Posts
ภาวะ Dead Inside ความรู้สึกเหมือนตายทั้งที่ยังหายใจ เหมือนกับต้นไม้ที่มีต้นไม้แห้งเหี่ยวที่อยู่ในกระถาง เราจะทำอย่างไรในวันที่เรารู้สึกว่างเปล่า เฉยชากับทุกอย่างรอบตัว
มาหาคำตอบผ่านมุมมองของนักจิตวิทยากับรายการพูดคุย Alljit X คุณวันเฉลิม คงคาหลวง นักจิตวิทยาการปรึกษา 🙂
ภาวะ Dead Inside คืออะไร ?
ภาวะ Dead Inside ถ้าเป็นคำนิยามเชิงวิชาการ คือ จุดหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอารมณ์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ หม่นหมอง มีแต่ร่างกายที่ขาดความรู้สึก ไร้ซึ่งชีวิตชีวา และไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของตัวเองได้อย่างแท้จริง เหมือนต้นไม้แห้งในกระถาง..
สัญญาณเตือนภาวะ Dead Inside
สัญญาณเตือนอาจจะต้องวัดด้วยความรู้สึก รู้สึกว่าชีวิตของเราไร้ความหมาย..
ต่อให้เรารู้ความหมายของชีวิตหรือไม่รู้ก็ แต่ถ้าหากเราเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเรามันไร้ความหมาย เริ่มหมดไฟ หมดแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ และสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าที่อยู่ภายในจิตใจ
ทุกอย่างดูเฉยชา อ้างว้าง โดดเดี่ยว อันนี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญของภาวะ Dead Inside ซึ่งต้องบอกก่อนว่าต้องมีเกือบทั้งหมดที่กล่าวมาถึงเข้าข่ายภาวะ Dead Inside
เพราะถ้าหากมีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น รู้สึกชีวิตไร้ความหมายแต่เรายังมีกำลังใจ มีไฟที่จะทำอย่างอื่นแต่แค่ไม่เจอความหมาย เราก็แค่อาจจะยังไม่เข้าใจความหมายของชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังตกอยู่ในภาวะ Dead Inside
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ Dead Inside
ภาวะ Dead Inside เป็นผลต่อเนื่องมาจากอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ไม่ได้เหมือนความรู้สึกอื่น ๆ ที่มีอะไรมากระทบแล้วรู้สึกออกมาเลย แต่จะมีการสะสมหรือมีการบ่มเพาะของสาเหตุก่อน
หากดูข้อมูลเชิงวิชาการมีข้อมูลว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า ไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) หรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ก็สามารถมีภาวะ Dead Inside ได้เป็นเรื่องปกติของผู้ป่วยหรือผู้ป่วยจิตเวช
ภาวะ Dead Inside ที่เกิดขึ้นเป็นตัวแทนของอาการป่วย ถ้าเทียบกับซึมเศร้าคือเป็นตัวแทนของโรคซึมเศร้าและจะเกิดขึ้นแบบนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน สิ่งนี้ก็จะมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมด้วย
อ่อนเพลีย ความคิดเปลี่ยนแปลงไปและเริ่มรู้สึกเฉื่อยชา ฟังดูคล้าย ๆ กับโรคซึมเศร้าและแยกได้ยากเพราะซึมเศร้าอาจจะเป็นสาเหตุของภาวะ Dead Inside และอาจจะรวมไปถึงโรคอื่น ๆ แม้กระทั้งการใช้สารกระตุ้นหรือสารเสพติด ก็อาจจะเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน
ผลกระทบของภาวะ Dead Inside
ถ้าหากพูดในเชิงความรู้สึกก็คือการตายทั้งเป็น ชีวิตเรายังไม่ดับ ร่างกายยังทำงานอยู่ หัวใจยังเต้น แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ตายจากภายใน มีชีวิตแต่ไม่มีชีวา มีชีวิตอยู่อย่างไร้วิญญาณซึ่งในอนาคตอาจจะทำให้เราเสียชีวิตจริง ๆ ก็ได้
เช่น ทำร้ายตัวเอง เฉื่อยชาจนพลาดเกิดอุบัติเหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีภาวะ Dead Inside มันจะค่อย ๆ กัดกินเราที่ละนิดและจะค่อย ๆ แสดงความชัดเจนออกมาจากตัวเรา เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป
คนรอบข้างอาจจะเริ่มมองเห็น แต่ไม่เข้าใจเรา ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรและอาจจะแยกไม่ออก การที่คนทั่วไปจะรับรู้และเจาะจงอาการของภาวะ Dead Inside ได้ มันเป็นเรื่องที่ยาก
อาจจะมีปัญหาในเรื่องของความสัมพันธ์ตามมาอีกด้วยเพราะหากคนรอบข้างไม่เข้าใจ อาจจะเกิดการทะเลาะจนทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงได้
ภาวะ Dead Inside แตกต่างกับ ภาวะซึมเศร้าไหม ?
แตกต่างกัน แต่ว่าก็มีความคล้ายกันอยู่เนื่องจากภาวะ Dead Inside อาจจะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ และภาวะซึมเศร้าก็อาจจะทำให้เกิดภาวะ Dead Inside ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเราจะเน้นไปที่ความรู้สึกด้านชา
ความว่างเปล่า หมดอะไรตายอยากนั่นคืออัตลักษณ์ของภาวะ Dead Inside ส่วนภาวะซึมเศร้าจะขึ้นอยู่กับความเหนื่อยล้า อ่อนแรง สิ้นหวัง เศร้าโศก ท้อแท้ใจและ เกิดการโทษตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัด
หากเกิดเป็นภาวะ Dead Inside ทำอย่างไรได้บ้าง ?
ถ้าหากเกิดภาวะ Dead Inside จะมีความกระทบกระเทือนหลาย ๆ อย่างตามมา สิ่งที่เราต้องทำคือการเข้ารับการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือจิตแพทย์เพราะอาจจะต้องมีการใช้ยาเพื่อควบคุม
หรือถ้าหากผู้ป่วยไม่อยากใช้ยา หรือแพทย์มองดูแล้ว่าการใช้ยาอาจจะไม่ตอบโจทย์ก็อาจจะต้องเป็นการรักษาแบบจิตบำบัดเพื่อที่จะเข้าไปซ่อมแซมแก้ไขจากภายใน
ป้องกันตัวเองจาก ภาวะ Dead Inside ได้อย่างไร ?
เป็นเรื่องของความมั่นคงภายในจิตใจ ภาวะ Dead Inside ถ้าหากเราไม่ได้พูดถึงในจุดที่ป่วยจากอาการใดอาการหนึ่ง แล้วนำมาสู่ภาวะ Dead Inside ความมั่นคงในจิตใจสำคัญมาก
ถ้าเกิดขาดความมั่นคงภายในจิตใจตั้งแต่แรกโอกาสที่จะเกิดภาวะ Dead Inside ก็มีมาก เพราะฉะนั้นถ้าหากอยากป้องกัน เราต้องสร้างความมั่นคงทางจิตใจ สิ่งสำคัญง่าย ๆ คือการไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่ Toxic มากจนเกินไป
ถ้าหากจำเป็นต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ Toxic เราก็อยู่เท่าที่เราต้องอยู่ ในยุคสมัยนี้เราอาจจะไม่จำเป็นต้องตามกระแสหรือค่านิยมอื่น ๆ ที่ไม่เหมาะกับเรา ให้เรามีความเป็นตัวของตัวเอง เข้าใจในตัวเองและพอใจในสิ่งที่เราเป็นโดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
Introvert Extrovert และ Ambivert เรามี บุคลิกภาพ แบบไหนกันนะ ? ทำไม Introvert ถึงถูกนำมาพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ? แบบทดสอบบุคลิกภาพทั่ว ๆ ไป สามารถบอกความเป็นเราได้จริงหรือเปล่า ?
มาทำความรู้จักตัวเองกันเถอะ
บุคลิกภาพ คืออะไร?
บุคลิกภาพ คือ ลักษณะหรือพฤติกรรมที่เฉพาะตัวในการใช้ชีวิต บุคลิกภาพจะมีหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะเด่น ความสนใจ ความสามารถ แรงจูงใจ คุณค่า ตัวตน
บุคลิกภาพ เป็นสิ่งที่คงทน คือ เราเป็นยังไงก็เป็นอย่างงั้น แต่ไม่ถาวร คือ สามารถเปลี่ยนได้ ถ้ามีเหตุปัจจัยอะไรกระทบ อยากยกตัวอย่างของนักเรียนแลกเปลี่ยน หลายคนอยู่เมืองไทยจะขี้อาย
แต่พอได้ไปเรียนต่างประเทศจะกล้าแสดงออก ด้วยสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม รวมถึงการพยายามปรับตัว ทำให้บุคลิกภาพเปลี่ยนไปได้
การแบ่ง บุคลิกภาพ มีแบบไหนบ้าง?
Big Five
จากเว็บไซต์ Berkeley well being ให้ข้อมูลว่า Big-five ตามชื่อ จะแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 5 แบบ
1.Neuroticism
ถ้า High Neuroticism = จะเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ส่วนใหญ่จะเป็นอารมณ์ลบ
2.Extraversion
ถ้า High Extraversion = จะชอบเข้าสังคม สนใจคนรอบข้าง ชอบพูดคุย ชอบสังสรรค์กับกลุ่มคน
3.Openness
ถ้า High Openness = จะสนุกกับการลองทำสิ่งต่าง ๆ เปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ได้ง่าย
4.Agreeableness
ถ้า High = Agreeableness = จะคล้อยตามคนอื่น จะใจดี ใจกว้าง สุภาพกับคนรอบข้าง ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นของตัวเองสักเท่าไหร่ จะยึดคนอื่นเป็นหลัก
5.Conscientiousness
ถ้า High Conscientiousness = จะเข้มงวด ให้ความสำคัญกับเรื่องความผิดถูก
Myers-Briggs Type Indicator (MBTI)
4 ตัวอักษรที่ทุกคนคุ้นเคย หลายคนน่าจะเคยทำแบบทดสอบของเว็บไซต์ 16 Personalities ที่เป็นรูปตัวการ์ตูนอาชีพต่าง ๆ ลักษณะเด่นจะแบ่งออกเป็นหมวด ๆ ได้แก่
- เก็บตัว (I=Introvertersion) หรือ ชอบเข้าสังคม (E=Extraversion)
- อยู่กับความจริง (S=Sensing) หรือ มีวิสัยทัศน์ (N=Intuition)
- ใช้ความคิด (T=Thinking) หรือ ใช้ความรู้สึก (F=Feeling)
- มีระเบียบแบบแผน (J=Judging) หรือ ยืดหยุ่น (P=Perceiving)
แบบทดสอบบุคลิกภาพ บอกความเป็นตัวเราได้มากน้อยแค่ไหน?
คงตอบได้ว่า บอกได้เพียงส่วนหนึ่ง เพราะทุก Test มีข้อจำกัด จากเว็บไซต์ wellable ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ limitations ของ test ไว้
1.บุคลิกภาพมนุษย์มีความซับซ้อน
ทำให้บาง Test ไม่ครอบคลุม เช่น Big-five ที่แบ่งคนเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ แต่จริง ๆ ในคนหนึ่งคน อาจจะมีความเป็น 2 แบบ 3 แบบ ในตัวเอง เป็นไปได้หมดเลย
2.บุคลิกภาพมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้
อย่างที่บอกว่าบุคลิกภาพเป็นสิ่งที่คงทนแต่ไม่ถาวร คงทน คือ นิสัยจะอยู่แบบนั้นนาน แต่ไม่ถาวร คือ ถึงจุด ๆ หนึ่ง อาจจะมีใครสักคนหรือเหตุการณ์บางอย่างที่กระทบจนมีผลให้บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไปได้เหมือนกัน
3.ผู้ทำแบบทดสอบอาจจะตอบคำตอบที่เป็นที่ยอมรับ
อันนี้เป็นเหตุผลว่าทำไม Test ถึงต้องมีคำชี้แจงว่า ให้ตอบด้วยความรู้สึกแรก, ให้ตอบด้วยความจริงใจ เพราะบางข้อใน Test จะเป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์
ความรู้สึกว่าไม่อยากเป็นแบบนั้นหรือไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นแบบนั้น อาจทำให้บางคนเลือกสิ่งที่ไม่ตรงกับตัวเอง
ทำไม Introvert ถึงถูกนำมาพูดถึงบ่อย ๆ
1.เพราะจากจำนวนประชากรโลก มีคนถึง 25-40% ที่มีบุคลิกภาพแบบ Introvert
2.ด้วยบุคลิกภาพแบบ Introvert มักถูกมองว่าเก็บตัว ในบางครั้งอาจถูกมองว่าพวกเขาต่อต้านสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจผิด มีบางสังคมเหมือนกันที่มองว่าการเป็น Introvert เป็นปัญหา
ต้องมีเพื่อนสิ ต้องติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นสิ เพราะเราเป็นสัตว์สังคม แต่พอมีการแชร์ความรู้เกี่ยวกับ Introvert มากขึ้นและหลากหลายรูปแบบขึ้น การพูดถึง Introvert เลยเป็นการ normalize introvert ไปในตัว
บุคลิกภาพ แบบ Introvert :กลุ่มที่ต้องการเวลาส่วนตัวเพื่อชาร์จพลังงาน
ประเภทของ Introvert
1.Social Introvert
จะมีทั้งชอบช่วงเวลาที่ชอบเข้าสังคมแบบสุด ๆ หรือชอบความเป็นส่วนตัว เขาจะไม่รู้สึกประหม่าหรืออายเวลาที่ต้องเข้าสังคม อาจจะสนุกไปกับมัน แต่ก็อาจจะหมดสนุกถ้าอยู่นานมากเกินไป
ในขณะที่ใช้เวลาอยู่คนเดียว Social Introvert ยังต้องการเพื่อนสนิทสัก 2-3 คนที่ไว้ใจ และจะชอบเข้าสังคมมากที่สุดเมื่ออยู่ท่ามกลางเพื่อนเหล่านี้ คนอื่นอาจมองว่าเปิดเผยเมื่อเจอเขาไปเที่ยวกับเพื่อน
เเต่เขาจะไม่แชร์เรื่องของตัวเองให้ใครนอกจากเพื่อนสนิท
2.Thinking Introvert
ช่างคิด ช่างฝัน ไม่กลัวการเข้าสังคมแต่ไม่ค่อยสนใจ เพราะชอบอยู่ในโลกใบเล็กๆของตัวเอง คนอื่นอาจจะทำความรู้จักกับ Thinking Introvert ยากเพราะพวกเขาคิดไม่เหมือนใคร
และชอบอยู่กับความคิดของตัวเอง แทนที่จะใช้เวลาและพลังงานเพื่ออธิบายให้คนอื่นเข้าใจ
3.Anxious Introvert
ต้องการเวลาส่วนตัวเเม้แต่ตอนที่อยู่กับเพื่อนสนิท จะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องอยู่ในสังคมกลุ่มใหญ่หรือเข้าสังคมใหม่ๆ และจะคิด ทบทวนพฤติกรรมของตัวเองทุกครั้งที่อยู่ในที่สาธารณะ
4.Restrained Introvert
เก็บตัว ช่างคิด ช่างฝัน และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง Restrained Introvert จะไปข้างนอกถ้ามีการวางแผนไว้อย่างดีแล้ว การตื่นเช้าของพวกเขาจะไม่ลุกโดยทันทีหรอก
เขาจะค่อย ๆ คิด จัดระเบียบสิ่งที่อยู่ในหัว วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง พวกเขาจะรู้สึกมีความสุขและสบายใจกับกิจวัตรประจำวัน เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง หรือออกกำลังกาย
ข้อดีของ Introvert
The quiet power of introverts จากช่อง BBC Ideas The quiet power of introverts
การใช้ชีวิตแบบเงียบ ๆ แบบความต้องการเวลาส่วนตัวของเรา ไม่ใช่ข้อบกพร่อง มันคือของขวัญ
- เราเป็นผู้ฟังที่ดีและคำพูดของเรามีความหมาย
- เรามีเพื่อนน้อยแต่ความสัมพันธ์นั้นลึกซึ้งมาก
- เราชอบใช้เวลาเงียบ ๆ อยู่คนเดียว เป็นที่ที่ความวุ่นวายของวันที่ยาวนานได้สิ้นสุดลง
- เราสามารถไตร่ตรองและรับฟังความคิดเห็นของตัวเองได้ดี
ข้อเสียของ Introvert
- พลังงานน้อย เหนื่อยง่ายเวลาที่ต้ องอยู่ร่วมกับคนเยอะ
- ด้วยความที่ไตร่ตรองและประมวลผลสิ่งต่าง ๆ ในหัว ถ้าพอดีจะทำให้เราเข้าใจตัวเองแต่ถ้ามากเกินไป อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ความคิดมาก ทำให้เกิดความเครียดหรือความรู้สึกทางลบอื่น ๆ ได้
บุคลิกภาพ แบบ Extrovert : การได้เข้าสังคมทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ชาร์จพลังงาน
Facts ของ Extrovert
1.Extrovert ไม่ได้อยากอยู่กับสังคมตลอดเวลา
อย่างที่เรารู้กันว่า Extrovert ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการสิ่งนี้ตลอดเวลานะ ที่จริงแล้ว Extrovert ก็ต้องการเวลาอยู่กับตัวเองด้วย ต้องใช้คำว่า “ทุกคนต้องการเวลาส่วนตัว”
ในชีวิตของพวกเราเราทุกคนต้องมีทั้งปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและเวลาส่วนตัวอย่างที่ควรจะเป็น แต่ละคนจะแตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือต้องหาสมดุลให้กับตัวเอง หาวิธี หาเวลาเข้าสังคม
และต้องมีเวลาอยู่คนเดียวให้เพียงพอด้วย ช่วงเวลาที่เราจะได้ฟังเสียงตัวเอง ฟังความรู้สึกของตัวเอง มิ้นมองว่ามันสำคัญมาก เพราะเรามีเวลาหลายชั่วโมงมากในการอยู่กับคนอื่น คุยกับคนอื่น
เวลาที่เราอยู่กับคนอื่น เสียงของเราจะเบาลง ลองใช้เวลาเงียบๆนั่งฟังเสียงตัวเองบ้าง เพื่อเข้าใจอารมณ์และแก้ไขมันได้ดีมากขึ้น
มีสิ่งนึงคือ “Shy Extrovert” อาจจะสงสัยว่า Shy หรือ ขี้อาย น่าจะเจอแต่ในกลุ่มคนที่เหนื่อยง่าย ไม่ชอบสังสรรค์ปาร์ตี้อย่าง Introvert สิ Extrovert จะขี้อายได้ไงในเมื่อชอบเข้าสังคม?
แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย Shy หรือ ขี้อาย มีในตัวคนที่มีความ Extrovert ได้เหมือนกัน จากเว็บไซต์ Well and good บอกว่า Shy Extrovert จะเป็นกลุ่มคนที่
- เข้ากลุ่มไม่เก่ง แต่ชอบการเข้ากลุ่มมาก
- ชอบการอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก แต่ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ
- อาจจะต้องการเวลาส่วนตัวบ้าง แต่ถ้ามากจะไม่ดีกับคนที่เป็น Shy Extrovert เพราะถึงจะขี้อาย แต่ด้วยความที่เป็น Extrovert เลยมีความสุขมากกว่าถ้าได้อยู่ร่วมกับคนอื่น
2.ไม่ใช่ว่า Extrovert จะรู้สึกว่าได้รับพลังกับทุกคนที่เขาคุยด้วยหรืออยู่ด้วย
คนทุกคนแตกต่างกัน และนั่นหมายความว่าความต้องการก็จะแตกต่างกันด้วย Extrovert บางคนชอบที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ได้ แต่บางคนต้องการมีปฏิสัมพันธ์ที่จำเพาะเจาะจง
บางคนรู้สึกหมดแรงมากกว่าการได้รับพลังเมื่ออยู่กับคนที่เรียกร้องความสนใจมากเกินไป มิ้นมองว่ามันจำเป็นมากๆเหมือนกันนะ ในการที่ Extrovert ต้องค้นหาว่าคนประเภทไหนให้พลังงานกับพวกเขาจริง ๆ
รวมถึงการค้นหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพราะถ้าใช้เวลามากเกินไปกับคนที่ไม่ใช่ สภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ Extrovert อาจจะรู้สึกว่าต้องอยู่คนเดียวและแยกตัวเองออกมาจากโลกภายนอก
จุดเเข็งของ Extrovert
- ทำงานเป็นกลุ่มได้ดี สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้ สื่อสารได้ดีมากและมีแนวโน้มว่าการทำเป็นกลุ่มจะดีมากกว่าการทำคนเดียว
- ไม่มีปัญหาในการเปิดใจและพูดคุยความรู้สึกให้ทุกคนรู้ นี่ถือเป็นจุดเเข็งเพราะการสื่อสารความคิดเห็นหรือปัญหาของเรากับคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ
- เก่งในเรื่องการเอนเตอร์เทนต์คนอื่น เหมือนเป็นสีสันประจำกลุ่ม ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา Extrovert 0tชอบเป็นจุดสนใจของผู้คน ถือเป็นจุดเเข็งเพราะมันทำช่วยเรื่องสกิลการนำเสนอและทักษะการสื่อสารอื่น ๆ
- First Inpression ดีมาก การสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจะช่วยเราในหลาย ๆ เรื่อง เขาจะใช้เสน่ห์และการชอบเข้าสังคมเพื่อสร้างความประทับใจเเรก เช่น การเดท สัมภาษณ์งาน
จุดอ่อนของ Extrovert
- ไม่สามารถจัดการกับการอยู่คนเดียวได้ การอยู่ในห้องนานเกินไปอาจทำให้ไม่สบายใจ
- จัดการกับความเบื่อ
- บางครั้งก็พูดมากเกินไป การที่ไม่รู้ว่าควรหยุดพูดตอนไหนนั่นเป็นจุดอ่อนเพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องการฟังในสิ่งที่เราพูด
- ติดคนอื่นมากเกินไป ติดหนึบ ต้องการอยู่กับคนนึงตลอดเวลา อาจทำให้คนอื่นอึดอัด
- เปิดเผยมากเกินไป อาจทำให้เดือดร้อนได้ ทั้งการเปิดเผยความลับหรือความรู้สึก บางครั้งอาจทำให้ถูก Manipulate ได้
บุคลิกภาพ แบบ Ambivert : คนที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Introvert และ Extrovert
1.ทำได้ดีทั้งการเข้าสังคมและอยู่คนเดียว – ไม่รู้สึกเหนื่อยกับทั้งสองอย่าง สนุกกับการใช้เวลากับตัวเองและคนรอบข้าง
2.โดยธรรมชาติแล้ว เราเป็นผู้ฟังที่ดี-Ambivert จะตั้งใจฟังและตอบโต้ในบทสนทนาที่ได้ดี ไม่ฟังเงียบๆหรือโพล่งออกไปเลยแบบไม่คิด
3.มีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหา -Ambivert จะไม่ยึดติดกับแนวคิดและวิธีการในการแก้ปัญหา การลองใช้วิธีใหม่ๆ ทำให้เขาได้มุมมองใหม่ที่สร้างสรรค์มากขึ้น
4.เป็นคนเด็ดขาดมากกว่าหุนหันพลันแล่น – Ambivert จะคิดทบทวนอย่างรอบคอบ
5.คนอื่นสบายใจในการพูดคุยกับเรา – Ambivert จะมีความสามารถพิเศษในการสร้างความลื่นไหลในบทสนทนา เขาจะพูดเมื่อจำเป็นและเปิดโอกาสให้คนอื่นได้พูดด้วย
ถ้าการสนทนาถึงจุดที่ชอบกันเรียกว่าเดดแอร์ เขาอาจเพิ่มความคิดเห็นสั้นๆ หรือถามคำถามเพื่อให้บทสนทนาดำเนินต่อ เพราะเขาเข้าใจทั้ง Introvert และ Extrovert ว่าจะรู้สึกอย่างไรในสภาพแวดล้อมเดียวกัน
6.ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์อื่นได้ง่าย เขาไม่รู้สึกรำคาญที่จะต้องวางกิจกรรมที่ทำอยู่ลงเพื่อพูดคุยกับคนข้างๆ เขาสามารถเปลี่ยนจากเที่ยวกลางวันเป็นเที่ยวกลางคืนได้
หรือพรีเซ้นต์ในที่ประชุมแบบกะทันหันได้ สิ่งเหล่านี้มันอาจไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่เขาอยากทำแต่ถ้าต้องทำก็สามารถทำได้ดี
เปลี่ยนแปลงได้ไหม วันนี้เราเป็นแบบนี้ โตไปจะเป็นอีกแบบ
สามารถเปลี่ยนเเปลงได้ ตอนเด็กเราชอบเก็บตัวแต่ในบ้าน แต่พอโตขึ้นเราได้ออกไปใช้ชีวิต เราก็อาจจะชอบการผจญภัยข้างนอกแล้วกลับมาชาร์จแบตที่บ้าน
ถ้าสังเกตดูดี ๆ เราเปลี่ยนไปทุกวัน ไม่มีใครที่เป็น Introvert หรือ Extrovert 100% บางทีเราอาจจะเชื่อมโยงทั้งจุดเเข็งและจุดอ่อนของตัวเอง พัฒนาในจุดอ่อน เสริมในจุดเเข็ง
เพื่อเป็นในแบบที่เราอยากเป็นได้ดีขึ้น และสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยที่มีผลต่อบุคลิกภาพมาก อย่างที่บอกไปว่า บุคลิกภาพ เป็นสิ่งที่คงทน คือ เราเป็นยังไงก็เป็นอย่างงั้น แต่ไม่ถาวร
บุคลิกภาพ ต่างกันอยู่ร่วมกันอย่างไร?
- สังคมคือการอยู่ร่วมกันของความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ถึงความแตกต่าง ความเหมือน และการปรับตัว
- ความเข้าใจคือสิ่งสำคัญ
- พูดตรง ๆ เลยก็โอเคเหมือนกันนะ
- เข้าสังคมที่หลากหลายก็ชาเล้นจ์ไปอีกแบบนะ
ไม่รู้ได้ไหมว่าตัวเองเป็นอะไร มี บุคลิกภาพ แบบไหน?
ไม่รู้ก็ได้ ไม่เป็นอะไร แต่เราต้องรู้จักตัวเอง พ้อยต์หลักของการรีเช็คพวกบุคลิกภาพ introvert extrovert ambivert หรือ MBTI เอง คือการที่เราได้รู้จักตัวเอง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
มีความสุขกับอะไร ถ้าเรารู้พวกนี้เเล้ว บุคลิกภาพอาจไม่จำเป็นก็ได้ การรู้จักตัวเองว่าเป็นแบบไหน ส่วนที่ดีคือ เราจะได้ใช้ชีวิตให้เหมาะกับสิ่งที่ตัวเองเป็น
เช่น เรารู้ว่าเรามีความ Introvert มาก เราก็หาเวลาส่วนตัว เรารู้ว่าเรามีความ Extrovert มาก เราก็หาเวลาอยู่กับเพื่อน จะได้มีความสุขได้ในแบบของตัวเอง
ไม่ต้องจัดตัวเองไปอยู่ในกลุ่มอะไรหรือบอกว่าตัวเองเป็นแบบไหนก็ได้ ถ้าเรามีความสุขกับการอยากเป็นอะไรก็เป็น วันนี้อยากอยู่คนเดียว พรุ่งนี้อยากปาร์ตี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยค่ะ:)
ที่มา:
The 4 Types of Introvert – Which one are you?
seeking-introversion-when-an-extrovert-wants-to-be-alone
five-limitations-of-big-five-personality-test
ความสัมพันธ์ในรูปแบบ Love Bombing ความสัมพันธ์ที่พึ่งเริ่มเดทหรือพูดคุยกับใครสักคนนึง ทุกอย่างดูเหมือนจะเพอร์เฟคไปหมด เอาใจใส่ ตามใจ ทำให้เราคิดว่าเขาค่อนข้างออกตัวเเรงไปหน่อยไหม?
โทรหาเราบ่อย ๆ หรือส่งข้อความมานับครั้งไม่ถ้วนในทุกวัน เขาแสดงความรักต่อเราทั้งที่เราคุยกันไม่กี่วัน ไม่กี่อาทิตย์ สิ่งนี้อาจจะเรียกว่าเป็น Red Flag (ดูมีพิรุธ น่าสงสัย) ในความสัมพันธ์แน่นอนว่าเราไม่ควรปล่อยผ่านหรือมองข้าม
“Love bombing tends to blind us to the truth about our relationship” ช่วงเวลาที่กำลังโดน love bomber จะทำให้ไม่เห็นความจริงในความสัมพันธ์ อาจจะสัมผัสมันได้ว่า เอ่อ นี่เขาทำเกินไปไหม?
อาจจะแค่สงสัยแต่ไม่ได้ระมัดระวังว่ามันคือกับดัก สิ่งที่เขาทำกำลังจะทำร้ายเราในอนาคต แล้วถ้าเราอยากออกมาแต่ออกมาไม่ได้สักทีเราจะทำได้อย่างไร
Love Bombing คืออะไร
Love Bombing เป็นหนึ่งในรูปแบบของการควบคุมทางจิตใจ (Psychological Manipulation) เป็นการที่มีใครคนหนึ่งในความสัมพันธ์ออกตัวเเรงในช่วงแรกที่คบกัน ยกย่องและหลงใหลอีกฝ่ายมากเกินไป
ถึงแม้ว่าการแสดงออกถึงความหลงใหล ความเสน่หาจะเป็นเรื่องปกติของความสัมพันธ์ในช่วงเดท แต่มันก็สามารถเป็นสัญญาณที่น่ากลัวได้เช่นเดียวกันถ้าทำมากเกินไปตั้งแต่เริ่มต้น จุดประสงค์ คือ เพื่อให้อีกฝ่ายในความสัมพันธ์รู้สึกพึ่งพาและผูกพันกับ Love Bomber
คนที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ ในช่วงเเรกจะรู้สึกดีมาก ๆ เพราะ โดปามีนและเอ็นดอร์ฟิน ที่ได้จากของขวัญและความสนใจจาก Love Bomber ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกพิเศษ จำเป็น ถูกรัก มีค่า และคู่ควร ซึ่งเป็นองค์ประกอบทั้งหมดที่ช่วยส่งเสริมและเพิ่มความนับถือตนเอง
ในขณะที่ทุกอย่างดูเหมือนเกินความสมบูรณ์แบบ แต่หลังจากที่ Love Bomber ได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่าย การหลอกลวง การจัดการ และการล่วงละเมิดก็เริ่มต้นขึ้น เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลง คนที่เคยทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายจะเริ่มดูถูก ควบคุม และลดคุณค่า
คนที่จะทำ Love Bombing ต้องเป็นคนที่ Narcissist หรือก็คือคนที่เป็นโรคหลงตัวเอง เพราะคนที่เป็น Narcissist จะทำการหว่านล้อมด้วยคำพูด การกระทำ ที่ทำให้อีกฝ่ายที่โดน bomber วางใจ
พอทำไปเรื่อย ๆ แบบมีระยะเวลาด้วยนะว่าอีกฝ่ายติดกับดักเราแล้ว เขาก็จะดูถูก ควบคุม ลดคุณค่า และอาจจะเลิกรากับเราไปก็ได้เมื่อเขาพอใจแล้ว เช่น ถ้ามีของบางอย่างให้แฟน ราคาแพง จนแฟนรู้สึกไม่ดีที่ได้รับ
แฟนบอกว่าไม่ต้องให้แล้วหรือแบบขอไม่แพงได้ไหมถ้าเธออยากให้จริง ๆ เราก็จะโอเค ยอมลดให้ แต่ถ้าเป็นแบบ love bombing ถ้ามายปฏิเสธจะรู้สึกไม่พอใจ โกรธมาก ๆ ที่แฟนไม่ยอมรับข้อเสนอเพราะการไม่ยอมรับก็เหมือนเราไม่สามารถควบคุมเขาได้
Love Bombing แตกต่างจาก Honeymoon Phase อย่างไร
เรากำลังตกอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Love Bombing หรือเปล่า.. อย่าพึ่งตกใจไป จริง ๆ แล้วอาจจะเป็น Honeymoon Phase หรือ ช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ได้ เริ่มต้นจากการเเยกสองสิ่งนี้ออกก่อน
- Love bombing บางครั้งก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น honeymoon stage of a relationship แต่ทั้งสองแตกต่างกัน ในช่วง honeymoon phase ความรักจะแสดงออกโดย ความมุ่งมั่นที่จะโฟกัสไปที่สิ่งที่อีกฝ่ายชอบหรือสนใจ ดูเหมือนว่าจะครุ่นคิดแต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความประทับใจ
- ขณะที่ Love bomber จะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความสนใจและคาดหวังการยอมรับจากคนอื่น Love bombing เป็นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุม การสร้างการพึ่งพาและการทำให้เป็นอุดมคติช่วง honeymoon phase เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกเบิกบานใจของความสัมพันธ์ใหม่ หรือที่เราเรียกกันว่า ข้าวใหม่ปลามัน
Stages of Being Love Bombed
I : Idealization (ทำให้เป็นแบบอุดมคติ) : การแสดงหรือทำบางอย่างให้ดีเกินจริงหรือสมบูรณ์แบบเกินจริง
ในช่วงแรกของความสัมพันธ์เขาจะทำให้คุณเหมือนเจ้าหญิงบนหิ้งเลยก็ว่าได้ จะทำให้ความรักมันเพอร์เฟคที่สุด ทำให้ความรักของเขาเป็นความรักในอุดมคติแบบที่เราใฝ่ฝัน แต่สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไปในความสัมพันธ์
II : Devaluation : ลดคุณค่าหรือประเมินคุณค่าต่ำไปมาก
ระยะที่สอง คือ ระยะของการลดคุณค่า เขาจะสวิตช์สลับไปมาระหว่าง ใจดีหนึ่งนาทีแล้วก็เปลี่ยนเป็นใจร้ายในนาทีถัดไป Love Bomber ฉลาดมาก เพราะเขาจะแสดงออกว่าเขารักคุณดีตอนที่อยู่ต่อหน้าสาธารณะ แต่โหดร้ายในพื้นที่ส่วนตัว
สัญญาณเตือน
1. คำที่ Love Bomber อาจจะใช้กับเรา
- “ฉันจะตามใจและสปอยเธอทุกอย่าง” = ซื้ออะไรให้เรามากเกินไปในระยะเวลาสั้น ๆ
- “ฉันแค่อยากอยู่กับเธอตลอดเวลา” = ถ้าเรารู้สึกผิดที่ต้องการขอบเขตหรือพื้นที่ของเรา นั่นอาจไม่ใช่สัญญาณที่ดี
- “ฉันชอบที่จะเช็คนู่นนี่เพราะฉันเป็นห่วง” = ถ้าเขามาเช็คเป็นระยะ ๆ ก็ดูน่ารักเพราะอาจจะเป็นเพราะเขาห่วงจริงๆ แต่ถ้าเขาคอยเช็คว่าคุณอยู่ที่ไหน เช็คโซเชียลมีเดียว่าแชร์อะไร หใครทักมาบ้าง แสดงความรักบนโซเชียลมีเดีย หรือขอรหัสผ่านอยู่เสมอ? นั่นอาจจะเป็น Love Bombing ก็ได้
- “เราเกิดมาเพื่อกันและกัน” =คำพูดเกิดขึ้นเร็วเกินไป หรืออาจจะพูดประมาณว่าเราเป็นเนื้อคู่กันหรือเป็น Twin Flame ของเขา
- “ฉันและเธอจะอยู่ด้วยกันตลอดไป,ใช่ไหม?”
