Posts

เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยากจริงไหม ? ประโยคติดปากของหลาย ๆ คน “เป็นผู้ใหญ่ในแต่ละวันมันยาก” เป็นผู้ใหญ่จะอ่อนแอบ้าง ร้องไห้บ้าง ได้ไหม ? จะเป็นผู้ใหญ่อย่างไรให้มีความสุข น่ารัก และน่าเคารพ ในมุมมองจิตวิทยา

 

มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือรับฟังได้ที่  Alljit Podcast

จุดที่รู้สึกว่าตัวเองเป็น เติบโตเป็นผู้ใหญ่  

การเติบโตเป็นผู้ใหญ่คือ จุดที่เรารับผิดชอบตัวเองได้ ดูแลตัวเองได้ จัดการหลาย ๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิตได้ในหลาย ๆ มิติ  หรือใช้คำว่ามิวุฒิภาวะมากพอที่จะจัดการกับสิ่งต่าง ๆ รวมไปถึงการรับผิดชอบชีวิตตัวเอง  

 

ในด้าน ความเป็นอยู่ การเงิน การทำงานรวมไปถึงเรื่องของการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ไม่ใช้อารมณ์นำเหตุผล นี่คงเป็นจุดหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่าเราเติมโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว 

 

 

การ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยากจริงไหม

คำตอบคือ ยากอยู่แล้ว การเป็นผู้ใหญ่ในทุก ๆ วันมันยาก เพราะในทุก ๆ การเติบโตมีอะไรเป็นบทพิสูจน์ในทุก ๆ วันอยู่แล้ว  แต่การเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ยากเกินกว่าเราจะรับมือ และผ่านไปได้  

 

จุดไหนที่ยากที่สุดของ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ 

การเปลี่ยนผ่านของช่วงวัย  จากวัยเรียน เข้าสู่มหาวิทยาลัย เริ่มฝึกงาน ก้าวเข้าสู่การทำงาน เป็นช่วงที่ยากที่จะต้องค้นหาตัวเอง ว่าเราอยากยื่นที่จุดไหน ทำงานที่ไหนดี  แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นในวันนี้คือ 

 

เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนั้น หมายความว่า ในทุก ๆ วันมีอะไรที่ทำให้เราได้เรียนรู้ และค่อย ๆ เติบโต ไม่จำเป็นต้องรู้ หรือเข้าใจ ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราถึงจะหมายความว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว  

 

การเป็นผู้ใหญ่ ต้องเข้มแข็งไหม

ใช้คำว่า อดทนให้มากพอ และ เข้าใจตัวเองอย่างที่มันควรจะเป็น อาจจะไม่ตองใช้คำว่าเข้มแข็ง ถึงแม้เราเติบโตขึ้นแต่เราไม่รู้หรอกว่าเราจะเจออะไรข้างหน้า เราจะมีแรงมากพอที่จะสู้กับมันไหม

 

แต่เราก็ควรมีความอดทนในสิ่งที่เราจะเจอ และมีความสามารถในการทำความเข้าใจสิ่งที่เราจะเจอเพื่อจัดการและรับมือได้ดีมากยิ่งขึ้น 

ความอดทน 

เวลาที่มีอะไรเข้ามา เราไม่ควรจะล้มเลิกอะไรก่อน เรื่องบางเรื่องอาจจะอาศัยจังหวะ เวลา หรือโอกาส ถ้าหากบางครั้งเราไม่อดทน หรือทดลองทำดู อาจจะทำให้เราเสียโอกาสบางอย่างไป 

 

หากเรามีความอดทน และเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ  เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่เรารู้จักตัวเอง และจะทำให้เรามีตัวกรองที่ทำให้เราไม่วิ่งตามสิ่งรอบ ๆ ตัวได้ง่าย  

 

ในวัยผู้ใหญ่ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง 

1.เริ่มมองเห็นความต้องการของตัวเราเองมากขึ้น 

คงมีช่วงวันหนึ่งที่สับสนว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ทำอะไรกันแน่  แต่วันหนึ่งก็เห็นภาพตัวเองชัดมากขึ้น และได้เรียนรู้ที่จะเคารพตัวเองมากขึ้น ได้เดินตามเส้นทางที่จัวเองอยากจะเดิน 

2. การเติบโตแบบก้าวกระโดด 

ในวันหนึ่งที่จะต้องเติบโต ทำให้เราเรียนรู้ว่า การทำอะไรซักอย่างหนึ่งต้องมีการวางแผนในการใช้ชีวิต ไม่ได้มองว่าวันนี้เราจะทำอะไร พรุ่งนี้เราจะทำอะไร แต่ต้องมองว่า ใน 1 ปี 3 ปี เราจะเป็นอย่างไร

 

จะทำให้เราใช้ชีวิตแบบมีแบบแผน และควบคุมตัวเองได้มากขึ้นว่าจะทำอะไร เพราะเรารู้จักตัวเองว่าอยากอยู่ที่จุดไหน  

3. ความไม่แน่นอน 

สิ่งที่คิดว่าจัดการได้ดีมาตลอด ควบคุมได้ จนวันหนึ่งเกิดบางอย่างขึ้น ถึงได้เข้าใจว่า จริง ๆ เราไม่เคยควบคุมสิ่งนั้นได้เลย แล้วสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา 

 

เติบโตเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรให้มีความสุข  

1. การปล่อยวางเรื่องบางเรื่องไปบ้าง

เราจะไม่แบกรับกับทุกเรื่อง ปล่อยให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นบ้าง โดยที่เราไม่ต้องเอามาคิดว่ามันดีหรือยัง แย่ไหม หรือใครเป็นคนผิด ปล่อยบ้าง ละเลยบ้าง กับบางอย่างที่มันไม่ได้สำคัญกับชีวิต

 

เพราะ เวลาที่เราพยายามทำความเข้าใจกับชีวิตมากเกินไป อาจจะทำให้เราเหนื่อย  การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่จำเป็นว่าต้องรู้ทุกเรื่อง จัดการได้ทุกอย่าง 

 

2. ปรับสมดุลให้ตัวเอง โดยการมีพื้นที่าให้ตัวงเองได้กลับไปเป็นเด็กบ้าง 

กลไกการทำงานของจิตใจโดยทั่วไป คือมนุษย์ต้องมีพื้นที่ให้กลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้ง ไม่ได้อยู่ในโหมดของความเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลา 

 

จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดี น่ารัก น่าเคารพ ได้อย่างไร

การที่เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนั่นแปลว่าเราต้องมีโมเดลบางอย่างที่คนอื่นอยากจะทำตาม เขาเลยเลือกที่จะเคารพเรา ซึ่งหากเราเข้าใจตัวเองเราจะสามารถอยู่กับคนอื่นได้ง่ายขึ้น ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้น 

 

สามารถติดตามความอื่น ๆ ได้ที่ Alljit Blog

คิดลบกับตัวเอง ” ทำไมเราไม่เก่ง คนอื่นไม่ชอบเราหรือเปล่า… สังเกตกันไหม ว่าบางครั้งคิดลบก็มีต่อตัวเอง บางครั้งก็มีต่อคนรอบข้าง

 

จริง ๆ แล้วการคิดลบเป็นเรื่องปกติไหม ? เกิดขึ้นได้อย่างไร ? มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือฟังPodcast อื่น ๆ ได้ที่นี่ 

 

คิดลบกับตัวเอง และคนอื่นปกติไหม

การคิดด้านลบหากเกิดขึ้นบ้างเป็นเรื่องปกติ เนื่องจาก การคิดลบเป็นสัญญาณเตือนว่า เราอาจเกิดความกลัว ความกังวล รวมถึงความไม่แน่นอนบางอย่างขึ้น ความไม่ปลอดภัยบางอย่างขึ้น

 

ถ้าเกิดขึ้นทำให้เราระมัดระวังตัวเองมากขึ้น และมีวิธีการที่จะควบคึมสถานการ์ตรงนั้นได้เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับตัวเอง เราสามารถคิดลบได้แต่ไม่ควรเกิดขึ้นบ่อย ๆ 

 

การคิดลบเกิดขึ้นได้อย่างไร

ความคิดด้านลบ เป็นอัติโนมัติ มักจะเกิดขึ้นก่อนความคิดด้านเหตุ และผลเสมอ เพราะมาจากความคุ้นเคย ประสบการณ์ ที่เราเรียนรู้มาว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดแบบนี้ขึ้นอีก เราจึงมักจะคิดด้านลบกับตัวเอง สถานการณ์ และคนอื่น

 

บางครั้งเราจะทันความคิด แก้ไขได้ แต่บางครั้งบางครั้งเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่ทันความคิด บางครั้งก็ เศร้า ดิ่ง ไปแล้ว แต่สุดท้ายถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะทำให้ความคิดลบวิ่งช้าลง และจัดการ ก็จะก่อให้เกิดความวุ่นวายใจกับเราเ 

 

หลาย ๆ ครั้งที่เราคิดลบกับตัวเอง เพราะเรามักตั้งคำถามกับตัวเองว่าเพราะอะไรฉันถึงทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเจอเรื่องแบบนี้ ดูเหมือนเป็นการคิดด้านเดียว 

 

การคิดลบกับคนอื่น ในบางครั้งอาจเกิดจากความกลัว ความสั่นคอนบางอย่างในตัวเราเอง เราเลยเลือกที่จะ ปกป้อง หรือโยนความรู้สึกนั้นไว้ที่คนอื่น เพราะอะไรเขาต้องทำแบบนี้ เพราะอะไรเขาต้องทำแบบนั้น 

 

ซึ่งไม่รู้ว่าความจริงอยู่ตรงไหน ก็เลยวิ่งตามความคิดนั้นของตัวเอง และก็รู้สึกไปกับมัน หากไม่ตรวจสอบ หรือดูแลความคิดลบ ความคิดลบนั้นก็จะเข้ามา นำทางชีวิตเรา แทนที่เราจะเป็นคนนำทางชีวิตตัวเอง 

 

คิดลบเท่ากับมี Mindset ที่ไม่ดี จริงไหม

Mindset เป็นเพียงชุดกรอบความคิด การที่เราคิดลบอาจมาจากกรอบความคิดบางอย่างที่มองไปในทิศทางลบ ตอบไม่ได้ว่าดีหรือไม่ แต่คงดีกว่าถ้าเรามีความคิดด้านลบที่พอเหมาะพอควร และอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง 

 

ข้อสังเกตข้อเตือนใจว่ากำลัง คิดลบกับตัวเอง

1. โทษเพียงแค่ตัวเองหรือเปล่า 

สังเกตว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราไม่นำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาประมวลผลว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วนำพิจารณาว่าควรทำอย่างไรแต่เราเพียงแค่โทษตัวเองว่าไม่น่าทำแบบนั้น ไม่ควรทำแบบนี้ 

 

2. รู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรได้รับสิ่งดีดี 

การคิดลบอาจทำให้บางครั้งอาจลืมบางสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีไป เวลาทำอะไรได้ดี ก็ไม่ให้เครดิตตัวเอง ไม่ยอมรับสิ่งที่ดีดีให้กับตัวเอง หรือแม้แต่ไม่ยอมรับคำชื่นชมจากผู้อื่น 

 

3. ให้อภัยตัวเองไม่เป็น 

รู้สึกว่าเป็นความผิดของเราที่เราต้องแบกรับตลอดเวลา แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นนั้นให้บทเรียนกับเราและสามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขในครั้งถัดไป  

 

 

คิดลบและคิดบวกอย่างไรให้บาลานซ์

1. คิดให้สอดคล้องกับความเป็นจริง 

จะบาลานซ์การคิดลบ และ คิดบวกได้ ต้องคิดให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เวลาที่เกิดอะไรขึ้นให้ลองหมั่นตรวจสอบความคิดของตัวเองว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง หรือเกิดขึ้นจากทัศคติที่ของเรา แล้วเอาเข้าไปตัดสิน

 

สิ่งเหล่านั้นหรือเปล่า  เวลาที่เกิดอะไรขึ้นอย่างหนึ่งให้เราถามตัวเองก่อนว่า เรากำลังคิดอะไร มีอะไรเข้าไปสนับสนุนความคิดเราหรือเปล่า มองให้เห็นผ่านเลนส์ของความเป็นจริง แล้ววางทัศนคติของตัวเองลง 

 

2. สำรวจความคิดของตัวเอง

ลองจดบันทึกกับตัวเอง ว่าเวลาที่เราคิดแบบนี้เพราะอะไร เราต้องการอะไร มีเหตุหารใดที่เข้ามาสนับสนุนความคิดของตัวเราเอง ลองหาสิ่งสนับสนุนความคิดเพื่อให้รู้ว่า นั่นเป็นเรื่องที่คิดไปเองหรือเป็นเรื่องจริง 

 

หากปล่อยให้ตัวเองคิดลบอยู่เรื่อย ๆ ก็จะเป็นสิ่งที่เเข็งแรงมากขึ้น และจะทำให้มองเห็นตัวเองในมิติอื่นได้ยากขึ้น  หากเกิดความคิดลบ ๆ ขึ้น ให้เราคิดหลายหลายมุมมากขึ้น 

 

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

Busy Culture เมื่อสังคม บีบบังคับให้ยุ่ง เพราะถ้าถ้าอยู่เฉยๆ = ขี้เกียจ  งานเสร็จหมดแล้ว เคลียร์ของล่วงหน้าก็แล้ว

 

แต่พอว่างงานเพราะเราจัดการงานของเราเสร็จแล้ว ทำไมรู้สึกว้าวุ่นใจจัง รู้สึกผิด อยากยุ่ง ๆ เข้าไว้

 

ทำไมภาพลักษณ์ดู ยุ่ง = ดูดี 

ในปัจจุบันความยุ่งไม่ได้แค่ใช้อธิบายสภาวะ แต่ความยุ่งเป็นเสมือนใบประกาศเกียรติคุณ ใครยุ่งน้อยอาจถูกลดทอนว่าเป็นพวกไม่ยอมทำอะไร ในขณะที่คนยุ่งมากมักได้รับการยอมรับมากกว่า

 

เมื่อคนที่ทำงานเยอะ เป็นคนขยัน และได้รับคำชื่นชม ตรงกันข้าม คนที่มีเวลาว่างเยอะ หรือ ทำงานเสร็จเร็ว จะทำให้ดูขี้เกียจคนหลาย ๆ คนอาจไม่อยากดูแย่ในสายตาใครอยู่แล้วจึงต้องพยายามทำให้ตัวเองยุ่งเข้าไว้

 

J Christine Kim ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกงในเกาลูน กล่าวว่า “เมื่อมีคนพูดว่าตัวเองกำลังยุ่ง มันทำให้พวกเขารู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาสำคัญ

 

และการปรากฏตัวของพวกเขามีความสำคัญต่อคนรอบข้าง” เราคิดว่าการทำตัวยุ่งทำให้ตัวเองมีค่า ไม่ว่าจะเป็นกับเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ครอบครัวหรือเพื่อนก็ตาม เราจะเห็นว่าเวลาของตนเองสำคัญที่สุดเสมอ

