี้อธิบายได้ว่ายิ่งเราระบายอารมณ์ออกมากเท่าไหร่ เปลือกที่ครอบคลุมปัญหาอยู่ก็จะค่อย ๆ ถูกกระเทาะออกมา
จนเปิดโอกาสให้เรามองปัญหาได้แบบองค์รวม ดังนั้นเราจึงสามารถนำความรู้ที่เหลือไปศึกษา, พัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ต่อไป
ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ได้ ทำยังไงดี?
เป็นฝ่ายเข้าหา
บางครั้งเราอาจจะต้องเป็นฝ่ายเข้าหาเองอีกฝ่ายเอง เพราะเขามีกลุ่มเพื่อนอยู่แล้ว เราเลยอาจลองหาจังหวะ โอกาส ในการเข้าไปพูดคุยด้วยเพื่อให้คุ้นเคยกันและกันมากขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ต่อไป
ตัดใจ
ในกรณีที่เขาไม่ยอมรับเราแบบเปิดเผยด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง อาจจะต้องตัดใจ เราเชื่อเสมอเรื่องความสัมพันธ์ว่า ไม่ใช่อะไรที่ตบมือข้างเดียวได้ จะดีแค่ไหน พยายามแค่ไหน แต่ถ้าเขาไม่ชอบก็คือไม่ชอบ
อาจจะด้วยประสบการณ์บางอย่างทำให้เกิดอคติ และปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น วัฒนธรรม , สีผิว , เชื้อชาติ ด้วยความที่ปัจจัยพวกนี้เปลี่ยนไม่ได้
เราต้องยอมรับสิ่งนั้นให้ได้ในวันที่คนอื่นไม่ยอมรับก่อน แล้วเราค่อยไปหากลุ่มอื่น ๆ ที่ยอมรับในแบบที่เราเป็นเรา และเราไม่ได้มีหน้าที่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเขาขนาดนั้น
ที่มา:
หนังสือกล้าที่จะถูกเกลียด
รักตัวเองเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญ แต่แท้จริงแล้วเราทุกคนมีสัญชาตญาตของ การรักตัวเอง อยู่แล้วหรือไม่?
แล้วการรักตัวเองง่าย ๆ ทำได้อย่างไร ? กับรายการพูดคุย Alljit X คุณ ณัฏฐชัย รำเพย จิตแพทย์
การไม่ รักตัวเอง คืออะไร
โดยธรรมชาติลึก ๆ แล้ว เรารักตัวเอง ต้องทำให้ตัวเองอยู่รอด และก้าวผ่านแต่ละวันไป แต่ความรู้สึก และอารมร์ของการไม่รักตัวเองเกิดขึ้นได้ เช่น รู้สึกไม่พอใจในตัวเองหลาย ๆ อย่าง
สะสมไปเรื่อย ๆ พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนที่หันหลังให้ตัวเอง แต่พอได้ทบทวนตัวเองดีดี สุดท้ายก็เจอคำตอบส่วนที่ลึกที่สุดว่ารักตัวเองอยู่ดี แค่บางครังก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้
การรักตัวเอง คืออะไร
เป็นความชื่นชอบตัวเอง พึ่งพอใจในตนเอง อยากดูแลตัวเอง เป็นต้น สุดท้ายเราก็ยังคงมีอะไรบางอย่างที่อยากทำให้ตัวเองหรื อบางคนรักตัวเองแต่รักน้อย ๆ ก็มี
การรักตัวเอง และหลงตัวเอง
รักตัวเองมาก ๆ จนเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง โลกต้องโคจรต้องหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา
การรักตัวเอง และเห็นแก่ตัว
ความเห็นแก่ตัว จะไม่สนใจคนอื่น ทำอะไรนึกถึงแต่ตนเอง ประโยชน์ส่วนตัว ความรู้สึกส่วนตัว โดยไม่สนว่าใครจะรู้สึกอย่างไร แต่รักตัวเองจะยังคงทำเพื่อตนเองและนึกถึงคนรอบข้างด้วย
ทำร้ายตัวเอง ถือว่าไม่รักตัวเองหรือไม่
ต้องดูเป็นรายบุคคลไป ในบางคนทำร้ายตัวเอง เพราะไม่ชอบตัวเองมาก รักตัวเองน้อย เกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้ บางคนทำร้ายตัวเองเพราะรักตัวเองมากก็มี เช่น บางคนรู้สึกอัดอั้นตันใจ ทุกข์ใจมาก
ไม่รู้ว่าจะเอาความทุกข์นี้ออกไปอย่างไร แล้วเขาดันไปพบว่า การทำร้ายตัวเองมากเป็นการระบายความรู้สึกอย่างหนึ่ง เขาจึงให้ความช่วยเหลือตัวเอง ลักษณะนี้จิตแพทย์ก็จะช่วยแนะนำวิธีให้เขาระบายความรู้สึกด้วยวิธีอื่น
สิ่งที่สำคัญคือการฟังเขาก่อนว่าทำไมเขาถึงทำร้ายตนเอง ให้เขาค่อ ๆ เล่า แล้วเราจะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว เขาต้องการอะไร
การโทษตัวเอง หรือลงโทษตัวเอง ถือเป็นความผิดปกติไหม
มนุษย์เราไม่มีคำว่า สบบูรณ์แบบ ดังนั้นเราก็มีการทำผิดพลาด เมื่อทำพลาดไป ก็มีความรู้สึกว่า ทำไมทำแบบนั้น แบบนี้
มีเผลอโทษตัวเองบ้าง การโทษตัวเองมาก หรือ น้อย แต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าส่งผลต่อชีวิตมากแค่ไหน
แก้ไขการโทษตัวเองอย่างไรดี
เราเป็นมนุษย์ ผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์พยามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ณ สถานการณ์นั้น ณ เวลานั้น ณ ความรู้ตอนนั้น
ถึงแม้ย้อนมาดูอาจเป็นทางเลือกที่แย่ แต่วินาทีนั้นเราเชื่อว่ามันดี ถ้าเรามีความคิดแบบนี้ เราก็จะให้อภัยตัวเองได้ง่ายขึ้น
อยากรักตัวเองมากยิ่งขึ้น ทำอย่างไรบ้าง
1. อย่ารีบฝืนรักตัวเอง
ด้วยการกดดันจากคนรอบข้างว่ารักตัวเอง ชื่นชมตัวเอง เป็นเรื่องที่ดี ก็รีบฝืนที่จะรักตัวเอง แต่ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แค่เรารู้โดยสัญชาตญาณพื้นฐานว่า ณ วันนี้ เราก็ยังหายใจเพื่อตัวเองอยู่
2. หาสาเหตุ ว่าทำไมวันนี้รู้สึกไม่รักตัวเอง