- พูดถึงแพลนของอนาคต เช่น ฉันอยากแต่งงาน ฉันอยากมีครอบครัวกับเธอ โดยที่พึ่งเริ่มความสัมพันธ์เหมือนกับการขายฝันให้เรา
- บอกข้อมูลส่วนตัวของตัวเอง ความลับ เช่น เรื่องที่เคยเจอในเด็ก ความเจ็บปวดที่เคยเจอในอดีตให้เราฟังมากเกินไปทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจ รู้สึกพิเศษ
2. การกระทำที่ love Bomber อาจจะทำกับเรา
- เขาจะเรียกร้องความสนใจและเวลาจากเรา หรืออาจจะแยกเราออกมาจากเพื่อนหรือครอบครัว (เช่น เขาอาจจะโกรธหรือทำให้รู้สึกผิดเมื่อรู้ว่าเรามีนัดหรือมีเเพลนกับคนอื่น)
- เขาชื่นชมและมอบความรักให้เรามากเกินไป
- เขาจะชักชวนให้เราสัญญาอะไรกับเขาตั้งแต่เริ่มจีบกัน
- เขาจะรู้สึกอัดอัด ไม่พอใจ เมื่อเรากำหนดขอบเขตการกระทำของเขา
- เขาทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นหนี้บุญคุณเขา
- รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจในตอนอยู่ด้วยกัน รู้สึกต่ำต้อยกว่าเขา
เเนวโน้มคนที่มีพฤติกรรม
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าทุกคนสามารถมีพฤติกรรมแบบ Love Bombing ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากอาการของความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder)
จากเว็บไซต์ Psychology Today คนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองนั้นเป็นที่รู้จักในเรื่องทักษะ Manipulate มากพอ ๆ กับความชอบในการรักตัวเอง พวกเขาอาจใช้คำพูดที่เยินยอและความเอาใจใส่เป็นเครื่องมือในการสร้างให้ตัวเองดูเป็นคนรักที่ดี
คนรักที่สมบูรณ์แบบ เพราะต้องการ การได้รับความไว้วางใจ หลงใหลและความรัก เมื่อ Narcissist ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจได้ว่า ทั้งคู่เข้ากันได้ดีแค่ไหน เขาจะพยายามกำหนดบทบาทของอีกฝ่ายในความสัมพันธ์ให้เป็น
“นักแสดงสมทบ” (คนที่ด้อยกว่าในความสัมพันธ์) ด้วยเหตุผลนี้ Narcissist มักจะพยายามทำให้ความสัมพันธ์เป็นที่พอใจร่วมกัน
จากเว็บไซต์ womenshealthmag Low Self-Esteem การที่พวกเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ชอบตัวเอง เขาเลือกวิธีการ love bombing ใส่คนอื่น เพราะอยากให้อีกฝ่าย เคารพในตัวเขา
รู้สึกดีเวลามีคนมาชื่นชอบเขา abuse love bombing ใส่เพราะอยากมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งด้วย
Love Bombing กับ Gaslighting
ความเหมือน
เป็นหนึ่งใน Manipulate เหมือนกัน อาจจะเกิดขึ้นในความสัมพันธ์เดียวกัน Gaslighter อาจจะใช้ Love Bombing เป็นอาวุธ
ความแตกต่าง
วิธีการควบคุมต่าง Gaslighting จะใช้ความกลัวหรือความรู้สึกผิดในการควบคุม แต่ Love Bombing ใช้ความรักและความเอาใจใส่ในการควบคุม
ระยะเวลาที่เกิดต่าง
Love Bombing เกิดขึ้นในช่วงแรกของความสัมพันธ์หรืออาจจะนานถึง 1 ปี Gaslighting มักเริ่มทีละน้อยและอาจเกิดขึ้นในช่วงหลายปีหรือหลายสิบปีก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
มีใครที่ Love Bombing แล้วดีจริง ๆ บ้างไหม
คนที่เขาทำดีกับเรา ให้ของขวัญ เอ่ยชมตลอดสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะ
1. เขาอาจจะต้องการตามหาคนที่ใช่ เมื่อรู้สึกว่าเจอแล้ว อาจจะเต็มที่กับการแสดงออกถึงความรัก การซื้อของขวัญให้ การเอ่ยคำชม อาจจะดูใจกว้างแต่ก็เกิดขึ้นได้ และเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติแบบไม่ได้ฝืนตัวเองหรือมีเจตนาไม่ดี
2. เพราะวัฒนธรรมและภูมิหลังครอบครัว เขาอาจจะเคยชินกับการมอบของขวัญและคำชื่นชมให้คนรักเพราะเกิดมาในครอบครัวที่มีการแสดงออกความรักแบบนี้เป็นเรื่องปกติ
3. เขาเป็นคนที่ชอบเอาใจใส่คนที่เขารักเป็นปกติอยู่แล้ว เช่น หากว่าเขาซื้อของขวัญให้เราในช่วงแรกแล้วลองดูว่าการดำเนินชีวิตคู่รักเขาทำอย่างสม่ำเสมอ นั้นอาจจะเป็นนิสัยของเขา
4. เคยเจ็บปวดกับอดีตที่มีความรักที่ไม่ดีเลยอยากทำรักครั้งใหม่ให้ดี สำคัญเลยคือการพูดคุยกัน
ผลกระทบ
1. สุขภาพจิต
Love Bombing อาจส่งผลเสียอย่างมากต่อสุขภาพจิต เนื่องจากเป็น Manipulate รูปแบบหนึ่ง คนที่ถูกบงการควบคุมจะเกิดความสงสัยในตัวเอง มักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิด ทำอะไรก็ผิดอยู่ตลอดเวลา
เพราะ Love Bomber จะมีคำพูดต่อว่าเราในสิ่งที่เขาไม่พอใจตลอดเวลา จนอีกฝ่ายรู้สึกแย่กับตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความรักจากเขา ส่งผลให้การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self-Esteem) ลดลง อาจเป็นต้นเหตุของอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้าได้เช่นกัน
2. เกิดเป็นความคิดที่ว่า “เราต้องตอบรับและตอบแทนความรักที่เขาให้”
Love Bombing เกี่ยวข้องกับกฎการตอบแทนซึ่งกันและกัน (law of reciprocity) หรือคำที่เราชอบใช้ บุญคุณต้องทดแทน ใครทำดีกับเรา เราต้องตอบแทนเขา ถ้ามีใครให้บางสิ่งกับเรา เราจะรู้สึกว่าเราเป็นหนี้
ที่ต้องให้บางอย่างที่เท่ากันกับที่เขาให้หรืออาจจะมากกว่านั้น เช่นเดียวกันกับความรัก ถ้าคนรักให้ความรักและความเอาใจใส่มากเกินไป อาจจะเกิดความรู้สึกว่าเราต้องแสดงออกถึงความรัก หรือ ความภักดี เป็นการตอบแทน
3. เกิดเป็น วัฏจักรของการถูกทำทารุณกรรม (Cycle of Abuse)
เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายติดงอมแงม Love Bomber ไม่ใช่แค่ควบคุมจิตใจและหัวใจของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอัตตาของตนเองอีกด้วย ในขั้นตอนนี้ พวกเขาไม่มีประโยชน์สำหรับคู่ของตนอีกต่อไป
และเริ่มถอนตัวจากความสัมพันธ์ เมื่อ Love Bomber เริ่มถอนตัว เขาอาจเริ่มทำร้ายอีกฝ่ายทางอารมณ์ เช่น ดูถูก เหยียดหยาม พูดจาทำร้ายจิตใจ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไร้ค่า
เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้และในที่สุดอาจเดินออกมาจากความสัมพันธ์ ด้วยความเข้าใจว่าเขาสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา เพื่อทำให้วงจรนี้เกิดขึ้นต่อไป
4. ความสัมพันธ์กับคนรอบตัว
ในช่วงที่เราโดน love bom ใส่ จะทำให้เราไม่ได้ใช้เวลาส่วนตัวของเราเอง กับเพื่อน กับครอบครัว อาจทำให้ส่งผลกระทบกับคนรอบข้างได้
กับดักของ Love Bombing
อย่างที่เรากล่าวกันไปว่าฝ่ายที่ทำการ love bombing เราเขาจะสาดความหวาน ทั้งคำพูด การให้ของขวัญ ต่างๆนา ๆ ส่งข้อความมาหาเราบ่อย ๆ เชื่อว่าหลายคนอาจจะชอบที่ถูกกระทำแบบนี้
จนพอเขาควบคุมเราได้แล้ว จากที่เคยทำดีตอนนี้ก็กลับกัน แต่เรายังคงติดกับในช่วงแรกที่เขาสาดความโรแมนติกใส่ ทำให้ออกมาจากความสัมพันธ์ที่อาจจะกลายเป็น Tocix ได้
ทำอย่างไรเมื่อตกอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Love Bombing
1. รีเช็คความสัมพันธ์ หากเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอึดอัดกับการกระทำของเขา การให้ของขวัญ การเยินยาของเขาที่รู้สึกว่าเกินไป เราควรมานั่งรีเช็คความสัมพันธ์
2. สร้างขอบเขตที่ชัดเจนและจริงจัง
3. จดบันทึกเขียนไดอารี่สิ่งที่เขาให้เรา หรือพูดกับเราในตอนเริ่มต้นความสัมพันธ์เพื่อเตือนตัวเราเอง
4. อย่าปฏิเสธความรู้สึกตัวเองเมื่อรู้สึกแย่ถึงการกระทำของเขา พยายามหนักแน่นถึงขอบเขต
5. พยายามยอมรับความจริงในสิ่งที่เขาทำ โดยไม่ต้องหาเหตุผลมาซัพพอร์ตเขาเกินไป
6. สื่อสารกับเพื่อน ครอบครัวหรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อเริ่มรู้สึกว่ามันยากขึ้นเรื่อย ๆ ลองปรึกษาเพื่อน คนรอบตัวว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กระทบกับความสัมพันธ์คนรอบข้าง และตัวเองมากเกินไป เช่น เขาโกรธเวลาเราไปเจอเพื่อน จนเพื่อนเริ่มไม่โอเคกับเราแล้ว อาจจะต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญ
ถ้าเราเป็นคนที่ love bombing ใส่คนอื่น?
หากเราคิดว่าเราเป็นคนที่ Love Bombing ใส่คนอื่น สิ่งสำคัญคือต้องพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ถึงเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมของเราอาจเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตหรือปัจจัยความผูกพันที่สามารถแก้ไขได้ด้วยความช่วยเหลือจากนักบำบัดโรคหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
จะแยกได้ยังไงว่าอันไหนคือความรักจริง ๆ กับ Manipulate
“If it seems too good to be true, it probably is” ถ้าบางสิ่งดูดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้ มันอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ (คือเกินจริงแบบที่คิด) คำพูดนี้อาจจะช่วยให้เราแยกได้
เมื่อมีคนให้อะไรเราสักอย่างที่มากเกินปกติ ให้ของอะไรสักอย่างกับเราแล้วรู้สึกว่ามันฟุ่มเฟือยจัง หรือเรียกร้องให้ใช้เวลาร่วมกันมากเกินไป ในขณะที่เขาทำเหมือนหลอกล่อให้เรามีเวลาให้เพื่อนหรือครอบครัวน้อยลง
สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสัญญาณว่าความสัมพันธ์ไม่สมดุลเท่าที่ควร เพราะความรักที่ดีคือความรักที่เข้าใจและให้ตัวเรามีเวลาให้กับพาร์ทอื่นๆในชีวิตได้อย่างไม่รู้สึกผิด
เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไปเร็วหรือกดดันเรามากเกินไป ลองบอกให้เขารู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ถ้าเขาเต็มใจที่จะฟังและปรับปรุง อาจมีเหตุผลที่ทำให้เขาอยากได้เวลากับเรา อาจจะเป็นการที่อยากให้ความสัมพันธ์มีการพัฒนา
แต่ถ้าเขาไม่ฟัง พยายามแก้ตัว และไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมให้ตรงกับความต้องการของเราได้ นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยเราแยกได้ง่ายขึ้น
Manipulative people sometimes hook in their victims by “love bombing” them. คนที่ชอบบงการบางครั้งก็ตกเหยื่อด้วยการ love bombing ใส่ ยากที่จะระบุถึงการ love bombing
แต่มันก็มีสิ่งที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่เกิดอย่างรวดเร็ว เช่น แฟนของเราต้องการเวลาจากเรามาก ส่งข้อความมาหาแบบถี่ ๆ ให้ของแพง ๆ จนเรารู้สึกว่าเริ่มอึดอัด แต่เบื้องหลังการกระทำสุดแสนจะประทับใจทั้งหมดนี้คือความต้องการให้เราสำนึกในบุญคุณ
และแสดงออกว่าตนมีอำนาจเหนือกว่าจึงทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก มันยากที่จะแยกออกเพราะคนที่โดน bomber บางคนก็รู้สึกชอบที่มีคนมาปฏิบัติทรีตเราดี ๆ แบบนี้
การที่จะมีความรักครั้งใหม่ อยากให้ลองสังเกตตวามสัมพันธ์ว่ามันเร็วไปไหมในบางเรื่อง เราอึดอัดไหม ถ้าอึดอัดกับการกระทำลองบอกเขาถ้าเขายอมปรับตัวแปลว่าเขายังไม่ถึงขั้น Love Bombing ใส่เรา
Dead Inside ภาวะที่ใคร ๆ คงไม่อยากให้เกิดขึ้น ทั้งความรู้สึกว่างเปล่า หมดพลังงาน เอื่อยเฉื่อย รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสนุก ความสุขอีกแล้ว
มาร่วมพูดคุยและแชร์เกี่ยวกับ “ภาวะ Dead Inside” กับรายการพูดคุย Alljit X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂
Dead Inside คืออะไร ?
Dead Inside เป็นภาวะอารมณ์นึงที่มันเกิดขึ้น เริ่มรู้สึกไม่อยากอะไรกับใคร เฉย ๆ กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ไม่มีแพชชั่น ไม่สนใจ เพิกเฉยและไม่อยากจัดการกับอะไร ที่ทำไปเพราะต้องทำไม่ได้มีความรู้สึกอยากทำ
Dead Inside เหมือน Burnout ไหม ?
Dead Inside และ Burnout ต่างกันในเรื่องของความรุนแรงที่มากระทบและที่มาของมัน ไม่ว่าจะเป็น Dead Inside หรือ Burnout เกิดจากการที่เราเครียดจากสถานการณ์บางอย่าง พอเราเครียดมาก ๆ
เราก็จะเริ่มหมดพลัง เริ่มเฉยชากับสิ่งรอบข้าง ถ้าพูดถึงในเรื่องของการ Burnout มันคือการทีเราต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ที่เรียกว่าที่ทำงาน หลาย ๆ คนจะใช้คำว่า Burnout กับหลาย ๆ อย่าง
แต่ที่มาแรกของความรู้สึก Burnout คือมันถูกบรรจุเข้ามาสำหรับคนที่รู้สึกเหนื่อยล้าต่อการทำงานและจะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมในการทำงานแบบเดิม ๆ หรืออยู่กับบุคคลเดิม ๆ ในที่ทำงาน จนทำให้เรารู้สึกว่าพอแล้ว มันเหมือนล้าจังเลย
รู้สึกเฉื่อย ๆ ชา ๆ กับการทำงานของตัวเอง และส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ ความอยากจะเดินเข้าที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการตื่นมาทำงาน สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึกที่เรียกว่า Burnout
แต่ว่า Dead Inside มันเกิดจากอะไรก็ได้และมีที่มาได้อย่างหลากหลายมาก ๆ เวลาที่เราเกิดความเครียดหรือจิตใจส่งผลกระทบบางอย่าง
มีวิธีการในการจัดการอยู่แค่ 3 อย่าง คือ
1. การสู้ บางคนเวลาที่มีความเครียดมาก ๆ เราจะมีการแสดงออกด้วยการตอบโต้กับหรือด่ามาด่ากลับ
2. ถอยหนี ยอมแพ้ดีกว่า
3. บางคนใช้วิธีการที่มาในรูปแบบของ Dead Inside อยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ทำอะไร ให้ทำก็ทำ ไม่ให้ทำก็ไม่ทำ มันเป็นภาวะหนึ่งที่เรียกว่ากลไกการป้องการตัวเองที่มันผุดขึ้นมาในเวลาที่เราเจออะไรที่กระทบกับจิตใจอย่างรุนแรง
ถ้าอยู่ใน Dead Inside นาน ๆ จะส่งผลต่อโรคซึมเศร้าไหม ?
สามารถเกิดขึ้นได้เพราะไม่ว่าเราจะเครียดนาน ๆ หรือเรากำลังตกอยู่ในสภาวะ Dead Inside นาน ๆ แน่นอนว่ามันจะเกิดผลกระทบกับเราอยู่แล้ว ถ้าเราพูดถึงโรคซึมเศร้า
อาการของโรคซึมเศร้ามันจะมีภาวะบางอย่างที่มันคล้าย ๆ Dead Inside ก็คือการไม่อยากทำอะไร ทำ ๆ ไป งั้น ๆ แหละ มีความเหนื่อยล้าอยู่ในตัว มีความรู้สึกอยากแยกตัว
มันเป็นอะไรที่ส่งผลถึงกันได้ ถ้าหากภาวะ Dead Inside อยู่กับเรานาน สุดท้ายแล้วมันก็จะนำไปสู่ภาวะหรือโรคที่มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางจิตใจ
สัญญาณเตือนของ Dead Inside
อย่างแรกเลยคือการที่เราไม่อยากทำอะไร เหมือนหุ่นยนต์ เหมือนมีคนเอาโปรแกรมบางอย่างมาใส่ให้หุ่นยนต์นั้นทำงานยังไง ต้องทำอะไรบ้าง ถ้าเราเริ่มมีอาการเฉยชา สัมผัสไม่ได้ถึงความสุขและความทุกข์
ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ อันนี้อาจจะเป็นสัญญาณเตือนของ Dead Inside
ควรไปหาหมอไหม ?
ถ้าเริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างในตัวเอง ไม่รู้สึกทั้งดีและแย่ สุขหรือทุกข์ เราอาจจะต้องตระหนักกับตัวเองว่าเราเป็นมนุษย์เราต้องมีอารมณ์และความรู้สึก มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง อาจจะต้องกลับมาถามตัวเอง
ถ้าหากถามตัวเองแล้วได้คำตอบ อาจจะลองจัดการกับตัวเองก่อน เราจัดการกับตัวเองอย่างไรได้บ้าง การเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ช่วยได้หรือเปล่า ลองหาสาเหตุเพื่อทำให้ตัวเองเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่ดีขึ้น
แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราจัดการตัวเองไม่ได้ เฉื่อย ๆ ชา ๆ และเริ่มกระทบกับสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบ ๆ ข้าง อันนี้อาจจะสัญญาณที่กำลังบอกเราว่าเราควรไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือพบแพทย์แล้ว
การหย่าร้าง ไม่ใช่ความล้มเหลวในชีวิต แต่มันคือพาร์ทนึงในชีวิต การแยกทางกันถึงหน้าที่สามีภรรยาจะจบลงแต่ไม่ได้หมายความว่าหน้าที่พ่อและแม่จะจบลงไปด้วย
แล้วเราจะทำอย่างไรไม่ให้ลูกใจสลายเมื่อต้องแยกทาง การทนอยู่เพราะลูกจะส่งผลดีต่อความครัวจริง ๆ หรือเปล่า ?
ในมุมของพ่อแม่
บอกลูกยังไง เมื่อต้อง หย่าร่าง
เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจหย่าร้างหรือเลิกรากัน ถ้าตัดสินใจและตกลงกันแล้ว ระยะเวลาสำคัญ รอในเวลาที่เขาพร้อม ทั้งทางจิตใจ อายุ ช่วงวัยและความคิด แต่อย่าปิดบังหรือปล่อยให้เขาไม่รู้นานเกินไป
เพราะเขามีสิทธิที่จะรับรู้ว่าตอนนี้ครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิที่จะรับรู้ว่าชีวิตเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปเมื่อหาจังหวะที่เหมาะสมแล้ว ค่อย ๆ บอกให้เขาเข้าใจว่าที่ตอนนี้ครอบครัวมีความเปลี่ยนแปลงเกิด
และอธิบายให้เขารับรู้ว่าเลิกกันเพราะอะไร เช่น ความคิดเห็นไม่ตรงกัน โดยที่การบอกลูกไม่ควรที่จะยัดเยียดความรู้สึกของตัวเองให้ลูก เช่น การด่าทออีกฝ่าย การกล่าวหาว่าใครดีไม่ดี ใครผิดไม่ถูก
เพราะจะทำให้เกิดบาดแผลในใจของลูกของเราได้ ไม่ควรยัดเยียดความเกลียดในใจเราเข้าไปในหัวเด็ก แค่อธิบายเรื่องการคิดไม่ตรงกันพร้อมเหตุผลก็เพียงพอ เด็กจะคิดอย่างไรให้สิทธิ์เขาคิดเองเมื่อเติบโตขึ้น
“ทนอยู่เพราะลูก”
ถ้าอยู่เพราะลูก ทำใจได้ทำ แต่ถ้าทำไม่ได้อยู่กันแล้วทะเลาะกันแล้วไปลงกับลูก คือสิ่งที่ไม่ควร เพราะสุดท้ายแล้วลูกจะเติบโตมาด้วยความทุกข์ จะมีบาดแผลในใจซึ่งนำไปสู่อะไรที่เลวร้ายได้มากมาย
อาจจะพัฒนามาเป็น Childhood Trauma ได้ การที่เราทั้งคู่ทนอยู่แบบทุกข์ใจมาก มันเหมือนกันเสิร์ฟความเครียดให้เขาแบบบุฟเฟ่ต์ มันไม่หยุดหย่อน เขาเองก็จะทุกข์ใจและเกิดบาดแผลตามไปด้วย
ทนอยู่เพราะลูกค่อนข้างสร้างความเจ็บปวดให้ทุกฝ่ายเลย คำว่า “ทน” คำ ๆ นี้ก็ค่อนข้างจะไม่โอเคสำหรับความรู้สึกแล้วเมื่อเราได้ยิน การต้องทนอยู่อาจจะเพราะยังไม่พร้อมออกมา
หรืออะไรหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ไม่สามารถห่างกันออกมาได้ อยากให้ลองหาวิธีทางที่จะออกมา เพื่อไม่ให้ทำร้ายกันไปมากกว่านี้
“ลูกควรอยู่กับใคร”
การที่ลูกควรจะอยู่กับใครไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ แต่คนที่ลูกควรด้วยคืออคนที่พร้อมซัพพอร์ตลูก เพราะเด็กไม่ว่าจะวัยไหนก็ต้องการคนซัพพอร์ตทั้งนั้นทั้งด้านทางเงิน ด้านจิตใจ และร่างกาย
หรือพ่อแม่อาจจะจัดเวลาเป็นเวลาว่าใครจะอยู่กับลูก และที่สำคัญเลยต้องไม่แย่งกัน ต้องคุยกันให้เข้าใจ เพราะคนที่เจ็บปวดในการทะเลาะกันไม่ใช่เพียงแค่พ่อแม่แต่ลูกก็เจ็บเหมือนกัน
มันมีสุภาษิตอันนึงที่บอกว่า “ขาดพ่อเหมือนถ่อหัก ขาดแม่เหมือนแพแตก” คำนี้แสดงให้เห็นว่า คนทั่วไป มองว่าลูกควรที่จะอยู่ในความดูแลของแม่มากกว่าพ่อ เพราะถ้าขาดพ่อไป แม่ก็สามารถทำหน้าที่แทนได้
แต่ถ้าขาดแม่ไป ก็เหมือนว่าลูกใช้ชีวิตแบบกระจัดกระจาย หาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ เหมือนแพแตก… แต่ ไม่มีอะไรมาวัดได้ว่าใครควรเลี้ยงลูกมากกว่า นอกจาก ความรัก
“ทำอย่างไรให้ลูกไม่ใจสลาย”
การทำความเข้าใจและยอมรับว่าหลังจากนี้มันจะไม่ได้เป็นเเบบเดิมอีกแล้วเป็นเรื่องยาก เขาเสียใจอยู่แล้ว นั่นเป็นเรื่องปกติมาก ๆ แต่สุดท้ายแล้วนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมาคิดร่วมกัน
ว่าเราจะทำอย่างไรให้เขาไม่แตกสลายนานเกินไป เพราะอาจจะส่งผลต่อสุขภาพจิต เด็กจะมีความสุขที่สุดเมื่อได้อยู่ท่ามกลางความรัก เขาจะรับมือและดำเนินชีวิตต่อไปได้ ถ้าอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี
ต่อมาสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลยคือ การสอนและส่งต่อความเข้าใจที่ดีและถูกต้องให้เขาเข้าใจว่า ครอบครัวไม่ได้ถูกกำหนดว่าต้องใช้ชีวิตร่วมกันเท่านั้น แต่ครอบครัวกำหนดด้วยความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ครอบครัวที่เปลี่ยนไป แต่ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวจะหายไป
ในมุมของลูก
พ่อแม่แยกทางกัน ส่งผลกระทบต่อลูกอย่างไรบ้าง?