 

 

Busy Culture

การที่ทำตัวยุ่งตลอดเวลา ทำตัวเองให้มีอะไรทำตลอดเวลา ทั้งที่ความจริงแล้วอาจไม่ได้ยุ่งอยู่ก็ได้ เพื่อภาพลักษณ์ และเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดที่ว่างงาน ซึ่งบางองค์กรก็เป็นคนปลูกฝังวัฒนธรรมแบบ busy culture

 

มาเพื่อกดดันตัวพนักงาน และให้พนักงานจับผิดคนว่างกันเองเหมือนกันนะ พออยู่กับความเป็น busy มาก ๆ อาจกลายเป็น toxic productivity ได้

 

มีคำอธิบายในจิตวิทยา ข้อมูลจาก salaryinvestor “Jaimie Bloch” นักจิตวิทยา และผู้อำนวยการคลินิก MindMovers Psychology ประเทศออสเตรเลีย อธิบายถึงอาการ “เสพติดงานยุ่ง” ไว้ว่า

 

เป็นภาวะที่ได้รับอิทธิพลมาจากฮอร์โมนโดปามีน (ฮอร์โมนแห่งความสุข)  คือ เมื่อเราทำงานเสร็จหรือบรรลุเป้าหมาย สมองจะปล่อยฮอร์โมนโดปามีนออกมา ซึ่งเราจะรู้สึกดี ทำให้บางคนอาจยึดติดกับความรู้สึกดีเหล่านี้

 

และอยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ กลายเป็นว่าเกิดการโหยหาความสุขนี้ซ้ำๆ และอีกหนึ่งปัจจัยอาจมาจากคนนั้นมีอาการของโรควิตกกังวล (Anxiety) ที่เกิดขึ้นได้บ่อยในวัยทำงาน

 

 

Idleness Aversion ภาวะเสพติคความยุ่ง 

แน่นอนการที่เราถูกกดดัน สร้างให้มีความเชื่อที่ผิด ๆ และตกอยู่ในวัฒนธรรมความยุ่ง หรือ Busy Culture ยิ่งยุ่งยิ่งดูดี ก็จะเป็นต้นต่อที่นำเราไปสู่ ภาวะหนึ่ง ที่เรียกว่า ภาวะเสพติดความยุ่ง คือ

 

ภาวะที่ผู้คนมีความสุข เมื่อพวกเขายุ่งมากขึ้น แม้ว่าเราจะถูกบังคับให้ยุ่ง จึงมีงานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยชิคาโก้ บอกว่า ผู้คนอยากจใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า แต่ไม่แน่ว่ากิจกรรมที่เราทำอาจจะไม่ได้คุ้มค่าแบบที่เราตั้งใจไว้ 

 

 

สำรวจตัวเอง ยุ่งจริง หรือเสพติดความยุ่ง 

1.รู้สึกผิดเมื่อว่างงาน 

เนื่องจากการทำงานหนักกลายเป็นคุณค่าที่สื่อถึงความสำเร็จ และความ Productive ของสังคมชาวออฟฟิศ หลายคนจึงกดดันตัวเองให้ทำงานต่างๆ ให้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง

 

กลายเป็นบรรทัดฐานที่ว่า “ยิ่งทำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น” หากปล่อยตัวเองให้ว่าง ก็มักจะเกิดความรู้สึกผิด ความละอาย ความวิตกกังวล  

 

2. “งานยุ่ง” เป็นสถานะทางสังคม :

สำรวจตัวเองว่าการที่เรายุ่ง ๆ อยู่นี้ เรายุ่งจริง หรือเพียงแค่ต้องการการยอมรับจากสังคมกันแน่  เพราะการที่สังคมยกย่องการทำงานหนัก ดังนั้นการทำตัวเองให้ยุ่งตลอดเวลา จึงทำให้รู้สึกว่ากำลังมีการยอมรับที่มากขึ้นจาก

 

สังคม และเชื่อว่ามันสามารถยกระดับสถานะทางสังคมได้ จนเข้าขั้นเสพติดงานยุ่ง อีกส่วนคือ คนที่เสพติดความยุ่งมักจะตอบปากรับคำกับงานทุกอย่างไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม  รับมาให้เยอะมากที่สุด

 

เพื่อที่จะได้ใจคนรอบข้าง แต่หากยุ่งจริง เขาจะใช้เวลาคิดไต่ตรอง ว่าจะรับงานนี้มาดีไหม จะสามารถทำได้ไหม ส่งได้ทันเวลาหรือไม่

 

3. การมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จที่เกินพอดี  

ชอบให้ตัวเองงานยุ่งตลอดเวลา เพราะรู้สึกว่าเป็นวิธีเดียวที่จะประสบความสำเร็จ เมื่อว่างขึ้นมาก็จะรู้สึกกระวนกระวายรู้สึกเหมือนเป็นความล้มเหลวรูปแบบหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลและความเศร้า

 

อีกส่วนคือ คนเสพติดความยุ่งต้องการจะทำงานทุกงาน เพื่อให้ดูยุ่ง โดยลืมโฟกัสสิ่งที่สำคัญ หรืองานที่สำคัญไป  แต่คนที่ยุ่งจริง จะรู้ว่ายุ่งเพราะอะไร อะไรคือเป้าหมายในการยุ่งครั้งนี้

 

4. พยายามหลีกเลี่ยงอารมณ์ด้านลบ 

บางคนมีปัญหาชีวิตส่วนตัวที่ยากลำบาก เช่น สูญเสียคนในครอบครัว เลิกกับแฟน ฯลฯ และไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน จึงเลี่ยงปัญหานั้นด้วยการทำงานให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่อยู่ว่างๆ ในที่ทำงานก็จะเกิดความกังวล

 

5. มักบอกใคร ๆ ว่าตัวเองยุ่ง 

คนที่เสพติดความยุ่ง มักพูดเสมอ ๆ ว่าเขานั้นยุ่ง เพราะเบื้องหลังคำพูดนั้น ต้องการรู้สึกดีกับตัวเอง และให้คนอื่นรู้สึกดี และรับรู้ว่าตัวเองงานเยอะ ในอีกมุมหนึ่ง คนที่ยุ่งจริง จะไม่ค่อยพูดว่าตัวเองยุ่งมากเท่าใดนัก 

 

 

ยุ่งตลอดเวลาดีจริงไหม? ผลกระทบจากความยุ่ง (ข้อเสีย ของ Busy Culture )

1. สุขภาพกาย โหมงานหนักเกินไป จนไม่มีเวลาดูแลร่างกาย

2. สุขภาพจิต ความเครียดจากงานต่าง ๆทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้

3. การไม่ได้นอนหลับอย่างเพียงพอ

4. กดดันที่คนอื่นยุ่งแต่เราว่างงานจนตั้งคำถามว่าตัวเรามีคุณค่าไหม

5. ยุ่งจนไม่มีเวลาให้คนรอบข้าง ครอบครัว เพื่อน

6. ลดความคิดสร้างสรรค์ งานวิจัยบอกว่า การที่เราทำตัวยุ่งตลอดเวลา จะลดความคิดสร้างสรรค์ของเรา

 

รักษาความบาลานซ์ ไม่ยุ่งจนเกินไป

1.แบ่งงานไว้ทำแบบไม่รวบตึง

แบ่งตารางการทำงานให้เป็นเวลา เพื่อที่จะได้ไม่ว่าง และมีเวลาในการทำงานจนครบตามเวลาการทำงาน 

2. จัดการทำงานของตัวเอง

 จัดลำดับความสำคัญของงาน ดูว่าช่วงนี้มีงานอะไร ต้องส่งช่วงไหน แบ่งงานไว้ทำเป็นส่วนๆ ไม่ต้องทำให้จบไวเกินไป มีงานมานั่งทำตลอด โดยไม่ต้องวุ่นวายหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองว่างจริงๆ ก็ได้  

3. หาเวลาให้ตัวเองได้ผ่อนคลายบ้าง

โดยร่วมแล้วเป็นเรื่องของการจัดสรรค์เวลา และวางแผน ในสำหรับคนที่งานเยอะจริง ๆ ควรจะหาเวลามาพักผ่อน ผ่อนคลายซักนิดด้วยเช่นกัน 

 

“ความยุ่งไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าเรามีคุณค่า หรือว่าสำเร็จ เพียงแค่เราต้องทำหน้าที่ และงานที่ได้รับอย่างเต็มความสามารถ ”

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

ที่มา:

6 signs you are addicted to being busy and the reasons why

“มนุษย์เงินเดือน” เสพติดงานยุ่ง 

What is Idleness Aversion?

วัฒนธรรมแห่งความ ‘ยุ่ง’ 

 

 

 

เวลาทะเลาะกันทำไมถึงชอบเงียบ? เงียบแล้วจะดีขึ้น หรือ ความเงียบทำลายความสัมพันธ์ Silent Treatment

 

การที่เงียบจะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ Toxic ได้ไหม . . . Alljit Podcast

 

 

 

ถ้าพูดถึงความเงียบ จะมีคำที่บอกว่า “Silence is golden.” อย่างของไทยก็มีสุภาษิตที่ว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” คือ พูดไปไม่มีประโยชน์ นิ่งเสียดีกว่า

 

แต่เมื่อเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ความเงียบไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป การใช้ความเงียบคุยกันก็เหมือนคลื่นใต้น้ำนั่นแหละ และวันนึงความเงียบอาจจะกลับมาเป็นอาวุธทิ่มเเทงกัน

ความเงียบทำลายความสัมพันธ์ ได้จริงไหม?

ความเงียบทำร้ายความสัมพันธ์ได้ เพราะ Silent treatment เป็น Emotional manipulation รูปแบบหนึ่ง จากงานวิจัยพบว่า ฝ่ายที่ถูกเมินเฉย จะมี Self-esteem ที่ต่ำลง

 

อาจถึงขั้นไม่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่าหรือความหมายอะไรอีกต่อไป ทำให้ถึงแม้ว่า จุดประสงค์เบื้องหลังอาจจะเป็นแค่ ‘การหลีกเลี่ยงการทะเลาะ’ แต่กลับทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงกว่าเดิม

 

และเวลาที่เราเงียบไม่ได้หมายความว่าปัญหามันจบ เราอาจจะไม่ได้เครียดหรือทุกข์ใจกับเรื่องนั้นเเล้วเพราะเวลาพัดผ่านไป แต่ปัญหาที่เราคับข้องใจมันจะยังอยู่

 

จนวันนึงที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน ความรู้สึกเราจะพรั่งพรูออกมา แต่มันอาจจะสายไปที่จะพูดความรู้สึกก็ได้

Toxic behavior in relationship 

ความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษที่สามารถทำร้ายและทำลายความสัมพันธ์ของคู่รัก หรือ ความสัมพันธ์ในแบบเพื่อน ครอบครัวได้

Gaslighting

เป็นการปั่นหัว พยายามทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสับสนในตัวเองและตั้งคำถามกับความเป็นจริง

Love bombing

เป็นการสาดความรักใส่อีกฝ่าย ดูแลประคมประหงมอย่างดีในช่วงแรก เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าขาดตัวเองไม่ได้ แลกกับการได้ควบคุมบงการ

Guilt tripping

เป็นการพูดเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด โทษตัวเอง

One-up someone

ทำบางอย่างหรือทำตัวเองให้ดีกว่า เพราะทนเห็นอีกฝ่ายหนึ่งดีกว่าไม่ได้

Silent treatment 

การเงียบ การเมิน เพื่อให้รู้ว่าโกรธหรือไม่พอใจ

Silent treatment’ เงียบ ที่ไม่ใช่ การขอเวลาพักให้อารมณ์เย็นลง

นี่เรากำลังใช้ Silent treatment  ในความสัมพันธ์อยู่รึเปล่า?

 

เงียบ = งอน

จะมี 2 คำที่นึกออกในวัฒนธรรมเอเชีย คือ ‘เกรงใจ’ กับคำว่า ‘งอน’  ที่ไม่มีคำแปลในภาษาอังกฤษตรงตัว ไม่มีคำไหนที่อธิบายคำว่า ‘งอน’ ได้ใกล้เคียงเท่า Silent treatment

 

เพราะ Silent treatment เป็นการเงียบ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังโกรธและไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้น บางคนเมินเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้เลยด้วย

 

เงียบ = เป็น แค่ไม่บอก

เคยไหม? เวลาแฟนถามว่า เป็นอะไร? มีเรื่องอะไรไม่โอเคหรือเปล่า? แล้วสิ่งที่เราตอบคือ ‘ไม่ได้เป็นอะไร’ ‘ไม่มีอะไรหรอก’ แล้วเงียบ แผ่มวลให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ

 

ตรงกับคำอธิบายหนึ่งของ Silent treatment คือ ปฏิเสธที่จะสื่อสารทางคำพูดกับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นการแสดงออกแบบ Passive aggressive ใน Toxic relationship

 

อ้างอิงจาก Hall-Flavin พฤติกรรมแบบ Passive aggressive เป็นการแสดงออกอารมณ์ทางลบอ้อม ๆ นั่นคือ การกระทำและสิ่งที่พูดจะไปคนละทาง การงอนนี่แหละเป็นตัวอย่างที่ดี เงียบ เมิน สร้างบรรยากาศตึง ๆ หน่วง ๆ แต่บอกว่า ‘ไม่ได้เป็นอะไร’

 

เงียบ = เพิกเฉย

ก็ฉันไม่ผิด ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ยิ่งคุยยิ่งทะเลาะ

 

เพราะอะไรเราถึงเลือกที่จะเงียบ?