ถ้ามีเรื่องที่เรายังคงโกรธตัวเองอยู่ เราลองค่อย ๆ เคลียร์กับตัวเองว่าเรื่องนั้นเราพอจะให้อภัยตัวเองได้ไหม หรือมองว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ได้ไหม หรือลองดูว่าตั้งแต่ใช้ชีวิตมา
มีหลายเรื่องที่เราได้แก้ไขมันไปแล้วบ้าง อย่างน้อยเราเองก็เก่งเหมือนกันนะที่ได้พยายามก้าวไปข้างหน้า
3. หาหลักฐานจากคนรอบตัว
ยกตัวอย่าง เช่น เพื่อนเรายังคบกันจนถึงทุกวันนี้ เราคงมีอะไรดีอยู่ในตัวบ้าง มองหาหลักฐานที่เราไม่ทันได้สังเกต แล้วมองดีดีว่าหลักฐานนั้นบ่งบอกอะไรในตัวเรา
เริ่มไม่รักตัวเองแค่ไหน จึงควรไปพบจิตแพทย์
ต่อให้เป็นคนที่รักตัวเองมาก หากเจอบางเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกไม่รักตัวเองนิดหน่อย ก็สามารถก็เข้ามาพบคุณหมอได้
แต่สิ่งสำคัญหากรู้สึกไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ก็สามรถเข้ามาพบจิตแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขไปด้วยกัน
มนุษย์ด้วยสัญชาตญาณเราถูกสร้างมาให้รักตัวเอง เพียงแต่ความรักนั้น อาจจะหายไป หรือถูกลืมไปบางช่วง เพราะสถาณการณ์รอบ ๆ ตัวที่เกิดขึ้น
ดังนั้นใครที่เริ่มรู้ตัวว่าความรักที่มีให้ตัวเองลดน้อยลง ลองค่อยหันกลับมาจีบตัวเอง แล้วเราจะพบว่าเราสามารถมีความสุขขึ้นได้
“ความทุกข์จะเบาลงถ้าได้แบ่งมันให้ใครสักคนรับฟัง” ทำไมเวลาทุกข์ใจ การระบายความรู้สึก ออกไปจึงดีเสมอเลย ?
ระบายความรู้สึกได้อย่างไรบ้าง แล้วในวันที่ไม่มีคนรับฟัง เราจะระบายความรู้สึกอย่างไรได้บ้าง
หาคำตอบเกี่ยวกับ “การระบายความรู้สึก” กับรายการพูดคุย Alljit X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก :)หรือรับฟังได้ที่ Alljit Podcast
การระบายความรู้สึก ทำให้เราดีขึ้น ?
เวลาที่ทุกคนเครียด จะมองว่าปัญหานั้นหนัก และจะมองหาวิธีทางออกแคบลง การที่เราเก็บอะไรไว้ข้างในใจมากเกินไปจะทำให้เราหนัก และอึดอัด เมื่อเราได้ระบายออกมาจะทำให้เราเบาสบายใจขึ้น
ถ้าเก็บความรู้สึกเครียดไว้นาน ๆ ส่งผลอย่างไร
ความเครียดที่มากไปส่งผลต่อเราได้ทั้งนั้น ความน้อยเกินไปก็เช่นกัน หากความเครียดเป็นก้อนความรู้สึกหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราไปเดินชายหาดแล้วเก็บ หิน ทราย เปลือกหอย ตลอดเส้นทางของการเดิน
เก็บไปเรื่อย ๆ โดยไม่จัดการเลย เมื่อเดินไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ หินนั้นก็จะเต็มมือ เหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
การเล่นเกมส์หรือ ระบายสีเป็นการระบายความรู้สึกไหม
เป็นวิธีการระบายความเครียดของเราอย่างหนึ่ง เบี่ยงเบนความรู้สึกของตัวเอง ที่จะให้เราพาความคิดของตจัวเองออกมาจากความเครียด เพื่อไปจดจ่อกับเกมส์
ประโยชน์ของการระบายความรู้สึก
การที่เราเก็บบาความรู้สึกเอาไว้ สุดท้ายความรู้สึกนั้นจะเข้าไปทำอะไรบางอย่างกับตัวเรา ส่งผลให้เรามีพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนไป อาจส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างและตนเอง ฉะนั้นการระบายออกมาจึงช่วยให้
1. ทำให้เรารู้สึกเบาสบายมากยิ่งขึ้น
2. ง่ายมากขึ้นที่จะตัดสินใจกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า
3. สามารถเลือกวิธีจัดการปัญหาได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ระบายความรู้สึกอย่างไร
1. พูด อะไรก็ตามที่อยากจะพูดจริง ๆ โดยเลือกที่จะพูดกับใครก็ได้ที่เราสะดวกใจจะพูด
2. เขียนระบาย โดยเขียนอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ
3. เล่นเกมส์ ระบายสี วาดรูป หรือกิจกรรมที่เราชอบ
ระบายความรู้สึกกับบางคนแล้วรู้สึกแย่
ในตอนแรกเราอาจมีภาพจำบางอย่างว่าเขาสามารถรับฟังเราได้ แต่ในบางครั้งเขาอาจจะไม่เข้าใจที่เราเล่า เขาอาจจะรู้สึกอยากแนะนำในแบบอื่น
ให้เราตระหนักไว้ เพื่อครั้งต่อไปเราก็จะไม่เลือกผิดอีกครั้ง และตระหนักว่า ณ เหตุการณ์ตอนนั้น คน ๆ นี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเราในตอนนั้น
ถ้ารับฟังจนใจพัง ทำอย่างไร ?
กลับมาถามตัวเองว่า ที่เราใจพังเพราะว่าอะไร เกิดอะไรขึ้นขณะที่เรารับฟัง เราพยายามเชื่อมโยงตัวเองกับคนอื่นหรือเปล่า แต่ท้ายที่สุดปัญหาของเขาคือของเขา ปัญหาของเราคือของเรา
เขามีหน้าที่จะรับผิดชอบ ตัดสินใจ และเลือกเอง เพื่อยอมรับผลของการกระทำของเขาเอง และเมื่อรับฟังเสร็จให้จบ ณ ตอนนั้น
ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่
ปัจจัย 4 ในการใช้ชีวิตของคนเราคือ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยและยา แต่วันนี้อีกปัจจัยที่สำคัญและขาดไม่ได้ คือ เงิน และถ้าเรามี ปัญหาทางการเงิน มากเกินไปจะทำอย่างไรได้บ้าง?
เงินซื้อความสุขได้จริงไหม ?