1. ทางจิตใจ ความรู้สึก
- เหงา,บางเรื่องก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร
- ไม่มีเป้าหมายเพราะขาดคนซัพพอร์ต อยากเรียนพิเศษ,ไม่ได้เรียน ไม่ได้เที่ยวแบบเพื่อน ๆ
- low-self esteem โดนเปรียบเทียบกับครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ,ไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องการใช้ชีวิต,กลัวการเข้าสังคมเพราะต้องอยู่คนเดียวตอนเด็ก
- ความรู้สึกลำบากใจ รู้สึกผิด เช่น วันหยุดหรือปิดเทอม ต้องเลือกว่าอยู่กับใคร ถ้าเลือกอีกคนก็รู้สึกผิดกับอีกคน
2. สังคม
- สายตาคนนอกที่มองมาเมื่อไม่อยู่พร้อมหน้าครอบครัว เช่น งานวันพ่อ งานวันแม่ที่โรงเรียน
- ความสัมพันธ์ต่อคนอื่น พ่อแม่เลิกกันทำให้ลูกมีแฟนแล้วไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์แบบยืนยาว
3. คนรอบข้าง สังคม
- ต้องตามใจ
เพราะสงสารที่เขาไม่มีพ่อไม่มีแม่ หรือมองว่าเขาขาด การตามใจทั้งหมดนั่นไม่แปลว่าจะรับผิดชอบหรือเติมเต็มอะไรให้เขา แต่เป็นการที่เรารักเขาในทางที่ผิด
- มุมมองต่อเขาที่ผิด
ส่งผลให้เขาก็จะมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเองหรือมองว่าตัวเองมีปัญหาจริง ๆ
- กลัวการตั้งคำถามของเขา
เพราะฉะนั้นคนรอบข้างก็เป็นครอบครัวให้กับเขาได้ เลี้ยงเขาดูแลเขาแบบเด็กปกติทั่วไปคนหนึ่ง จะทำให้เขามีมุมมองที่ดี ลองพูดข้อความดีๆกับเขา จะทำให้เขารู้สึกดีและเข้าใจในความเปลี่ยนเเปลง
เช่น การหย่าร้างครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดหรือความรับผิดชอบของเขา,เขาจะได้รับความรักและการปกป้องเสมอ,ถึงเขาทั้งสองจะหย่าร้างกัน แต่ก็ยังเป็นพ่อแม่ที่ดีของเขา,ความรักที่มีให้เขาสำคัญกว่าการอาศัยอยู่ร่วมกัน
รับมือกับเสียงคนรอบข้าง พ่อแม่แยกทางกัน=ปมด้อย=เป็นเด็กมีปัญหา
เป็น mindset ที่เกิดขึ้นและถูกส่งต่อมาเรื่อย ๆ ว่า พ่อแม่แยกทางกัน ครอบครัวแตกแยก เด็กจะมีปัญหา เพราะพอใช้คำที่ดูรุนแรง คนก็อาจจะคิดว่าผลกระทบอาจจะรุนแรงตาม แต่จริง ๆ คือไม่ใช่
การที่พ่อแม่ทางกันแล้วมันเป็นปัญหาคือผู้ใหญ่ทำให้เป็นปัญหา ทำให้เขารู้สึกแบบนั้น กลับกันเลยเด็กที่พ่อแม่อยู่ด้วยกัน แต่ทะเลาะกัน นั่นอาจจะมีปัญหาก็ได้
เพราะสังคมไทยค่อนข้างปลูกฝังว่า ครอบครัว ต้องมีพ่อแม่ลูก แต่ในความเป็นจริงการอยู่กับใครสักคน อยู่แค่พ่อ อยู่แค่แม่ ก็กลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบได้ คำว่าครอบครัวไม่จำเป็นต้องมีสมาชิกเยอะ ๆ
แต่เราเน้นที่ปริมาณของความรัก ความรู้สึกอบอุ่นซึ่งกันและกันดีกว่า การจะรับมือกับเสียงคนรอบข้างที่มีความสงสับ เคลือบแคลงใจ หรือแอบนินทานั้น ถ้าพวกเขาเลือกจะทำแบบนั้นแปลว่าเขาไม่ได้ให้ความรู้จักเราดีเลย
ด็กที่พ่อแม่อยู่ด้วยกัน แต่ทะเลาะกัน นั้นก็คือปัญหาเหมือนกัน หากว่าตัวเรารู้ดีที่สุดว่า เรามีความสุขไหม เราไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้างที่มารบกวนจิตใจของตัวเรา
พอดแคสต์คดีฆาตกรรมมา ของช่อง salmon podcast ฆาตรกรทั้งสองคนที่เป็นผู้ก่อเหตุ ต่างมีครอบครัวที่ไม่อบอุ่น พ่อแม่ไม่ได้อยากให้เกิดมา ชาย 2 คนเป็นผู้ก่อเหตุ ทั้งสองมักจะขับรถตู้ใครผ่านไปผ่านมา
บางทีอาสารับไปส่งตามสถานที่ต่าง ๆ แต่เรื่องเลวร้ายเริ่มจากที่เขารับผู้หญิง ไปล่วงละเมิดทางเพศและฆ่าอำพรางศพ ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ พอจับได้ สอบสวนถึงรู้ว่าทั้ง 2 คนนี้เติบโตมากับครอบครัวที่ไม่อบอุ่น
พ่อแม่ไม่ได้อยากให้เกิดมา ทำให้เขาไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาดี ได้รับความรักความเอาใจใส่ที่เพียงพอ ที่หยิบยกมาเล่าเพราะอยากบอกว่าผลกระทบจะร้ายแรงขนาดไหนเราไม่มีทางรู้เลย
การหย่าร้างหรือเลิกรากันไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินว่าเราล้มเหลวในชีวิต เพราะมันคือพาร์ทนึงในชีวิต การแยกทางกันถึงหน้าที่สามีภรรยาจะจบลงก็จริงไม่ได้หมายความว่าหน้าที่พ่อและแม่จะจบลง
ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดหนึ่งที่ต้องดูแลลูก ทุก ๆ การจากลามีการเริ่มต้นใหม่เสมอ อาจจะไม่ได้เริ่มต้นในรูปแบบที่มีความรักใหม่ แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่กับชีวิตของเราเอง ได้เจอชีวิตที่อยากเราอยากใช้
ได้มอบความรักให้ลูกแบบมากขึ้นมากกว่าเดิม ได้มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากทำ และอย่าลืมที่จะให้ความสำคัญ ใส่ใจความรู้สึกของลูกของเราด้วย เพราะการเติบโตของลูกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ในตอนเด็กด้วยส่วนใหญ่จริง ๆ
อ้างอิง
WHEN A FAMILY BREAKS UP: DIVORCE AND SEPARATION
ใจดีกับคนอื่นแล้ว อย่าลืม “ ใจดีกับตัวเอง ” ด้วยนะ คำที่หลาย ๆ คนมักจะได้ยินกันบ่อย ๆ แต่การใจดีกับตัวเองนั้นทำได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรอ ?
วันนี้เรา ใจดีกับตัวเอง มากพอหรือยัง?
ใจดีกับตัวเอง ในทางจิตวิทยา
ใจดีกับตัวเอง ตรงตัวว่า เราอนุญาตให้ตัวเองทำอะไรก็ได้ อนุญาตให้ตัวเองผิดหวัง ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ แล้วทำให้เรากล้าที่จะคิดและทำอะไรต่าง ๆ มากขึ้น ตรงข้ามก็คือใจร้ายกับตัวเอง
คือเราชอบตำหนิ เราชอบคิดไปก่อนว่าอะไรจะออกมาไม่ดี Self-compassion ใจดีกับตัวเอง Compassion จะใช้คำว่าเมตตากรุณา พอมีคำว่า Self เพิ่มขึ้นมาเลยเป็นเมตตากรุณากับตัวเอง
เราเลยมักจะเรียกว่าใจดีกับตัวเอง ใจดีกับตัวเองอย่างที่พูดไปว่าเป็นการอนุญาตให้เราได้ผิดพลาด เริ่มที่จะมองสิ่งที่เราทำ มองหาจุดดีของมัน หรือมองตัวเองในเชิงบวกมากขึ้น ซึ่งมีวิธีอยู่
สัญญาณเตือนว่าเมื่อไหร่ควรกลับมา ใจดีกับตัวเอง
เน้น ๆ เลยคือเราตำหนิตัวเองเยอะ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ทำผิดพลาด แต่เรากลับคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ แค่นิดเดียวแต่ทุกอย่างคือลงมาที่เราหมด เราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกอย่างเลยพัง
ทั้งที่จริง ๆ แล้วอาจจะเป็นความผิดพลาดนิดเดียว ตรงนี้เป็นจุดสำคัญเลย อาจจะต้องเริ่มแก้ไขมันแล้ว เพราะบางครั้งการตำหนิตัวเองทำให้เราไม่ยอมที่จะเปลี่ยน อยู่กับการตำหนิตรงนั้น
ใจดีกับตัวเอง หรือ เห็นแก่ตัว แยกยังไง?
2 คำนี้ต่างกัน เห็นแก่ตัวเกิดจากการที่เราดึงทุกอย่างมาเป็นของเราจนคนอื่นเดือดร้อน โดนเอาเปรียบ ใจดีกับตัวเองจะไม่มีความเดือดร้อนของคนอื่นที่เกิดขึ้น จะเป็นจุดที่เราเปลี่ยนทัศนคติ
คือเราเปลี่ยนจากการตำหนิตัวเองมาเป็นการให้กำลังใจตัวเอง ว่าเราจะผ่านมันไป เราจะเรียนรู้จากมัน ก้าวผ่านสิ่งที่ผิดพลาดตรงนี้เพื่อที่จะได้ไม่ผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อยลง ซึ่งการใจดี
กับตัวเองบางครั้งมันคือการที่เรานึกถึงตัวเองก่อนคนอื่น บางครั้งชีวิตคนเรา เราอาจจะมองและตัดสินได้ว่า เรามักจะใช้ชีวิตตามคนอื่น เพื่อคนอื่น บางทีเราอาจจะไม่แน่ใจในตัวเองได้นะว่า
ตอนนี้เราใช้ชีวิตเพื่อใคร เพื่อครอบครัว? เพื่อคนที่เรานับถือ? หรือเปล่า ซึ่งตรงนี้มันไม่ผิดที่เราจะใช้ชีวิตเพื่อใคร แต่ว่าถ้าเราใช้ชีวิตเพื่อใครแล้วโดนคน ๆ นั้นเอาเปรียบ เอาผลประโยชน์ไป
หรือเขาทำให้เรารู้สึกไม่ดี สุดท้ายต้องกลับมาที่ตัวเองนะว่า เราควรจะนึกถึงว่าเราไหวแค่ไหน เราทำงานตามเจ้านาย ถวายชีวิตให้จนสภาพร่างกายแย่ นั่นคือสิ่งที่ทำเพื่อตัวเองจริง ๆ หรอ ?
เพราะถ้ามันไม่ใช่ แล้วมันทำให้สุขภาพเราแย่ เราควรที่จะออกมาดีกว่า นั่นคือการใจดีกับตัวเองประเภทหนึ่ง ที่ให้โอกาสตัวเองในการที่จะคิด ได้รีเซ็ทใหม่ ๆ ได้ใช้ชีวิตตามที่เราอยากจะใช้
ไม่ไหวแล้ว แต่ยังแคร์คนอื่น ทำยังไงดี?
ถ้าถึงในจุดที่คนรอบข้างเริ่มกดดันเรา การกลับมาแคร์ตัวเองอาจจะเป็นการเปลี่ยนที่ทัศนคติว่า เราจะได้อะไรจากการทำเพื่อคนนี้? เราเริ่มคิดถึงประโยชน์ที่ตัวเราจะได้รับ เราจะได้อะไรจาก
การที่เราทำงานนี้? เราจะได้อะไรจากการที่เราคิดและเริ่มสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง? เป็นการประมวลคำถามที่ทำให้เราได้คิดทบทวนอะไรบางอย่างในหัว ทำให้เรารู้เจตนาว่าเราทำไปเพื่ออะไร
เพราะสิ่งที่เราจะได้มาคือ Product ผลิตภัณฑ์ ผลลัพธ์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเราจริง ๆ ถ้าเราถามว่าเพื่อคนอื่นจะได้อะไร? คนอื่นคงจะได้งาน ความสำเร็จ และสิ่งที่เขามอบหมายเรามา
แต่เราได้อะไร? เราได้ skill ที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า? เงินเดือนที่เพิ่มขึ้น หรือเทคนิคทัศนคติบางอย่างที่ได้รับกลับมา อันนี้เป็นสิ่งสำคัญสำคัญที่เราจะได้จากการเริ่มคิดและทำเพื่อตัวเองบ้าง
24 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนมากเราใช้ชีวิตโดยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเยอะมาก จะจับโทรศัพท์ จะไปทำงาน เราก็ต้องเจอคนอื่น แล้วสิ่งที่ตามมาคือเราเลยจะทำบางอย่างเพื่อคนอื่น บางครั้งเป็น
ไปเพื่อการเอาใจ การได้รางวัลบางอย่างจากคนอื่น สิ่งที่เรียกว่า Condition of Worth หรือเงื่อนไขของการที่จะมีคุณค่า ตรงนี้เป็นสิ่งปกติของมนุษย์ที่เราจะทำอะไรเพื่อคนอื่น เพื่อให้
คนอื่นชื่นชม ทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเองขึ้นมา อันนี้คือเงื่อนไขของการมีคุณค่า ซึ่งบางครั้งมันเกิดปัญหาจากตรงนี้ได้ ตรงที่ว่าเราทำสิ่งนั้นเพื่อคนอื่นแต่สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ
ต้องการ หรือเป็นตัวเรา แต่เราต้องทำเพื่อให้คน ๆ นั้นให้รางวัลกับเรากลับมา อันนี้เป็นจุดที่การใจดีกับตัวเองน่าจะเข้ามาได้ เราต้องเริ่มตั้งคำถามว่าสิ่งที่เราทำเพื่อเขาเราโอเคกับมันไหม?
การทำเพื่อคนอื่นไม่ผิด แต่มันจะผิดก็ต่อเมื่อเราเริ่มที่จะสูญเสียความเป็นตัวเอง มันทำลายสุขภาพใจ สุขภาพกายเรา อันนั้นน่าจะเริ่มผิดแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ต้องอยู่กับเราไปตลอด
ใจดีกับตัวเอง ฮีลใจตัวเองยังไงดี?
มองหาจุดดีในจุดที่เราผิดพลาด เพราะจะได้เห็นความพยายามของตัวเองว่า ‘เราทำได้ขนาดไหน’ บางครั้งเราเจอสิ่งที่ผิดพลาดเราจะมองแต่สิ่งนั้น แล้วเราเอาแว่นขยายไปขยายให้มันใหญ่
ทั้ง ๆ ที่อย่างที่มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กก็ได้ หรืออาจจะเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แต่เราจะมองไม่เห็นจุดดี ๆ ที่เราทำมันได้ การที่เรามองจุดนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะปลอบประโลมมันเหมือน
เป็นมีดอาบน้ำผึ้ง มันเป็นจุดที่ทำให้เราเริ่มเห็นว่าเรามาถึงตรงนี้ได้เราก็เก่งแล้ว ทำได้ดีแล้ว ถึงจะมีบางจุดที่พลาดไป มันก็มีโอกาสให้แก้ไข โอกาสอาจจะไม่ได้มาจากคนนั้น เขาอาจจะไม่
ได้ให้โอกาสเรา เขาอาจจะด่าเรา แต่เราให้โอกาสตัวเองได้ เราก็ทำมันใหม่ เราก็ลองปรับ เรียนรู้จุดผิดพลาดของเรา อีกอย่างนึงก็คือการให้กำลังใจตัวเองนี่แหละ ในเมื่อไม่มีใครให้กำลังใจ
เราก็ให้กำลังใจเราเองก่อน แต่ก็มีใครสักคนอยู่ดีนะที่พร้อมจะให้กำลังใจเรา สำคัญไม่แพ้ไปกว่าการให้กำลังใจตัวเองคือการที่เราใจดีกับตัวเองผ่านการที่เราไปเข้าหาคนที่ดี ๆ เช่นเดียวกัน
ประโยคแบบไหนดี ที่เอาไว้ใช้ให้กำลังใจตัวเอง?