ความคาดหวังที่ไม่ยึดติดกับความเป็นจริง

การคาดหวังว่า ‘เขาจะต้องรู้ว่าเราเป็นอะไร’  เป็นความคาดหวังที่ไม่ยึดติดกับความเป็นจริงอย่างหนึ่ง ขอแชร์จากรายการ Open  relationship

 

อาจารย์ชลิดาภรณ์บอกว่า ‘มนุษย์ประดิษฐ์ภาษาเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ก็ใช้สิ’ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คู่หลงลืมไป

 

หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

เพราะรู้ว่าเปิดปากจะต้องทะเลาะกันแน่ ๆ ยิ่งถ้าเหนื่อยจากงาน เหนื่อยจากภาระในชีวิต แล้วเจอปัญหาความสัมพันธ์อีก คงจะไม่มีพลังงานเหลือไปพูดคุยปรับความเข้าใจ  หลายคนจึงเลือกที่จะเงียบ

 

การไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองดีพอ

ในการใช้ชีวิต หลายคนไม่มีเวลามานั่งสำรวจตัวเองหรอก ทำให้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีความคิด ความรู้สึก และอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ณ ตอนนั้นบ้าง การจะแสดงออกไปให้อีกฝ่ายรู้เลยเป็นไปไม่ได้

 

การลงโทษอีกฝ่าย

ข้อนี้ค่อนข้างร้ายแรง อ้างอิงจาก Medical news today บางคนใช้ความเงียบเพื่อลงโทษอีกฝ่าย หรือ ใช้ความเงียบเพื่อควบคุมบงการอีกฝ่าย

 

ซึ่งถือว่าเป็น Emotional abuse หรือ การล่วงละเมิดทางอารมณ์รูปแบบหนึ่ง

 

เมินเฉย

การเลือกที่จะเงียบในลักษณะนี้ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึก “ไร้ตัวตน” เหมือนไม่ได้อยู่ในสายตา และเหมือนถูกทิ้งให้อยู่กับความคิดมากของตัวเองไม่จบสิ้น

 

เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าเราคิดอะไร รู้สึกยังไง อีกฝ่ายจะกระวนกระวายใจและกังวลในความสัมพันธ์ เหมือน “ปล่อยเบลอ” เขาไปดื้อ ๆ

 

ต้องการเอาชนะ

บางคนใช้ความเงียบ “กดดัน” เพื่อให้ยอมขอโทษ ตามใจ ง้อหรือยอมพูดก่อน  เหมือนเป็นการปั่นหัวอีกฝ่ายและบางครั้งเป็นการโยนความผิดให้อีกฝ่าย

 

เงียบเพื่อทบทวน

เงียบเพื่อทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีถ้าในความสัมพันธ์ที่ใกล้กันแล้วมีแต่ทะเลาะ ที่ว่างก็เป็นคำตอบในความสัมพันธ์เช่นกัน

 

เงียบเพราะพื้นฐานการเลี้ยงดู

การเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นสภาพแวดล้อมแรกที่เด็กต้องเจอ ถ้าเราเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ล่อลอมให้เราไม่กล้าพูด

 

พูดไปแล้วถูกดุอาจทำให้ลูกกลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าพูดเวลามีอะไรเกิดขึ้น

 

ไม่อยากเงียบแล้ว สื่อสารแบบไหนให้ดีต่อใจ?

ฝึกสำรวจและรู้ทันความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ตัวเอง : เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนจากการเงียบเป็นการแสดงออกสิ่งที่ติดค้างอยู่ข้างในได้ ถ้ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า สิ่งนั้นคืออะไร มีหน้าตาเป็นแบบไหน

 

ตัดคำพูดเชิงลบออก : หากพร้อมแล้วที่จะพูดออกไป การตัดคำพูดประชดประชันเหน็บแนมออกไปให้เหลือแต่ความคิดและความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง

 

จะช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้มากกว่า เพราะหลายครั้งการพูดตามอารมณ์ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นำมาซึ่งการตอบโต้ที่ไม่เกิดประโยชน์

 

อย่าคิดว่า การต้องพูดในสิ่งที่เราไม่สบายใจ เป็นการหาเรื่องทะเลาะ : เข้าใจได้ว่าบางคนอาจจะเลือกที่จะเงียบเพราะคิดว่าถ้าพูดออกไปต้องทะเลาะกันใหญ่โตเเน่เลย

 

และคิดว่าเรื่องที่ตัวเองคิดและรู้สึกเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วๆม่ควรมองแบบนั้นเพราะการที่เราเป็นแฟนกัน เราก็ควรที่จะเเชร์กันได้ ถ้ามีใครคนใดคนนึงต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ จะเรียกว่าเป็นความรักที่ดีได้อย่างไร

 

ขอเวลานอก ถ้าไม่พร้อม : ถ้าต้องการถอยออกมาเพื่อคิด ทบทวน สงบสติอารมณ์ ก็มาตกลงกันว่าเราต่างคนต่างต้องการเวลาเพื่อกลับไปทบทวนและคิดกับตัวเองนะ ตกลงด้วยว่าต้องการเวลานานแค่ไหน

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

ที่มา

Why the ‘Guilt Trip’ Comes Naturally (but Can Be Problematic)

Why people use the silent treatment

What is passive-aggressive behavior? What are some of the signs?

บทบาทของ ‘ความเงียบ’ ในความสัมพันธ์

 

ถ้าพูดถึง การเปลี่ยนผ่านของช่วงวัย หรือ Coming of Age ทุกคนนึกถึงอะไรกันบ้าง . . .

 

บ้างก็นึกถึงการที่เราเติบโตการตกตะกอนของชีวิต บ้างก็นึกถึงหนังสือสักเล่มที่ทำให้เราได้อ่านทีละบท

 

มาร่วมกันนึกถึง Coming of Age ของแต่ละคนกัน 🙂 Alljit Podcast

 

 

Coming of Age คือ . .

เราได้ยินบ่อย ๆ กับคำว่า Coming of Age ภาพยนต์ส่วนใหญ่ก็มักจะเนื้อหาเกี่ยวกับ Coming of Age ของตัวละคร เลยขอยกอ้างอิงความหมายจาก Cambridge dictionary ได้กล่าวถึง Coming of Age ไว้ว่า 

 

someone’s coming of age is the time when that person legally becomes an adult and is old enough to vote.

การบรรลุนิติภาวะที่บุคคลนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่ตามกฎหมายและมีอายุมากพอที่มีสิทธเลือกตั้ง

 

the time when someone matures emotionally, or in some other way.

เวลาที่บุคคลมีวุฒิภาวะ,เติบโตทางอารมณ์หรือในทางอื่น

 

the time when something starts to become successful.

เวลาที่บางสิ่งประสบความสำเร็จ

 

แล้วจริง ๆ แล้วการ Coming of Age คืออะไร? ถ้าให้พูดถึงความหมายคงจะแตกต่างกันแล้วแต่ปักเจคบุคคลแต่ที่ชัดเจนคงเป็นเรื่องของคน ๆ นึงเติบโตผ่านวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ วัยชรา

 

 

 

การก้าวกระโดดจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ Jumping From Adolescence Into Adulthood

การค้นหาตัวเอง

เป็นช่วงวัยที่เราเริ่มมีการตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริง ๆ แล้วเราคือใคร,คนที่อยู่ข้าง ๆ เรามีใครบ้าง เป็นการค้นหาตัวเองในเกือบทุกๆอย่างไม่ว่าจะเป็น การงาน ความสุข ความสัมพันธ์ 

 

ความไม่แน่นอน

เป็นช่วงเวลาแห่งความไม่มั่นคง อาจเปลี่ยนงานหลายครั้ง ย้ายที่อยู่อาศัย เปลี่ยนแฟน การเป็นเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้การตัดสินใจบางทีก็เหนือเหตุผล

 

โฟกัสที่ตัวเองมากขึ้น

การเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เป็นครั้งแรกที่แต่ละคนสามารถทำสิ่งที่ต้องการโดยพื้นฐาน การมุ่งความสนใจไปที่ตัวเอง จุดประสงค์ที่จริงจังมากขึ้น มีความรู้สึกว่าต้องพึ่งพาตัวเอง

 

ความรู้สึกระหว่าง

เป็นความรู้สึกที่เรากำลังเป็นผู้ใหญ่หรือยังนะ มีการตั้งคำถามกับตัวเอง เหมือนเป็นความรู้สึกที่จะยอมรับดีไหมว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลองนึกภาพว่าเราไปร้านอาหารแล้วเราเรียกพี่ ๆ ในร้านว่าพี่คะ แต่ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนมาเรียกว่าน้องคะ 

 

ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ

เป็นวัยที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เป็นโอกาสที่จะได้เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิต แยกออกจากครอบครัวไปใช้ชีวิตเอง หรืออาจหมายถึงใครที่เคยอยู่ในครอบครัวที่ Toxic นี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้แยกตัวออกมา

 

 

 

สัญญาณที่ทำให้เรารู้สึกเราก้าวข้ามผ่านวัยหนึ่งมาแล้วนะ 

ในหลาย ๆ วัฒนธรรม ของแต่ละมุมโลกก็มีตัวกำหนดการโตเป็นผู้ใหญ่เช่นกัน การจะเติบโตนั้นต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อรับกับความเจ็บปวด และสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมา 

 

ยกตัวอย่างหนึ่ง บนเกาะบัฟฟินแถบขั้วโลกเหนือ หนุ่มสาวชาวเอสกิโม หรืออินูอิต ที่มีอายุครบ 11 ปี ต้องออกไปเผชิญชีวิตกลางป่าอันหนาวเหน็บ เพื่อเรียนรู้วิธีการล่าสัตว์และเอาตัวรอดท่ามกลางภูมิอากาศอันเลวร้าย

 

นับเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กที่ยังไม่มีภาระ สู่วัยผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้ 

 

แล้ววัฒนธรรมบ้านเรามีอะไรค่อนข้างเป็นสิ่งที่ชัดเจน ว่าเฮ้ย แกเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วนะ ถึงเวลาที่แกต้องทำแบบนี้ได้แล้วนะ 

 

ที่คิดออกมาอย่างหนึ่ง คือการบวชในทางพระพุทธศาสนา เมื่อ อายุ 20 พอดีนั่นเอง  เพื่อเรียนรู้ศึกษาพระธรรม และ หลังจากนั้นก็จะสามารถออกไปครองเรือน มีครอบครัวได้ 

 

แต่ถ้าในส่วนที่ไม่ได้เป็นรูปธรรมแต่เป็นสัญญาณหนึ่งที่รู้สึกว่ามันก็เป็นสัญญาณทำให้รู้สึกว่า นี่แหละ เรากำลังก้าวผ่านช่วงวัยหนึ่งแล้ว 

 

 

เปลี่ยนมาใช้ปากกา

ตอนประถมจำกันได้ไหมว่า เราจะต้องใช้ ยางลบ,ดินสอ แต่พอถึงช่วงวัยหนึ่งจากประถม  เราจะต้องเปลี่ยนไปใช้ปากกา จำได้ว่าตื่นเต้นที่จะต้องไปซื้อปากกา จะได้ซื้อลิควิด

 

เป็นการเปลี่ยนผ่านช่วงวัยจากเด็กที่ใช้ดินสอวาดรูป เขียนหนังสือ เป็นปากกา มันน่าตื่นเต้นมากเลย และรู้สึกเราโตอีกขั้นแล้ว

 

 

เปลี่ยนแนวเพลงที่ฟัง 

จากเพลงที่ผู้ใหญ่เปิดในวิทยุ เสียงที่ได้ยินตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่เราไม่เคยเข้าใจว่ามันเพราะตรงไหน การใช้ภาษาที่เราไม่ได้มองว่ามันมีคุณค่า ตอนนี้กลับเข้าใจอะไรหลายอย่างและสนใจบทเพลงพวกนั้นแล้ว

 

 

ผมหงอก

คนปกติวัย 30 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีผมหงอก เส้นผม เซลล์สร้างเนื้อผม เซลล์สร้างเม็ดสี ซึ่งจะคอยทำหน้าที่ป้อนเม็ดสีเข้าไปในเนื้อผม ทำให้เส้นผมไม่เกิดสีขาว เนื่องจากสาเหตุที่ผมมีสีขาวหรือที่เรียกกันว่า ผมหงอก

 

ในทางการแพทย์ให้คำอธิบายกับเรื่องนี้ว่า เกิดจากเม็ดสีเมลานินของเส้นผม ทำงานลดลง หรือหยุดทำงาน จึงทำให้ผมเป็นสีขาว ซึ่งจริง ๆ นี่ก็เริ่มเป็นสัญญาณที่ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังก้าวผ่านอีกช่วงเวลามาแล้วนะ

 

 

เริ่มทานของที่เราไม่ชอบทานในตอนเด็กแต่ตอนนี้ดันอร่อยขึ้นมา

จากอาหารที่เคยมีรสขมในวัยเด็ก กลับเป็นอาหารที่เราหยิบทานและโปรดปรานในวันนี้

 

 

 

รับมือกับ ช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต

“ช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต คือเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่เปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อตัวเองจุดประสงค์ของตัวเอง และวิธีที่ดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน การสูญเสียชีวิต ชีวิตใหม่ และทุกสิ่งในระหว่างทาง” 

 

จริง ๆ มันเป็นช่วงเวลาปกติที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน แต่มันเปราะบาง ไม่ง่าย และเป็นช่วงที่สำคัญที่เราควรจะจัดการกับมันให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้เราไม่มั่นคงได้ 

 

เราจะพยายามหาวิธีรับมือกับความเปลี่ยนผ่านยังไงดี รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ด้วย

 

บทความหนึ่งที่น่าสนใจ จากนายแพท ผศ.นพ. อวิรุทธ์ อุ่นอารมย์  ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เขียนไว้แต่ 3 วิธี จึงอยากนำมาฝากทุกคน 🙂

 

 

‘โอบรับ’ ความเปลี่ยนแปลง

หากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แล้วเราต่อต้านมัน ก็รู้สึกว่ามันจะยากขึ้นกว่าเดิมโดยธรรมชาติแล้วตราบใดที่เวลายังคงเดินต่อไป ความเปลี่ยนแปลงก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ดังนั้นการ ‘โอบรับความเปลี่ยนแปลง’ จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง

 

 

‘รับมือ’ กับความเปลี่ยนแปลง

การรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ขั้นตอนต่อจากนี้จึงเป็นเพียงข้อแนะนำในการข้ามผ่านการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น 

 

สำรวจใจ เมื่อเตรียมความพร้อมให้ใจโอบรับความเปลี่ยนแปลงว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติได้แล้วนั้น ขั้นถัดมา คือการสำรวจใจว่า รู้สึกอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงนั้นและสาเหตุที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น 

 

ส่วนมากแล้วก็จะเกี่ยวข้องกับมุมมองหรือความคาดหวังต่อสถานการณ์นั้น ๆ ซึ่งการจัดการกับอารมณ์ของแต่ละคนจะมีวิธีที่แตกต่างกันไป 

 

ลองสำรวจกิจกรรมที่ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย หรือหาคนที่สามารถรับฟังความรู้สึกเหล่านั้น ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ความรู้สึกดังกล่าวลดลงได้

 

การที่อารมณ์ลดลงแม้จะไม่หายสนิท แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ความสามารถของสมองส่วนเหตุผลได้ใช้มากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะหาแนวทางการจัดการกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดส่วนมากจะไม่สามารถควบคุมได้ แต่ผลกระทบที่ตามมานั้นอาจมีทางที่จะป้องกันหรือควบคุมได้บางส่วน เมื่อรู้สึกงานมากเกินกำลัง อาจหยุดพัก หรือพูดคุยปัญหาปริมาณงานกับคนอื่นในทีม หากเป็นไปได้

 

เมื่อปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้แล้ว หลายคนอาจมีผลกระทบด้านความรู้สึกตามมา เช่น ความรู้สึกผิด คิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลง หรือรู้สึกโกรธ

 

คิดว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดจากการที่คนอื่นทำอะไรไม่สมเหตุผล ความรู้สึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ต้องระวังว่าอาจเผลอเอาความคิดเหล่านี้มาตัดสินตนเอง หรือคนอื่นในปัจจุบันและอนาคต