การที่เรามีเงินจะทำให้เราสามารถควบคุม จัดการ วางแผน หลาย ๆ อย่างในชีวิตได้ง่ายมากขึ้น แต่ความสุขไม่ได้ผันแปรตามการเงิน การมีเงินในบัญชี จะทำให้ไม่ทุกข์ หรือมีความสุขมากขึ้น ไม่ใช่แบบนั้น
มนุษย์เราไม่ได้ต้องการแค่เงิน เพราะฉะนั้นเงิน หรือตัวเลขอาจไม่ได้เป็นตัวบอกความสุข ทั้งนี้สามารถมองได้หลายมุม ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วย
เงินเป็นตัวขับเคลื่อนของชีวิต
เงินเป็นปัจจัยพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน หากเป็นเมื่อก่อนเราสามารถนำสิ่งของไปแลกสิ่งของได้ ปลูกผัก เลี้ยงปลา และนำมาทำอาหารเองได้ แต่ในยุคปัจจุบันเรามีค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ เครื่องนุ่มห่ม
และอาหาร ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เงิน
ไม่อยากมี ปัญหาทางการเงิน เพราะความจนมันน่ากลัว?
ในมุมมองของนักจิตวิทยาไม่ได้มองว่าน่ากลัว แต่มีอีกหลายคนที่มองว่าเป็นความน่ากลัว อย่างเช่น ในวันหนึ่งที่เรามีเงินเยอะมาก ๆ แล้วเกิดการล้มละลาย แล้วไม่ทราบว่าต้องรับมือยังไง
ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับคนนั้นก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าให้คุณค่าในการใช้ชีวิตในรูปแบบไหน
ทำด้วยใจ ไม่ใช่เพื่อเงิน มีจริงหรือไม่
หลาย ๆ อย่างที่เราทำอาจไม่ได้เริ่มต้นด้วยการทำแล้วได้เงินมา แต่ทำเพิ่อให้ตัวเองได้รู้สึกอุ่นใจ และได้แบ่งปัน การอยากทำเพื่อคนอื่น หรือการทำด้วยใจมีค่อนข้างหลากหลายรูปแบบ
ปัญหาทางการเงิน กับสุขภาพจิตใจเกี่ยวข้องกันอย่างไร
เมื่อเราไม่ต้องคิดมาก หรือกังวลกับเงินของตัวเองแล้ว เราจะสามารถจัดการการใช้ชีวิตของเราได้ดีมากยิ่งขึ้น สามารถซื้อของที่อยากได้ ได้กินในของที่อยากกิน ก็จะทำให้เรามีความสุขได้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้
ไม่รู้จะจัดการกับหนี้สินยังไง
ย้อนกลับไปที่ว่าอะไรคือสาเหตุของการเป็นหนี้สิน อะไรเป็น้นเหตุของปัยหาการเงิน เช่น รายรับรายจ่ายไม่เท่ากัน จนทำให้เกิดเป็นหนี้สิน เกินศักยภาพที่เราจะสามารถจ่ายได้
และกลับมาแก้ไขตรงสาเหตุ เช่น ประหยัดตรงไหนได้บ้าง หรือหารายได้เสริมตรงไหนได้บ้าง และลงมือทำ สิ่งที่สำคัญคือการควบคุมพฤติกรรมตัวเองให้ได้แบบที่ตั้งใจ
หากมีคนมายืมเงินปฎิเสธอย่างไร
สื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา ว่าให้ยืมได้ หรือไม่ได้เพราะอะไร เพื่อรักษาความสัมพันธ์
ปลอบใจคนใกล้ตัวที่มี ปัญหาทางการเงินได้อย่างไร
ชวนเขามอง ชวนคิดทบทวน ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง เราช่วยเหลืออะไรได้บาง เป็นวิธีปลอบประโลมที่ดีกว่าการยื่นคำปลอบใจบางอย่างออกไป
เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคำที่เราพูดออกไปจะทำให้เขารู้สึกอย่างไร เพราะเราไม่ได้ยืนจุดเดียวกัน แต่สิ่งที่เราทำได้คือยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
การหางานเป็นสิ่งที่ยากมากในยุคสมัยนี้ สำหรับคนที่เป็นซึมเศร้านั้นอาจจะยิ่งยากกว่าเดิม แล้วจริง ๆนั้น เป็นโรค ซึมเศร้าทำงานได้ไหม แล้วสามารถทำงานอะไรได้บ้าง
วันนี้เรามาร่วมพูดคุยกันในรายการ “โลกซึมเศร้า”
เป็น โรคซึมเศร้าเสียประวัติไหม
การเป็นโรคซึมเศร้าจะไม่ถูกบันทึกลงในประวัติจากสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า ประวัติคนไข้เป็นความลับที่เปิดเผยไม่ได้ นอกจากมีหนังสือยินยอมจากผู้ป่วยเอง
โรค ซึมเศร้าทำงานได้ไหม ?
ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยต่าง ๆ ด้วยกัน
1. อาการ : มีอาการอะไรบ้าง กระทบกับงานอย่างไร
2. ลักษณะงาน : งานบางงานต้องใช้ความคิดและกดดันมาก ถ้าตัวเรายังไม่พร้อมอาจกระทบกับงานได้ และอาจจะต้องยอมรับว่าการเป็นโรคซึมเศร้านั้นทำให้ประสิทธิภาพและความโปรดัคทีฟของพนักงานลดลง
3. การรักษา : ยาบางชนิดอาจทำให้ง่วงนอน
ด้านข้อมูลจาก เพจ กฎหมายเเรงงาน อธิบายข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย “โรคซึมเศร้า” และการทำงาน ตอบข้อสงสัยที่ว่า เป็น โรคซึมเศร้า บริษัทมีสิทธิที่จะไม่รับหรือไม่ ?
โดยอธิบายไว้ว่า การพิจารณารับบุคคลเข้าทำงาน เป็นการพิจารณาเพื่อทำสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นความผูกพันกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามมาตรา 575 ที่ว่า
“อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้”
ในส่วนของการป่วยเป็น “โรคซึมเศร้า” หรือโรคอะไรก็ตาม หากนายจ้างพิจารณาแล้วเห็นว่าอาจไม่เหมาะกับงานก็อาจพิจารณาไม่รับเข้าทำงาน หรือไม่ตกลงทำสัญญาจ้างแรงงานด้วยก็ได้
ตามหลักเสรีภาพในการทำสัญญา ส่วนกรณีเข้ามาทำงานแล้ว หากนายจ้างจะเลิกจ้างเพราะเหตุป่วย นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้ แต่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม
โรคซึมเศร้าเรียนจิตวิทยาได้ไหม ?