เป็นการพูดคุยกับตัวเอง เช่น ‘ตรงนี้นิดเดียว ช่างมัน ทำใหม่’ ใช้คำว่าช่างมันบ่อยมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าทิ้งมันไปหรือปล่อยปะละเลย แต่ทำให้เราคิดว่า ‘เออ เอาใหม่’ อะไรประมาณนี้
เช่น แพ้เกมบ่อย มันจะมี Try again มีตาใหม่ที่ทำให้เราเริ่มเล่นได้เรื่อย ๆ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นว่า การที่เราแพ้วันนี้ การที่เราทำผิดพลาดวันนี้ มันไม่ใช่ The End of the World
มันเป็นแค่สิ่งเดียวที่เราทำพลาด เราแพ้นัดนี้ บางทีเราลืมไปเลยว่าเราชนะมาตั้งกี่ตา บางครั้งเราแพ้นัดนี้เราเสียดายมันมาก ทั้งที่เราเองก็เก่งมากเหมือนกัน นอกจากจุดลบ มานึกถึงจุดดีด้วย
อย่างที่บอกในเรื่องของการใจดีกับตัวเอง บางครั้งเราเน้นในส่วนที่เราพลาด จนเราลืมมองสิ่งดี ๆ ที่เราอาจจะทำได้ ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก เอาจริง ๆ สิ่งดี ๆ ไม่ว่าจะน้อยหรือมากมันคือสิ่งที่ดี
ทองก็คือทอง ทองเล็ก ทองสร้อยรูปพรรณ บาทเดียว หรือทองแท่งอันแพง ๆ สุดท้ายมันคือทอง สิ่งดี ๆ ที่เราทำได้ เล็กใหญ่มันควรค่าแก่การที่เราจะหยิบมันมาแล้วชื่นชมมันกับตัวเองเสมอ
ใจดีกับตัวเอง ส่งผลต่อตัวเองยังไงบ้าง?
ไม่คิดมาก ไม่จมกับอะไรนานเกินไป กลับมาได้เร็ว เป็นคนที่มีงานทำ ถ้าเราจมกับอะไรนาน ๆ มันเสียงานเสียการ มันก็จะยิ่งส่งผลเป็น Butterfly effect ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ส่งต่อไปเรื่อย ๆ
ไม่เป็นงานเป็นการ โดยเจ้านายว่า เจ้านายถาม เพื่อนติ หรืออื่น ๆ เราเลยเลือกที่จะตัดปัญหา โดยที่เราจะพยายามที่จะทำอะไรก็ได้ไม่ให้มันจมกับอะไรนาน ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวก็กลับมาใหม่
ทำไปเรื่อย ๆ ทำใหม่ ๆ โดยแก้โดยบรีฟอะไรก็กลับมาทำใหม่ ทำใหม่ไม่ได้หมายความว่าเราทำใหม่แบบเดิมแล้วผิดพลาดแบบเดิม ทำใหม่คือเราพยายามที่จะปรับแล้วแก้ไขในจุดที่พลาด
เราเรียนรู้แล้วเราก็เอาไปให้เขาดูอีกรอบ ถ้ามันจะผิดพลาดอีกก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มาแล้ว อันนี้เป็นจุดที่คิดว่าการใจดีกับตัวเองทำให้ไม่คิดมาก ไม่จมกับอะไรนาน
อย่างน้อยยังมีตัวเองที่ใจดีกับเรา อาจจะทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป 🙂
อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ แต่บอกใครไม่ได้เลย พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสุขเรามักจะบอกออกไปได้ง่ายกว่า ” ความทุกข์ ” เสมอ แต่การเก็บงำไปคนเดียวก็ทำให้เราอึดอัดเหมือนจะระเบิดทุกที
ความทุกข์ใจที่บอกใครไม่ได้
ความทุกข์ คืออะไร?
ถ้าเทียบกับความสุข สำคัญคือการใช้เซนส์ว่านี่คือความทุกข์ บางทีอาจจะไม่ได้มีหลักมีเกณฑ์ แต่ถ้าแบ่งไปอีกจะมี 2 อย่าง คือ ทุกข์ทางกายและทางใจ ปวดหลังก็ทุกข์ทางกาย ปวดใจก็ทุกข์ทางใจ
บางทีเรานึกถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ความรู้ หนังสือ โซเชียลมีเดีย เข้ามามีอิทธิพล เราจะเสิร์ชหาข้อมูล แต่ต่อให้เขาพูดไว้อย่างไร แต่ถ้าไม่ตรงกับสิ่งที่เรารู้สึกคงไม่อิน เลยคิดว่าใช้เซนส์ตัวเองเป็นหลักก่อน
สาเหตุของ ความทุกข์ มีอะไรบ้าง?
ทุกข์ทางกายกับทุกข์ทางกาย ถ้าเอาให้เชื่อมโยงกันได้ง่ายที่สุดคือ ประสบการณ์ความเจ็บปวดทางอารมณ์กับประสบการณ์ความเจ็บปวดทางกาย ทางกายจะตายตัว เช่น ป่วย เป็นแผล แต่ทางใจจะเป็น
สิ่งที่กระทบอารมณ์ หนักเบาขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่บางทีความเจ็บปวดทางกายจะมาพร้อมกับความเจ็บปวดทางใจ เช่น ป่วยเป็นมะเร็ง ใช้ชีวิตอยู่ดี ๆ ไปตรวจพบว่าระยะที่ 3 แล้ว หรือบางทีเราไปผ่าตัดมา
แผลผ่าตัดว่าเจ็บหนักแล้ว แต่สภาพจิตใจที่เชื่อมโยงกับร่างกาย ณ เวลานั้นเลยมีผลด้วย บางทีเราอาจจะทุกข์โดยไม่รู้ตัวได้ ถ้าเราไม่เคยฟังเสียงของใจเลยว่าเราทุกข์หรือเปล่า เรามัวแต่จดจ่อกับปัญหา
ความทุกข์ สะสมไปเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบยังไงบ้าง?
ส่งผลต่อหลายอย่าง อาจจะเป็นภาวะที่เจ็บปวดทางใจเรื้อรัง มีผลต่อชีวิตประจำวัน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เครียดลงกระเพาะ อาเจียน หรือป่วยเป็นโรคจิตเวชอื่น ๆ ตามมา
ถ้าเราปล่อยให้เกิดขึ้นโดยที่เรา ปล่อยให้เกิดขึ้นโดยที่เราอยู่กับมัน เข้าใจมัน ยอมรับมัน ผลดีจะมากกว่าผลเสีย ความทุกข์จะมีพื้นที่ ไม่อ้างว้าง และมีลิมิตที่จะส่งผลกับชีวิตเรา
ถ้าเราปล่อย มันจะไปเรื่อย มันจะเดินทางแบบฟรีสไตล์ แต่ถ้าเรายอมรับมัน เข้าใจมัน มันจะมีขอบเขต และให้ประโยชน์บางอย่างด้วย ถึงแม้ว่าในช่วงเวลานั้นเราจะเจ็บปวดก็ตาม
จมอยู่กับ ความทุกข์ จำเป็นไหมที่จะต้องรีบหายไวๆ?
คิดว่าอยู่ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ว่าอยากหายช้าหายเร็ว ความทุกข์ก็ความทุกข์ของเรา ชีวิตก็ชีวิตเรา เรามีสิทธิ์เลือก มีสิทธิ์ออกแบบชีวิตตัวเอง และต้องดูด้วยว่า สาเหตุคืออะไร
สิ่งสำคัญคือในช่วงเวลาที่คุณทุกข์ คุณใช้ชีวิตได้ปกติดีหรือเปล่า คุณยังมีความสุขในช่วงเวลาที่คุณสมควรมีความสุขได้หรือเปล่า คุณยังรักษาความสัมพันธ์ได้ไหม ออกไป
ทำงานได้ไหม ถ้าทำได้คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร บางทีเราอาจจะมองว่าความทุกข์ต้องจัดการไปให้เร็ว แต่จากประสบการณ์ที่ทำงานตรงนี้มา อย่างเคสที่อกหักแล้วมูฟออนไม่ได้
ช่วงสามเดือนแรก แค่ทุกข์น้อยลง นอนหลับได้ ไม่ร้องไห้ กินข้าวได้ จากวันแรกที่ร้องไห้เกือบทั้งวัน กินข้าวไม่ได้ ทำงานไม่ได้ ถึงแม้จะผ่านวิกฤตตรงนี้มา บางคนอาจจะใช้
เวลาเป็นปีที่จะเอาต้นตอความทุกข์หรือต้นตอความเจ็บปวดจริง ๆ ในใจออกไปได้ มูฟออนได้จริง ๆ เพราะงั้นระยะเวลาคงจะแตกต่างกัน หรือบางคนไม่ได้อยากจะมูฟออน
แค่อยากกลับมาใช้ชีวิตได้ ยังอยากรักคนในความทรงจำอยู่ ก็จะเป็นกลุ่มคนที่สูญเสียคนรักด้วยการจากลา การตาย แล้วเขาเลยรู้สึกว่าไม่ได้อยากมีใคร ยังรักและคิดถึงคนเดิม
ถ้าเขาทำได้แล้วเขารู้สึกไม่ทุกข์ก็คือทำได้ แม้เราจะมีเกณฑ์ว่านี่คือความทุกข์ ถ้าเขายังใช้ชีวิตได้มันก็คือโอเค
เปลี่ยน ความทุกข์ ให้กลายเป็นบวก ถือว่าโลกสวยไหม?
ถ้ามองกลาง ๆ คิดว่าอยู่ที่ผลลัพธ์ ถ้าทำออกมาแล้วดี คงไม่สามารถไปค้านเขาได้ว่ามันไม่ได้ ถ้าทำออกมาแล้วแย่ก็ไม่สามารถจะเถียงได้ว่าดีเช่นกัน กระบวนการและวิธีการนำไปสู่ผลลัพธ์
บางครั้งกระบวนการที่ดีอาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แย่ได้ แต่พอมนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากต่อการคำนวณ มันมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามาเยอะแยะไปหมด บางทีเราใช้วิธีการที่ผิด แต่ให้ผลลัพธ์
ที่ดีก็ได้ อาจจะไม่ได้ดีที่วิธีการ แต่ดีเพราะสภาพแวดล้อมและปัจจัยใหม่ ๆ ที่เข้ามา แต่ขอเตือนว่า ผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่ดี ไม่ได้จบแค่ในวันนี้ เพราะชีวิตไม่ได้จบแค่ตรงนี้ คุณยังไปต่อได้
ใช้คำว่าเป็นข้อควรระวังว่าให้สำรวจตัวเองอยู่บ่อย ๆ เพราะหลายคนมีปัญหาแล้วทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่พอถึงวันนึงมันไม่ได้ ปัญหาจริง ๆ ไม่เคยถูกแก้ไข หรือมีอะไรบางอย่างที่เป็นตะกอน
โดยที่ไม่ได้โดนกลั่น แล้วมาส่งผลกระทบต่ออนาคต แต่ถามว่าทำได้ไหม ทำได้ เพราะคนที่ทำแล้วไม่มีตะกอนตกก็คงมีเหมือนกัน แต่บางคนต้องเร่งรีบให้ได้มากที่สุด เช่น ต้องทำงานเป็น
นักจิตวิทยา นั่งทำงานอยู่แล้วเรารู้ข่าวว่าบ้านเราไฟไหม้ แล้วพ่อแม่เสียชีวิต แต่เรามีงานที่อยู่ข้างหน้า เราเลยต้องมี process อะไรที่เฉียบพลันมาก ๆ ในการเบรกตัวเองแล้วทำงานต่อ
หรือถ้าไม่ไหวจริง ๆ เราคงต้องส่งงาน ส่งคนไข้ ให้คนอื่นทำ แต่ถ้าเราจะส่งเป็นเดือนก็คงไม่ได้ เลยเชื่อว่ามันจะต้องมีช่วงเวลาหรือเงื่อนไขบางอย่างที่มันไม่สามารถช้าได้เหมือนกัน การที่
ใครบางคนเร่งก็ไม่ผิด แต่คุณต้องรู้ด้วยว่าคุณเร่ง เร่งเพราะอะไร มีเหตุผลอะไรให้เร่ง ต้องรู้ว่าอะไรที่รุนแรงเกินไป เราต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด ยกมันไว้ข้างหลังให้ได้ในช่วงเวลาทำงาน
ที่สำคัญคือคุณต้องเข้าใจตัวเองและภาวะของตัวเองมากน้อยแค่ไหน ว่าเพราะอะไรถึงต้องรีบต้องช้า เพราะถ้าไม่เข้าใจคุณจะไม่รู้จังหวะของชีวิตตัวเอง แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เข้าใจแล้ว
คุณจะจับจังหวะของชีวิตตัวเองได้ บางทีมันไม่ได้ช้าตลอด ไม่ได้เร็วตลอด จังหวะไม่ตายตัว อย่างเราเต้นรำ ก็ต้องเต้นรำให้เหมาะกับจังหวะของเพลง ถ้าเพลงเปลี่ยนไปก็ต้องเปลี่ยนจังหวะ
ความทุกข์ ที่บอกใครไม่ได้ รับมือยังไงดี?
การบอกไม่ได้ มี 2 เหตุผล หนึ่งคือรู้สึก incomfortable หรือ insecure ที่จะบอก บอกไปแล้วไม่ปลอดภัยแน่ ๆ กับสองคือมีเงื่อนไขที่ทำให้บอกไม่ได้ มีพันธะทางใจที่บอกไม่ได้
เรียกว่าความลับแล้วกัน มี 2 รูปแบบ คือ ความลับที่รอการเปิดเผยและความลับที่ต้องการปิดบังไปตลอด อย่างเวลาเป็นนักจิตวิทยาพูดคุยกับเคส เคสจะมี 2 แบบ คือ ตอนอยู่กับ
คนรอบข้างคือความลับที่ต้องปิดไว้ เรื่องจริงที่ไม่สามารถบอกใครได้ แต่พอมาอยู่กับนักจิตวิทยาคือความลับที่วิงวอนและต้องการจะเปิดเผยให้ใครสักคนรู้ และมีเช่นเดียวกันที่
คนไม่สบายใจว่าบอกไปแล้ว ยับแน่นอน เพราะงั้นก่อนจะไปต่อ เราลองสำรวจตัวเองก่อนว่า ความทุกข์ที่บอกใครไม่ได้เป็นเพราะเรารู้สึกว่าบอกแล้วไม่ปลอดภัย ได้ไม่คุ้มเสีย
หรือเป็นตัวเราเองที่รู้สึกว่าเรามีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้บอกไม่ได้ เช่น ป่วยเป็นมะเร็ง ป่วยเป็นเอดส์ หรืออย่างตามละครที่คู่รัก จู่ ๆ บอกเลิกแล้วเฉลยว่าป่วยเป็นโรคที่ไม่หาย
เลยมีเหตุผลว่าเดี๋ยวเขาเสียใจ ไม่อยากให้เจอคนรักที่ป่วยแบบนี้ ไม่อยากให้เสียเวลา ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ดีกว่า นี่คือพันธะทางใจที่เขารู้สึกว่าคือความทุกข์ซึ่งบอกใครไม่ได้
ส่วนอีกอันหนึ่งคือความรู้สึกที่ว่าไม่สบายใจ ต้องเช็คด้วยว่าคุณเป็นคนที่ไม่ไว้วางใจคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า ที่ผ่านมาคุณอาจจะเคยเจอคนหักหลัง ทำให้เชื่อใจใครไม่ได้
โอเค ไม่เป็นไร แต่ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าไม่พูดเพราไว้วางใจคนยากอยู่หรือเปล่า หรือคนรอบข้างไม่มีใครที่น่าเชื่อใจเลย อย่างน้อยต้องเลือกข้อใดข้อหนึ่งให้ได้ก่อน เราถึง
จะได้รู้ว่าความ insecure และ uncomfortable เกิดจากใจเราหรือจากสิ่งแวดล้อมรอบนอก เราถึงไม่กล้าที่จะบอกใคร พอเราเจอคำตอบตรงนี้ จะไปปลดล็อกข้อหนึ่งเลยคือ
ความรู้สึกที่ว่าไม่มีใครรับฟังเรา เพราะถ้าเราจมอยู่กับความรู้สึกนี้ เราจะมองแค่ว่า ‘เรามีความทุกข์ ไม่เห็นมีใครฟังเลย เล่าให้ใครฟังไม่ได้เลย’ นี่เลยจะเป็นความทุกข์ข้อหนึ่ง
แต่ถ้าเราค่อย ๆ reflect ตัวเอง จนเราเข้าใจว่า อ๋อ นี่ไง เราเจอเรื่องแย่ ๆ เราเลยจะเข้าใจว่าเราไม่พร้อมที่จะเล่าให้ใครฟัง ซึ่งจะช่วยให้เบาลงเปลาะหนึ่ง ถ้าเรารู้ว่าเราไม่ได้
ไม่อยากเล่า เราไม่ได้ต้องการให้ใครเข้าใจ แต่คนรอบข้างไม่สามารถไว้ใจได้ ความทุกข์นี้จะปลดล็อกและเบาลงส่วนหนึ่งเหมือนกัน ทีนี้จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ฉันอยากบอก
บอกไม่ได้ แต่เราจะรู้แล้วว่า อ๋อ นี่เราไม่ไว้ใจ รอบข้างไม่น่าไว้ใจ หรือทั้งสองอย่างเลย นี่จะช่วยให้เราควบคุมตัวเองได้ประมาณหนึ่ง ทำให้มีสติมากขึ้น ถ้าทำแบบนี้ได้เรื่อย ๆ
สติจะช่วยให้เรารู้ว่า คนในความสัมพันธ์คนไหนที่ไว้ใจได้บ้าง แต่ไม่มีทางหรอกที่จะไว้ใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป อันนี้เป็นวิธีการ work กับตัวเองหรือ
ถ้าใครอยากขึ้นทางด่วนก็พบนักจิตวิทยา ต่อให้พ่วงความรู้สึกนั้นไป นักจิตวิทยาจะมีวิธีการที่ทำให้คุณรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุน สบายใจ สร้างความสัมพันธ์และความไว้ใจ
ทริคดี ๆ ไว้ใช้ก้าวผ่านช่วงเวลาหนัก ๆ
สิ่งสำคัญคือ ‘อย่าหลอกตัวเอง’ เลือกคนที่ไว้ใจ รุ่นพี่ เพื่อน ครอบครัว มันก็ดีที่มีคนโอบอุ้ม แต่เราก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง เราสามารถดีขึ้นได้จากการเดิน แล้วบอกตัวเองว่า
‘ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง’ แต่พอเป็นนักจิตวิทยา เราจะรู้ว่านี่อาจเป็นการหลอกตัวเอง แผลจะอยู่ข้างในแล้วระเบิดในสักวันหนึ่ง เราเลยเลือกที่จะยอมรับว่าเราต้องเผชิญหน้ากับ
ความเจ็บปวดอย่างตรงไปตรงมา แล้วทุกครั้งที่ความเจ็บปวดขึ้นมา สิ่งที่จะเตือนสติตัวเองได้คือความจริงเกี่ยวกับความทุกข์และความเจ็บปวดของเราคืออะไร อย่าหลอกตัวเอง
อย่าไปเปลี่ยนแปลง อย่าพยายามบรรเทา โดยการใส่หน้ากากให้กับความทุกข์ ความทุกข์จะบรรเทาลงได้เมื่อเราเข้าใจและยอมรับมัน นี่คือทริคสำคัญมากเลย แล้วพอเรายอมรับ
มันได้แล้วอยู่กับความจริงได้ วันแรกเราอาจจะควบคุมมันไม่ได้ทั้งหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานพอ แม้ความทุกข์จะยังหายไม่หมด มันจะค่อย ๆ เบา แล้วมันก็จะอยู่ในระดับที่เรา
สามารถควบคุมได้ แล้วให้ความทุกข์นั้นไปอยู่ข้าง ๆ ก่อน ตอนที่เราทำงานเราเลยอาจจะยังทำงานได้อย่างฟูลฟังก์ชันได้เหมือนเดิม แต่พอทำงานเสร็จ ครบวัน เราปิดสวิตช์
พอเราไปนอน มันก็เริ่มกลับมาทักทายเราเหมือนเดิม แต่มันก็ดีกว่าตอนแรกที่มันดูเหมือนไม่เป็นเพื่อน ทำร้ายเรา ครอบงำเรา ทำให้เราเจ็บปวด เพราะความทุกข์มันใหญ่และรุนแรง
ใช้คำว่ารู้สึกดีและบรรเทาได้ แต่ไม่ได้แก้ทุก ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทุกข์ เราอาจจะเจอเรื่องร้าย ๆ มันก็คงเป็นเรื่องจริง แต่ลองวางไว้ในที่ของมันดูนะ 🙂
“ กลับมาก็เหงา ซึมเศร้าหลังเที่ยว ” หรือ Post-Vacation Depression
ถึงแม้ว่าการไปเที่ยวจะช่วยคลายเครียด ช่วยให้ได้พบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ ที่อาจจะสร้างแรงบันดาลใจและพลังใจในการใช้ชีวิตต่อ แต่ความรู้สึกดี ๆ อาจจะไม่ได้อยู่ตลอดไป
ซึมเศร้าหลังเที่ยว Post Vacation Depression
จาก Medical News Today กล่าวว่า Post-Vacation Depression หรือ Post-Vacation Blues เป็นคำที่ใช้เรียก ช่วงที่มีอารมณ์ทางลบหรือมีภาวะซึมเศร้า หลังจากไปเที่ยว
คนที่มีภาวะนี้อาจจะมี ความรู้สึกไม่สบายใจ, ความรู้สึกโหยหาอดีต, ความเครียด ที่จะต้องกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม ต้องไปเรียน ไปทำงาน หรืออื่น ๆ
ซึ่งอาการของ Post-Vacation Depression อาจจะกระทบกับชีวิตประจำวันได้ เช่น กระทบความสัมพันธ์ กระทบกับความสามารถในการทำงานหรือการเรียนได้
ซึมเศร้าหลังเที่ยว เกิดขึ้นได้อย่างไร
ภาวะ Post Vacation Blues เกิดจากการที่ร่างกายเคยชินกับการพักผ่อน และไม่พร้อมที่จะกลับมาเริ่มต้นการทำงานอีกครั้ง มักจะเกิดกับคนที่เบื่องานของตัวเองอยู่แล้ว
และระดับความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับความเบื่อหน่ายที่มีอยู่เดิมอาการนี้ไม่ใช่โรคจิตเวช เนื่องจากอาการซึมเศร้าหลังวันหยุดยาวเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เกิดขึ้นแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น
โดยส่วนใหญ่จะมีระยะ 2-3 วันหลังจากวันหยุดยาว และอาการเหล่านี้ก็จะหายไปเองเมื่อเราสามารถปรับตัวได้ แต่ก็มีบางรายที่อาการซึมเศร้านี้ครอบงำอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์เลยก็มี
จิตเวช กับ Post Vacation Depression
หลายคนอาจจะสงสัย ด้วยความที่มีคำว่า Depression อยู่ หรือนี่จะเป็นโรคหรือความผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่งหรือเปล่า?