 

คำถามที่ควรตั้งไว้กับตัวเองเมื่อผ่านความรู้สึกเหล่านั้นมาแล้วคือ เราได้เรียนรู้อะไรจากสถานการณ์นี้บ้าง และช่วงที่ผ่านมาเราสามารถจัดการมันได้อย่างไร หลังจากนั้นเก็บวิธีการจัดการไว้เป็น ‘บทเรียน’ ไม่ใช่ ‘บทลงโทษ’ 

 

 

 

Move on เป็นวงกลม

หลายครั้งการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่ายและสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ เราอาจจะเคยจัดการความรู้สึกบางอย่างได้ แต่มันก็กลับมาอีกได้เช่นกัน หรือที่หลายคนเรียกว่า move on เป็นวงกลม

 

ซึ่งหากเกิดขึ้นแล้วขอให้เตือนตัวเองได้เลยว่า สิ่งนี้เป็นวงจร ปกติและควรอนุญาตให้ตัวเองได้ใช้เวลากับความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงกลับไปสำรวจใจ สำรวจวิธีและสำรวจอนาคตอีกครั้ง

 

ในขณะที่เรามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัวหรือคนรอบตัวนั้น ตัวเราเองก็เปลี่ยนแปลงด้วยในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เปรียบเหมือนเป็นการเรียนรู้ชีวิตไปเรื่อย ๆ

 

 

 

Coming of Age ไม่มีอายุที่ตายตัว

Coming of Age หมายถึงแค่เฉพาะวัยของเด็กไปวัยรุ่น วันรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่หรือเฉพาะบางช่วงวัยแล้วจบสิ้น แต่มันจะวนเวียนมาหาเราครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อเราจัดการสิ่งต่า งๆ กับชีวิตของเราไม่ได้

 

เราคิดว่ามันสงบนิ่งลงแล้ว อีกสักพัก อีกสักห้าปี อีกสักสิบปี ความรู้สึกเปราะบาง อ่อนไหว ไม่แน่ใจกับชีวิต หรือความรู้สึกเหนื่อยล้าก็จะกลับมาอีกหน…และอีกหน วนไปมา เกิดขึ้นแล้วได้อีก

 

สุดท้ายอยากหยิบยก Quote นึง “ทุก ๆ เรื่องที่เรารู้จริง ๆ เราไม่รู้อะไรเลย” – มารีญา พูดเลิศลาภ รายการ Coming of Age ของรายการ The Cloud การที่เราเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดมันเป็นข้อดีและอันไหนที่เราไม่รู้เรายอมรับกับตัวเองได้นะ

 

ว่าเราไม่รู้เพราะไม่ใช่ว่าเราเกิดมาแล้วเราจำเป็นต้องเก่ง ต้องรับมือ ต้องเรียนรู้ทุกเรื่อง ถ้าเราไม่ยอมรับก็เหมือนว่าเราจะมีทิฐิ และความทิฐิกับอีโก้คือตัวร้ายในของเราเลยที่ทำให้เราไม่ยอมรับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต 😀

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

ที่มา

The Big Challenge: Jumping From Adolescence Into Adulthood

Releasing Your Emotional Pain Is a Necessity

Understanding Developmental Psychology

3 วิธีรับมือกับ ‘ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด’

Finding Ease With Transition in Ever Changing Times

 

 

 

 

“รักแท้” รักที่อะไร ตับ ไต ไส้พุง ? ทุกคนต้องเคยได้ยินเพลงนี้กันมาอยู่แล้วแน่ ๆ แต่ว่าเนื้อเพลงอันนี้ก็ชวนทำให้เกิดคำถามที่น่าสงสัยเช่นกันว่า รักแท้คืออะไรกันนะ ?

 

วันนี้เราจะมาร่วมพูดคุยกันใน Alljit Podcast ในรายการ Learn&Share หรือรับฟังได้ที่  Alljit Podcast

 

รักแท้ ในทางจิตวิทยา 

1. ทฤษฎีรัก 3 ตอน

ดร.เฮเลน ฟิชเชอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองได้กล่าวถึงความรักโรแมนติก หรือ รักแท้ ที่แบ่งออกได้เป็น 3 องค์ประกอบ ซึ่งในทุก ๆ องค์ประกอบจะมีฮอร์โมนต์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น 

 

1. ตัณหา ในช่วงตัณหาร่างกายจะถูกขับโดยฮอร์โมนเพศ 2 ตัว คือ เทสโทสเทอโรน และเอสโตรเจน 

 

2. แรงดึงดูด ในช่วงที่เราตกหลุมรัก โดพามีน เป็นสารเคมีที่ช่วยให้สมองตื่นตัว อยากคุยด้วยต่อ อยากสานสัมพันธ์ 

 

3. ความผูกพัน  ออกซีโทซิน ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับน้ำนมและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและ ทารก โดยมีการพบว่าออกซีโทซินจะถูกขับออกมาเมื่อชายหญิงมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ลึกซึ้ง 

 

2. สามเหลี่ยมความรัก (Triangular theory of love) 

ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg) เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของความรักและความรักในความสัมพันธ์รูปแบบต่าง ๆ มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ 

 

1.ความใกล้ชิด (Intimacy)  ความรู้สึกใกล้ชิด สนิทสนมและความผูกพัน ทั้งหมดนี้ทำเกิดความรู้สึกอบอุ่น ความเข้าใจกัน ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ระยะยาว

 

2.ความหลงใหล (Passion)  แรงเสน่หา นำไปสู่ความโรแมนติก ความดึงดูดทางกาย และทางเพศ

 

3.ความผูกมัด (Commitment) หรือ การตัดสินใจ ถ้าในระยะสั้น จะหมายถึง การตัดสินใจว่าจะเรารักกัน และในระยะยาวหมายถึง คำมั่นสัญญาที่จะรักษาความรักนั้นเอาไว้ 

 

ระดับและประเภทของความรักที่แต่ละคนได้รับขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งขององค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน เพราะมันมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เช่น ถ้าเรามีความใกล้ชิดมากขึ้นอาจทำให้มีความหลงใหล

 

และความผูกมัดที่มากขึ้น หรือถ้ามีความผูกมัดที่มากขึ้นอาจทำให้ความใกล้ชิดมากขึ้น หรือมีความหลงใหลต่ออีกฝ่ายมากขึ้น

 

รูปแบบของความรักตามมีอะไรบ้าง

1. การไม่มีความรัก Non-love/ ไม่มีทั้งสามองค์ประกอบ

 

เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีความรู้สึกรักต่อกัน ไม่สามารถนับว่าเป็นความรักได้เลย เกิดกับคนที่เราเพียงเเค่รู้จัก

 

2. ความชอบ Liking/ความใกล้ชิด

 

เป็นความรักที่เกิดจากความใกล้ชิดเท่านั้น เกิดขึ้นในความสัมพันธ์แบบเพื่อน 

 

3 .ความรักแบบหลงใหล Infatuated love/ความหลงใหล

 

เป็นความรักที่เกิดจากความหลงใหล พอใจกับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ใกล้ชิดสนิทสนม หรือมีข้อผูกมัดต่อกัน เช่น รักแรกพบ (Love at first sight) หรือ one night stand เป็นความรักที่ไม่มั่นคงแต่ก็สามารถสานต่อได้

 

4. ความรักแบบว่างเปล่า Empty love/ความผูกมัด

 

เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความผูกมัด ไม่มีความผูกพัน และความหลงใหล เช่น คู่รักที่ต้องแต่งงานกัน “คลุมถุงชน” หรือใช้ชีวิตร่วมกันมานาน จนหมดรักกัน แต่ยังอยู่ด้วยกัน  

 

5. รักแบบโรแมนติก Romantic love/ความใกล้ชิด+ความหลงใหล

 

เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความใกล้ชิดและความหลงใหล มักเกิดในความสัมพันธ์ที่ได้รู้จัก ได้ใกล้ชิดกันและเกิดความชอบพอกัน โดยไม่มีความผูกมัด เช่น FWB   

 

6. รักแบบเพื่อน Companionate love/ความใกล้ชิด+ความผูกมัด

 

เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความใกล้ชิดและความผูกมัด เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น ความสัมพันธ์แบบเพื่อน คนในครอบครัวหรือคู่รักที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาอย่างยาวนาน ไม่มีความชอบพอในเชิงเสน่หา แต่มั่นคง

 

7. รักลวง Fatuous love/ความหลงใหล+ความผูกมัด

 

เป็นความสัมพันธ์ที่มีเพียงความหลงใหลและความผูกมัด ความสัมพันธ์ประเภทนี้เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความพึงพอใจกันและตัดสินใจรักกันอย่างรวดเร็วอาจจะไม่รู้จักตัวตนของกันและกันจริง ๆ

 

8. รักแท้ Complete love  

ความรักที่ประกอบทั้ง 3 องค์ประกอบคือ  ความใกล้ชิด ความหลงใหลและ ความผูกมัด ซ฿่งจะเกิดเป็นรักแท้ หรือรักที่สมบูรณ์แบบตามทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก

 

 

ใครบัญญัติคำว่า “LOVE”

คำว่า “Love” ได้มาจาก “leubh” เป็นภาษาที่โปรโต-อินโด-ยูโรเปียนใช้เมื่อประมาณ5,000ปีที่แล้ว แสดงถึงความเมตตากรุณา ห่วงใยและความเสน่หา    

 

 

รักแท้ หน้าตาเป็นอย่างไรในมุมมองของเรา ? 

ไปแต่หากให้นิยามความรักในมุมมองของเรา ซึ่งเรายอมรับซึ่งกันและกันในทั้งด้านดีและไม่ดี  เมตตาต่อกัน เข้าใจกัน และเป็นทีมเดียวกัน 

 

รักตอนนี้คือรักแท้ เพราะถ้าคิดว่าไม่ใช่เราก็จะอย่าวิ่งหาความรักแท้ไปเรื่อย ๆ แล้วก็ไม่ได้เอ็นจอยกับความสัมพันธ์ปัจจุบัน แต่ที่มันเป็นรักแท้ได้ เพราะเรารู้สึกรักและไปกันได้ในหลาย ๆ ด้านของการใช้ชีวิต

 

รักแท้นั้นเกิดสองคนที่รักกัน และช่วยกันฝ่าฟันทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต ทั้งสองสามารถเป็นเกือบทุกอย่างให้กันและกัน เป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ครู ช่วยเหลือกันและกันให้เป็น  the best version.

 

 

ทำไมรักแล้วจึงทุกข์ ?

มักจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ประโยนี้จริงหรือเปล่า?  เราคิดว่าที่ทุกข์อาจจะเป็นเพราะรักเราไม่เท่ากัน ในกรณีที่รักเท่ากันที่ทุกข์เพราะว่า ไม่คุยกัน ไม่บอกความต้องการของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ 

 

ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ทุก ๆ ครั้งการที่เป็นทุกข์อาจลองเริ่มพูดคุยถึงความต้องการของกันและกันเพื่อหาจุดกึ่งกลางของกันและกัน  

 

แท้จริงแล้วเราคาดหวังอะไรจากความ รักแท้ ? 

สำหรับเราคงคาดหวังให้เขาตอบสนองเราได้ในทุกเรื่องที่เราอยากได้ แต่ความจริงแล้วนั้นอาจไม่ได้แบบที่ตั้งใจไว้  เราอาจคาดหวังความสมบูรณ์แบบในคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เรารักแต่ลืมไปว่า

 

เราเองก็มีแง่บวกแง่ลบ ความซับซ้อน แต่กับตัวเองให้อภัยได้ เข้าใจตัวเองได้ ซึ่งเวลาคบใครซักคนันอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ว่ามันจะมีทั้งที่เราชอบ และไม่ชอบ  

 

 

เคล็บลับที่จะทำให้เราเข้าใจคู่รักได้ดีมากยิ่งขึ้น 

การมองเห็นในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง เข้าใจว่าความเป็นไม่สมบูรณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนก็มีเหมือน ๆ กัน รวมถึงตระหนักรู้ถึงความคิดและความคาดหวังของตัวเอง

 

เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เกิดการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบหรือการไม่เป็นไปตามความคาดหวังของอีกฝ่าย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างคู่รักลงไปได้

 

 

คู่ชีวิต เนรมิตได้จริงหรอ?

เนรมิตได้ถ้าเราสื่อสารกัน และทั้งคู่ยินยอมที่จะปรับเข้าหากัน โดยเต็มใจ และไม่อึดอัดด้วยกันทั้งสองฝ่าย 

 

สามารถติดตามความอื่น ๆ ได้ที่ Alljit Blog

 

ที่มา :

ทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก 

ความรู้สึก หึงหวงน้อยใจ กับผู้คน สัตว์หรือแม้กระทั้งของใช้.. เพราะอะไรเราถึงรู้สึกหึง หวง และน้อยใจ ?

 

หึง หวง น้อยใจในทางจิตวิทยาคืออะไร ? หากมีความรู้สึกเหล่านี้มากเกินไปจะรับมืออย่างไรดี ? Alljit Podcast

 

หึง หวง น้อยใจ เหมือนหรือแตกต่าง

สารบัญ

ความรู้สึก หึงหวง อ้างอิงจาก APA Dictionary of Psychology ใช้คำว่า Jealousy ในทางจิตวิทยาอธิบายไว้ว่า เป็นอารมณ์ทางลบที่บุคคลมีต่อ ‘บุคคลที่ 3’ ที่มีแนวโน้มว่าจะมาแย่งบางสิ่งบางอย่างไป ในความสัมพันธ์โรแมนติก สิ่งที่กลัวว่าจะถูกแย่งไปคือความรัก

 

ความรู้สึก น้อยใจ จะเกิดขึ้นเมื่อเราได้รับ Attention หรือการได้รับความสนใจ น้อยกว่าที่ต้องการและคาดหวังไว้ เช่น พูดอะไรบางอย่างออกไป แล้วแฟนไม่ตอบรับอะไร อาจจะเกิดความรู้สึกน้อยใจ

 

ทำไมไม่ฟังเลย ทำไมไม่สนใจเลย เพราะเราอยากให้แฟนตอบรับหรือมีอารมณ์ร่วมไปด้วย แต่เขาไม่ทำแบบนั้น ทำให้เห็นได้ว่าความรู้สึก หึง หวง น้อยใจ พอมาทำความเข้าใจแล้วแน่นอนว่าแตกต่างกัน

 

แต่ที่ถูกมัดรวมเพราะความรู้สึกว่าทั้งสามอย่างนี้ถูกส่งต่อกันเหมือนวังวนเริ่มจาก หึง หวง แล้วก็น้อยใจที่ไม่ได้รับความสำคัญ 

 

 

หึง หวง น้อยใจ ในทางจิตวิทยา?  