1. อยู่ที่ตัวบุคคลด้วยว่ารับไหวไหม บางคนสิ่งที่เรียนก็หนักจนเกินรับไหวทำให้กลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ เพราะความกดดัน ความเครียด และความรู้สึกด้านลบอื่น ๆ
2. สำหรับคนที่อยากเรียนจิตแพทย์ การเข้าสอน กสพท เป็นสิ่งที่คนที่เรียนต่อสายแพทย์ต้องสอบ การที่ มีอาการจิตเวชขั้นรุนแรง อันอาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และผู้อื่น
เช่น โรคจิต (psychotic disorders) โรคอารมณ์ผิดปกติ (mood disorders) บุคลิกภาพผิดปกติ (personality disorders) รวมถึงปัญหาทางจิตเวชอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียน ปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพ
ปัญหาสุขภาพจิตที่เกี่ยวกับการทำงาน
1. Burnout Syndrome
Burnout Syndrome หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน เป็นโรคที่เป็นผลจากความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงาน ภาระงานหนัก และปริมาณงานมากเกินไป
รวมถึงการที่งานมีความซับซ้อนและต้องทำงานแข่งกับเวลา หากปล่อยไว้สะสมนานวันเข้าอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าได้ อาการคือ เกิดความเครียด เหนื่อยล้าทางอารมณ์ เบื่อหน่าย
รู้สึกสูญเสียพลังงานทางจิตใจ มองงานที่กำลังอยู่ในเชิงลบ ขาดความสุข ไม่สนุกในเนื้องาน หมดแรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพการทำงานต่ำลงความสัมพันธ์ในที่ทำงานเหินห่างหรือเป็นไปทางลบกับผู้ร่วมงาน
Burnout Syndrome กับ หมด Passion แตกต่างกัน
การหมด Passion จะแตกต่างอาการหมดไฟหรือ Burnout ตรงที่อาการ Burnout จะเป็นความทุกข์ทรมานจากความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และจิตใจ
ซึ่งทำให้เกิดการหมด Passion ได้ ในขณะที่การหมด Passion บางครั้งไม่ได้ทำให้เกิดอาการ Burnout เป็นเพียงอารมณ์รู้สึกที่ว่าไม่ได้หลงใหล ไม่ได้ชอบ หรือไม่ได้สนใจในสิ่งนั้น ๆ อีกต่อไป
2. ภาวะซึมเศร้าในที่ทำงาน
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ซับซ้อน สามารถเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน สารเคมีในสมอง อารมณ์ พันธุกรรม ปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือ เคยเจอกับเหตุการณ์สะเทือนใจ
รู้หรือไม่ว่าสถานที่ทำงานอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เรากำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้าในที่ทำงานด้วย
Signs of Depression at Work
- ขาดงาน ลาบ่อย
- ขาดความสามารถในการจดจ่อหรือมีสมาธิกับงาน
- ไม่สามารถทำงานให้เสร็จตาม Deadline ได้
- ความรู้สึกซึมเศร้าแค่ตอนที่ทำงาน อันนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าสถานที่ทำงานเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า
- เหนื่อยล้าเเละขาดพลังงา
3. แพนิก
โรคแพนิกเป็นอาการแพนิกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ผู้คนที่เป็นมักรู้สึกเหมือนจิตใจและร่างกายถูกปิดล้อม ทำให้ยากต่อชีวิตประจำวัน
แม้แต่หายใจได้ตามปกติอาจจะไม่ได้สร้างอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็นับว่าส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ป่วยอย่างมาก เนื่องจากผู้ป่วยอาจกลัวการเข้าสังคม
รวมไปถึงอาการแพนิคจะไปลดความมั่นใจในการใช้ชีวิตของผู้ป่วย ทำให้ไม่กล้าออกไปไหน ส่งผลให้กระทบกับการทำงานด้วยเช่นกัน
4. Toxic Workplace
พอเราพูดถึงการทำงาน เราแทบจะใช้ชีวิตในที่ทำงานเยอะกว่าที่บ้านเสียอีก คือ ตื่น ทำงาน กลับบ้าน นอน ทำให้พอโตขึ้นมา ปัญหาเรื่องงาน จะเป็นปัญหาหลัก ๆ ของเรา ทั้งสุขภาพกาย
และสุขภาพจิตด้วย เลยจะเอา เช็คลิสมาฝากคุณผู้ฟังกันค่ะว่า สังคมในที่ทำงานของเราตอนนี้มีแนวโน้มเป็น Toxic Workplace อยู่หรือเปล่า
- พนักงานรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็นกับหัวหน้าหรือคนในทีม
- หัวหน้า หรือ คนในทีม ชอบถามเกี่ยวกับงานแบบไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ถามเพื่อหาโอกาสตำหนิงาน หรือวิจารณ์
- พนักงานไม่สะดวกใจที่จะคุยกับ ฝ่ายบุคคลเพื่อรายงานปัญหาที่เกิดขึ้น
- มีคำพูดที่ให้ความไม่สบายใจมากกว่าคำพูดสร้างกำลังใจ สนับสนุน
- ไอเดีย ข้อเสนอใหม่ๆ ถูกปัดตก
- พนักงานลาออกบ่อย ๆ ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
- มีการกลั่นแกล้งในที่ทำงาน
- เวลามีความผิดพลาดเกิดขึ้น คนในทีมมักจะถามหาว่าปัญหามาจากใครมากกว่า อะไรคือสาเหตุของปัญหา
โรค ซึมเศร้าทำงานได้ไหม จัดการอย่างไรดี?