จาก APA ที่เป็นแหล่งข้อมูลจากองค์กรนักวิชาชีพ ไม่มีคำศัพท์นี้บัญญัติอยู่ เพราะฉะนั้น ภาวะ Post-Vacation Depression ไม่ใช่โรคและไม่มีเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเป็นความผิดปกติทางจิตเวช
Post Vacation Depression vs. Holiday Blues
ซึมเศร้าหลังกิจกรรมหรือช่วงเวลาสนุก ๆ นอกจากการไปเที่ยวแล้ว ยังมีซึมเศร้าหลังวันหยุดด้วย ที่เรียกว่า Holiday Blues Post-Vacation Depression หรือ ‘ซึมเศร้าหลังเที่ยว’
APA ให้ข้อมูลว่า เทศกาลต่าง ๆ ที่ทุกคนพากันเฉลิมฉลอง สำหรับบางคน Holidays อาจจะนำพาความเศร้ามาให้มากกว่าความสุข ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบางคนมีความคาดหวังที่สูงว่าจะต้องได้แลกของขวัญ
ได้ตกแต่งบ้านตามเทศกาล ได้กลับมารวมตัวกับครอบครัว ทำให้ง่ายที่จะเกิดความรู้สึกทางลบต่าง ๆ เช่น ความผิดหวัง ความเศร้า ความเหนื่อยล้า หรือความไม่พอใจ เวลาทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิด
อาการของ ซึมเศร้าหลังเที่ยว
- วิตกกังวล
- มีความหงุดหงิดไม่พอใจ
- โหยหาอดีต คิดถึงช่วงเวลาที่ได้ไปเที่ยว
- นอนไม่หลับ
- ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
ถ้ามีอาการเหล่านี้หลังจากไปเที่ยวมากกว่า 2 สัปดาห์ รวมถึงกระทบกับความสามารถในการใช้ชีวิต การทำงาน การเรียน ความสัมพันธ์หรืออื่น ๆ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยได้
สาเหตุของ Post Vacation Depression
1. การปรับตัว
มีการศึกษาที่ค้นพบว่า Post-Vacation Depression เกี่ยวข้องกับการปรับตัว การที่กลับมาจากการไปเที่ยว บางคนจะรู้สึกว่าตัวเองต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำเดิม กิจวัตรเดิม ๆ ใหม่อีกครั้ง
2. การกลับสู่ความเป็นจริง
หลาย ๆ ครั้ง ความเครียดจากงานและการเรียน อาจจะทำให้เกิด Post-Vacation Depression ได้เหมือนกัน เพราะการไปเที่ยวทำให้เราได้หนีความเป็นจริงไประยะหนึ่ง พอกลับมาแล้วต้องเจออะไรเดิม ๆ ที่เป็นปัญหา
รับมือ ซึมเศร้าหลังเที่ยว อย่างไร?
การที่เราต้องกลับสู่ความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน ชีวิตเดิม ๆ ที่ทำให้เราเกิดภาวะซึมเศร้า บางทีสถานการณ์นี้ชวนตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองเช่นกันว่า
ชีวิตประจำวันเรามีอะไรที่เป็นปัญหาที่ยังไม่ได้แก้บ้าง? เราจึงไม่โอเคกับการกลับมาสู่กิจวัตรเดิม ๆ บางที อาจจะช่วยให้เราได้ปรับแก้อะไรบางอย่าง เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่านี้ก็ได้
วิธีเบื้องต้นจาก Medical News Today
- จดบันทึก ได้ระบาย ได้ทบทวนตัวเอง
- หาวิธีจัดการความเครียดที่เหมาะกับตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย ดูหนังดูซีรีส์
- ดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย หรือ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หากิจกรรมที่ชื่นชอบทำ
- ปรับ Work-life Balance ใหม่ เพื่อไม่ให้งานเป็นสิ่งแย่ ๆ ในชีวิตเราต่อไป
- พูดคุยกับคนอื่น ได้ระบาย ได้มองจากมุมใหม่ ๆ
อีกหนึ่งวิธีจากหลาย ๆ เว็บไซต์และหลาย ๆ คนเลย มาแชร์กันว่า ให้วางแผนทริปถัดไปเอาไว้เลย จะได้รู้สึกว่าเดี๋ยวก็มีโอกาสได้ไปใหม่แล้ว เหมือนเราทำให้เราตื่นเต้นด้วยการวางแผนกับครั้งต่อไปแทน
ป้องกันอย่างไรให้ไม่ซึมเศร้าหลังเที่ยว?
- เผื่อเวลาหลังเที่ยว กลับมาแล้วลองปล่อยให้ตัวเองพักผ่อนก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม
- พยายามนอนให้เป็นเวลา
- หากิจกรรมที่ชอบทำ
- ใช้เทคนิคผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ โยคะ
- กลับมาโฟกัสปัจจุบันและอนาคต หลายคนเศร้าเพราะต้องกลับมาใช้ชีวิตตามเดิม ไม่สนุก เหมือนตอนไปเที่ยวแล้ว แต่อย่าลืมว่าเรายังมีโอกาสหน้าอีก ยังมีช่วงเวลาที่จะได้ไปเที่ยวแบบนี้อีก
ถ้าซึมเศร้าหลังเที่ยวไม่หายไป ทำอย่างไรได้บ้าง?
“แม้ว่าความรู้สึกหงุดหงิดหรืออารมณ์แปรปรวนอาจเป็นเรื่องปกติหลังจากเปลี่ยนจากวันหยุด แต่ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ควรคงอยู่เป็นเวลานาน”
หากไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไป 2-3 วัน การเข้าไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญ หรือนักจิตบำบัด ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะเราอาจจะได้เรียนรู้ว่าความรู้สึกของเรา
แท้จริงแล้วเป็นผลมาจากปัญหาที่ใหญ่กว่าการคิดถึง Vacation หรือไม่ เช่น ความไม่พอใจในการทำงานของเรา หรือ การถูกครอบงำด้วยความรับผิดชอบของเรา
อ้างอิง
What is post-vacation depression?
Holiday Blues That Linger Could Be Warning Sign of Depression
Post-Vacation Blues: How to Avoid or Overcome Them
มูฟออนเป็นวงกลม คำที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ แล้วทำไมบางคนยังไม่สามารถก้าวออกมาจากความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดได้สักที? หรือเรากำลังตกอยู่ใน ” Trauma Bonding ” อยู่กันนะ?
Trauma Bonding ความผูกพันอันเจ็บปวด
ทำไมเราถึงไม่มูฟออนจากคนที่ทำให้เราเจ็บได้สักที?
หลายคนพบเจอกับความรักหรือความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด มีแต่การทำร้ายกัน ถึงแม้จะรู้แต่เราก็ยังไม่ไปไหน เป็นเพราะอะไร?
มีเหตุผลหลายอย่างที่บอกได้ว่า เพราะอะไรเราถึงมูฟออนจากคนที่ทำให้เราเจ็บปวด ความสัมพันธ์แย่ ๆ ที่กระทบชีวิตไม่ได้
1. ความรัก
ทัศนคติของคนเรามี 3 องค์ประกอบ คือ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม หลายครั้ง 3 องค์ประกอบอาจจะขัดแย้งกัน เช่น ถ้าเราตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่ Toxic
ความคิดของเราอาจเป็นลบ เราอาจจะคิดว่าแฟนไม่ดีสำหรับเรา แต่ความรู้สึกของเราอาจจะยังดีอยู่ เราอาจรักคู่ของเราต่อไป ไม่ออกมาจากเขา ถึงแม้ว่าเราจะรู้ดี
หรือด้วยวามรักที่มีเราอาจจะหาข้อเเก้ตัวให้เขา ว่าเขามีข้อดีอย่างอื่น เวลาอื่นเขาก็โอเคดีนะ พอเรารักใคร ฮอร์โมนในร่างกายจะหลั่งและทำงานเป็นระบบระเบียบ
สมองคนที่มีความรักจะเหมือนสมองคนที่เสพยา คนมีแฟนตัดความสัมพันธ์เปรียบเหมือนคนติดยาเลิกยา ซึ่งจะทำให้เกิดความทรมาน ทำให้หลายคนเลือกที่จะอยู่
2. กลัวการเปลี่ยนแปลง
เพราะมีหลายอย่างต้องได้รับผลกระทบ การที่คนคนนึงอยู่ในความสัมพันธ์นั้นนาน ๆ อาจจะมีความกลัวการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น หลังจากนั้นจะเป็นยังไง จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ไหม
หลายคนคิดว่า ถ้าสูญเสียตอนนี้คงพัง คงยอมรับการสูญเสียใครสักคนไปไม่ได้แน่ ๆ เลยเลือกที่จะอยู่ต่อ ถ้าอธิบายให้เห็นภาพ เราเดาได้ไงว่าถ้าอยู่กับคนนี้เราจะเจอความทุกข์แบบไหนบ้าง
แต่ถ้าจบความสัมพันธ์ เราไม่รู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ความเศร้า ความเหงา หรือว่าคนใหม่จะแย่กว่านี้หรือเปล่า เพราะงั้นคนเรามักกลัวความไม่รู้ที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเสมอ
3. มีความหวังลึกๆ ว่าจะได้รับการปลอบโยนจากคนๆ เดียวกันที่ทำร้าย
แต่มันเป็นการรอที่ไม่มีจุดหมาย เพราะเราไม่รู้ว่าเราต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่ ในทางจิตวิทยาการเรียนรู้ แบบนี้เป็นการเรียนรู้แบบหนึ่งเหมือนกัน เราที่เรารอโดยที่เราไม่รู้ว่าจะได้ตอนไหน
จริง ๆ แล้วมันจะทำให้เราเกิดพฤติกรรมการรอได้มากกว่าเรารู้อีกนะว่าจะเกิดขึ้นแบบไหน มันก็เป็นกลไกหนึ่งของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ แล้วเคยสังเกตไหม? ว่าเวลาเราเสียใจกับใครสักคนนึง
เพื่อนเราปลอบแทบตาย เรายังรู้สึกว่ามันไม่สุด ยังไม่หาย แต่ถ้าคน ๆ นั้นมาขอโืษหรือมากอดโอ๋เรา หลาย ๆ ครั้งมันหาย เพราะลึก ๆ แล้วเราอยากได้รับสิ่งนั้นจากคนนั้นที่ทำกับเรา
4. พอใจกับความสัมพันธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ
หลาย ๆ คนมี Low Self-esteem คิดว่าตัวเองคู่ควรกับความสัมพันธ์ที่ไม่ดี เข้าใจว่าการข่มเหงคือการแสดงออกถึงความรัก เพราะตอนเด็กอาจจะเคยถูกข่มเหงมาก่อน
คนที่มี Low self-esteem จะออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ได้ เหตุผลมีได้หลายแบบมาก เช่น เราไม่เชื่อว่าเราสมควรได้รับสิ่งดี ๆ เราหลุดจากคนนี้ไปเราคงหาใหม่ไม่ได้
ทำให้หลายคนยอมอยู่ในความสัมพันธ์แย่ ๆ คำพูดหนึ่งจากภาพยนตร์บอกว่า you get the love you think you deserve เราจะได้รับความรักที่เราคิดว่าเราสมควรได้รับ
5. ผลประโยชน์และความจำเป็น
อันนี้พบเจอได้บ่อย ในคนที่เริ่มสร้างครอบครัว สร้างธุรกิจ หรือว่ามีเรื่องการเงินหรือลูกมาเกี่ยวข้อง ทำให้แบ่งกันได้ยาก หาจุดที่ลงตัวไม่ได้ หลาย ๆ ปัญหาในคู่รักที่แต่งงานแล้ว
คำหนึ่งที่ได้ยินบ่อย ๆ อยู่เสมอคือ ‘อยู่เพื่อลูก’ ทั้งที่ลูกอาจจะไม่ได้โอเคเลยก็เป็นไปได้ พอพูดถึงความสัมพันธ์ Toxic มันเลยอาจจะไม่ได้ดีเสมอไปที่พยายามจะรั้งกันไว้อย่างนั้น
6. ภาวะทางจิตใจที่มีปัญหา
สำหรับคนที่มีภาวะทางจิตใจบางอย่าง เช่น โรคซึมเศร้า การต้องเจอกับความสูญเสียครั้งใหญ่ อย่างการจบความสัมพันธ์จะเป็นเรื่องยากมาก
7. กลัวการสูญเสีย
แม้ว่าเราจะต้องการหรือไม่ต้องการสิ่งนั้น พอเชื่อมโยงกับเรื่องการอดทนกับความสัมพันธ์ Toxic แล้ว เท่ากับว่า ถึงเราจะรู้ว่าตัวเองไม่อยากได้ความสัมพันธ์แบบนี้
เราไม่ชอบคนที่ทำร้ายเรา นอกใจเรา แต่เรายอมอยู่ เพราะเราแค่กลัวการสูญเสีย เท่านั้นเลย ซึ่งเหตุผลนี้ใช้อธิบายอาการหวงก้างได้ด้วย หมาหวงก้าง ตรงตัวคือ
เราหวงในสิ่งที่เราเองไม่ได้ต้องการด้วยซ้ำ แต่เราแค่ไม่อยากเสียไป ทั้งที่เราไม่ได้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของสิ่งนั้นตั้งนานแล้ว อันนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง
8. กลัวความโดดเดี่ยว
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จากหนังสือ เหตุเกิดจากความเหงา บอกว่า ‘ทุกสิ่งมีชีวิตมีความเหงา’ ถ้าเรานิยามว่าความเหงาคือความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ผลักดันให้ไปหาพวก
เขาบอกว่าขนาดแบคทีเรียยังต้องหาอีกตัวมาจับกันเลย มนุษย์เราเหมือนกัน ต้องหาสังคมหาพวกอยู่ตลอด เพราะความเหงาถูกฝังอยู่ในตัวทุกคน เพื่อให้เราไปหากลุ่ม
เราจะได้อยู่รอด การกลัวความเหงาและโดดเดี่ยวเป็นอีกเหตุผลหนึ่งได้เหมือนกันที่จะทำให้เรายอมอยู่ในความสัมพันธ์ เพราะเราคิดว่า “ยังไงการมีคนข้าง ๆ ก็ดีกว่าไม่มี”
Trauma Bonding ความผูกพันอันเจ็บปวด คืออะไร?
ความผูกพันอันเจ็บปวดเป็นความผูกพันที่สร้างขึ้นโดยความบอบช้ำทางร่างกายหรืออารมณ์ซ้ำๆ แต่ก็มีช่วงเวลาที่ดีเป็นระยะ พูดง่ายๆ คือ ในความสัมพันธ์แบบ Trauma Bonding
จะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมากมายและบางครั้งก็มีเรื่องที่ดีเกิดขึ้นสลับวนเวียนไป ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ Toxic Relationship คนที่ตกอยู่ในความสัมพันธ์นี้ จะผูกพันกับ Abuser
จากที่หาข้อมูลมา หลาย ๆ แหล่ง เขียนไว้แนวเดียวกันเลย จุดหลักคือการที่เรายอมตกอยู่ในความสัมพันธ์แย่ ๆ เพราะรู้สึกรักและผูกพันกับคนที่ทำร้ายเรา และที่สำคัญเลยก็คือ
Trauma bonding เชื่อมโยงกับ Stockholm Syndrome เป็นกลไกป้องกันตัวเอง เวลาถูกกักขังหรือถูกทำร้าย คนเราจะพัฒนาความรู้สึกดีต่อคนที่กักขังหรือทำร้ายเรา มีหลายแบบ
Stockholm Syndrome มีที่มาจากคดีที่ผู้หญิงคนหนึ่งพัฒนาความรู้สึกผูกพันต่ออาชญากร ถึงขนาดที่ถอนหมั้นกับชายคนใหม่ เพราะซื่อสัตย์ต่ออาชญากรคนนั้นที่ถูกจับเข้าคุก
สมองบอกอย่างหนึ่ง แต่หัวใจบอกอีกอย่างหนึ่ง มีจริงไหม?