อ้างอิงจาก APA มีการศึกษาที่ค้นพบว่า Jealousy หรือ ความรู้สึกหึงหวงมีความเชื่อมโยงกับ 3 ปัจจัย

 

1. Self-esteem (การรับรู้คุณค่าในตัวเอง)

คนที่ไม่เห็นคุณค่าตัวเองจะรู้สึกหึงหวงได้มากกว่า 

 

2. Loneliness (ความเหงา)

คนที่เหงาจะรู้สึกหึงหวงได้มากกว่า 

 

3. Aggression (พฤติกรรมก้าวร้าว)

ความรู้สึกหึงหวงจะทำให้มีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น เช่น ตี ผลัก หรืออาจจะแสดงออกมาในรูปแบบ Passive aggressive เช่น เมินคนที่ตัวเองโกรธ

 

4. การเลี้ยงดูก็สำคัญเหมือนกัน เราเอาตัวเองเป็นตัวตั้งในสิ่งที่เคยได้รับมาตอนเด็ก-โต แล้วคนที่เข้ามาหาเราทำความรู้จักกับเราไม่ได้ปฏิบัติแบบที่เราเคยได้รับมา 
5. ความคาดหวัง สิ่งที่ได้มาไม่เท่ากับสิ่งที่ให้ไป
6. กลัวความโดดเดี่ยว 

แต่เราสามารถฝึกฝนความรู้สึก หึง หวง น้อยใจ ได้นะ ..

การที่เราฝึก Self-Awereness การตระหนักรู้ต่อตัวเราเอง รู้จักตัวเอง พอเป็นความสามารถในการรับรู้ ความเข้าใจ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อเรา หรือพฤติกรรมของเราอย่างไรบ้าง

 

ก็จะทำให้เรามีการฉุกคิดได้ง่ายมากขึ้น ว่าตอนนี้เรากำลังรู้สึกแบบนี้อยู่นะ เพราะว่าตอนที่เรา หวง หึง น้อยใจ บางทีเราก็ไม่ได้ยอมรับตัวเองว่าเรากำลังรู้สึกแบบนี้อยู่ เหมือนว่าพอเรารู้สึกแบบนี้มันเป็นอารมณ์เชิงลบที่เราผลักออกไป ไม่ใช่ ไม่จริง กว่าจะยอมรับได้อาจระเบิดอารมณ์ไปแล้ว 

 

ความรู้สึก หึงหวง จะจัดการอย่างได้บ้าง

ความรู้สึกนี้มีที่มาได้หลายอย่าง เช่น เป็นเพราะ rival หรือบุคคลที่ 3 มีลักษณะที่เราอคติหรือไม่ชอบเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า เลยรู้สึกหึงหวง

 

เป็นเพราะเรากำลังยึดติดกับความเชื่อบางอย่างอยู่หรือเปล่า เช่น อาจจะเคยมีประสบการณ์โดนนอกใจมา เลยระแวงว่า แฟนไม่ตอบข้อความ แฟนไปคุยกับคนอื่นหรือเปล่า ซึ่งการยึดติดกับความเชื่อจะทำให้หลงลืมมุมมองอื่น ๆ ไปว่า แฟนอาจจะติดงาน แฟนอาจจะเกิดอันตราย อาจจะต้องทบทวนตัวเองเพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองให้ไม่ทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง

 

ความรู้สึก น้อยใจ

Recheck ความต้องการและความคาดหวังของตัวเอง ว่ายังอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงอยู่ไหม ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการ Attention อยู่แล้ว แต่ถ้าความต้องการนั้นมากเกินไป เช่น แฟนต้องคุยด้วยตลอดเวลา

 

ซึ่งเป็นไปไม่ได้ คงต้องจัดการตัวเองไม่ให้ความต้องการนั้นทำร้ายใคร อาจจะใช้วิธีการลดความคาดหวัง รวมถึงหันไปโฟกัสสิ่งอื่น ๆ เพิ่มเติม เพราะถ้าเรามีอะไรทำ เรามีอะไรที่ต้องใส่ใจ เรื่องอื่น ๆ จะมีความสำคัญน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ

 

การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ อ้างอิงจากบทความ Bustle กล่าวไว้ว่า ลองพูดคุยแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายดู ว่าความกลัวและความกังวลของเขามีหน้าตาแบบไหน แล้วพยายามเข้าใจเขาจากมุมมองเขา ถ้าเป็นไปได้ ลองทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นการแสดงออกว่าเราใส่ใจเขาให้มากขึ้นด้วย จะช่วยได้ 

 

 

หึง หวง น้อยใจ ยังไงให้น่ารัก ไม่ toxic?

จาก Psych central

พูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา

เกี่ยวกับความรู้สึกหึงหวง น้อยใจ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน ปรับจูนกัน เพื่อเติมเต็มความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างกัน เลือกที่จะสื่อสารเน้นบอกความรู้สึกของตัวเอง เช่น เรารู้สึกว่า เราคิดว่า แทนการไปจู่โจมหรือตำหนิอีกฝ่าย แล้วก็การพูดอ้อมไม่ได้ทำให้เห็นความรู้สึกจริง ๆ ที่เราพูดออกไป 

 

ปล่อยวางอคติ

ความหึงหวง อาจไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่เสมอไป ลองหยุดตัดสินว่า ความรู้สึกแบบนี้เป็นสิ่งที่ ‘แย่’ หรือ ‘ผิด’ เพราะจริง ๆ ความหึงหวงอาจจะเป็นสัญญาณเตือนที่ดี ว่าเรามีส่วนไหนภายในจิตใจที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม ซ่อมแซม 

 

ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น

เวลาเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นให้ฝึกสังเกตว่าเราโอเคกับอะไรไม่โอเคกับอะไร ถ้าเรายอมรับกับอารมณ์เหล่านี้ได้ เราจะเข้าใจตัวเราเอง

 

เอาใจเขามาใส่ใจเรา

ลองคิดว่าถ้าเราโดน toxic ใส่เราคงรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจเหมือนกัน ลองขอความร่วมมือ รับฟัง เคารพความเห็น เพื่อร่วมกันหาทางออกในความสัมพันธ์

 

ลองมองในสายตาคนนอก

ลองคิดในมุมคนนอกที่เรามองคนที่เรารู้สึกด้วย เช่น หึง หวง เพื่อนคนนี้มาก ๆ เพราะเขาเป็นคนน่ารัก นิสัยน่ารักมาก ๆ ก็ไม่แปลกเหมือนกันที่คนอยากจะมาทำความรู้จักเพื่อน พูดคุยสนิทกับเพื่อนเหมือนกัน แต่ถ้าเราหึงหวง toxic ใส่มาก ๆ เขาอาจไปจากเราก็ได้

 

สุดท้ายแล้วอยากฝากมุมมองดี ๆ จากบทความนี้ส่งท้าย “ลองอนุญาตให้ตัวเองเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ที่สามารถมีความรู้สึกหรือความคิดที่เราไม่ต้องการได้” เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ใคร ๆ

 

ต่างก็พบก็เจอกันทั้งนั้น สนใจที่สาเหตุและเรื่องราวเบื้องหลังนั้นดีกว่า ว่าเพราะอะไรเราถึงรู้สึกหรือคิดแบบนี้ เพื่อให้เข้าใจตัวเองและเมตตาตัวเองมากขึ้น

 

ถ้าเราโอเคกับการที่รับรู้ว่า “เราก็แค่คน ๆ หนึ่ง” คงไม่ทำให้รู้สึกแย่ซะจนส่งต่อความรู้สึกนี้ไปสู่คนรอบข้างด้วย เรียนรู้ที่จะอยู่กับอารมณ์ไม่ให้ความคิดในแง่ลบมากระทบกับจิตใจของเรา เพื่อปกป้องไม่ให้ความรู้สึกแย่เกิดในความสัมพันธ์

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

 

ที่มา

APA Dictionary of Psychology

Study links jealousy with aggression, low self-esteem

How To Deal With A Jealous Partner

 

 

ความรู้สึกและอารมณ์ทางลบเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่ปัญหาคือเราจะอยู่กับมันอย่างไร “เก็บไว้ในใจ” หรือ “ ระบายความรู้สึก ” แบบไหนดีต่อใจมากกว่าในทางจิตวิทยา ?

 

แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง? มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือรับฟังได้ที่  Alljit Podcast

เก็บไว้หรือ ระบายความรู้สึก แบบไหนดีกว่ากัน

ทั้งการเก็บไว้ และระบายออกมามีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป หากเรารู้สึกว่าการเก็บไว้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เป็นประโยชน์มากกว่าการที่พูดออกไปก็สามารถเลือกการเก็บไว้ได้

 

แต่หากเรื่องไหนที่เรารู้สึกว่าไม่สามารถเก็บไว้ในใจได้ ไม่ว่าจะด้วยความอึดอัดใจ หรือเหตุผลอื่น ๆ เราจะต้องสื่อสารให้ใครรับฟังเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์นั้น ๆ  ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะ ระบายออกมา

 

หรือเก็บไว้ในใจ ก็ควรใช้อย่างสมดุล และเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมต่อเหตุการณ์นั้น ๆ ไม่ควรใช้อะไรมากไป ไม่ควรใช้อะไรน้อยไป เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเราและไม่สร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์  

 

 

เก็บไว้ในใจ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร 

ข้อดี 

แสดงให้เห็นว่ากลไกทางจิตใจทำงานปกติ เพราะ การเก็บกด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เช่น กลัว โกรธ โมโห เราจะเก็บกดเอาไว้เป็นพื้นเดิมอยู่แล้ว ซึ่งการเกิดขึ้นอัติโนมัติแแบบนี้ หมายควมว่า จิตใจประมวลผลได้ปกติ

 

ข้อเสีย 

การเก็บความรู้สึกทุกอย่างไว้ในใจบ่อย ๆ ก็เหมือนกับภูเขาไฟที่รอวันระเบิดออกมา  

 

 

ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เป็นคนเก็บกด

1. ประสบการณ์ของตัวเองที่พยายามแล้วแต่ไม่ได้รับการตอบยสนองอย่างที่ควรจะเป็น หรือทำออกไปแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร เลยเลือกเก็บไว้ในใจ 

 

2. กลัวที่จะถูกตำหนิ หรือปฎิเสธ จึงไม่กล้าที่สื่อสาร ระบายความรู้สึกของตัวเองออกไป หรือแม้กระทั่งไม่กล้าที่จะพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป จึงเลือกเก็บและกดไว้ข้างใน 

 

 

ทำอย่างไร ให้กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจมากขึ้น 

การที่คนคนนี้ทำให้เรารู้สึกว่า พูดไม่ได้ บอกไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าคนทั้งโลกจะเป้นแบบเขา ทุก ๆ คนไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่าจะเกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแบบนั้น

 

เราจะไม่ปิดกลั้นตัวเอง และไม่คิดเชื่อมโยงว่าทุก ๆ คนจะต้องทำให้ฉันรู้สึกว่าจะต้องเก็บความรู็สึกเข้ามาอีก  อาจจะต้องเริ่มปรับมุมมองของตัวเองก่อน เราก็จะเริ่มไม่เชื่อใจคนอื่น รู้ว่าคนนี้พูดได้ไหม

 

ฉะนั้นเราจะต้องสร้างประสบการณืใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง เพื่อสามารถเข้าใจได้ใหม่ว่าคนทุกคนไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญ คือ เราต้องกล้ามากพอที่จะก้าวผ่านกำแพงของตัวเองออกไป อย่างน้อยจะมีซักหนึ่งที่เราคุยได้ 

 

หากรู้สึกว่าเราไม่อยากเก็บเอาไว้ และยังไม่พร้อมพูดคุยกับคนอื่น ก็สามารถคุยกับตัวเอง บันทึกความรู้สึก ก็เป็นอีกวิธีที่ได้ลบความรู้สึกบางอย่างออกไปได้บ้าง เพราะสุดท้ายเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

 

 

ระบายความรู้สึก มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

ข้อดี 

ไม่อึดอัดใจ และอีกฝ่ายได้รับรู้ในสิ่งที่เราคิด อย่างน้อยก็ทำให้เราเบาสบายลง ไม่จมปักกับความรู้สึกนั้น 

 

ข้อเสีย 

 เราก็จะไม่เรียนรู้ที่จะจัดการกับความรู้สึกตัวเอง ทุกอย่างผ่านไปแล้วเมื่อเราพูดระบาย หรือ จริง ๆ แค่ถูกวางไว้โดยไม่ได้จัดการ หากวันหนึ่งสิ่งเดิมกลับมากระทบจิตใจอีก สุดท้ายก็จะวนอยู่ในปัญหาเดิม ๆ

 

เพราะเราแค่ระบายออกไป แต่ยังไม่ได้จัดการกับสิ่งนั้น อีกหนึ่งข้อเสียคือ กระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เพราะไม่มีใครสามารถรับฟังเราได้ตลอดเวลา หรือทุกเรื่อง 

 

 

ระบายความรู้สึก ออกมา อย่างไรไม่ให้กระทบคนรอบข้าง 

1. ประเมินคนที่รับฟังเราว่าเขาพร้อมรับฟังเราไหม ด้วยการสอบถามว่าเขาว่างไหม สะดวกไหม ณ ตอนนั้น เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่จะต้องทำเช่นกัน 

 

2. ประเมินเรื่องที่อยากจะระบาย  สิ่งที่เราระบายสัมพันธ์กับคนที่คอยรับฟังเราไหม มีอะไรไปกระทบตัวเขาหรือไม่ 

 

3. ความพอดีในการระบายความรู้สึก และควรมีวิธีการอื่นเพื่อรับมือกับปัญหาเพื่อให้ตัวเองหายจากภาวะอารมณ์นั้น

 

 

รีเช็คตัวเองว่าเหมาะกับแบบไหน

ควรรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง เมื่อเกิดสถานการณ์ใด ๆ ขึ้นกับตัวเอง ให้ลองถามตัวเองว่ารู้สึกอะไร ถ้าเราบอกอารมณ์ของตัวเองได้  เราจะจัดการอารมณ์นี้ต่อได้อย่างไรต่อไปได้ด้วย  

 

ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกคนมีพื้นฐานการจัดการกับอารมณ์ แต่บางครั้งเราลืมกับวิธีจัดการนั้นไป ค่อย ๆ ดึงวิธีนั้นออกมาใช้ หรือ ลองใช้วิธีของคนรอบ ๆ ข้อง ค่อย ๆ ลองผิดลองถูกกับตัวเองเพื่อให้เกิดประสิทธภาพกับเราที่สุด

 

 

สามารถติดตามความอื่น ๆ ได้ที่ Alljit Blog

 

 

ปล่อยวาง ดูสิ”… คำที่ใคร ๆ ก็พูดกันอยู่เสมอเวลาเจอปัญหา จริง ๆ แล้วปล่อยวางคืออะไร? ทำได้จริงไหม?