ผู้ป่วย
1. สร้างตารางงานที่ยืดหยุ่น : เพราะภาวะซึมเศร้าจะรบกวนการนอนหลับ อาจจะต้องเข้างานช้ากว่าเดิมนิดหน่อย งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าตารางเวลาที่ยืดหยุ่นช่วยเพิ่ม Productive ในที่ทำงาน
2. ตั้ง Mini task : เพื่อมีสมาธิโฟกัสกับงานมากขึ้น ให้แบ่งงานออกเป็นส่วนหลังจากทำภารกิจเสร็จแล้ว ให้พักสัก 5 นาทีเพื่อผ่อนคลายก่อนที่จะจัดการกับลิสต์ต่อไป จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจหลังจากทำงาน 1 อย่างได้สำเร็จ
3. สื่อสาร : อธิบายให้เพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานรับรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นอยู่อาจช่วยได้ และให้การสนับสนุนได้มากขึ้น
4. สร้าง comfort zone บนโต๊ะทำงาน : สร้างพื้นที่ทำงานในแบบที่เราชอบ อาจจะทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น ควรจัดพื้นที่ทำงานให้สบายและสงบ ลองวางรูปถ่ายหรือต้นไม้ไว้บนโต๊ะทำงาน ใช้สีที่ผ่อนคลาย
เพื่อนร่วมงาน
จากเพจ wall of sharing หากมีคนเป็นโรคซึมเศร้าในที่ทำงานกระทบกับงานเราไหม? ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่า สำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า การทำงานต่าง ๆ ก็จะช้าลงด้วย
เนื่องด้วยผลข้างเคียงจากยา การคิด การประมวลผลอาจจะช้าลง บางทีก็ต้องมีลาไปหาหมอบ้าง อาจจะทำให้งานที่ตั้งไว้ว่าต้องเสร็จตอนนี้ จะล่าช้าก็ได้ และบางครั้ง
ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าอาจจะต้องมีคำถามกับตัวเองว่าเราควรจะพูดคำไหนกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าดี เราสามารถเร่งงานเขาได้ไหม
อาจจะทำให้เราทำตัวไม่ถูก ซึ่งเขาได้แชร์เทคนิคว่า ** แสดงความจริงใจไปเลยว่าเราไม่รู้ แต่แสดงให้รู้ว่าแคร์นะ ** ถ้าคิดว่าส่งผลต่องานก็ลองคุยดู หาทางออกร่วมกัน
ให้เขาลองคิดว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นผลจากยาหรืออาการป่วยไหม ถ้าใช่แล้วจะแก้ไขอย่างไร ควบคุมตัวเองได้ไหม ช่วยอะไรได้หรือเปล่า
แต่ถ้าไม่มีผลต่องานก็ปฏิบัติต่อกันตามปกติ เพราะบางคนสังเกตและควบคุมตัวเองได้ดี ไม่ค่อยแสดงอาการให้เห็น โดยเฉพาะที่ทำงาน
องค์กร
1. “ขอบคุณ” ที่เปิดใจพูดคุย : อย่าลืมขอบคุณพนักงานที่เปิดใจเล่าถึงอาการและสิ่งที่เขากำลังเป็น เพราะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ป่วยในการเปิดใจเล่าถึงสิ่งที่กำลังจะเผชิญ
และอย่าทำให้เป็นปัญหาใหญ่ที่ร้ายแรง เพราะอาจทำให้พวกเขาอาย รู้สึกแย่หรือกลัวอนาคตของพวกเขา ที่สำคัญคือไม่ใช้อารมณ์มากเกินไป ปฏิบัติต่อคนนั้น เหมือนที่เขาทำในเวลาที่ผ่านมา
2. รับฟังแบบไม่ตัดสิน : ให้พื้นที่เขาได้พูดในสิ่งที่ต้องการจะพูดและบอกถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการในแง่ของความยืดหยุ่นหรือการอำนวยความสะดวก ฟังอย่างกว้างและปราศจากการตัดสิน
3. ช่วยเหลือเขาตามความเหมาะสม : อย่าพึ่งรับปากหรือสัญญาแบบยังไม่ได้ไตร่ตรง เพราะอาจจะทำให้เขาเกิดความขาดหวัง กำหนดขอบเขตของความช่วยเหลือที่เป็นไปได้
4. Don’t make it about you : ทุกคนมีความแตกต่างกัน ความกังวลของเขาแตกต่างจากความวิตกกังวลของคนอื่น ไม่มีใครเหมือนกัน อย่าพึ่งสรุปว่าเข้าใจสิ่งที่เขากำลังเผชิญและมองข้ามเรื่องราวของเขาไป
5. พิจารณาสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ : พนักงานอาจต้องการบางอย่างเพื่อให้พวกเขาสามารถดูแลสุขภาพจิตได้ดีขึ้น เช่น การแบ่งเวลาทำงาน การทำงานคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม การลาไปพบแพทย์ หรือมีวันพักผ่อน
6. รักษาความลับ : แต่ถ้ามีข้อมูลไหนที่จะเป็นประโยชน์ต้อตัวเขาเอง อาจจะต้องสื่อสารกับเขาให้ชัดเจน เช่น ต้องเเจ้งทาง HR เพื่อตรวจสอบสิทธิ์ต่างๆที่เขาจะได้ ลองถามความสมัครใจและเหตุผลของเขาก่อน
โรคซึมเศร้า ใช้สิทธิประกันรักษาได้ไหม
1. สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สิทธิบัตรทอง)
สามารถเดินทางไปยังหน่วยบริการใกล้บ้านที่มีสิทธิเพื่อรับการรักษาได้เลย แต่หากไม่แน่ใจในสิทธิการรักษาพยาบาล สามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่ สายด่วน สปสช. โทร 1330
2. สิทธิประกันสังคม
ให้ความคุ้มครองการรักษาโรคทางจิตเวชทุกประเภท โดยท่านสามารถใช้สิทธิในโรงพยาบาลที่กำหนดไว้ในระบบประกันสังคม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ตรวจสอบสิทธิได้ที่ สายด่วนประกันสังคม โทร 1506
3. สิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการ
ข้าราชการและครอบครัวสามารถเข้ารักษาโรคซึมเศร้าได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่นเดียวกับการใช้สิทธิในการรักษาโรคอื่นๆ ตรวจสอบสิทธิได้ที่ กรมบัญชีกลาง โทร. 02-127-7000
4. ประกันสุขภาพ
โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวช ส่วนใหญ่จะเป็นข้อยกเว้นในการเคลมประกัน ขึ้นอยู่กับแผนประกันแต่ละแผนด้วย ซึ่งมีบางบริษัทประกันที่รับทำแผนประกันสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า
แต่ค่าจ่ายสำหรับค่าเบี้ยประกันก็สูงมาก เพราะถือเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติทั่วไปและยังต้องใช้เวลาในการรักษานานอีกด้วย
ที่มา :
ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ทำประกันสุขภาพได้ไหม
When Your Employee Discloses a Mental Health Condition
How to Deal with Depression at Work
‘ป่วยซึมเศร้า’ ทำประกันได้ไหม? ดูแลค่ารักษายังไง?
ไม่เศร้า ไม่ทุกข์ ไม่รู้สึกอะไรเลย ไร้ความรู้สึก ความด้านชาทางความรู้สึก หรือที่เรียกว่า Emotional Numbness คืออะไร ? จะรับมืออย่างไรในวันที่รู้สึก Emotional Numbness เป็นหนักแค่ไหนถึงควรพบแพทย์ ?