ด้วยความที่ Trauma bonding มาพร้อมกับ Toxic Relationship เคยไหมที่เรายอมอยู่ในความสัมพันธ์ Toxic ทั้งที่รู้ว่าการอยู่ต่อไป มีแต่จะส่งผลเสีย เช่น บางคนโดนแฟนทำร้าย
นอกใจ ซ้ำไปซ้ำมา แต่ยังเลือกที่จะอยู่ หลายคนอาจจะเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่า ‘สมองบอกอย่าง หัวใจบอกอย่าง’ หลายคนเลือกทางที่หัวใจบอก เพราะรักเลยไม่ไปจากเขา
โพสต์จากเพจหมอตุ๊ดค่ะ ผู้เขียนบอกว่า สำหรับเขา ไม่มีหรอก ‘สมองบอกอย่าง หัวใจบอกอีกอย่าง’ มีแต่ ‘ความจริงบอกอย่าง จินตนาการบอกอีกอย่าง’ เช่น จินตนาการบอกว่า
‘สักวัน เราจะเป็นคนเดียวของเขา’ แต่ความจริงบอกว่า ‘ตอนนี้เขาไม่ได้มีเราคนเดียว’ เพราะงั้นไม่มีเสียงจากสมองหรือหัวใจหรอก มีแค่การใช้จินตนาการกลบความจริงเท่านั้นเอง
อีกอย่าง หลาย ๆ คนมักมองว่า เรามีทางเลือก นี่ไง มีสมองทางหนึ่งกับหัวใจทางหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้ว หลาย ๆ ปัญหามีทางเดียวคือ ‘ทางของความจริง’ มันเป็นอย่างที่มันเป็นแบบนี้
เราเลือกได้แค่ว่า เราจะตัดสินใจทำอะไรต่อจากนั้น อย่างเคสที่ยกตัวอย่างมา ความจริงคือเขานอกใจ งั้นเราเลือกที่จะเก็บเวลาและความรักที่มีค่าไปพยายามกับคนอื่นดีกว่าไหม?
คิดว่าเป็นโพสต์ที่อธิบายให้เห็นภาพของ Trauma bonding ได้ดีเลย ว่าทำไมเราถึงยังอยู่ บางครั้งลองถามตัวเองดู ว่าเราอยู่ได้เพราะจินตนาการ อยู่ได้เพราะการหลอกตัวเองไหม?
รีเช็ค Trauma Bonding เราอยู่ในความผูกพันอันเจ็บปวดหรือเปล่า?
จาก Website Well and Good และ Mindbodygreen
1. ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
2. รู้สึกสนิทกันมากทั้งๆ ที่รู้จักกันไม่นาน
3. คุณยอมเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่สำหรับความสัมพันธ์ที่พึ่งเกิดขึ้น
4. คุณทุ่มเทเวลาและความพยายามให้กับความสัมพันธ์ที่โรแมนติกโดยแลกกับความสัมพันธ์อื่นๆ
5. คุณรู้สึกกลัวอย่างมากที่จะออกจากความสัมพันธ์
6. คุณรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้
7. มองข้ามด้านแย่ ๆ ในความสัมพันธ์
8. เข้าข้างคู่รัก ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าเขามีพฤติกรรมที่ไม่ดี
9. หลีกเลี่ยงการเปิดใจหรือพูดสิ่งที่อยู่ในใจ
10. พยายามซื่อสัตย์และภักดีกับคู่รัก ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดอันตราย
7 Stages of Trauma Bonding
1. รักหอมหวาน (Love Bombing)
Love Bombing เกี่ยวข้องกับการสาดความรักใส่กันในช่วงเเรกผ่านการยกย่องและหลงใหลอีกฝ่ายมากเกินไป เพื่อให้อีกฝ่ายในความสัมพันธ์ลดความระมัดระวังและไว้วางใจ
2. ความไว้ใจและการพึ่งพา (Trust and Dependency)
เขาจะสร้างอาจจะสร้างความไว้ใจและการพึ่งพาของเรา โดยการยอมทุ่มเททำทุกสิ่งทุกอย่างให้ จนเกิดความรู้สึกไว้ใจและผูกติด
3. การตำหนิ (Criticism)
เมื่อได้รับความไว้วางใจแล้ว เขาจะเริ่มตำหนิพฤติกรรมหรือนิสัยของเรา คำวิจารณ์ของเขาอาจเริ่มทันทีหลังจาก Love Bombing
4. บงการและโยนความผิด (Manipulation and Gaslighting)
Gaslighting เป็นรูปแบบของการล่วงละเมิดทางจิตใจฃ ทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อตั้งคำถามถึงความเป็นจริงและการรับรู้ของพวกเขา Gaslighter จะไม่รับผิดชอบต่อความผิดของตัวเอง
5. ยอมจำนน (Resignation & Giving Up)
เมื่อต้องรับมือกับความบอบช้ำทางจิตใจ เราจะเริ่มยอมแพ้ในบางจุดเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ยอมคิดหรือทำทุกอย่างแบบที่เขาต้องการ
6. สูญเสียตัวตน (Loss of Self)
ในระยะนี้จะเกี่ยวกับการสูญเสียตัวตน เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาจเกิดความบอบช้ำทางจิตใจและหลุดจากโลกที่เราเคยรู้จัก สูญเสียเอกลักษณ์และขอบเขตส่วนตัว
7. เสพติด (Addiction to the Cycle)
ในช่วงเวลาแห่งนี้เขาจะขอโทษและเริ่ม Love Bombing อีกครั้ง หรือกลับกัน เขาอาจจะแสดงออกว่าไม่ใส่ใจ ไม่รัก ไม่คุย ไม่สน เพื่อกดดันให้เราขอโทษ
Trauma Bonding ความผูกพันแบบนี้ ส่งผลยังไง?
1. กลืนกินตัวตน
2. ยากที่จะปฎิเสธและเดินออกมาจากความสัมพันธ์
3. ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล
4. ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทั้งทางใจและร่างกาย
เมื่ออยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ รับมืออย่างไรดี?
1. ขอความช่วยเหลือ
– เพื่อนและครอบครัว : คนที่เราไว้ใจคือคนของเรา เราจะมีแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่ง
– Support Group : บางคนได้รับประโยชน์จากคนที่ประสบอะไรเหมือน ๆ กัน
– ผู้เชี่ยวชาญ : การเปิดใจกับคนที่เป็นมืออาชีพสำหรับบางคน จะง่ายกว่าและช่วยได้จริง
2. ทบทวนตัวเอง
– ต้องดูก่อนว่า เราต้องการอะไร? เราอยากได้ความสัมพันธ์แบบไหน?
– พอสำรวจตัวเองดีแล้ว ลองตัดสินใจว่าเราควรจะจบความสัมพันธ์นี้ไหม? มีสองทางคือ ไม่ปรับกันก็เลิกกัน
– แล้วเราจะทำยังไงต่อไป? ถ้าเลือก ‘ปรับกัน’ คงต้องหาวิธีสื่อสาร หาตรงกลาง หรือถ้าเลือก ‘เลิกกัน’ เราจะจบความสัมพันธ์นี้ให้ได้ ต้องทำยังไง?
ถ้าตอนนี้มีปัญหา จะมีวันหนึ่งที่ทุกอย่างดีขึ้นหรือผ่านไปแน่นอน อย่ายอมแพ้นะ 🙂
ที่มา :
The 7 Stages of Trauma Bonding
6 Reasons Why We Stay in Bad Relationship
How to Tell if You are in a Trauma Bonding Relationship- And What To Do About It
What is a Trauma Bonding? 5 Signs & How to End the Abusive Relationship Dynamic
วันนี้ทำไมมันแย่จัง แค่เดินออกจากบ้านก็รู้สึกว่าอะไรก็ผิดไปหมด ทั้งหมดนี้ผิดที่เราหรือที่ใคร เพราะ คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด 🙁
คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด
Pâro คืออะไร
Pâro (n.) : คำแสดงความรู้สึกที่ John Koenig บัญญัติขึ้นใน “Dictionary of Obscure Sorrows” เพื่ออธิบายถึงความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนที่มีอยู่จริง ใช้เมื่อเรารู้สึกว่าไม่ว่าจะทำอะไรมักจะผิดเสมอ
พยายามจะทำอะไรก็เหมือนก้าวที่พลาดตลอดเวลา เหมือนว่าเราพยายามไม่มากพอและเป็นความรู้สึกที่เราเห็นเพียงคนเดียว
ความรู้สึกผิด เป็นความรู้สึกปกติที่เกิดขึ้นกับทุกคนไหม
ความรู้สึกผิด เป็นความรู้สึกอยู่ในประเภททั่วไปของสภาวะความรู้สึกด้านลบ เป็นอารมณ์ “เศร้า” ชนิดหนึ่ง ซึ่งรวมถึงความเจ็บปวด ความเศร้าโศก และความเหงา
จาก Psychology today กล่าวว่า ความรู้สึกผิดไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน ระดับความรู้สึกผิดของแต่ละคนแตกต่างกันไป อีกทั้งการขาดการสำนึกผิดยังใช้ในการวินิจฉัยโรคทางจิตเภทบางประการด้วย ความรู้สึกผิดที่มากเกินไปอาจเป็นลักษณะหนึ่งของความเจ็บป่วยทางจิตบางรูปแบบ
ประเภทของความรู้สึกผิด
1. Guilt for something you did.
รู้สึกผิดที่กับการกระทำของตนเอง
2. Guilt for something you didn’t do, but want to.
รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนไม่ได้กระทำ,แต่ต้องการจะทำ
3. Guilt for something you think you did.
รู้สึกผิดที่กับการกระทำที่ตนเองคิดว่าตนเองเป็นคนกระทำ ข้อนี้เกี่ยวข้องกับความรู้สึก Pâro มากที่สุด เป็นความรู้สึกของเราที่สร้างขึ้นมาเอง คิดว่าเราผิดอีกแล้ว เราทำอะไรลงไปอีกแล้ว ซึ่งจริง ๆ อาจจะไม่ผิดก็ได้ หรือผิดจริง ๆ แต่ยังไม่มีใครต่อว่าเรื่องนั้น และเป็นไปได้ด้วยว่า เราอาจจะไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
4. Guilt that you didn’t do enough to help someone.
รู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยเหลือคนหนึ่งเพียงพอ
5. Guilt that you’re doing better than someone else.
รู้สึกผิดที่กระทำบางสิ่งได้ดีกว่าผู้อื่น
ความรู้สึกว่าทำอะไรก็ผิดไปหมดเกิดจากอะไรได้บ้าง
เกิดจากตัวเอง
1. ความรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอ
2. พูดกับตัวเองด้วยเสียงสะท้อนเชิงลบ เสียงสะท้อนจะเป็นเสียงความคิดของเราที่วนเวียนอยู่ในหัวของเรา(เสียงหรือคำพูดนั้นอาจมาจากคำที่คนอื่นเคยพูดกับเรา) ถ้าเสียงภายในเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับข้อผิดพลาดเล็กน้อย ก็เป็นไปได้ที่จะพัฒนาในสู่ความคิดที่ว่าทำอะไรก็ผิดได้
3. อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเราในวันนั้น ๆ
4. โฟกัสแต่สิ่งที่ผิดพลาด :ในวันนั้นเราอาจจะเจอกับสิ่งที่เราทำแล้วทำได้ดี แต่ตัวเราเลือกที่จะโฟกัสแต่ข้อผิดพลาดของตัวเอง ส่งผลให้เราไม่มีสมาธิจดจ่อกับกิจกรรมอื่นๆ ทำกิจกรรมต่อๆไปก็อาจจะผิดพลาดอีก
5. Low Self-esteem : การที่เรามี Self-esteem ความพึงพอใจในตนเองต่ำ จิตตกง่าย รู้สึกไม่ค่อยดีกับตนเอง ไม่ชอบตนเอง ไม่ค่อยภูมิใจในตนเอง ขาดความเชื่อมั่น เมื่อทำผิดพลาดไป แม้เพียงเล็กน้อย จะยิ่งย้ำความรู้สึกว่า เราคือ PARO ทำอะไรก็ผิดไปหมด
6. เกิดจากบุคลิกที่ชอบตำหนิตัวเอง (Self- Criticism) การตำหนิตัวเอง วิจารณ์ตัวเองจะพูดในมุมภาพกว้าง ๆ คือ ตำหนิตัวเองในการเหมารวมว่า เราเป็นคนไม่ดี ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าอะไรไม่ดี ส่งผลให้กระทบต่อความมั่นใจของตัวเอง หันเข้ามาคาดโทษ และ ตำหนิตนเองไว้ก่อน
7. เป็นคนคาดหวังกับตัวเองสูง (High Expectations) เมื่อเราคาดหวังสูงว่าทุกอย่างจะสำเร็จ และ ดี แบบที่ตั้งใจไว้ แต่พอเมื่อสิ่งนั้นไม่สำเร็จก็ทำให้เราผิดหวัง และรู้โทษตัวเองที่ทำได้ไม่ดีพอ
8. Self-blame และ Self-guilt รู้สึกและโทษตัวเอง มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในด้านไม่ดี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากตัวเราอีก
เกิดจากคนอื่น
1. อดีตที่บอบช้ำ
– การที่ถูกเลี้ยงดูมาในบ้านที่เต็มไปด้วยบาดแผล พ่อแม่ ห่างเหิน เขาจะโตขึ้นโดยไม่รู้ว่าที่ของเขาอยู่ที่ไหนในโลกนี้
-ไม่ได้สัมผัสกับ Secure attachment ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก บางทีเขาอาจจะไม่มีคนดูแลที่สามารถมอบความรักและความไว้วางใจอย่างไม่มีเงื่อนไข หรือสิ่งที่เรียกว่า ‘Attachment’ หรือ ‘ความผูกพัน’ ในทางจิตวิทยา
Attachment theory (ทฤษฎีความผูกพัน) เชื่อว่าเด็กต้องการความรักที่ไม่มีเงื่อนไขในช่วงเจ็ดปีแรกของชีวิตและความสามารถในการไว้วางใจผู้ดูแลหลักของพวกเขาเพื่อสร้างความผูกพันที่ปลอดภัย ถ้าขาดไปเขาอาจมีปัญหาในการไว้วางใจผู้อื่น รวมถึงตัวเอง และมี Low Self-esteem ที่เรียกว่า anxious attachment
แต่ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอดีตเสมอไป ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ในวัยเด็กของย่อมส่งผลต่อเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แน่นอนว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ อยู่เสมอ บางคนเกิดมาพร้อมกับบุคลิกภาพที่อ่อนไหวตามธรรมชาติหรือมีประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมเมื่อเติบโตขึ้น
2. อยู่ในความสัมพันธ์แบบ Gaslighting ทำให้สับสนกับความเป็นจริง ถูกโยนความผิดให้ “เรื่องจะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าเธอไม่…” “ที่ฉันต้องพูดโกหก เพราะเธอนั่นแหละ”
3. ไม่เคยได้รับคำชมเวลาทำอะไรดี เคยแต่ได้รับคำตำหนิเวลาทำอะไรพลาด : คำติติงจะทำให้เราพัฒนาก็จริง แต่ถ้าเราไม่เคยได้รับคำชมเลย จะส่งผลต่อการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง
4. ถูกตำหนิอยู่ตลอดเวลาจากครอบครัว หรือสังคมรอบข้างตลอดเวลา เมื่อเราทำบางอย่างที่ อาจจะไม่ใช่เรื่องผิด แค่แตกต่างจากคนอื่น เราจะถูกตั้งคำถาม ทำไปทำไม หรือใครเป็นคนทำ จนรู้สึกขาดความมั่นใจในตนเองไป และตั้งคำถามกับตัวเองได้เสมอว่า ฉันทำอะไรผิด ทำอะไรก็ผิดเสมอ
5. Guilt Trip หรือการใช้ความรู้สึก มาเป็นเครื่องมือในการกดดัน เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีคิด ควบคุมอารมณ์ และการกระทำของคน ให้เป็นแบบที่ตัวเองต้องการมากที่สุด ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยที่ผู้กระทำตั้งใจหรืออาจไม่รู้ตัว
การฝึก Self-compassion ช่วยได้
TED talker Brené Brown กล่าวว่า “Self-compassion คือกุญแจสำคัญเพราะเมื่อใดก็ตามที่เราอ่อนโยนกับตัวเองท่ามกลางความอับอาย เราจะเข้าถึง Connect และสัมผัสได้ถึง Empathy”
Self-compassion คือ ความเมตตาต่อตัวเอง เป็นการยอมรับได้ถึงความไม่สมบูรณ์แบบใดๆของตัวเอง รวมถึงการยอมรับและความเข้าใจตัวเองเมื่อประสบกับความล้มเหลว หรือรู้สึกดีไม่พอ แทนที่จะเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดหรือตำหนิด้วยการวิจารณ์ตนเอง
คนที่มี Self-compassion ตระหนักดี ว่าความไม่สมบูรณ์ ล้มเหลว และปัญหาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นพวกเขามักจะอ่อนโยนกับตัวเองเมื่อต้องเผชิญกับประสบการณ์ที่เจ็บปวด แทนที่จะโกรธเมื่อชีวิตไม่เป็นแบบที่คิดที่ไว้
คนเราไม่สามารถเป็นหรือได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการเสมอไป เมื่อใครปฏิเสธความเป็นจริงนี้หรือ วิจารณ์ตนเอง ความทุกข์ทรมานจะเพิ่มขึ้นในรูปแบบของความเครียด แต่เมื่อยอมรับความจริงนี้ได้ด้วย Self-compassion ความสงบก็จะมากขึ้น
5 Ways to Practice Self-Compassion จาก positive psychology
Step 1 : ฝึกการให้อภัย
หยุดโทษตัวเองสำหรับความผิดพลาด ยอมรับว่าเราไม่ได้สมบูรณ์แบบและอ่อนโยนกับตัวเองเมื่อต้องเผชิญกับข้อบกพร่อง
Step 2 : ใช้ Growth Mindset
โอบรับแทนที่จะหลีกเลี่ยงความท้าทาย พยายามค้นหาความหมายในสิ่งเหล่านั้น และอย่ายอมแพ้กับตัวเอง เมื่อพบว่าเรากำลังวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองและเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในเชิงลบ พยายามค้นหาแรงบันดาลใจในความสำเร็จและจุดแข็งของพวกเขาแทนที่จะรู้สึกถูกคุกคาม
Step 3 : แสดงความรู้สึกขอบคุณ
ความรู้สึกขอบคุณมีพลังมาก ลองเปลี่ยนโฟกัสจากการอยากมีในสิ่งที่เราไม่มี เป็นการชื่นชมสิ่งที่เรามี เริ่มจากเขียนบันทึกลงกระดาษ เพราะมีเรื่องมากมายที่รอให้เราขอบคุณ อาจจะเป็นพรสวรรค์เล็ก ๆ ของเรา
Step 4 : ค้นหาระดับความใจดีที่เหมาะสม
รูปแบบการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันมี 3 รูปแบบ : giver, taker, and matcher ผู้ให้คือคนที่ใจกว้างที่สุด แต่ผู้ให้สามารถเป็นได้ทั้งคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและน้อยที่สุด เพราะอาจตกอยู่ในรูปแบบของการให้อย่างไม่เห็นแก่ตัว “ที่ไม่สนใจความต้องการของตนเอง” เราต้องเลือกการรับและให้อย่างเหมาะสม การทำดีเพื่อผู้อื่นทำให้เรามีความสุขก็จริง แต่มันต้องไม่ทำให้ความเป็นอยู่ที่ดีของเราลดลง
Step 5 : เป็นผู้ชมความคิดและความรู้สึก
การมีสติโฟกัสกับปัจจุบันมีผลดีต่อ self-compassion เพราะส่งผลต่อแนวโน้มที่จะลดการตัดสินตนเอง พยายามอยู่ในช่วงเวลานั้นเสมอและตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยไม่มีการวิจารณ์ตัวเอง ปล่อยให้สิ่งที่เราคิดหรือรู้สึกมีช่วงเวลาของมัน เป็นผู้ชมความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ไม่ต้องซุกซ่อนหรือขยายความรู้สึก
นอกจาก Self-compassion ทำอย่างไรเมื่อรู้สึกว่าทำอะไรก็ผิด
- เข้าใกล้ความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา
- ยอมรับความจริงว่ามีอีกหลายสิ่งอย่างที่เราไม่รู้ เพราะชีวิตคือการเรียนรู้จากความไม่รู้
- ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ “Your scars are a symbol of your strength”
- ลดความคาดหวัง คนที่ดำเนินชีวิตไปโดยคาดหวังว่าจะเจอแต่สิ่งดีๆ จะพบกับความผิดหวังมากมายระหว่างทาง
- พูดกับตัวเองว่าเราดีพอแล้ว จากบทความ The Psychology Behind never Feeling Good Enough จากเว็บไซต์ Medium มีปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า The Self-Fulfilling Prophecy เรามักจะดำเนินการในลักษณะที่สอดคล้องกับวิธีที่เราเห็นตัวเอง “ความคิดจะสร้างผลลัพธ์” คือ ยิ่งเราให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยลงแค่ไหน พลังที่เราเข้าถึงผลละพธ์ก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้นแต่ในทางตรงข้ามกัน ยิ่งเราให้คุณค่ากับตัวเองมากเราก็ยิ่งมีพลังมากขึ้น ลองย้ำกับตัวเองว่าเราดีพอเสมอ
อ้างอิง
Pâro. “Dictionary of Obscure Sorrows
What Can You Do When Everything Seems to Go Wrong For You?