 

เราจะปล่อยวางอย่างไรไม่ให้หลอกตัวเอง ? มาหาคำตอบกันในรายการพูดคุย X คุณรัชดาภรณ์ ศรีวิลัย นักจิตวิทยาคลินิก 🙂 หรือรับฟังได้ที่ Alljit Podcast

การ ปล่อยวาง คืออะไร 

การปล่อยวาง เปรีบได้เหมือน เราไม่เอามาไว้ในใจ เอาไปตั้งไว้ที่อื่น เหมือนตอนเรายกของไว้ในมือ ถ้าเรายกของเพิ่มขึ้นก็จะหนักมากขึ้น แต่ถ้าเรารู้ว่ามันวางได้ มันไม่ได้สำคัญในชีวิต 

 

ก็จะทำให้เราปล่อยวางได้ง่ายขึ้น ซึ่งการปล่อยวางไม่ได้ทำง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่เราจะฝึกฝน ให้เราสามารถปล่อยกับสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิตได้ 

 

 

หลอกตัวเอง คืออะไร 

การหลอกตัวเองคือ การเป็นทำเหมือนว่าเข้าใจ ทำเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไร ทำเหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้น แต่สุดท้ายวันหนึ่งเมื่อมีอะไรมากระทบ ความรู้สึกก็จะสั่นคลอน เพราะว่า ณ ตอนนั้น

 

เราเพียงแต่บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ช่างมัน โดยไม่แก้ไข ซึ่งจริง ๆ แล้วเรายังไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริง ยังคิดวนเวียนกับสิ่งเดิม ก็คล้ายกับการหลอกใจตัวเองว่าไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว

 

 

จุดที่บอกได้ว่า ปล่อยวาง หรือ หลอกตัวเอง 

ดูที่ความรู้สึกของเราที่มีต่อเรื่องนั้น ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถมองเห็น และสามารถออกมาเป็นผู้ดูได้โดยความรู้สึกไม่เข็มข้นเท่าเดิม เปรียบเที่ยบกับการที่เรานั่งบนหาดทรายแล้วนั่งมองคลื่นที่ซัดเข้ามาที่ชายหาด

 

คลื่นเปรียบเสมือนปัญหา ถ้าเราปล่อยวางได้เราก็คงยื่นมองคลื่นและเลือกหาวิธีที่จะจัดการคลื่นนั้น แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเรายังหลอกตัวเองอยู่ ว้าวุ่น กระวนกระวายใจ ก็เปรียบเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ถูกซัดอยู่แบบนั้น 

 

การหลอกตัวเอง คือการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งไหม 

กลไกการป้องกันจิตใจมักจะเกิดขึ้นเมื่อ เรามีความกังวล ความกลัว  ไม่สบายใจ โดยเกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม เราพยายามยามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง หรือบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร

 

คงทำให้เราสบายใจขึ้น ณ ตอนนั้นและผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ง่ายขึ้น  ดังนั้นคนหนึ่งคนจะใช้กลไกอะไรมันขึ้นอยู่ที่ว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้นมากแค่ไหน เราใส่ใจกับเรื่องนั้นมากขนาดไหน

 

แต่ละคนก็จะมีกลไกการป้องกันตัวเองที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือ กลไกการป้องกันตัวเองควรใช้อย่างหลากหลาย และใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ 

 

 

พยายามปล่อยวางมากเกินไป เท่ากับ หลอกตัว ? 

อะไรที่ควบคุมไม่ได้ก็ต้องปล่อย อาจจะดูคล้ายการหลอกตัวเองแต่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราปล่vยว่างเกินไป ละเลย ไม่ใส่ใจ ก็ไม่ได้แปลว่าหลอกตัวเอง เพียงแต่เรื่องนั้นอาจไม่ได้มีสาระสำคัญกับเราจึงไม่รู้ว่าจะใส่ใจไปทำไม 

 

 

การปล่อยวางเริ่มต้นอย่างไร 

1. ตระหนักว่า เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างบนโลกนี้ได้ 

เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างบนโลกนี้ได้ ขนาดบางครั้งเรายังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย ฉะนั้นตราบใดที่เรารู้ว่าเราคุมทุกอย่างไม่ได้ เราก็จะไม่เอาตัวเองไปวางอยู่บนนั้น

 

ถ้าเรารู้ว่าสถานการณ์ทุกอย่างบนโลกเราไม่ได้ควบคุมได้ทั้งหมด เราก็จะปล่อยวางกับบางอย่างได้ง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเห็นด้วยว่าเรามีอะไรที่คุมได้ พอเราเห็นครบทุกด้าน ก็จะปล่อยว่างได้ง่ายขึ้น 

 

2. ตราบเท่าที่เราเป็นมนุษย์ ทุกอย่างบนโลกเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรยั่งยืน 

ทุกอย่างจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน ตัวเราเองในเมื่อวาน และวันนี้ก็ไม่เหมือนกัน พอรับรู้ว่าไม่มีอะไรยั่งยืนในชีวิตเราหรอก เราก็จะไม่ได้ทุ่มให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นมากจนไม่สามารถปล่อยวางได้ 

 

3. เราผิดพลาดได้ 

เราทุกคนสามารถผิดพลาดได้ หากเราแบ่งพื้นที่ไว้สำหรับความผิดพลาด เผื่อพื้นที่เหลือไว้ให้เราได้ล้มได้ลุก  เพื่อไม่แบกทุกความรู้สึกของเราไว้หากวันหนึ่งเราเกิดความผิดพลาดขึ้น

 

 

หากปล่อยวางไม่ได้จริง ๆ เราจะทำอย่างไร 

ถามตัวเองว่าที่เราปล่อยไม่ได้เป็นเพราะอะไร จุดเริ่มต้นของปัญหาอยู่ตรงไหนที่ทำให้เราปล่อยวางไม่ได้ และไปจัดการที่ปัญหานั้น พอปัญหาดีขึ้น ปัญหาคลี่คลายลง เราจะปล่อยวางลงได้ 

 

 

ปล่อยวาง ดีอย่างไร 

1.  เราจะสงบและ ผ่อนคลาย มีความสงบสุขอยู่ภายในจิตใจของเราเอง 

 

2.  เราจะเรียนรู้เรื่องที่เราไม่คาดหวัง และเราก็จะไม่ผิดหวัง 

 

3. เราจะมีพื้นที่ของการสร้างความรู้สึกรักตัวเอง เราจะไม่ให้คุณค่ากับสิ่งรอบ ๆ ตัว เกินมากกว่าตัวเราเอง 

 

 

สามารถติดตามความอื่น ๆ ได้ที่ Alljit Blog

 

ดูคลิปสัตว์แล้วรู้สึกมีความสุข เพราะอะไรการดูคลิปสัตว์หรือการเลี้ยงสัตว์ถึงทำให้รู้สึกมีความสุข ? สัตว์เลี้ยงสามารถฮีลใจในทางจิตวิทยาได้หรือไม่ ?

 

 

ดูคลิปสัตว์แล้วมีความสุข เมื่อคลิปสัตว์เยียวยาหัวใจ

ช่วงประมาณกลาง ๆ เดือนที่แล้วเวลาเล่นโซเชียลปฏิสธไม่ได้เลยว่ากระแสของ ‘น้องจุ๊มเหม่ง’ มาแรงจริง ๆ  การดูคลิปสัตว์สามารถช่วยฮีลใจเราได้จริง ๆ คุณแป้นพูดตอนสัมภาษณ์ในรายการ

 

ไว้ว่า “ดีใจมากๆที่คลิปของจุ๊มเหม่งช่วยเยียวยาจิตใจคน ทำให้คนหัวเราะได้ ยิ้มได้ แค่นี้มันที่สุดแล้ว” คุณแป้นยังบอกอีกว่า “เด็กๆ เขาเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้กับโลกนี้อยู่แล้ว”

 

 

เพราะอะไรถึง ดูคลิปสัตว์แล้วมีความสุข

1. ความน่ารัก

ความน่ารักคือความดึงดูด นักสัตวิทยาชาวออสเตรีย ได้เสนอแนวคิดชื่อว่า Kinder Schema  เพื่ออธิบาย ‘ความน่ารัก’ ว่าเกิดจาก ‘ลักษณะของความเป็นทารก’ สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายทารก

 

จะมีส่วนให้สิ่งมีชีวิตนั้นดูน่ารัก เกิดความรู้สึกดีที่ได้มอง มีแรงดึงดูดให้อยากดูแลปกป้อง ยิ่งเหมือนทารก ยิ่งน่ารัก ยากจะหักห้ามใจได้ ไม่แปลกเลยที่เราจะหลง อยากเหมาอาหารมาให้

2.สัญชาตญานของมนุษย์

มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เหมือนกันว่าที่เรารู้สึกมีความสุข เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามสัญชาตญานของคน เริ่มจากสมองกลีบหน้าผากส่วนหน้า จะทำงานโดยอัตโนมัติให้เรารู้สึก

 

อยาก ปกป้อง เลี้ยงดู สิ่งนั้น ๆ ส่วนที่สองคือ Nucleus Accumbens เป็นส่วนหนึ่งของสมองที่เชื่อมโยงกับการให้รางวัล ความพึงพอใจ และการเสพติด จะปล่อยสารเคมีที่ชื่อ

 

‘โดปามีน’ ซึ่งเป็นสารเดียวกับที่ร่างกายได้รับเมื่อตกหลุมรัก มีเซ็กส์ ใช้ยาเสพติด ซึ่งช่วยให้เรารู้สึกดีและมีความสุข นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงชอบคลิปสัตว์น่ารัก ๆ บนโซเชียล

3.ช่วยเปลี่ยนโฟกัส

ช่วยดึงเราออกมาจากความเครียดไปในช่วงเวลานึง เมื่อเปลี่ยนโฟกัสมาที่น้อง ๆ ก็จะช่วยให้ความเครียดคลายลงได้  ถ้าอยากจะลองหาคลิปสัตว์มาดู

 

เพื่อคลายเครียด ขอแนะนำ “ควอกกา”  จิงโจ้เเคระ จุดเด่น คือ น้องจะมีหน้าที่เหมือนยิ้มตลอดเวลา เลยถูกเรียกว่า ‘สัตว์ที่มีความสุขที่สุดในโลก’

4. ความหมั่นเขี้ยว

ความหมั่นเขี้ยว หรือ Cute aggression อยากฟัดพุงหมาแมว หอมให้แก้มบี้  เชื่อว่าทุกคนอาจเคยทำกับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง พฤติกรรมเหล่านี้เรียกว่า ความหมั่นเขี้ยว อาการมันเขี้ยวเป็นอาการแบบ

 

‘Dimorphous expression’ เป็นพฤติกรรมการแสดงออกที่ไม่ตรงกับความรู้สึกภายใน เหมือนกับคนที่ร้องไห้เพราะดีใจ หรือคนที่หลุดหัวเราะออกมาตอนที่กำลังโมโห เป็นสัญชาตญานของมนุษย์

 

 

สัตว์เลี้ยงกับสุขภาพจิต

นอกจากการดูคลิปสัตว์โลกต่าง ๆ ช่วยฮีลจิตใจเราได้  ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า  ‘Pet therapy’  หรือ ‘สัตว์เลี้ยงบำบัด’ เป็นการใช้สัตว์เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือและฟื้นตัวจากปัญหาทางสุขภาพ

 

การบำบัดด้วยสัตว์สร้างขึ้นจากแนวคิดที่เรียกว่า ความผูกพันระหว่างมนุษย์กับสัตว์  (Human-animal bond)  การมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยงที่น่ารักและเป็นมิตร จะสร้างสภาวะสงบภายในตัวบุคคล

 

ลดความเครียด ลดความกังวลและซึมเศร้าได้ Pet Therapy ส่วนใหญ่จะถูกนำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมการรักษา รวมถึงช่วยควบคุมพฤติกรรม ทำให้การรักษาหลักมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

ดูคลิปสัตว์แล้วมีความสุข ยังมีผลดีอะไรอีกบ้าง?

1. ลดความกังวลและความเครียด

2. ช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวผ่านการทำกิจกรรม เช่น เดินเล่น ว่ายน้ำ

3. ให้ความเป็นเพื่อน ลดความเหงา 

4. เพิ่มปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

5. ปรับปรุงอารมณ์ให้มีความสมดุลมากขึ้น เพิ่มแรงจูงใจและโฟกัส

6. ลดการรับรู้ความเจ็บปวด

 

 

อยากเลี้ยงสัตว์สักตัวบ้าง ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?

การตัดสินใจรับน้อง ๆ มาเลี้ยง ต้องมีการคิดและวางแผนอย่างรอบคอบ ความพร้อมที่ว่ามาจากหลายปัจจัย ได้แก่

1. ศึกษาธรรมชาติของสัตว์

เราต้องศึกษาธรรมชาติของสัตว์แต่ละชนิด รวมถึงสายพันธุ์ที่เราจะเลี้ยงให้ดี  พิจารณาร่วมกับธรรมชาติของเราด้วย เช่น เราเป็นคนพลังงานน้อย การที่จะเลี้ยงไซบีเรียนอาจจะไม่เหมาะ 

2. สภาพแวดล้อม

สัตว์บางชนิดต้องการพื้นที่สำหรับการวิ่งเล่น ยิ่งกับสุนัขที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ 

3. ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยง

โดยส่วนใหญ่แล้วจะมี ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์ ค่าฉีดวัคซีน ค่าถ่ายพยาธิ ค่ารักษาหากเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย

4. ความรับผิดชอบต่อสัตว์และผู้อื่น

ความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยง เช่น มีเวลาดูแล ความรับผิดชอบต่อผู้อื่นก็สำคัญ เช่น ถ้าเราเลี้ยงสัตว์มีเสียง สัตว์เลี้ยงเราอาจจะสร้างความรบกวนกับคนอื่นๆ ได้

 

 

ในเวลาเศร้า ๆ น้องหมาน้องแมวเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยทุกคนได้แน่นอน แต่อย่าลืมดูแลน้องดี ๆ นะคะ 🙂 ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่ Alljit Blog – สุขภาพจิตใจเราช่วยได้

 

 

ที่มา :

วิทยาศาสตร์ว่าด้วยความน่ารัก

What to know about animal therapy

 

พ่อแม่รักลูกเท่ากันไหม ? คำว่า “ลูกรัก ลูกพ่อ ลูกแม่” เพื่อใช้เรียกลูกคนโปรดของพ่อหรือแม่ แล้วก็จะมีคำว่า “ลูกชัง” เพื่อใช้เพื่อเรียกคนที่ไม่ใช่คนโปรดของครอบครัว

 

จนหลายครั้งก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า พ่อแม่รักลูกเท่ากันจริงๆเหรอ? วันนี้เราจะมาร่วมพูดคุยกันใน Alljit Podcast กับรายการ Learn&Share 😊

คำพูดที่ว่า ‘พ่อแม่รักลูกเท่ากันไหม’ ?