ไร้ความรู้สึก ความด้านชาทางความรู้สึก Emotional Numbness
Numb แปลว่า ชา เวลาเราชาที่แขนขา เราจะไม่มีความรู้สึก หลายคนเลยอาจจะเข้าใจคำว่า Emotional numbness หรือ ความรู้สึกชาทางอารมณ์ ว่าเป็นการที่เราไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ไม่สุข ไม่เศร้าอีกต่อไป
ในมุมมองของนักจิตบำบัด Emotional numbness ไม่ใช่การที่เราไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว แต่เป็นกลไกป้องกันทางจิตใจอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับช่วงที่เราต้องเผชิญกับอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามา
โดยการ shut down หรือ freeze ทุกอย่างไว้ระยะหนึ่ง อธิบายได้ว่าเป็นความรู้สึกว่างเปล่า ความรู้สึกเฉยชากับประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ภาวะทางจิต
แต่เป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจาก การมีภาวะทางจิต เช่น PTSD , การใช้เสพเสพติด , หรือแม้กระทั่งมีเรื่องที่ทำให้เครียดหรือกังวลในชีวิตประจำวัน
ไร้ความรู้สึก ความด้านชาทางความรู้สึก เกิดจากอะไร
1. ความเครียดและฮอร์โมน
2. PTSD หรือ โรคเครียดหลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ
3. การสูญเสียคนที่รัก
4. การล่วงละเมิดทางจิตใจหรืออารมณ์
5. ความผิดปกติของบุคลิกภาพ
อาการของ Emotional numbness
บทความจาก Phychcentral บอกว่า 12 สัญญาณของ Emotional numbness มีดังนี้
1. ขาดการเชื่อมต่อจากตัวเองและผู้อื่น
2. ไม่สามารถเชื่อมโยงในด้านอารมณ์และความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้
3. สูญเสียความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ
4. รู้สึกไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ไม่ว่าสถานการณ์จะรุนแรงเพียงใด
5. เชื่อว่าตัวเองไม่มีอารมณ์ ความรู้สึกก็ได้มีอะไรสำคัญ
6. การขาดการดูแลหรือความห่วงใยต่อผู้อื่น หรือเหตุการณ์ในชีวิตของตัวเอง
7. ค่อนข้างที่จะไม่มีสามธิ หรือจะจดจ่อกับอะไรได้ยาก
8. เหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง
9. ขาดแรงจูงใจทั่วไป
10. ไม่แคร์ ไม่กังวล กับอะไรที่จะเกิดขึ้นในชีวิต
11. ค้นหาความรู้สึกบางอย่าง แต่วิธีนั้นอาจทำร้ายตัวเอง
12. เราไม่สามารถรู้สึก หรือแสดงอารมณ์ต่อสถานการณ์นั้น ๆ ได้
กำลังเผชิญกับ ความด้านชาทางความรู้สึก หรือไม่
1. รีเช็คตัวเอง
แบบทดสอบสำหรับรีเช็คตัวเองด้วย ชื่อว่า the glover numbing scale มี 35 ข้อ สำหรับประเมินว่าเรากำลังตกอยู่ในภาวะ Emotional numbness หรือหรือไม่
2. สำรวจสาเหตุและแก้ให้ตรงจุด
Emotional numbness เกิดขึ้นจากหลากหลายสาเหตุ เช่น ถ้าเป็นผลมาจากภาวะทางจิต ไม่ว่าจะเป็นซึมเศร้า หรือ PTSD กรณีนี้จำเป็นจะต้องพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและบำบัด
วิธีรับมือเบื้องต้น อาการของไร้ความรู้สึก ความด้านชาทางความรู้สึก
1. ยอมรับความรู้สึกตัวเอง
อารมณ์ความรู้สึก เป็นอะไรที่ยิ่งหนียิ่งหนักขึ้น การกลับมาอยู่และยอมรับกับสิ่งที่เป็นจึงสำคัญมาก นักจิตวิทยา Rawlinson บอกว่า ‘อารมณ์เปรียบเหมือนอุโมงค์ เราต้องเดินผ่านไปถึงจะพบกับแสงสว่างที่ปลายทาง’
2. จดบันทึก
สำหรับคนที่ไม่ถนัดกับการทบทวนความรู้สึกตัวเอง แค่ลองเขียนออกมาดู ลองตั้งชื่อให้กับสิ่งที่ตัวเองเป็นดู
3. ออกกำลังกาย
ออกกำลังกายอาจจะเป็นวิธีการที่ฟังดูน่าเบื่อ จืดชืด แต่อยากพูดถึงเพราะเป็นกิจกรรมที่ให้ประโยชน์หลายอย่าง นอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีแล้วยังเป็นอีกวิธีที่ทำให้ได้ระบายอารมณ์ที่อัดอั้นออกมาด้วย
การรักษาโดยการพบนักบำบัด
เมื่อเราพบนักบำบัดหรือ นักจิตวิทยาแล้ว ขั้นตอนแรกในกระบวนการบำบัดคือ การหาสาเหตุของอาการชาทางอารมณ์นักบำบัดสามารถช่วยระบุสาเหตุที่แท้จริงของการบาดเจ็บ
และหาวิธีที่ดีกว่าในการรับมือกับประสบการณ์และอารมณ์ที่มากเกินไป ดร. เมนเดซกล่าวว่าเป้าหมาย หลักของจิตบำบัดคือการกระตุ้นความเข้าใจในปัญหาและเปิดเผยทางเลือก
ในการแก้ปัญหาที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพ จิตบำบัดอาจสนับสนุนการเรียนรู้และการใช้เครื่องมือการเผชิญปัญหา มีประสิทธิผล
ที่มา :
a therapist explains why emotional numbness isn’t the same as feeling nothing
Emotional Numbness: Definition, Causes & How to Deal With It
Understanding Emotional Numbness
12 Signs Someone May Be Emotionally Numb
เคยไหม ? รู้สึกว่า ยอดไลค์ และคอมเมนต์ ในโซเชียลมีผลต่อเรามาก ๆ เพราะอะไรเราถึงสนใจยอดกดไลค์ กดแชร์ และคอมเมนต์ ยอดต่าง ๆ ส่งผลเราอย่างไร ? สิ่งเหล่านี้บ่งบอกคุณค่าของเราหรือไม่ ?
ยอดไลค์ บ่งบอกคุณค่าในตัวเราหรือไม่?
หนึ่งในแง่มุมที่น่าดึงดูดใจที่สุดของโซเชียลมีเดีย สำหรับผู้ใช้คือ “ยอดไลค์” ซึ่งอาจมาในรูปแบบของสัญลักษณ์ ชูนิ้วโป้ง หัวใจ หรือ การรีทวีต Ms. Pearlman ทำงานที่ Facebook ระหว่างปี 2549 ถึง 2553
ผู้ร่วมประดิษฐ์ปุ่ม Like ของ Facebookเธอออกมาให้สัมภาษณ์ในนิตยาสาร NY TIME กล่าวว่าเธอติด Facebook เพราะเธอเริ่มประเมินคุณค่าในตัวเองจากจำนวน “ไลค์”
แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวว่า เรื่องที่น่าห่วงขณะนี้ พบว่า ประชาชนทั้งชายและหญิงวัยรุ่นนักเรียน นักศึกษา นิยมพฤติกรรมที่เรียกว่า เซลฟี่ กันมาก แล้วนำไปเผยแพร่บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ค อินตราแกรม
ไม่ว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน หรือกินอะไร เพื่อให้เพื่อนในสังคมออนไลน์ทั้งที่รู้จักจริง และรู้จักในสังคมออนไลน์ได้รับรู้ มากดไลค์ ถูกใจในรูปภาพ
ตัวเลข ยอดไลค์ ส่งผลยังไงต่อตัวเราได้บ้าง?