The Psychology Behind Never Feeling Good Enough
How to Practice Self-Compassion in 5 Simple Steps
Five types of guilt and how you can cope with each
การให้อภัย เราจะให้อภัยได้จริงไหม ทั้งการให้อภัยคนอื่นและให้อภัยตัวเองจากความผิดพลาดใจอดีต 🙂
การให้อภัย คืออะไร
นิยามการให้อภัย คือการตัดสินใจอย่างมีสติและตั้งใจที่จะปลดปล่อยความรู้สึกขุ่นเคือง การแก้แค้นต่อบุคคลหรือต่อกลุ่มคน ที่ทำร้ายเราโดยไม่คิดว่าพวกเขาสมควรที่จะได้รับการอภัยจริง ๆ หรือไม่
สิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับการกำหนดว่าการให้อภัยคืออะไร คือ การเข้าใจว่าการให้อภัยมีความหมายว่าอย่างไร ถ้าเราให้อภัยได้เราก็จะไม่ปฏิเสธหรือ มองข้ามสิ่งที่เขากระทำต่อคุณ
และการให้อภัย ไม่ได้หมายถึงการลืม,การยอม หรือคิดว่าเขาต้องได้รับโอกาสมากแค่ไหน เพราะการให้อภัยไม่เคยบังคับให้ใครต้องคืนดีกับใคร หรือปลดปล่อยเขาจากความรับผิดชอบทางกฎหมาย
สรุปอย่างสั้น ๆ คือ การที่เราไม่ถือโทษโกรธใคร และไม่รู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งนั้นแล้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วยังคงเปลี่ยนไปอย่างนั้น เช่น สถานะความสัมพันธ์ หรือ มิตรภาพที่มีต่อกัน
เราจะให้อภัยกันได้จริง ๆ ไหม
คำถามนี้ยังคงเกิดกันถกเถียงกันในกลุ่มนักจิตวิทยาว่าการให้อภัยมีขีดจำกัดแค่ไหน และผลของการให้อภัยกันเป็นอย่างไร หรือจริง ๆ เราควรให้อภัยทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่อีกความเห็นกล่าวว่า การให้อภัยกันก็เพียงแค่ สามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากความรู้สึกเชิงลบได้ก็เพียงพอแล้ว
ทำไมเราถึงต้องให้อภัย
หากเราอยากให้ใจเราเป็นอิสระ การให้อภัยเป็นตัวเลือกหนึ่ง และ การแก้เเค้นไม่ได้ช่วยอะไร ถึงแม้การแก้แค้นจะทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้เราเป็นอิสระจากความรู้สึกที่เกิดขึ้น
ทั้งยังไปเพิ่มความรู้สึกเชิงลบอีกด้วย เมื่อเราเกิดความรู้สึกอยากล้างแค้น หรือความโกรธ เราเลือกได้ว่าจะตอบสนองสิ่งนั้นอย่างไร จะล้างแค้น หรือจะค่อย ๆ พาตัวเองออกจากความรู้สึกนั้นเพื่อปลดปล่อยตัวเราเองให้เป็นอิสระ โดยไม่ต้องรีบร้อน
เราไม่อยากให้อภัยได้ไหม?
ถ้าเราไม่อยากให้อภัย เราไม่สามารถทำใจยอมรับความผิดพลาดได้จริงๆ เราสามารถไม่ให้อภัยได้ แต่ต้องหาคำตอบและเหตุผลให้ตัวเองว่าเพราะอะไร แล้วสักวันหนึงเราจะพร้อมพอที่จะให้อภัยใครซักคนได้
เจ้าคิดเจ้าแค้นแก้ไขอย่างไร
ความรู้สึกเจ้าคิดเจ้าแค้นเปรียบเสมือนกลุ่มควันขนาดใหญ่ที่ยังไม่ถูกสกัดเป็นก้อน แต่เมื่อได้ระบาย หรือแบ่งเบาออกไปบ้าง จะทำให้ความแค้นมีขนาดเล็กลง
หากได้ระบายกับเพื่อน หรือนักจิตวิทยาจะสามารถช่วยลดความแค้นลงได้
ถ้าให้อภัยไม่ได้ผิดไหม?
คำตอบคือไม่ผิด แต่เรารับมือกับความรู้สึกเชิงลบที่คงอยู่กับเราอย่างไร ถ้าหากเรายังไม่พร้อมให้อภัยใครก็กลับมาดูแลใจตัวเอง เช่น หาคนรับฟัง ใช้ชีวิตที่มีความสุข และสร้างสรรค์ หรือเข้าพบนักจิตวิทยาเพื่อรับคำปรึกษา
หรือนี่อาจเป็นสาเหตุ โรคซึมเศร้า หรือวิตกกังวล โดย Johann Hari บทความนี้ถอดรหัสมาจาก Ted Talk ซึ่งเป็นเรื่องการศึกษา ค้นหาคำตอบของ Johann Hari ที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล โจฮานเขาเป็นทั้งนักข่าวและนักเขียนหนังสือ อีกทั้งยังเคยตกอยู่ภาวะโรคซึมเศร้ามานานหลายปี
หรือนี่อาจเป็นสาเหตุ โรคซึมเศร้า หรือวิตกกังวล โดย Johann Hari
ปัจจุบันมีอัตราผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล เพิ่มขึ้นทุกปีในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และทั่วโลกตะวันตก(Western world) จากการศึกษาจำนวนมากพบว่า ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลเกิดขึ้นเป็นวงกว้างเพิ่อมขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990
เริ่มต้นเรื่อง..
Johann Hari เคยประสบกับภาวะซึมเศร้า ตั้งแต่ชีวิตในวัยรุ่น เขารู้สึกสับสนในตัวเอง ไม่สบายตัวไม่สบายใจ รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ รู้สึกแย่กับตัวเอง การที่จะต้องดำรงชีวิตให้ผ่านพ้นไปแต่ล่ะวันนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เขาจึงตัดสินใจไปพบแพทย์
แพทย์ได้ทำการวินิจฉัยว่าฮานเป็นโรคซึมเศร้า โดยแพทย์ได้บอกกับเขาว่า อาการเหล่านี้มันเกิดมาจาก “สารเคมีในสมองไม่สมดุลกัน” การรักษาคือต้องกินยาที่เรียกกันว่า Paxil หรือ Seroxat มันก็คือยารักษาโรคซึมเศร้า ยาตัวนี้จะช่วยทำให้ฤทธิ์ของสารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า Serotonin คงอยู่ได้นานขึ้น (***Serotonin คือสารแห่งความสุข)
การเริ่มต้นรักษาด้วยยาโรคซึมเศร้าเป็นไปได้ดีมากในช่วงแรกๆ หลังจากนั้นก็เกิดอาการดื้อยา ทำให้เขาต้องรับยาในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น จนถึงระดับที่แพทย์ห้ามจ่ายยา
เขากินยานี้ติดต่อกันมาเป็นระยะเวลานานถึง 13 ปี แต่ทำไมยังมีอาการโรคซึมเศร้าอยู่ นั้นเป็นความคิดของโจฮาน ณ ตอนนั้น ว่า …เกิดอะไรขึ้นกับขากันแน่ ทำไมเขาถึงไม่หายจากโรคนี้สักที ถ้าสาเหตุมันเกิดมาจากสารเคมีในสมองที่มีไม่สมดุลกันจริงๆ ทำไมเขาถึงยังคงทรมานกับการเป็นโรคนี้อยู่
เพื่อค้นหาคำตอบ ของข้อสงสัยนี้ เขาจึงตัดสินใจเดินทางกว่า 40,000ไมล์ เดินทางไปทั่วโลก เพื่อตามหาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า เพราะว่าเขาอยากรู้สาเหตุที่แท้จริงของภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
จริงอยู่ที่ว่ายีนของเรามารถทำให้เราอ่อนไหวต่อปัญหาต่างๆที่เข้ามาได้ แต่ว่ามันจะไม่สามารถมากำหนดชะตาชีวิตของเราได้ การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อคุณรู้สึกหดหู่หรือเกิดความเครียด
การศึกษาโดยส่วนใหญ่ได้พิสูจน์แล้วว่าสาเหตุที่แท้จริงของโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ปัจจัยหลักๆนั้นเกิดมาจากสิ่งแวดล้อม และการดำเนินชีวิต ของแต่ละคน มีอยู่หลายปัจจัยมากที่เป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า
ยกตัวอย่างเช่น
- หากคุณเหงา คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้า
- หากคุณเครียดจากที่ทำงาน คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้า
- หากคุณอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้า
เราไม่ควรละเลยสุขภาพจิตของตัวเอง
คนส่วนใหญ่มักจะตระหนักถึงสิ่งที่จับต้องได้ เช่น ต้องการอาหาร ต้องการน้ำ ต้องการที่อยู่อาศัย ต้องการอากาศบริสุทธิ์ คือขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้เลย แท้จริงแล้วจิตใจเราก็ต้องการสิ่งบำรุงอยู่ตลอดเช่นเดียวกัน
จิตใจของคนเรา ก็ต้องการอาหารหรือสิ่งบำรุงไม่ต่างจากร่างกาย
โจฮาน เคยมีโอกาสไปสัมภาษณ์จิตแพทย์ชาวแอฟริกาที่ชื่อว่า ดร. ดีเร็ก ซัมเมอร์ฟิลด์ (Derek Summerfield) ในปี 2001 ดร. ดีเร็ก ซัมเมอร์ฟิลด์ ได้ไปเยือนกัมพูชา และได้แนะนำยาแก้โรคซึมเศร้าให้แก่ประชาชน แต่พวกกัมพูชาได้บอกว่า พวกเขามียาที่วิเศษมาก ที่สามารถรักษาโรคซึมเศร้าได้อย่างหายขาด และแล้วแพทย์กำพูชาก็ได้เล่าเรื่องหนึ่งให้ ดร.ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องจริง
เริ่มต้นเรื่อง….
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายชาวนากำลังทำนาอยู่ แต่บังเอิญโชคร้ายไปเหยียบใส่ระเบิดที่หลงเหลือจากการสู้รบ ในช่วงมีสงครามกับสหรัฐฯ ด้วยแรงระเบิดจึงทำหาขาของเขาขาดไปครึ่งท่อน หลังจากนั้นชายชาวนาก็ต้องใส่ขาเทียม ด้วยอาชีพชาวนาเขาต้องกลับไปทำนา แต่การกลับไปทำนาครั้งนี้สร้างความเจ็บปวดทรมานให้ขาของเขาเป็นอย่างมาก ขาที่ต้องทนแช่น้ำทั้งวัน ทั่งเปื่อยและเกิดอาการอักเสบและทรมาน
ชายผู้นั้นเริ่มมีอาการท้อแท้และรังทดกับชีวิตของตัวเอง เขาเริ่มร้องไห้ ไม่ยอมกินอาหาร ไม่ยอมลุกจากเตียง หมดอาลัยตายอยาก
แล้ววิธีที่แพทย์กำพูชาช่วยเหลือชายชาวนาคนนี้ให้ออกจากโรคซึมเศร้านั้นก็คือ การช่วยให้ชายคนนี้รู้สึกว่าตัวเองมีความหมายอีกครั้ง เขาทำยังไงนะหรอ?
- เข้าไปพูดคุยกับชายชาวนา สอบถามว่าข้อมูลว่าลึกๆแล้วสาเหตุเกิดมาจากอะไร
- แพทย์ได้พบว่าชาวนาเศร้าจากการที่ตัวเองไม่สามารถทำนาได้แบบเมื่อก่อน
- แพทย์จึงตัดสินใจซื้อวัวให้ชาวนา
- หลังจากนั้นอาการของชาวนาดีขึ้นเรื่อย ๆ จนสุขภาพจิตกลับเข้าสู่ช่วงปกติ
แพทย์กัมพูชาก็ได้บอกกับ ดร. ดีเร็ก ซัมเมอร์ฟิลด์ ว่า … “คุณเห็นไหม วัวตัวนั้น คือยาแก้ซึมเศร้าของชายชาวนา”
ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่ได้บอกว่า วัว สามารถเป็นยาต้านโรคซึมเศร้าให้กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้ทุกคน สิ่งที่แพทย์กำพูชากำลังสื่อถึง ก็คือ ต้องหาสาเหตุต้นตอของปัญหาให้ได้ แล้วแก้ไขให้ถูกจุด (เราไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันกับทุกๆคนได้)
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานของดร. ดีเร็ก ซัมเมอร์ฟิลด์ ได้ที่นี่: “Global Mental Health Is An Oxymoron and Medical Imperialism”
ถ้าหากคุณรู้สึกหดหู่ หากคุณวิตกกังวล คุณไม่ได้อ่อนแอ คุณไม่ได้บ้า คุณไม่ใช่หุ่นยนต์ คุณคือมนุษย์ ที่มีความอยากเป็นที่ยอมรับของสังคม มนุษย์ที่อยากเป็นที่รัก เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) ซึ่งหมายความว่า มนุษย์จะมีชีวิตอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า และแน่นอนว่าเราต้องการ “การสนับสนุนจากสังคม” และนี่คือสิ่งที่คนเป็นโรคซึมเศร้าทุกคนต้องการ
นี่คือเหตุผลที่หนึ่งในแพทย์ชั้นนำขององค์การสหประชาชาติ (United Nations) ในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการสำหรับวันอนามัยโลกเมื่อปี 2017
เขากล่าวว่า “เราจำเป็นต้องพูดคุยน้อยลงเกี่ยวกับความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง เพราะนั้นมันคือการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ถ้าหากจะแก้ไขปัญหาแบบถอนรากถอนโคน เราต้องเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง เจาะให้ลึกถึงสาหตุที่มาให้ได้”
ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ Mr. Dainius Puras ได้กล่าวเนื่องในวันอนามัยโลกปี 2017 โดยใจความที่ว่า ยุคนี้ถือว่าเป็นอยู่ในยุคสังคมที่โดดเดี่ยวที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เคยมา ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวในสังคม
ในปี 2018 มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาถึงความชุกของความเหงาในหมู่ชาวยุโรปรวมถึงในสหราชอาณาจักร พบว่ามี 39% (ดัชนีความเหงาของประชาชนในสหรัฐฯ) ข้อมูลที่ได้พบว่าพวกเขา “ไม่ได้สนิทกับใครเลย”
โจฮานได้สัมภาษณ์ศาสตราจารย์ John Cacioppo ผู้ล่วงลับไปแล้ว John Cacioppo คือผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกในเรื่องความเหงา ได้ให้คำถามที่เราต้องคิดตามว่า “ทำไมเราถึงดำรงชีวิตอยู่ได้? … เหตุใดเราจึงมาอยู่บนโลกใบนี้… เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร?”
บรรพบุรุษของมนุษย์ ไม่ได้วิ่งเร็วเหมือนเสือ ไม่ได้ตัวใหญ่เหมือนช้าง ได้ว่ายน้ำได้เหมือนปลา แต่มนุษย์มีสปีชีส์ มีวิวัฒนาการมาอยู่ในชนเผ่า อยู่รวมกลุ่มเป็นอย่างดี มีการช่วยเหลือกัน สนับสนุนกัน
ศาสตราจารย์ John Cacioppo ยังกล่าวอีกว่า “ความเหงาเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างมากต่อภาวะซึมเศร้าและโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ”
อีกคนหนึ่งที่โจฮานพูดถึงก็คือ คุณหมอแซม เอเวอร์ริงตัน คุณหมอเคยกังวลเพราะว่าเขามีผู้ป่วยจำนวนมากมาหาเขาด้วยอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล หมอแซมไม่ได้ต้อต้านการให้จ่ายยาแก้โรคซึมเศร้าให้กับผู้ป่วย เพราะว่าเขาคิดว่ายาเหล่านี้ช่วยผู้ป่วยได้เฉพาะบางคนเท่านั้น
หมอแซมจึงได้คิดค้นวิธีแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาไม่ได้ผล หนึ่งในนั้นก็คือลิซ่า เธอขังตัวเองอยู่ในบ้านนานเป็นเวลา 7 ปี เป็นทั้งโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล
หมอแซมได้จัดตารางให้ลิซ่าเขามาศูนย์การแพทย์ของหมอแซม สัปดาห์ละ2 ครั้ง เพื่อพบปะกับกลุ่มคนที่อาการเช่นเดียวกันกับเธอ จุดประสงค์ของการพบปะครั้งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อมาเล่าความทุกข์ให้กันฟัง แต่สร้างเพื่อสนับสนุนให้แต่ละคนค้นพบความหมายของชีวิต ช่วยเหลือกัน เป็นกำลังใจให้กัน และเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย
ครั้งแรกที่ลิซ่าพบกับคนกลุ่มนี้ เธอเริ่มอาเจียน ซึ่งเป็นปฎิกริยาที่มาจากความวิตกกังวล แต่ก็มีคนเข้ามาช่วยลูบหลังให้เธอด้วยความห่วงใย พวกเขาเริ่มคุยกัน ว่าจะทำอะไรกันดีในศูนย์ให้เกิดประโยชน์ หลังจากนั้นก็มีไอเดียว่าควรใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยการปลูกพืช ดอกไม้ ผัก ด้านหลังศูนย์ พวกเขาช่วยกันหาความรู้ในอินเตอร์เน็ต ถึงวิธีการปลูก การดูแลรักษา การพบปะของพวกเขาแต่ละครั้ง สร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้ป่วย
ลิซ่าบอกกับโจฮานว่า “ดอกไม้เริ่มเบ่งบาน พวกเราก็เริ่มเบ่งบานด้วย” วิธีการรักษาของหมอแซมครั้งนี้ เรียกว่า “Social Prescribed”
สรุปหรือนี่อาจเป็นสาเหตุ โรคซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
สาเหตุที่แท้จริงของ “ภาวะซึมเศร้า” หรือ “วิตกกังวล” ไม่ได้มาจากการที่สารเคมีในสมองบกพร่องเพียงอย่างเดียว แต่เกิดมาจากปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิต ความเหงา การขาดเป้าหมายในชีวิต
การศึกษาในโรคซึมเศร้าของโจฮานครั้งนี้ สามารถดูได้อย่างละเอียดในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า Lost Connections
Source