โดยแพทย์ 

คุณหมอ พญ.พนิดา รณไพรี กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็กกล่าวว่า รักเป็นความรู้สึก คงไม่มีใครตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าเกิดถามหมอ หมอว่ามีโอกาสเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง

 

ทั้งที่รักเท่ากันและไม่เท่ากัน ขึ้นกับบริบทว่า พ่อแม่ลูกมีภูมิหลังกันมาอย่างไร หมอมองว่ารักลูกเท่ากันมีโอกาสเป็นไปได้ แต่รักลูกเหมือนกัน อาจจะเป็นไปไม่ได้ เช่น รักเท่ากัน แต่อาจแสดงออกคนละอย่าง

 

โดยงานวิจัย 

การวิจัยของนักวิชาการอังกฤษแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอล เปิดเผยว่า พ่อแม่มีแนวโน้มจะรักลูกคนโตมากกว่าลูกคนเล็ก ในครอบครัวที่มีลูก 2 คน โดยสังเกตได้จากพฤติกรรม เช่น

 

เมื่อลูกคนแรกเกิดมาจะได้รับความเอาใจใส่มากกว่า ทั้งการเลี้ยงดู ความเสน่หา รางวัลของขวัญ ได้รับความเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างเต็มที่ 

 

ด้านของ Kristina Durante ศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัย Rutgers ได้ทำการวิจัยในเรื่องนี้ เธอพบว่าเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี พ่อแม่จะรักลูกสาวมากกว่า แต่ถ้าเศรษฐกิจดี พ่อแม่จะรักลูกชาย

 

เหตุผลก็เป็นเพราะผู้ชายที่ประสบความสำเร็จจะ เป็นพ่อของลูกได้มากกว่าผู้หญิง ซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องช่วงวัยและจำนวนลูกหลานที่สามารถมีได้ ในทางกลับกัน ผู้ชายที่ยากจนก็ไม่สามารถจะดูแลลูกได้ดี

 

ขณะที่ผู้หญิงที่ยากจนจะทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ได้ดีกว่า คนที่ร่ำรวยจึงมักจะชอบลูกชาย เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่า สังเกตได้ว่าผู้ชายที่ร่ำรวยจะน่าดึงดูดกว่า เลยมีโอกาสที่จะให้กำเนิดลูกหลานจำนวนมากได้

 

ขณะที่ผู้ชายที่ยากจนจะมีเสน่ห์น้อยกว่าเลยทำให้หาคู่ครองได้ยากกว่า การที่พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ลึก ๆ แล้วส่วนหนึ่งก็มีสาเหตุมาจากมุมมองเชิงวิวัฒนาการนั่นเองว่าลูกคนไหนมีแนวโน้มจะสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ดีกว่า 

 

โดยความคิดเห็นส่วนตัว 

ความรักวัดไม่ได้ มองไม่เห็น เหมือนจับต้องไม่ได้แต่ การแสดงออกมันเห็นได้ชัดกว่า เพราะฉะนั้นถ้าการแสดงออกไม่เหมือนกัน ก็คิดได้ว่ารักไม่เท่ากัน รักลูกไม่เท่ากันเกิดขึ้นได้จริง จากการเเสดงออกของครอบครัว

 

 

สาเหตุใดที่ทำให้เกิดความรู้สึก พ่อแม่รักลูกเท่ากันไหม ?

บุคลิก ความสนใจ ความต้องการ และวิธีการแสดงความต้องการที่แตกต่างกัน เด็กบางคนก็ต้องรับมือกับภาวะบางอย่าง เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า ซึ่งอาจส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมที่รับมือได้ยากกว่าลูกคนอื่น

 

จึงอาจเป็นไปได้ว่าการที่พ่อแม่รักลูกคนหนึ่งมากกว่า ก็เพราะเด็กคนนั้นเลี้ยงง่ายและอยู่ด้วยได้ง่ายกว่า อีกสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ ความสนใจของสมาชิกแต่ละคนในบ้านก็ส่งผลต่อการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน 

 

คำว่า ‘Parental favoritism’ คือ พ่อแม่แสดงความลำเอียงต่อลูกคนใดคนหนึ่งแบบสม่ำเสมอ ทั้งใช้เวลาร่วมกันเยอะกว่าคนอื่น ไม่เข้มงวด และมีสิทธิพิเศษให้ลูกคนนี้ ถึงแม้ว่าในฐานะพ่อแม่มักจะพยายามวางตัวเป็นกลาง

 

และปฏิบัติต่อลูกทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่การที่ต้องรู้สึกเท่ากันมันยากกว่าที่คิด เพราะจริง ๆ แล้ว พ่อแม่ทุกคนล้วนมีลูกคนโปรด

 

 

ปัจจัยที่ทำให้พ่อแม่มีคนโปรด

1.  ลำดับการเกิด (birth order) – ลูกคนเเรกเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ และเธอคือ ภาพลักษณ์ของแม่ เมื่อเติบโตเป็นสาว แม่อาจจะรู้สึกว่ากิริยาท่าทาง พฤติกรรม และทัศนคติของลูกสาวสะท้อนถึงตัวเอง 

 

และถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจ ความลำเอียงก็เกิดขึ้นได้ โดยปกติแล้วลูกคนโปรดของบ้านจะเป็นคือลูกคนโตหรือลูกคนเล็ก เพราะลูกคนโตจะได้ที่พิเศษในใจของพ่อแม่และลูกคนเล็กต้องการความเอาใจใส่ 

 

2. เพศ – อาจจะมาจาก ค่านิยม ทัศนคติและวัฒนธรรมของแต่ละครอบครัว รวมถึงไปถึงระดับประเทศ

 

3.  ความฉลาด อุปนิสัย – เด็กคนไหนเก่งมากก็จะได้รับการสนับสนุนมากเป็นพิเศษ เคยคุยกับเเม่เพื่อน เเขาบอกว่าจะส่งลูกได้มากเท่าที่ทำได้ ทั้งเรียนพิเศษ ซื้อหนังสือแต่กับลูกอีกคนบอกว่าส่งไปก็ไม่รู้จะจบไหม

 

4.  ปัจจัยทางการเงิน – ที่ผู้ปกครองนิยมเด็กผู้หญิงในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีและเด็กผู้ชายในช่วงเศรษฐกิจดี อาจเป็นเพราะผู้ชายที่ประสบความสำเร็จสามารถมีบุตรได้มากกว่าผู้หญิง

 

ซึ่งจำกัดด้วยจำนวนทารกที่สามารถให้กำเนิดได้ ในทางกลับกัน เด็กชายที่ยากจนอาจไม่มีบุตรในขณะที่เด็กหญิงที่ยากจนมีแนวโน้มที่จะมีบุตรมากกว่า

 

 

ลูกคนกลาง (Wednesday’s child)

ลำดับการเกิดก็มีผลต่อจิตใจและอารมณ์ของลูกจริง ๆ สภาวะลูกคนกลาง ก็อาจส่งผลให้ลูกรู้สึกไม่มั่นคงได้ และตัวแม่เองก็อาจทำให้ลูกรู้สึกแบบนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ลูกคนแรกอาจจะดูแลดี ลูกคนที่สอง พ่อแม่อาจรู้สึกเฉย ๆ ที่เขาเกิดมา ทำให้ไม่ได้ดูแลเป็นพิเศษ แต่พอมีลูกคนเล็กกลับมีความรู้สึกว่า ต้องดูแลเอาใจใส่เยอะ ก็จะทำให้ลูกคนกลางน้อยเนื้อต่ำใจ ระแวง

 

สงสัยต่อความรักของพ่อแม่ และอาจส่งผลต่อพฤติกรรม เช่น ลูกคนกลางดื้อ ต่อต้าน โมโหก้าวร้าว หรือไม่ก็เป็นเด็กที่มีพฤติกรรมยอมคน ซึ่งถามว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมผิดปกติไหม มันก็ไม่ผิดปกติ มันเกิดขึ้นได้ 

 

“ช่วงอายุลูกที่ห่างกันสองปี เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องจะอิจฉากันมากที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าวางแผนจะมีลูก ก็อยากจะให้พี่คนโตอายุมากกว่าสามขวบขึ้นไป”

 

 

ผลกระทบจากความรู้สึก รักลูกไม่เท่ากัน 

1. สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป เพราะขนาดพ่อแม่ของตัวเองยังไม่รักเขาเลย 

 

2. การรับรู้ในคุณค่าของตัวเองต่ำ ซึ่งจะทำให้เด็กไม่สามารถยอมรับตัวเอง และพัฒนาตัวตนที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพของเขาในอนาคตได้

 

3. พฤติกรรมเรียกร้องความสนใจ ในเด็กบางคนเลือกที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้พ่อแม่หันกลับมามองและสนใจเขา ถึงแม้สิ่งที่เขาทำจะเป็นที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมก็ตาม

 

ความพยายามที่ไม่เป็นผล นานวันเข้าความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะค่อย ๆ กัดกินหัวใจเกิดเป็นบาดแผลทางใจ และรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพ่อแม่และพี่น้อง

 

4. ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง เด็กอาจจะทำตัวห่างเหิน และไม่อยากใกล้ชิดกับพี่น้องตนเอง เพราะรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นน้องหรือ พี่ได้รับความรักในขณะที่ตัวเองไม่เคยได้รับเช่นนั้น

 

5. เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า เพราะความเครียด ความเกลียดตัวเองจากการไม่ได้รับความรักส่งผลต่อการไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ยิ่งทำให้ไม่รู้ว่าตนเองจะอยู่ไปเพื่อใคร หรือ สิ่งใด? 

 

นอกจากตัวของลูกที่ไม่เป็นคนโปรดจะได้รับผลกระทบแล้ว ตัวของลูกคนโปรดเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน  เขาจะเกิดความรู้สึกไม่พออยู่เสมอ ฉันต้องได้มากกว่านี้ ต้องเป็นที่ 1 จนกลัวการล้มเหลว

 

ใช้ชีวิตแบบกดดันว่าไม่มีที่ว่างให้ความผิดพลาดหรืออาจจะเกิดความรู้สึกผิดต่อพี่น้อง จนผลกระทบลามไปถึง familiy unit คือ ความสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดความตึงเครียด toxic ห่างเหิน

 

การชิงดีชิงเด่นของพี่น้อง (sibling rivalry) ด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก เหมือนถูกทอดทิ้ง อาจนำไปสู่ความต้องการอิสระ เขาจะไม่ต้องการพ่อแม่ ไม่ต้องการใครเลยและนำไปสู่การแยกตัว

 

 

วิธีการทำความเข้าใจ ยอมรับ หากรู้สึกว่า พ่อแม่รักลูกเท่ากันไหม ?

1. ยอมรับ และอนุญาตให้ตนเองรู้สึกโกรธ

2. หาที่พึ่งพิงทางใจ หรือ พื้นที่ปลอดภัย

3.  บอกความรู้สึกของเราออกไปให้พ่อแม่ได้รับรู้

4. เรียนรู้ที่จะรักตัวเองก่อน

 

 

ทำอย่างไรให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้ลำเอียง

1. การแสดงออกสำคัญ ควรแสดงออกอย่างเท่าเทียมและพยายามรักษาความยุติธรรมให้มากที่สุด แน่นอนว่ามันจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในบางเรื่อง แต่ต้องตระหนักว่าเด็กทุกคนมีความต้องการเท่า ๆ กัน 

 

2. ลดการเปรียบเทียบ มันจะเจ็บปวดแค่ไหนที่คนที่พ่อแม่นำมาเปรียบเทียบเป็นพี่น้องที่อยู่บ้านเดียวกัน 

 

3. ทุกคนต้องการความเอาใจใส่ ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยยังไง ดื้อหรือเรียบร้อย ดูแลตัวเองได้ดี เข้มเเข็งหรือทำทุกอย่างได้ดี ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการให้ที่บ้านเอาใจใส่

 

4. อย่าเพิกเฉยกับคำพูดของลูก การที่เขาถามว่าพ่อแม่รักใครมากกว่า หรือพ่อแม่มีลูกคนโปรดไหม อย่าพึ่งรีบตอบกลับว่า ไม่มี หรือตอบความจริงออกไป ลองถามความรู้สึกของเขาก่อน เพราะมันอาจจะเป็นตัวสะท้อน

 

ถึงสิ่งที่อยู่ข้างในจิตใจของเขา ลองเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความรู้สึกและความต้องการของเขาออกมา เพื่อเราจะได้เข้าใจมุมมองความรู้สึก และสามารถดูแลสิ่งที่เขาต้องการได้

 

ขออนุญาต ยกคำพูด ของคุณหมอ พญ. พนิดา รณไพรี—กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็กว่า

 

“ความรู้สึกไม่สำคัญเท่าการแสดงออก ถึงแม้เราจะรู้สึกรักลูกเท่ากันหรือไม่เท่ากัน รักเหมือนหรือไม่เหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พ่อแม่ควรจะแสดงออกในทางบวกกับลูกทุกคน”

 

 

สามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

 

 

ที่มา :

“พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน”

พ่อแม่รักลูกทุกคนเท่ากันจริงหรือ ?

เปิดเหตุผล!! พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน

Long Term Effects of Parental Favoritism

The Secret Reason Why Parents Play Favorites

 

เคยไหม ? รู้สึกไม่สบายใจ พาตัวเองไปทะเลอยู่กับธรรมชาติ ให้ ธรรมชาติฮีลใจ การได้ฟังเสียงธรรมชาติ ได้สูดกลิ่นป่า หายใจเอาอุ่นไอต้นไม้ที่ล้อมรอบ ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจจริงหรือเปล่า ?

 

มนุษย์เชื่อมโยงกับธรรมชาติได้จริงไหม ? มารวมพูดคุยกันในรายการ Learn&Share หรือรับฟังได้ที่ Alljit Podcast

 

 

ทำไมเวลาเศร้า ต้องเดินเข้าป่า ไปทะเล ใช้ ธรรมชาติฮีลใจ ? 