1. การเปรียบเทียบ
เมื่อเราเข้าไปอยู่ในโลกที่เราชีวิตคนอื่นมาก ๆ เกือบจะทั้งวัน เราเห็นด้านต่าง ๆ ที่เขาสื่อสารออกมา บางครั้งมันเป็นไปแบบอัตโนมัติ ที่เราเปรียบเทียบ ทั้งในด้านการใช้ชีวิต และยอดไลค์
บางครั้งก็เอามาคิดว่าทำไมเราไม่ดีตรงไหนถึงได้ยอดไลค์ไม่เท่ากัน บางครั้งลามไปถึงการที่เราต้องมานั่งคิดคอนเทนท์ ทำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวเอง หรือความชอบของตัวเองจริง ๆ เพื่อที่จะมียอดติดตามเพิ่มขึ้น
2. การคาดหวัง
เวลาเราโพสต์ใด ๆ ซักโพสต์ จุดประสงค์ของเราคืออยากแชร์มันออกไป หรือลึก ๆ ในใจแอบคาดหวังว่าจะต้องมีคนกดมาไลค์ คอมเมนท์ แชร์บ้าง เพราะรูปนี้ถ่ายตั้งนาน ถ่ายเป็น 100 ใช้ได้ 3 รูป
แต่ความคาดหวังต่อสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้นำ ก็มีโอกาสที่เราจะผิดหวังมากมากขึ้น เป็นความรู้สึกแย่ที่เกิดขึ้นได้
3. สุขภาพจิต
คาเรน นอร์ธ ผู้อำนวยการหลักสูตรสื่อสังคมดิจิทัล มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอเนียร์ ได้สังเกตพฤติกรรมการประเมินค่าความสำเร็จของผู้คนในปัจจุบันแล้วพบว่า
หลายคนเป็นซึมเศร้าหลังจากใช้เวลาจำนวนมากไปกับ Facebook เพราะพวกเขารู้สึกไม่ดีเมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ๆ
4. ขาดความมั่นใจในตนเอง
เมื่อคาดหวัง เกิดการเปรียบเทียบขึ้นเงียบ ๆ ในใจของเรา สิ่งที่ตามมาคือ ขาดความมั่นใจในตนเอง เพราะทุกอย่างรอบข้างมันดูดีไปหมด มันเป็นไปได้มาก ๆ เลยที่จะเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า
ว่าฉันดีพอหรอยั ง? ฉันขาดอะไรตรงไหนไป? ไม่กล้าโพสต์ ไม่กล้าแชร์ หากโพสต์ไปแล้ว ไม่มีคนกดไลค์เลยหล่ะ
ทำไมเราจึงสนใจการ ยอดไลค์ กดแชร์ หรือ คอมเมนท์
บทความชื่อว่า The Psychology of Facebook: Why We Like, Share, Comment เล่าถึงความเชื่อมโยงว่าเกิดอะไรขึ้นในสมองของเรา ซึ่งพบความสัมพันธ์ระหว่าง Facebook และ Nucleus Accumbens
หรือ สมองส่วนให้รางวัล เมื่อเราได้รับการตอบรับเชิงบวกบน Facebook ความรู้สึกจะสว่างขึ้นในสมองส่วนนี้ ยิ่งเราใช้งาน Facebook มากเท่าไหร่ รางวัลก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ยอดไลค์ สำคัญยังไง? เพราะอะไรถึงมีผลต่อตัวเรา?
1. ต้องการการยอมรับ
โดยพื้นฐานมนุษย์ต้องการการยอมรับ มีหลายทฤษฎีที่อธิบายไว้ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการ มนุษย์ต้องได้รับการยอมรับจากกลุ่ม ถึงจะอยู่รอด เพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสกิลการป้องกันตัวเองจากอันตราย
สัตว์ร้าย ภัยพิบัติ ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีจิตวิทยาของ Maslow ด้วย ที่กล่าวว่า 1 ในความต้องการพื้นฐานของมนุษย์คือ Love & Belonging Needs ความรักและการเป็นเจ้าของ
2. การยอมรับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เห็นคุณค่าตัวเอง
บางคนอาจจะยึดมั่นในตัวเอง มีจุดยืนในตัวเอง ที่แน่นและเข้มแข็งมากพอ ทำให้การยอมรับจากคนอื่นอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญมาก เพราะเขาได้รับการยอมรับจากตัวเองซึ่งเติมเต็มอย่างเพียงพอแล้ว
แต่สำหรับบางคน ที่ self-esteem ต่ำ การได้รับการยอมรับจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืนยันว่า ตัวเขาดีพอ ตัวเขามีคุณค่ามากพอ
3. ได้ผลประโยชน์จากการได้รับการยอมรับ
ข้อนี้อธิบายได้ในกรณีที่ เราทำงานกับสื่อ เราทำงานกับโซเชียลมีเดีย การได้ยอด Engagement เท่ากับการได้รับผลประโยชน์บางอย่างที่คาดหวังไว้ เช่น engangement เยอะ ลูกค้าเยอะ คนจ้างงานเยอะ กำไรเยอะ
หรือ engagement เยอะ สำหรับกลุ่มที่สร้าง Content เพื่อให้เกิดประโยชน์กับสังคม การได้รับคำชม คำติเพื่อก่อ คงเป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา
4. เพื่อยืนยันบางอย่างเกี่ยวกับตัวตนเรา
จากการทำแบบทดสอบเกี่ยวกับ การโพสต์ใน Facebook 68% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าพวกเขาแบ่งปันเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจมากขึ้นว่าพวกเขาเป็นใครและสนใจอะไร
5. ระบายความเหงา
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแอริโซนาติดตามกลุ่มนักเรียนและ ติดตาม “ระดับความเหงา” ขณะที่โพสต์สถานะบน Facebook การศึกษาพบว่าเมื่อนักเรียนอัปเดตสถานะ Facebook บ่อยขึ้น ระดับความเหงาก็ลดลง
นักวิจัยเชื่อมโยงความเหงาที่ลดลงกับความรู้สึกผูกพันทางสังคมที่เพิ่มขึ้น ในทางกลับกันเมื่อผู้คนเห็นว่าสถานะบนโซเชียลมีเดียของพวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมมากเท่ากับเพื่อน พวกเขาอาจเริ่มรู้สึกแปลกแยก
Recheck ตัวเอง กำลังยึดติดกับยอด Engagement อยู่หรือเปล่า?
1. เรากำลัง recheck ยอด engagement บ่อย ๆ อยู่หรือเปล่า?