Wallace Nichols นักชีววิทยาทางทะเลและ ผู้เขียนหนังสือ Blue Mind ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคนกับทะเลกล่าวว่า ประชากรโลกเกือบ 80% อาศัยอยู่ในรัศมี 60 ไมล์จากชายทะเล

 

ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นองค์ประกอบ 78% และเรา ‘ลอย’ อยู่ในน้ำคร่ำในครรภ์มารดาตั้งแต่ก่อนออกมาลืมตาดูโลก มนุษย์กับน้ำจึงผูกพันกันระดับเซลล์เลยทีเดียว

 

กลิ่นทะเลยังเต็มไปด้วยไอออนลบ ซึ่งมีมากในธรรมชาติ เช่น ทะเล ภูเขาและน้ำตก เมื่อเข้าสู่กระแสเลือด ไอออนลบจะสร้างปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่ไปเพิ่มระดับเซโรโทนินที่ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า

 

ช่วยให้ผ่อนคลายหายเครียด ผลการวิจัยใน Journal of Alternative Complementary Medicine เรียกว่า ‘การบำบัดด้วยไอออนลบ’

 

เพราะสีฟ้าคือสีโปรดของมนุษย์

Denis Dutton นักปรัชญาชาวอเมริกันที่สนใจเป็นพิเศษเรื่องศิลปะกับวิวัฒนาการเชื่อว่า การที่เรามองว่าอะไร ‘สวย’ เป็นผลมาจากความคุ้นเคยที่อยู่ในสภาพแวดล้อมริมทะเลมาตั้งแต่มนุษย์ยังเก็บของป่าล่าสัตว์

 

นอกจากนี้สีฟ้ายังเป็นสีโปรดอันดับ 1 ของประชากรโลก และเมื่อให้เลือกสภาพแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกเป็นบวก เช่น สงบ สบายใจ มีความสุข ผ่อนคลาย ฯลฯ ภาพทะเลก็เป็นตัวเลือกอันดับ 1 เช่นกัน

 

 

งานวิจัยต่าง ๆ ที่บอกว่าเราเชื่อมโยงกับธรรมชาติ 

นักชีววิทยาชาวอเมริกัน E. O. Wilson ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า มนุษย์มีสายใยที่เชื่อมโยงกันกับโลกของธรรมชาติ กล่าวคือ การอยู่ในธรรมชาติจะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสุขภาพของมนุษย์

 

และหลังจากที่ Qing Li ศึกษาเรื่องนี้ต่อมาอีกหลายปี เขาพบว่าการใช้เวลาอยู่ในป่าสามารถลดความเครียด ความวิตกกังวล ความซึมเศร้า และความโกรธได้ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

 

และยังช่วยทำให้สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงระบบเผาผลาญในร่างกายดีขึ้นได้อีกด้วย ถือเป็นการเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวมให้กับมนุษย์ได้อีกด้วย

 

 

ธรรมชาติฮีลใจ เราด้านไหนบ้าง 

ธรรมชาติช่วยเยียวยา

การอยู่ในธรรมชาติ หรือแม้แต่การชมทิวทัศน์ของธรรมชาติ ช่วยลดความโกรธ ความกลัว ความเครียด และเพิ่มความรู้สึกรื่นรมย์ การสัมผัสกับธรรมชาติไม่เพียงแต่ทำให้ฉันคุณรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น

 

แต่ยังช่วยให้ร่างกายของคุณมีสุขภาพที่ดี ลดความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และการผลิตฮอร์โมนความเครียด นักวิทยาศาสตร์ เช่น Stamatakis และ Mitchell

 

นักวิจัยด้านสาธารณสุข กล่าวว่า ลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ การวิจัยในโรงพยาบาล สำนักงาน และโรงเรียนพบว่าแม้แต่ต้นไม้ธรรมดา ๆ ในห้องก็สามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อความเครียดและความวิตกกังวล

 

ธรรมชาติช่วยผ่อนคลาย

ธรรมชาติช่วยให้เรารับมือกับความเจ็บปวด เนื่องจากเราได้รับการตั้งโปรแกรมทางพันธุกรรมให้ค้นหาต้นไม้ พืช น้ำ และองค์ประกอบทางธรรมชาติอื่น ๆ เราจึงซึมซับบรรยากาศธรรมชาติและหันเหความสนใจจากความเจ็บ

 

ในการศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดี ครึ่งหนึ่งมีทิวทัศน์ของต้นไม้และ อีกครึ่งหนึ่งมีทิวทัศน์ของกำแพง โรเบิร์ต อูลริชแพทย์ผู้ดำเนินการวิจัยกล่าวว่า ผู้ป่วยที่เห็นต้นไม้ทนความเจ็บปวดได้ดีกว่า

 

ธรรมชาติฟื้นฟู

การวิจัยในปัจจุบันคือ ผลกระทบของธรรมชาติที่มีต่อความเป็นอยู่ที่ดี ในการศึกษาเรื่องจิตใจ 95% ของผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวว่า อารมณ์ของพวกเขาดีขึ้นหลังจากใช้เวลาอยู่ข้างนอก เปลี่ยนจากซึมเศร้า เครียด กังวล

 

เป็นสงบและสมดุลมากขึ้น การศึกษาอื่น ๆ โดย Ulrich, Kim และ Cervinka แสดงให้เห็นว่าเวลาในธรรมชาติหรือฉากของธรรมชาติมีความสัมพันธ์กับอารมณ์เชิงบวกและความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ 

 

วิจัยจากสแตนฟอร์ด กล่าวว่า การเดินเล่นตามธรรมชาติ จะลดการคิดมาก จากการทดลอง ให้คนลองเดินเล่นในสวนสาธารณะ 90 นาที จะทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวกับการคิดมากทำงานลดลง

 

ธรรมชาติเชื่อมโยง

จากการศึกษาภาคสนามที่จัดทำโดย Kuo และ Coley ที่ Human-Environment Research Lab เวลาที่ใช้ในธรรมชาติเชื่อมโยงเราเข้าด้วยกันและเชื่อมต่อกับโลกใบใหญ่

 

การศึกษาอีกชิ้นที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ชี้ให้เห็นว่าผู้อยู่อาศัยในอาคารสาธารณะในชิคาโกซึ่งมีต้นไม้และพื้นที่สีเขียวรอบอาคารของพวกเขา รายงานว่ารู้จักผู้คนมากขึ้น มีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อนบ้านมากขึ้น

 

มีความห่วงใยในการช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน มากกว่าผู้เช่าอาคารที่ไม่มีต้นไม้ นอกจากความรู้สึกเป็นชุมชนที่มากขึ้นแล้ว ยังลดความเสี่ยงต่ออาชญากรรมบนท้องถนนอีกด้วย

 

ประสบการณ์การเชื่อมต่อนี้อาจอธิบายได้จากการศึกษาที่ใช้ fMRI เพื่อวัดการทำงานของสมอง เมื่อผู้เข้าร่วมดูฉากธรรมชาติ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเอาใจใส่และความรักจะสว่างขึ้น

 

แต่เมื่อพวกเขาดูฉากในเมือง สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความกลัวและความวิตกกังวลจะทำงาน ดูเหมือนว่าธรรมชาติจะสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความรู้สึกที่เชื่อมโยงเราถึงกันและกันและสิ่งแวดล้อม

 

 

โรคขาดธรรมชาติ (Nature Deficit Disorder)

ด้วยความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เราอยู่กับหน้าจอกันมากขึ้น พอไม่ได้สัมผัสธรรมชาติ ใช้เวลาอยู่แต่กับมือถือ คอมพิวเตอร์ จะกลายเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับตนเอง และขาดความคิดสร้างสรรค์

 

โรคขาดธรรมชาตินี้จะยังไม่ได้มีการระบุทางการแพทย์ว่าเป็นหนึ่งในโรคทางจิตเวชเด็ก แต่ก็เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าการที่คนเราใช้เวลาอยู่กลางแจ้งน้อยลง จะส่งผลต่อปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็ก ๆ ได้

 

ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรได้นาน ๆ บางคนก็มีภาวะซึมเศร้าหรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ และส่งผลให้เด็กมีปัญหาในการเข้าสังคมต่อไป

 

 

วิธีการบำบัด โดยใช้ ธรรมชาติฮีลใจ 

1. Forest Bathing การอาบป่า 

การอาบป่า Forest Bathing  เป็นการบำบัดแบบญี่ปุ่น ไม่ใช่การเข้าป่า เพื่อไปออกกำลังกาย หรือ ไปเดินป่า ไปปีนเขา “การอาบป่า”ในที่นี้มีความหมายมาจากคำว่า ชินรินโยคุ (Shinrin-yoku)

 

ชินริน (Shinrin) แปลว่า ป่า และ โยคุ (Yoku) แปลว่า อาบ จึงแปลรวมกันว่า “การอาบป่า”  ใช้ ธรรมชาติฮีลใจ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นในช่วงปี 1980 เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มมองเห็นปัญหาว่า ประชาชนเกิดความเครียดจากการทำงาน

 

เพราะอยู่หน้าจอมากเกินไป techno-stress  จนนำมาสู่การลงทุนเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ และการจัดตั้งคลินิกอาบป่าทั้งหมด 62 แห่ง เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนไข้ที่มาหาหมอเพราะความเครียด หรือมีความดันโลหิตสูง

 

การอาบป่า จะเป็นวิธีการที่จะช่วยเชื่อมตัวเราเข้ากับธรรมชาติผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผ่านรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส โดยใช้ธรรมชาติบำบัดในการชำระล้างความเครียด ความวิตกกังวล

 

ความอ่อนล้าที่แบกไว้ในวามคิดและจิตใจ ซึ่งถือเป็นวิธีการบำบัดตัวเองในแบบง่าย ๆ ที่สามารถทำเองคนเดียวได้ในระยะเวลาอันสั้น หรือจะชักชวนกันทำเป็นกลุ่มแบบในครอบครัว หรือ ในที่ทำงานก็ได้เช่นกัน

 

นอกจากประโยชน์ในด้านสุขภาพกาย ยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิตด้วย งานวิจัยในปี 2021 พบว่าอาสาสมัครจำนวน 61 คนที่ได้ไปอาบป่าเป็นเวลาสองชั่วโมง มีความวิตกกังวล และการคิดวนไปวนมากับปัญหาต่าง ๆ น้อยลง 

 

ขั้นตอนการอาบป่า หรือ Rewilding การฟื้นคืนธรรมชาติ

1. วางใจให้คุ้นเคย

ก่อนเริ่มต้น ลองสังเกตและทำความคุ้นเคยกับสถานที่นั้น หาพื้นที่ที่สงบ ที่เมื่อถ้าเราหลับตาลง เราจะยังรู้สึกปลอดภัย ผ่อนคลาย เมื่อได้จุดยืนที่รู้สึกสบายและเป็นตัวของตัวเอง ลองขยับแขน ขา และคอ เพื่อผ่อนคลาย

 

ร่างกาย ยืนหันหน้าไปทางทิศที่เรารู้สึกว่าอยากเดินไปค่อย ๆ วางความคิดและความกังวลใจลง สูดลมหายใจให้ลึกและยาวกว่าปกติสัก 3 ลมหายใจ ยืนด้วยท่าที่รู้สึกมั่นคง รับรู้บรรยากาศทั้งหมดรอบ ๆ ตัว

 

2. เปิดการรับรู้สัมผัส

ลองหลับตาลง รับรู้ถึงฝ่าเท้าและน้ำหนักทั้งหมดของเราที่ถ่ายลงผืนดิน ค่อย ๆ จัดระเบียบร่างกาย กระดูกสันหลัง และคอ ให้ตั้งตรง ทิ้งน้ำหนักแขนลงข้างตัว ปล่อยมือสบาย ๆ ลองรับรู้เสียงที่เกิดขึ้นรอบ

 

และค่อย ๆ ขยายสัญญาณการรับรู้เสียงนั้นออกไปให้กว้างและไกลที่สุด รับรู้ถึงลมที่พัดมาสัมผัสร่างกายของเรา มันพัดมาจากทางทิศไหน รับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในร่างกาย อาจจะเป็นความรู้สึกอุ่นที่ปลายมือทั้งสอง

 

เสียงเต้นของหัวใจ รับรู้กลิ่นที่เกิด กลิ่นหอมชื้นของดิน กลิ่นดอกไม้ กลิ่นป่าในฤดูนั้น ค่อย ๆ ลืมตา มองทัศนียภาพทั้งหมดด้วยสองตาของเรา ค่อย ๆ ผสานการรับรู้จากผัสสะทั้งหมดให้คงอยู่กับตัวเรา

 

3. ออกเดิน

เริ่มเดินไปบนทางที่รู้สึกว่าน่าสนใจหรือดึงดูดเรา โดยยังคงรักษาผัสสะการรับรู้ทั้งหมดไว้กับตัวเอง หากรู้สึกว่ามีความคิดวอกแวกเกิดขึ้น เพียงแต่กลับมาที่การเดินโดยไม่ต้องคิดและตัดสินตัวเอง

 

ข้อนี้มิ้นไปเจอข้อมูลมาว่า เป็นวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำเบื้องต้น ไม่ว่าจะมีซึม เศร้า ดิ่ง การได้ออกไปสูดอากาศช่วยได้มาก ง่าย ๆ แค่ไปสวนสาธารณะใกล้บ้าน หรืออาจจะลองเดินป่า ภูเขา แม่น้ำ ก็ได้

4. หยุดพักและสังเกต

หากมีสิ่งใดระหว่างเส้นทางเดินที่เราสนใจ ดึงดูดเรา ก็เพียงลองหยุด สังเกต อาจจะลองสัมผัสให้รู้สึกถึงน้ำหนัก พื้นผิว ความร้อนเย็น สีสัน รูปทรง หรือลักษณะเฉพาะบางอย่างที่เราสนใจ หรือหากเจอที่เหมาะ ๆ น่านั่งพัก

 

หยุดสังเกตสิ่งต่าง ๆ  โดยยังคงรักษาความเปิดกว้างของสัมผัสการรับรู้เอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ เราอาจจะถ่ายภาพสิ่งที่สังเกตเห็นได้ โดยไม่ทำลายความรู้สึกสงบที่เรามีระหว่างการเดิน

 

5. บันทึกและแลกเปลี่ยน

เมื่อออกเดินถึงจุดที่รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว นั่งพักและบันทึกความรู้สึก ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง อาจจะเป็นภาพวาดหรือถ้อยคำบางอย่างที่ผุดขึ้นมาจากความรู้สึกหรือสิ่งที่สังเกต

 

2. เพิ่มธรรมชาติในชีวิต

หากไม่มีเวลา ไปอาบป่าหรือกิจกรรมธรรมชาติบำบัดอื่น ๆ การนำธรรมชาติบำบัดมาปรับใช้อาจจะต้องหาทางเลือกเพิ่มเติมไว้ด้วย เช่น ท้องฟ้าจำลอง อควาเรียม  จัดสวนที่บ้าน รวมไปถึงการเสพสื่อที่เกี่ยวกับธรรมชาติ

 

มีงานจัยที่บอกว่าทดลองใช้ VR แล้วพบว่า อาการกังวลและอาการแพนิคของผู้เข้าร่วมการทดลองลดลงด้วย  สำหรับหลาย  ๆ คน อาจจะไม่ต้องใช้ธรรมชาติจริง ๆ ต้องไปป่าเท่านั้น ไปทะเลเท่านั้น

 

แต่ใช้สื่อหรือสิ่งที่ทดแทนก็อาจจะช่วยได้บ้างเหมือนกัน ถึงแม้จะอยู่ในเมืองใหญ่ แต่เรายังสัมผัสธรรมชาติได้ เช่น ถ้าอาศัยอยู่หรือทำงาน ซึ่งแถว ๆ  นั้นมีถนนหนทางที่มีต้นไม้ มีธรรมชาติ ก็สามารถไปเดินเล่นได้

 

ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

 

 

ที่มา : 

การฟื้นคืนธรรมชาติ

5 Science-Backed Reasons Nature Can Heal the Soul

โรคขาดธรรมชาติ