ถ้าเราโพสต์อะไรลงไปแล้ว เรามานั่งดูว่า มีคนไลค์รึยัง มีคนคอมเมนท์รึยัง พอไม่มีเลยจะผิดหวัง เครียด อันนี้คงเป็นสัญญาณเตือนหนึ่งว่า
เราอาจจะให้ความสำคัญกับยอด engagement มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
2. เรามีความคิด ความรู้สึก ยังไงต่อยอด Engagement?
ถ้าเราเครียด เวลาไม่มีใครไลค์หรือคอมเมนท์เลย นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนหนึ่งว่าเราให้ความสำคัญกับตัวเลขเหล่านี้มากเกินไป
รวมถึงอาจจะมีมุมมองที่ไม่ยึดติดกับความเป็นจริงบางอย่าง เพราะยอด Engagement ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าตัวคนนั้นเป็นยังไง ตัวคนนั้นได้รับการยอมรับแค่ไหน
3. กระหายยอดไลค์ ใช้พยายามมากเป็นพิเศษเพื่อสร้างความนิยม
ตัวอย่าง จุดบ่งบอกได้ ว่าเราเอาตัวเองไปผูกติดกับยอดไลค์ เช่น
“ใครไม่กดไลค์ ขออนุญาติลบเพื่อนนะ”
“ขอไลค์คนละหนึ่งไลค์ ขอคนละหนึ่งเม้นท์ ”
วิธีออกจากการยึดคิดกับยอด Engagement
1. Recheck ความคาดหวัง
ถ้าเราคาดหวังว่าจะต้องมีจำนวนกดไลค์เท่าไหร่ จะต้องมีใครบ้างที่มาตอบสนองต่อโพสต์เรา แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไม่ตรงกับความคาดหวัง ตอนนั้นแหละที่จะเกิดปัญหา
การกลับมา recheck ความคาดหวังตัวเองว่า ตอนนี้มากไปไหม? แล้วลองหาวิธีแก้ปัญหาลดความคาดหวังของเราได้อย่างไรบ้าง
2. Recheck ความต้องการ
การ recheck ตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการอะไรจากการโพสต์? เป็นคำถามสำคัญ บางคนโพสต์เพื่อเก็บความทรงจำ เก็บความรู้สึกนึกคิดอะไรบางอย่างไว้ กรณีนี้คงไม่ส่งผลกระทบอะไร
แต่ถ้าโพสต์เพียงเพื่อให้คนสนใจ ให้คนยอมรับ คงเป็นไปได้ยากที่จะใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีความสุข สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อะไรที่บังคับได้ การที่เราไปคาดหวังทั้ง ๆ ที่รู้ว่าควบคุมไม่ได้ คงทำให้เกิดความรู้สึกทางลบตามมา
3. หันไปโฟกัสสิ่งอื่น
ถ้ายอด Engagement ไม่เกี่ยวข้องกับงาน อาจจะต้องจัดลำดับชีวิตและจัดสรรเวลาใหม่ หาเวลาทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องโฟกัสแทน เราจะให้ความสำคัญกับยอด engagement น้อยลงตามธรรมชาติเอง
นอกจากนี้ ปลายปี ค.ศ.2019 ผู้พัฒนาระบบก็ สร้างฟีเจอร์ใหม่ ‘Private Like Counts’ หรือการปิดยอดไลก์ของรูปภาพไม่ให้คนอื่นเห็น ซึ่งได้สุ่มทดสอบในประเทศต่างๆ ได้แก่ แคนาดา บราซิล ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น
เนื่องจากเล็งเห็นว่าผู้ใช้งานในกลุ่มวัยรุ่น มี ‘แรงกดดัน’ จากการทำโพสต์ให้มันยอดไลค์ สูง และเมื่อไม่ได้ยอดตามที่หวังไว้ จึงเกิดเป็นปัญหาเครียดตามมา
จะรับมือยังไง เมื่อต้องทำงานกับสื่อแล้วยอด Engagement มีความสำคัญจริง ๆ
1. วางกรอบให้ตัวเลขเหล่านี้มีบทบาทแค่ในบริบทการทำงาน
ยอมรับและพัฒนาคอนเทนต์ ศึกษา Prime time และ Data ของแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อนำมาปรับปรุงให้มีการเข้าถึงมากที่สุด
สิ่งสำคัญคือ ต้องวางกรอบให้ยอด Engagement มีบทบาทแค่ในบริบทการทำงานเท่านั้น ไม่ใช่อะไรที่จะมาบ่งบอกคุณค่าหรือคุณภาพอะไรในตัวเอง
2. ปล่อยวาง engagement ในทางลบ
ยอด dislike หรือ คอมเมนท์เชิงลบที่ไม่ใช่ติเพื่อก่อ อันนี้การจัดการจะเป็นอีกแบบ คงต้องปล่อยวาง เพราะทุกคนต่างมีความคิด ความรู้สึก
และประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสดงออกของแต่ละคนเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะนำมาตัดสินตัวเราทั้งหมด
3. จุดประสงค์ที่แท้จริงว่าเราต้องการที่จะมียอด Engagement สูง ๆ ไปเพื่ออะไร
ในบางคนต้องการยอดไลค์ การติดตามเพื่อสร้างตัวตน นำไปทำเป็นอาชีพต่าง ๆ ได้ ก็ตั้งใจทำคอนเท็นต์ที่สร้างสรรค์ ออกมาเพื่อเป้าหมายที่ชัดเจนของตัวเอง
เราจะอยู่บนโลกโซเชียลอย่างไรให้มีความสุข?
1. รักษาความพอดีในการใช้โซเชียลมีเดีย
สิ่งสำคัญคือ ‘ความพอดี’ การเลือกวิธี Social Detox อาจเหมาะกับ เราเพียงแค่ต้องพักจากมัน หยุดจากมัน สักระยะหนึ่ง ไม่สายที่จะรอให้ตัวเองพร้อมแล้วค่อยกลับมาท่องโลกโซเชียลมีเดียอีกครั้ง
2. โซเชียลเป็นเพื่อนที่ดี ในยามที่เหงาใจ หรืออยากระบาย
การศึกษาที่รายงานใน Psychology Today แสดงให้เห็นว่าการใช้เวลามากขึ้นในสังคมออนไลน์และ มีส่วนร่วมในการแชทด้วยข้อความโต้ตอบแบบทันที
ทำให้เรามีความสามารถในการมีความเห็นอกเห็นใจเสมือนจริงมากขึ้น และการเอาใจใส่ เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของความสามารถในการแสดงความเห็นอกเห็นใจในโลกแห่งความเป็นจริง
ที่มา :
ยอด Engagement, ยอด Reach และ ยอด Impression คืออะไร ?
7 ตัวเลขพื้นฐานที่คุณควรรู้ในการทำและวิเคราะห์โฆษณา Facebook
Social media apps are ‘deliberately’ addictive to users
The Psychology of Facebook: Why We Like, Share, Comment